ในสถานการณ์ข้าวเปลือกถูก (กิโลละ ๕ บาท) ข้าวสารแพง (กิโลละ ๒๕ บาท) ชาวนาเจอแต่ ‘ระกำ’
แต่ในยุคนี้ที่ชาวนาเคยผ่านการเลือกตั้งรัฐบาลมากับมือตนเองไม่น้อยกว่าสามครั้ง ได้พบมาแล้วทั้งนโยบายประกันราคาข้าว (ของรัฐบาลลอบตั้ง) และจำนำข้าว (ของรัฐบาลเลือกตั้ง)
มีหรือจะไม่รู้จักวิธี ‘เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส’
“ล่าสุดวันที่ ๒๗ ตุลาคม ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิแห้งในประเทศเหลือเพียง ๙,๕๐๐ บาทต่อตัน เพราะผู้ส่งออกตั้งราคารับซื้อเพียง ๑๖,๖๐๐ บาทต่อตัน บางรายกดราคาเหลือ ๑๕,๘๐๐ บาทต่อตัน เมื่อคิดเป็นราคาส่งออกจะอยู่ประมาณ ๕๐๐ กว่าเหรียญสหรัฐต่อตัน ถือเป็นราคาต่ำที่สุดในรอบ ๑๐ ปี”
(http://www.matichon.co.th/news/337866)
“ในเมื่อข้าวราคาถูกใช่ไหมครับ พ่อค้าคนกลางและปลายทางกดราคาข้าว เราชาวนาไม่ต้องง้อรัฐ ไม่ต้องง้อโรงสี ไม่ต้องง้อคนรับซื้อข้าวเปลือก เราชาวนารวมตัวกันสีข้าวเอง ขายเองไปเลยครับ
สีแล้วเอาไปขายตามที่ต่างๆ ขายถูกกว่าตลาด ๑๐ บาทต่อกิโล” เป็นโพสต์ของ ‘ออนซอนอีสาน’ ที่กำลังติดกระแสอยู่ขณะนี้ ไม่ต้องกราบไหว้วิงวอนภูตผีเทวดา ให้ถูกสลิ่มคนชั้นกลางชาวกรุงเยาะเย้ยเหยียดหยาม
“ถ้า บก.ลายจุดขายข้าวถุงได้ ทำไมลูกชาวนาแท้ๆ อย่างพวกคุณจะขายไม่ได้ พวกคุณทำได้แน่นอน จงเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของชาวนาด้วยมือของคุณ อย่ายอมจำนน”
เป็นอีกข้อความปรากฏบนทวิตเตอร์หนุนหลักการ ชาวนางดขายข้าวเปลือก แต่สีข้าวแล้วเอาใส่ถุงพล้าสติกออกวางขายริมถนนเหมือนที่เขาขายเกลือกัน ดังที่ วินัย อยู่นาน ชาวนาจังหวัดสุรินทร์รณรงค์
พอบัดนี้รัฐบาล คสช. ร้อนตัว กระทรวงพาณิชย์เลยไปจี้สมาคมโรงสีข้าว “ให้ช่วยหาแนวทางช่วยเหลือชาวนา” นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ เลขาธิการสมาคมโรงสีข้าวไทยออกมาแจ้งว่า
“สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจะเข้ารับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ จากชาวนาในราคาใกล้เคียงตลาด ช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมากในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ ปริมาณ ๒ แสนตัน คิดเป็นข้าวสาร ๒ ล้านกระสอบ หรือเป็นข้าวเปลือก ๔ แสนตัน”
แต่ในปีการผลิตนี้ ที่จะมีข้าวเปลือกออกสู่ตลาดในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนราว ๒๕ ล้านตัน จะทำอย่างไร นายวิชัย ศรีนวกุล อุปนายกสมาคมโรงสีข้าวไทยแนะให้
“รัฐบาลควรเร่งประกาศมาตรการจำนำยุ้งฉางของเกษตรกรเพื่อพยุงราคา ๑๑,๗๐๐ บาทต่อตัน ปริมาณเป้าหมาย ๒ ล้านตัน ให้มีความชัดเจนเพื่อชาวนาจะนำข้าวเปลือกไปจำนำยุ้งฉางกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ทันที”
ปัญหาก็ยังมีอยู่ ในเมื่อรัฐบาลประยุทธ์ที่ที่ใช้ ม.๔๔ มอบอำนาจทางปกครองให้รัฐมนตรีช่วยว่าการคลัง ฟัน ค่าเสียหายโครงการจำนำข้าว ๓.๕ หมื่นล้านต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงนั้น
คงจำกันได้ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์น้ำตาคลอบอกว่าไม่ยุติธรรม และ “จะสู้ทุกหนทาง” เริ่มแล้วด้วยการมีหนังสือถึงนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง
“ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย จากโครงการรับจำนำข้าวเป็นจำนวนเงิน ๓.๕ หมื่นล้านบาท ภายใน ๗ วัน มิฉะนั้นจะดำเนินการใช้สิทธิตามกฎหมายต่อไป”
(http://www.isranews.org//item/51180-openyaa.html)
อดีตนายกฯ หญิงอ้างเหตุตามมาตรา ๔๙ และ ๕๐ ของ พรบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ออกคำสั่ง ‘ร่วม’ อย่างไม่เป็นธรรม แล้วยังเป็นคู่กรณีขัดแย้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยตรง จากการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจไปจากรัฐบาลของเธอ
คำสั่งดังกล่าว (ที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙) เป็นคำสั่งที่ผลตามกระบวนการยุติธรรม ไม่อาจมอบอำนาจให้บุคคลใดทำแทนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่งยึดทรัพย์ดังกล่าว “ก้าวล่วงอำนาจของศาลยุติธรรม...ทั้งที่ความจริงยังไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงใดๆ...กลับเร่งรีบ รวบรัด กำหนดกฏเกณฑ์ความรับผิดชอบกับข้าพเจ้า”
คงต้องรอดูต่อไปในวันพุธหน้า (ที่ ๒ พ.ย.) ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้ “ใช้สิทธิดำเนินการทางกฎหมายต่อไป” หรือไม่ ไม่ว่าจะกรณีใด ซึ่ง คสช.อาจดึงดันดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป หรือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เป็นคดีกระฉ่อนชักคะเย่อกันต่อไป
รวมความได้ว่านี่คือวิธีการบริหารราชการงานเมืองของ คสช. แบบมักง่าย เอาแต่ใจ บิดพริ้วกฎหมายใช้ในทางที่ต้องการสถานเดียว ผู้นำสั่งลูกเดียว “ไปทำมาสิ” ไม่ต้องดูผลกระทบรอบข้างและ/หรือระยะยาว
ดังเช่นการบริหารจัดการโครงการจำนำยุ้งฉางข้าว ที่ขณะนี้ก็ขาดทุนอยู่ตันละ ๓ พันบาททุกเมื่อเชื่อวัน เห็นผลโดน backfire แรงถีบกลับเข้าแล้วไง
อันว่าวิธีบริหารโดย ‘สั่ง’ อย่างเดียว ทีมงาน คสช. ถนัดเหมือนกันหมด เมื่อวาน พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุข เผยผลงาน “ทำเงียบๆ ให้มันเรียบร้อย ไม่ต้องบอกทุกครั้ง ไม่ต้องเท่ห์ เพราะงานนี้ไม่ใช่งานโชว์” ที่ไปเจรจากับกลุ่ม มาราปัตตานี ว่า
“ได้บอกกลุ่มผู้เห็นต่างว่า ระหว่างนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฯ สวรรคต พสกนิกรขาวไทยเศร้ากันทั้งประเทศ...ก็บอกเขาต้องนิ่งๆ โดยมุ่งหวังไม่ให้ปีนี้มีอะไร”
ผู้เห็นต่างก็ช่างดีแสนดี “แสดงอาลัย สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเมื่อวานนี้ได้ เข้าไปที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทฯ ได้กราบพระบรมศพ และ กราบพระเก้าอี้ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้ขอให้บ้านเมืองสงบ และคงไม่ต้องห่วง”
(http://www.matichon.co.th/news/337971)
แหม ขนาด ‘บิ๊กโบ้’ แสร้งทำเป็นไม่รู้หรือนี่ who are you kidding? ว่ากลุ่มมาราปัตตานีน่ะเจรจาได้ดีจริง แต่ถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานพวกนี้ไม่สามารถยับยั้งระเบิดแถวจังหวัดภาคใต้ได้หรอกนะ
ไม่ถามชาวบ้านสามจังหวัดดูบ้าง บึ้มที่ตลาดโต้รุ่งและร้านเย็นตาโฟปัตตานีเมื่อสองสามวันมานี้ล่ะ เรียกว่า ‘นิ่ง’ ได้ไหม