อลังการ ตระการตา ได้ชมคลิปและภาพบรรยากาศบริเวณสนามหลวงเมื่อวานนี้ พสกนิกรเนืองแน่นท้องสนามหลวงจุดเทียนถวายอาลัยพระเจ้าอยู่หัวในโกศ และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกึกก้องกังวาล
เสียแต่ว่าการจัดงานเกิดอาการ ‘hick up’ สะอึกเล็กน้อย
เรื่องย่อยๆ จากการที่บรรดามอเตอร์ไซค์รับจ้างมีจิตอาสาถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อหลวง บริการขนส่งผู้คนสู่บริเวณหน้าพระบรมมหาราชวังและท้องสนามหลวงฟรี ไม่คิดค่าตอบแทน
แต่เพจ ‘ปลดแอกชาวสองล้อ’ เล่าถึงกรณี ‘หวิดวุ่น’ ที่บริเวณจุดรับส่งแยกอรุณอัมรินทร์ ผู้ใช้นาม ‘เจมส์ บอนด์’ ลงข้อความ
“ขอบคุณ สน.บางยี่ขันนะ ที่ไม่อนุญาติให้พวกเรามาตั้งจุดรับส่งฟรีที่แยกอรุณมรินทร์ แต่กลับปล่อยให้วินเก็บเงินตั้งได้ สุดท้ายพี่ทหารอนุญาติเราตั้ง ประชาชนจึงไม่ต้องเสียเงินและสะดวกกว่าเดิม ขอบคุณพี่ทหารครับ”
(http://www.politic.zocialx.com/1987)
แค่หวิด ยังไม่วุ่น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะพี่ตะหานก้ามโตกว่าพี่ตำหวด มิหนำลุ่งตู่ออกมาชื่นชมพี่ๆ แมงกะไซไปแล้วด้วย
ตานี้เรื่องไม่ย่อย Arm Worawit @ArmUpdate ทวี้ตว่า “จากเหตุการณ์สนามหลวงเมื่อวาน มีคนติติงผู้ผลิตเอ็มวี ลองอ่านดู ผมก็ว่าเขาก็มีเหตุผลดีนะ ล่าสุดคนแชร์ต่อเกือบพัน”
ก็ตอนพสกนิกรกำลังบรรจงลูกคอร้องเพลงสรรเสริญฯ กันนั่นละ “ใครคนหนึ่ง...หยุดเพลงสรรเสริญพระบารมีกลางคัน ขณะราษฎรร้องจากหัวใจ
เป็นการเทคเสียกลางคัน เพียงเพราะมีความผิด (พลาด) จากการถ่ายทำ อะไรบางอย่าง”
เป็นโพสต์ของผู้ใช้นาม Chachapon Jayaphorn บ่นว่า “ประชาชนไม่ใช่ตัวประกอบละคร หรือโปรดัคชั่นของใคร ที่จะเอามาใช้งาน...
อย่าเผลอคิดว่าราษฎรผู้ภักดีที่หลั่งไหลมา เป็นคนที่พวกท่านเรียกว่า #Extra”
อีกโพสต์ Wasu Tongrongkaew เขียนถึงเสียงตะโกนแทรก (น่าจะเป็นของผู้กำกับฯ) ขณะทำการถ่ายทำภาพยนตร์เพลงสรรเสริญพระบารมีครั้งนี้ “ใครชูสองนิ้วครับ อย่าให้ผมเห็นอีกนะ คนที่อยู่ข้างๆ ถ้าเห็นใครทำเตือนด้วย”
เขาจึงต้องคอมเม้นต์ว่า “คือมันไม่ใช่ละเม็งละครที่ต้องทำตามบทนะเฮ้ย แล้วที่ไปตะโกนด่าเขาปาวๆ น่ะ เขาใช่นักแสดงใต้อาณัติคุณไหม
ถ้าคุณจะเอาให้มันออกมาดีเหมือนละเม็งละครน่ะ คุณจ่ายค่าตัวให้เขาแล้วซักซ้อมกันหลายๆ รอบ ให้ดีๆ ก่อนดีกว่ามั้ย เวลาร้องจริงจะได้เทคเดียวผ่านตามที่ต้องการ”
ก็พอดีแอบไปเห็นที่ พันศักดิ์ ศรีเทพ (พ่อน้องเฌอ) คุยกับเพื่อนพ้องบนเฟชบุ๊คเรื่องสนนราคาค่าจ้างเอ็กซ์ตร้า ตัวประกอบหนัง ถ้าเป็นพวกที่ไปเดินๆ นั่งๆ ติดภาพหลังฉากก็ครั้งละสามสี่ร้อยบาท หากมีบทพูดเล็กน้อย หัวละพัน
เขายังคิดคำนวณกันว่าคนที่ไปร้องเพลงสรรเสริญกลางสนามหลวงวันนั้น ประเมินว่า ๑๗๗,๐๐๐ คน บริษัทถ่ายทำจะต้องจ่ายเท่าไหร่ (ตรงนี้คิดกันเอาเองละกัน)
หากแต่งานนี้ที่จริงไม่เชิงว่าพสกนิกรพร้อมใจมุ่งสู่สนามหลวง เพื่อร้องเพลงและจุดเทียนโดยมิได้นัดหมาย เหมือนอาสาฬหบูชาอะไรทำนองนั้น
