วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 07, 2560

PM ตัดพ้อ ต่อล้อ และตอกเละ





ก่อนเข้านอนคืนนี้ มาดูซีรี่ส์ปรี๊ดแตกกันอีกนิด แบบบททั่น Prime Minister แห่งไตแลนเดีย (ตัวย่อ PM ขยายอีกอย่างได้ว่า post menstruation น่ะ) ทั้งตัดพ้อ ต่อล้อ และตอกเละ

เริ่มที่พีพีทีวี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวตัดพ้อหลังตอบคำถามชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญ...คุณไม่เชื่อมั่นผมหรือว่าผมทำเพื่ออะไร คุณไม่ไว้ใจผมเลยหรือ...

ไร้ค่า ..... ผมน่ะไร้ค่า”

(https://www.facebook.com/KornJR/videos/10207152215101987/?hc_ref=SEARCH)

ต่อมา จากว้อยซ์ทีวี กรณีโหรดังทัก “กำลังดวงตก” ทั่นตอบ “ไอ้คำถามงี่เง่านี่อย่ามาถามผม” ชี้ไปที่ใครไม่รู้ “เอ็งตอบดิ๊”

(https://www.facebook.com/VoiceTVonline/videos/10156086657909848/)





ตบท้ายด้วย วาสนา นาน่วม “ถังแตก-ดวงตก แต่อารมณ์ขึ้น!!! นายกฯ บิ๊กตู่ ปรี๊ดดด!!

ถูกสื่อซัก เงินคงคลังลดวูบ ถังแตก โวยใครให้ข่าว” (คำต่อคำ: “ใครเป็นคนเอามาพูดล่ะ พรรคการเมืองไหน นักการเมืองฝ่ายไหน โธ่”)





หลังจากที่โทษนักการเมืองตามฟอร์ม แล้วก็โยนข้าราชการลิ่วล้อจัดการ “ยันถูกขั้นตอน ไล่กระทรวงการคลังชี้แจง”

(https://www.facebook.com/WassanaJournalist/videos/1352549261470195/)

ทั่น รมว.คลังก็ทันควัน รับลูกบิ๊กตูบชี้แจงทันที “นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง เปิดเผยต่อสื่อมวลชนในบ่ายวันนี้ว่า ระดับเงินคงคลังในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ที่ต่ำถึง ๗.๔๙ หมื่นล้านบาท

เนื่องจากเป็นการบริหารจัดการของกระทรวงการคลังที่ไม่ต้องการกู้เงินมากองไว้ จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

โดยมีการประเมินว่าระดับเงินคงคลังควรอยู่ที่ ๕ หมื่นล้านบาท ถึง ๑ แสนล้านบาท ดังนั้นการมีระดับเงินคงคลัง ๓-๕ แสนล้านบาท ถือว่ามากเกินไป”

โอว ชาวบ้านทึ่งคลังไทยนี่เจ๋งเจงๆ แต่คนที่รู้เรื่องการเงินการคลังอย่างนักเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตร ไม่เจ๋งด้วย เพราะที่ รมว. คลังพูดน่ะผิดทั้งเพ เอาไว้ใช้ตบตาสลิ่มคงได้

อจ.เดชรัตน์ สุขกำเนิด กรุณาเขียนเฟชบุ๊คอย่างละเอียด ให้แสงเทียนแสงธรรมแก่คนที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาค (รวมทั้งคนที่ออกมาพูดผิดๆ) ในหัวข้อ ‘เงิน (ไม่) คงคลัง’ ดังนี้

(https://www.facebook.com/decharut.sukkumnoed/posts/1256679427757339?pnref=story)





“ผมขอตั้งข้อสังเกตในคำแถลงของท่าน 3 ประการ ดังนี้ครับ

ประการแรก ผมแปลกใจที่ท่านบอกว่า นโยบายของท่านคือไม่กู้เงินมากองไว้ เพราะเมื่อต้นปีงบประมาณ 2559 เดือนตุลาคม 2558 ท่านกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 99,094 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ตอนนั้น เงินคงคลังของรัฐบาลก็มีมากกว่า 426,182 ล้านบาท

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ท่านก็กู้อีก 109,076 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ตอนนั้นท่านก็มีเงินคงคลัง 295,880 ล้านบาท หรือตอนเดือนเมษายน 2559 ท่านก็กู้อีก 46,436 ล้านบาท ตอนนั้นเงินคงคลังของรัฐบาลมี 206,218 ล้านบาท

และล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2559 เงินคงคลังของรัฐบาลมีอยู่ 441,300 ล้านบาท ท่านก็ยังกู้เงินมาเติมเงินคงคลังอีก 52,714 ล้านบาท

เพราะฉะนั้น กล่าวโดยสรุปว่า ที่ผ่านมาผมไม่เห็นว่าท่านปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านกล่าวไว้ หรือท่านเพิ่งเปลี่ยนแนวทางการบริหารเงินคงคลังเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 หรือสามเดือนที่ผ่านมา

และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมก็สงสัยว่า การที่ท่านกู้เงินมากองไว้ตลอดปีงบประมาณ 2559 เป็นการสร้างภาระของประเทศใช่หรือไม่? แล้วทำไมท่านจึงสร้างภาระให้กับประเทศแบบนั้น?

