ในช่วงระยะที่เหลือไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ ๗
สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันลงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญฯ ของคุณมีชัยกับคำถามพ่วง
(ภาษาทางการใช้ว่า “ประเด็นเพิ่มเติม”) หรือไม่
หลายคนหน้าดำคร่ำเครียด หลายคนออกแรงผลักดันอย่างสุดกำลัง
เพื่อที่จะให้ผลเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ หลายคนวิตกกังวลว่าผ่านแล้วจะเป็นอย่างไร
ไม่ผ่านแล้วจะเป็นอย่างไร ฯลฯ หรือแม้กระทั่งลึกๆ แล้วบางคนยังมีความเชื่อว่าอาจไม่มีการลงประชามมติในวันที่
๗ สิงหาคมที่จะถึงนี้เสียด้วยซ้ำไป จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ที่จะนำมาอธิบาย ซึ่งรวมถึงโหราศาสตร์ด้วย
การลงประชามติหรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า การออกเสียงประชามติ
(referendum
หรือ plebiscite) นั้นเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยทางตรง
(direct democracy) ซึ่งแตกต่างจากการเลือกตั้ง (election)
ที่เป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน (representative
democracy) โดยการออกเสียงประชามติ คือการที่รัฐขอฟังเสียงจากประชาชน
ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าการออกเสียงประชามติเป็นพฤติกรรมทางการเมือง (political
behavior) อย่างหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐบาลหรือรัฐสภาได้คืนสิทธิเสรีภาพในการออกเสียงรับรองหรือคัดค้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ให้แก่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าต้องการดำเนินการอย่างไร
การลงประชามติอาจจะเป็นการรับรองกฎหมายสำคัญๆ
เช่น รัฐธรรมนูญ หรือเป็นนโยบายที่สำคัญๆ เช่น สก็อตแลนด์จัดออกเสียงประชามติว่าจะแยกตัวออกจากสหราชอาณาจักรหรือไม่
หรือในบางมลรัฐของสหรัฐอเมริกาถือโอกาสจัดออกเสียงประชามติควบคู่ไปกับการเลือกตั้งทั่วไปในคราวเดียวกัน
เช่น การอนุญาตให้การจำหน่ายหรือเสพกัญกัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย เป็นต้น
ล่าสุดก็คือการลงประชามติของ สหราชอาณาจักรว่าจะยังคงอยู่ต่อไปในสหภาพยุโรปหรือไม่
โดยบางประเทศมีการลงประชามติกันปีละหลายๆ ครั้ง เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น
สำหรับในเรื่องประชามติในเมืองไทยเรานั้น เริ่มมีบัญญัติไว้อย่างเป็นทางการนับแต่มีการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ปี ๒๕๔๐ แล้วว่า หากร่างไม่ผ่านการรับรองจากรัฐสภาให้นำไปลงประชามติ
แต่บังเอิญว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้ผ่านรัฐสภาจึงไม่ได้มีการลงประชามติ
และคำว่าประชามติก็ได้มีปรากฏในรัฐธรรมนูญปี
๔๐ ด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด จวบจนได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี
๕๐ ซึ่งได้มีการจัดให้ลงประชามติกันจริงๆ ผลปรากฏว่าฝ่ายที่ให้การรับรองมีมากกว่าฝ่ายที่ไม่ให้การรับรอง
ผลจึงมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมาจนถูกยึดอำนาจโดย คสช. ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป
แน่นอนว่าเมื่อเราเคยได้มีการลงประชามติกันจริงๆ
แล้วมีเสียงเรียกร้องให้มีการลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญที่จะออกมาใช้แทนรัฐธรรมนูญชั่วคราว
ปี ๕๗ จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฯชั่วคราวให้มีการลงประชามติขึ้น โดยทางฝ่าย
คสช.ก็เห็นด้วยเพราะจะถือได้ว่ามีการรับรองความชอบธรรมของตนเองจากประชาชน
แต่น่าเสียดายร่างรัฐธรรมนูญฯ ชุดของคุณบวรศักดิ์ถูกคว่ำกลางสภาปฎิรูปแห่งชาติเสียก่อนจึงไม่ได้เดินต่อไปยังขั้นตอนของการลงประชามติ
แต่ก็ได้มีการตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนุญขึ้นมาใหม่ โดยมีคุณมีชัย ฤชุพันธุ์
เป็นหัวหน้าทีม และจะได้มีการลงประชามติกันในวันที่ ๗ สิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งตามกฎหมายประชามติของไทยเราปัจจุบันไม่ได้บังคับว่าเป็นหน้าที่
หากไม่ไปใช้สิทธิก็ไม่มีโทษทัณฑ์แต่อย่างใด(แต่ในมาตรา ๕๐ (๗) ของร่างรัฐธรรมนูญฯฉบับที่จะไปออกเสียงนี้
หากผ่านจะถือว่าเป็นหน้าที่ครับ)
จึงจะเห็นได้ว่าการลงประชามติไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องแปลกประหลาดต่อการเมืองไทยเราแต่อย่างใด สิ่งที่แปลกประหลาดนั้นกลับกลายเป็นสิทธิเสรีภาพในการรณรงค์ที่ไม่เปิดกว้างและไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนกันอย่างทั่วถึง
ในเนื้อหาของสิ่งที่ตนเองจะต้องไปออกเสียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ไม่มีการให้ความรู้ความเข้าใจกันอย่างทั่วถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากรัฐธรรมนูญผ่านทั้งสองประเด็นหรือประเด็นเดียว
หรืออะไรจะเกิดขึ้นหากไม่ผ่านทั้งสองประเด็นหรือประเด็นเดียว
ฉะนั้น
สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราในปัจจุบันจึงเกิดการถามกันมากมายว่า “ประชามติคืออะไร
สำคัญอย่างไร” “ประชามติต่างจากการเลือกตั้งอย่างไร” “ไม่ไปลงประชามติได้ไหม
จะมีโทษหรือไม่” ฯลฯ ซึ่งได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น
แต่เอาเถอะเมื่อมาถึง ณ
กาลปัจจุบันที่เลยทางโค้งมาถึงทางตรงและกำลังจะเข้าเส้นชัยกันแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก
แต่อยากจะบอกว่าการลงประชามตินั้นมีความสำคัญยิ่งต่ออนาคตทางการเมือง การปกครองไทย ว่าจะเดินไปทางไหน
ทุกพฤติกรรมทางการเมืองหรือทุกคะแนนเสียงมีความสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งหมายความรวมถึงการที่ไม่ไปออกเสียงที่ผมก็ถือว่าเป็นสิทธิที่จะไม่ไปใช้สิทธิเช่นกันด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือว่า รักชอบแบบไหนก็ไปหรือไม่ไปใช้สิทธิตามที่ตนเองเข้าใจและชอบ
ผลจะออกมาอย่างไร
บ้านเมืองของเราก็ต้องเดินต่อไป จะดีขึ้นหรือแย่ลงเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
แต่ที่แน่ๆ ชาวไทยทั้งปวงจะต้องเป็นผู้รับไปเต็มๆ กับชะตากรรมหรือบาปเคราะห์ที่จะออกมาจากการไปใช้หรือไม่ไปใช้อำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยนี้
แต่อย่าเครียดหรือวิตกกังวลจนเกินเหตุ เพราะผลของการลงประชามติว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่านนี้ไม่ทำให้โลกแตกหรือดับสิ้นลงอย่างแน่นอน
ครับ
----------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๓
สิงหาคม ๒๕๕๙