แต่มันเริ่มจากการที่ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานพระราชานุญาต ให้หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย จัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้”
ตามข่าวที่ทีนิวส์ของสนธิญาน หนูแก้ว อ้างไว้ “เพื่อบันทึกภาพประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ความผูกพัน และความอาลัยของประชาชนผู้จงรักภักดีทุกหมู่เหล่า
จัดทำเป็นภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศและสถานีโทรทัศน์ต่างๆ”
ว่าไปแล้วมันก็มีกลิ่นอายของรายการแบบ commercial เชิงธุรกิจติดอยู่บ้างละนะ ถึงได้มี “วงออเครสตร้า จาก Siam Philharmonic Orchestra โดยอาจารย์ สมเถา สุจริตกุล เป็นวาทยกร พร้อมคอรัส ๑๐๐ คน” เป็นหลัก
อย่างนี้ถ้าจะมีใครตำหนิติติงว่าเกิดการลักลั่นเรื่องบริหารจัดการงานพระศพก็คงต้องฟังเขานะ ท่านมุ้ยจะทำหนัง ไม่ยอมจ้างเอ็กซ์ตร้า production เลยสะดุดกึกกักเล็กน้อย
คิดอีกที ฤๅเพราะตอนนี้เป็นช่วง ‘ช่องว่าง’ การสืบราชสันตติวงศ์ อย่างที่สามนักวิชาการในฝรั่งเศสออกคลิปเฟชบุ๊คไล้ว์ “อภิปรายทางวิชาการ:
ปัญหาทางกฎหมายว่าด้วย ‘ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์’ ในรัฐธรรมนูญไทยหลัง ๒๔๗๕ และกรณี มาตรา ๒๔ ‘ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน’ ในปัจจุบัน”
ที่มี อ. Piyabutr Saengkanokkul และ Somsak Jeamteerasakul ร่วมวง โดยมี คุณ Eugénie Mérieau เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย
(https://www.facebook.com/somsakjeam/videos/vb.100001298657012/1117759478277330/?type=2&theater)
อะไรต่ออะไรมันลักลั่นกันอยู่อย่างว่า แม้แต่เรื่องหลักๆ อย่างเช่นที่ออนไลน์กำลังวิจารณ์กันหนักขณะนี้
“ชาวนาบอกว่าราคาข้าวตอนนี้เท่ากับยุคนายชวน นั่นมันยี่สิบปีที่แล้ว” บก.ลายจุด @nuling ทวี้ต 1 hour ago
นั่นเขาเก็บมาจากข้อความโพสต์ของลูกชาวนารายหนึ่ง “แม่บ่นให้ฟังถึงราคาข้าวที่ตกต่ำ และงวดรถที่จะต้องจ่ายในต้นปีหน้า...แม่บอกผมว่าข้าวพันธุ์นี้ ข้าวเปลือกกิโลละ ๕ บาท...ผมแทบทรุด”
ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยพูดถึง “พบคนไทยมีสินทรัพย์ที่ไปลงทุนในต่างประเทศรวมกว่า ๒๖.๕๖ ล้านล้านบาท” นี่สถิติเมื่อสิ้นปี ๒๕๕๘
“สำหรับยอดการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย หรือ TDI ในช่วง ๘ เดือนแรกของปี ๒๕๕๙ (ม.ค.-ส.ค.) นั้น ฝ่ายเศรษฐกิจการเงิน ธปท.รายงานว่า...
มีเงินทุนของนักธุรกิจ และบริษัทไทยไปลงทุนในต่างประเทศแล้วทั้งสิ้น ๙,๘๒๘ ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ ๓๔๓,๙๘๐ ล้านบาท โดยเป็นการไหลออกต่อเนื่อง ทั้งไตรมาสแรก ไตรมาส ๒ และไตรมาส ๓”
(http://www.thairath.co.th/content/760111)
แล้วอย่างนี้ที่ข่าวบลูมเบิร์กบอกว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ภาครัฐทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่แค่ไหนก็ไม่ได้ผล ถ้าไม่มีการกระตุ้นการลงทุนภายใน และทำให้ประชาชนจับจ่ายบริโภคกันมากๆ ได้
เป็นอันว่ารัฐบาลนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจสวนทางกับความเป็นจริงอันควรละหรือ