ประการที่สอง ตามที่ท่านบอกว่า เงินคงคลัง 74,907 ล้านบาทถือว่าเหมาะสม เพราะอยู่ในช่วงระหว่าง 50,000 - 100,000 ล้านบาทนั้น ผมว่าการกำหนดจำนวนเงินคงคลังที่เหมาะสมจำเป็นต้องพิจารณาถึงภาระการใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นสำคัญ

ในช่วงรัฐบาล คสช. เงินคงคลังไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเงินเก็บออมของประเทศเลย แต่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าจ่ายเงินชดเชยการดุลงบประมาณมาโดยตลอด

หากเทียบจากปีงบประมาณ 2559 ที่ผ่านไป รัฐบาลของท่านมีงบประมาณขาดดุลเฉลี่ยเดือนละ 32,987 ล้านบาท ซึ่งต้องเอาเงินคงคลังที่เหลืออยู่ 74,907 ล้านบาทมาจ่าย เราก็จะจ่ายชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ประมาณ 2 เดือนเท่านั้น

แต่หากเราเอาตัวเลขการขาดดุลงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 ซึ่งรัฐบาลของท่านทำสถิติการขาดดุลโดยเฉลี่ยเดือนละ 139,427 ล้านบาท เงินคงคลังที่เหลืออยู่ 74,907 ล้านบาทก็จะเพียงพอที่จะจ่ายเงินได้เพียง 16 วันเท่านั้น

ลองคิดดูสิครับว่าจะเป็นไปได้อย่างไร? ที่ประเทศเราจะมีเงินคงคลังหนึ่งแสนล้านบาทตามที่ท่านรัฐมนตรีกล่าว ในขณะที่เรามีภาระการขาดดุลงบประมาณเดือนละ 139,427 ล้านบาท

แต่อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่ารัฐบาลคงจะต้องขอกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวนมโหฬารในเร็วๆ วันนี้ และนั่นนำมาสู่ข้อห่วงใยประการที่สาม

โดยทั่วไป เงินคงคลังทำหน้าที่เป็นทั้งเก็บออมและจ่ายออก แต่ในช่วงรัฐบาล คสช. เงินคงคลังทำหน้าที่จ่ายออกแต่เพียงอย่างเดียว แล้วท่านก็กู้เงินมาโป๊ะ ตลอด 3 ปีงบประมาณ 2557-2559 ท่านกู้เงินมาโป๊ะการใช้จ่ายเกินดุลของท่านไปแล้วกว่า 744,187 ล้านบาท

ท่านอาจแย้งว่า รัฐบาลก่อนหน้านี้ก็ทำงบประมาณแบบขาดดุลเช่นกัน ซึ่งก็จริงครับ ผมเลยเปรียบเทียบภาระการดุลงบประมาณของรัฐบาล คสช. และรัฐบาลก่อนหน้านั้นมาให้ดูครับ

ในช่วงปีงบประมาณ 2550-2556 ซึ่งเรามีอยู่ด้วยกัน 5 นายกรัฐมนตรี ในช่วงนั้นเราขาดดุลงบประมาณเฉลี่ยปีละ 289,703 ล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 12.6 ของเงินรายได้ของรัฐบาลในแต่ละปี (พูดง่ายมีเงิน 100 แต่จ่าย 112 บาท)

แต่ในช่วงรัฐบาลของท่าน (ปีงบประมาณ 2558 และ 2559) ท่านขาดดุลงบประมาณเฉลี่ยปีละ 395,145 ล้านบาท (หรือขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดิมปีละเกือบหนึ่งแสนล้านบาท) ซึ่งเทียบเป็นร้อยละ 17.1 ของเงินรายได้ของรัฐบาลในแต่ละปี

เพียงแค่ช่วงสามเดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 นี้ ท่านขาดดุลงบประมาณไป 418,282 ล้านบาท มากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 111,346 ล้านบาทเลยทีเดียว

ซึ่งในประเด็นการขาดดุลงบประมาณนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังไม่ได้ชี้แจงใดๆ

ส่วนท่านนายกรัฐมนตรีก็ตอบนักข่าวด้วยฉุนเฉียวว่า มีคนขอให้รัฐบาลช่วยเยอะ รัฐบาลจึงตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องดังกล่าว

รัฐบาล คสช. จึงควรมีการกำหนดกรอบการขาดดุลงบประมาณให้ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาล คสช. เอง เพราะการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นการสร้างภาระให้กับรัฐบาลและประชาชนไทยในอนาคต

มิฉะนั้น บทแรกของยุทธศาสตร์ชาติในอนาคตอาจต้องเริ่มต้นจากยุทธศาสตร์การใช้หนี้ที่ก่อกันในวันนี้”

ตรงนี้ขอเถียง อจ.เดชรัตน์เล็กน้อย ที่ว่าอาจจะต้อง ‘เริ่ม’ ยุทธศาสตร์ ‘ใช้หนี้’ น่ะ ที่จริงเท่าที่เราเห็น มันเริ่มมาได้สองปีกว่าแล้วครับ