นี่ขนาดปรับแล้ว เปลี่ยนมานั่งโซฟาไม่ต้องเกาะโพเดี้ยม รายการ ‘คืนความสุข คืนวันศุกร์’ น่ะยังไงก็ไม่ได้เรื่อง เพจ ‘อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก’ เขาบอก
“เรื่องของรูปแบบรายการนี่คือสอบตกเลยครับ อันนี้พูดแบบตรงไปตรงมา...การเปลี่ยนรูปแบบรายการจากการที่ท่านจ้อคนเดียวมาเป็นให้พิธีกรถามตอบนี่สิ ในสายตาคนดูแบบผม ผมกลับไม่รู้สึกเห็นถึงความแตกต่างเลย”
รูปแบบไม่ผ่านนั่นยังไม่กระไรนัก ปรับอีกได้ เหมือนร่างรัฐธรรมนูญ แค่ปรับตามต้องการของ คสช. ก็จะปลอดสารพิษ ส่วนเรื่องเนื้อหานี่ปรับอย่างไรคงไม่ขึ้น เพราะ ‘มีแค่นั้น’ ในด้านต้นทุนทางวิสัยทัศน์ อย่างที่ ‘อวยไส้แตกฯ’ เขาว่า
“การพูดจานายกไม่มีปัญหานะฮะ เจื้อยแจ้วน้ำไหลไฟดับ บางเรื่องก็ดูน้ำๆ ไปนิด แต่บางเรื่องก็อยากให้โฟกัสที่ประชาชนอยากรู้จริงๆ เช่นการเกณฑ์ทหาร...
คือท่านนายกครับ เกณฑ์ชายไทยไปป้องกันประเทศ บางคนเค้าต้องเสียสละการงานรายได้ที่ต้องทำมาหากินเงินเดือนสูงๆ ไปรับเงินเท่าข้าแรงขั้นต่ำอันนี้ไม่โอเคนะครับ
และท่านบอกว่างบประมาณทหารจำเป็นต้องสูงมาก เพราะสูงทุกประเทศ ในส่วนนี้ทำไมท่านไม่ชี้แจงว่า งบประมาณสูงขนาดนั้น ทำไมถึงเอามาให้ทหารเกณฑ์อยู่ดีกินดีกว่านี้ไม่ได้ล่ะครับ”
(https://www.facebook.com/overhyp/posts/1749600048589254:0 ขอบคุณประชาไทแนะนำ)
“ยุคนี้สมัยนี้โซเชียลต้องมา การตลาดต้องมี เน้นการสื่อสารคนรุ่นใหม่ให้เค้าเข้าถึงครับ แบบวันนี้คือสอบตกครับ”
ตรงนี้ตอบแทนได้เลยว่า เรื่องโซเชียลก็เกาะติดอยู่นะ เพียงแต่ทิศทางของ คสช. มันย้อนศรเล็กน้อยกับชุมชนสากล ซึ่งก็มี ‘บักดอน’ คอยตอแหลอ้างต่างชาติให้แล้ว ทั่นหัวหน้ายังเอ่ยในรายการอย่างคล่องแคล่วยังกะ จัสติน ทรูโด ที่พูดเรื่องควอนตัม
ทั่นผู้นัมบ์พูดว่า “โซเชียลมีเดียส่งผลถึงอิทธิพลความคิดของประชาชนอย่างมาก ซึ่งสร้างปัญหาในทุกประเทศ เพราะทุกคนเสพง่ายขึ้น ขณะนี้กำลังหารือว่าจะมีมาตรการอย่างไร
แต่อาจมีข้อกำหนดว่าบริษัทที่ให้การบริการเหล่านี้ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อประเทศ เพราะทุกอย่างผ่านการให้บริการของบริษัทไม่ใช่ตนหรือรัฐบาล”
(http://www.dailynews.co.th/politics/391926)
ลงท้ายนี่ดูทีเหมือนผลักไสกระไรอยู่ “กรณีเกิดความเสียหาย” ไม่ใช่กรู
หวังว่าจะไม่ ‘เอาความดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่น’ เหมือนคนการเมืองพรรคหนึ่งนะ ยิ่งถ้าฟังรองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ส่วนงานรักษาความสงบ สำนักงานเลขาธิการ คสช. ละก็ใช่เลย
พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ พูดถึงกรณีสำนักงานว่าด้วยประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชนและแรงงาน ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานการตรวจสอบสภาวะสิทธิมนุษยชนในประเทศ แล้วเตือนไทยฮุนต้าเรื่องใช้คำสั่ง ๑๓/๒๕๕๙ ก็ยิ่งคลับคล้ายตอหลดโป้ปดเต็มๆ
ทั่นยันว่า “ในห้วงที่ผ่านมาการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าว ยังไม่มีประชาชนร้องเรียนใดๆ เข้ามาเลย ว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ”
(http://www.matichon.co.th/news/106716)
ตรงนี้ไม่ตรงความเป็นจริงนักหรอกนะ ที่ว่าไม่มีใครร้องเรียน ไม่มีการละเมิด ทั่นรองฯ ลืมง่ายกระทั่งน้ำลายตนเอง กรณีนายวัฒนา เมืองสุข เห็นโต้งๆ ล่าสุดแถว่าเขาผิดข้อตกลงให้ไปพบเจ้าหน้าที่ถึงสี่ครั้ง
เจ้าตัวจึงออกมาตอบอีกว่า บอกไว้แล้วจะไปพบในวันที่ ๑๘ เมษานี้ ๑๑.๐๐ น. ก็ต้องตามนั้น คสช. เปลี่ยนข้อกล่าวหาใหม่หลายครั้ง แล้วว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชาย
“ผมจำเป็นต้องตอบ คสช. เพื่อพิสูจน์ความจริง...เมื่อ คสช. ยึดอำนาจการปกครอง ผมถูกควบคุมตัว ๓ วัน ผมได้ลงนามทำข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่เพียงครั้งเดียวตามเอกสารที่โพสต์มาให้ดูแล้ว
จากนั้นผมถูกนำตัวไปปรับทัศนคติเพราะการแสดงความเห็นอีก ๓ ครั้ง ทุกครั้งก่อนปล่อยตัวผมไม่เคยลงนามว่าจะไม่แสดงความคิดเห็น...
อีกทั้งผมไม่ยินดีและไม่รับเชิญที่จะไปพูดคุยใดๆ กับ คสช. หากผมต้องไปก้ด้วยถูกกำลังบังคับ อันเป้นการใช้อำนาจตามอำเภอใจที่ผมไม่อาจขัดขืนได้
ผมยืนยันว่าการจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ขัดกับมาตรา ๔ ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คสช. เป็นผู้ขอพระราชทานมาใช้บังคับ”
ทั้งนี้แกนนำพรรคเพื่อไทยสองคนได้แสดงความเห็นสนับสนุนจุดยืนของนายวัฒนา พร้อมทั้งชี้ว่านายวัฒนาจะไม่ลี้ภัยอยู่ประเทศลาวตามข่าวลือ
นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค ต่างแสดงความเชื่อมั่นที่นายวัฒนายืนยันว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร