วันศุกร์, มกราคม 08, 2559

สงสัยที่คิดกันว่า คสช. ชุดสาม ป. ไม่เปรม คิดจะอยู่ยาวมากๆ เห็นท่าจะจริง ฝันบรรเจิดกันไว้เป็น ๒๐ ปี ยาวกว่า the road to democracy ๑๒ ปี ของธานินทร์ กรัยวิเชียร เสียอีก




สงสัยที่คิดกันว่า คสช. ชุดสาม ป. ไม่เปรม คิดจะอยู่ยาวมากๆ เห็นท่าจะจริง

ไม่ใช่แค่อยู่ถึงกลางปี ๖๐ ปล่อยเลือกตั้ง หรือผันเป็นนักการเมืองคุณธรรมเล่นเกมกามปกครองต่ออีกสี่ซ้าห้าปีเท่านั้น

ฝันบรรเจิดกันไว้เป็น ๒๐ ปี ยาวกว่า the road to democracy ๑๒ ปี ของธานินทร์ กรัยวิเชียร เสียอีก

พี่ ป.ใหญ่ สั่งห้ามการเคลื่อนไหวของนางพะเยาว์ อัคฮาด ที่เสียลูกสาวอาสาสมัครพยาบาลจากกระสุนสไน้เปอร์กระชับพื้นที่วัดปทุมวนาราม เมื่อ ๑๙ พฤษภา ๕๓ บอกว่า




“ตอนนี้ไม่ต้องเคลื่อนไหว รอให้มีรัฐบาลที่ชัดเจน เพราะขณะนี้เราทำงานแก้ไขปัญหาต่างๆอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาจากอดีต เราทำทุกเรื่องให้เกิดความยั่งยืน เราแก้ปัญหาปัจจุบัน และเตรียมปฏิรูปในอนาคต ๒๐ ปีข้างหน้า”

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452067593)

ทางด้านน้อง ป.เล็กแต่ใหญ่กว่า พร่ำเรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาคให้นักข่าวฟัง เรื่องวางแผนเศรษฐกิจ

“มันวางมายาว ตนไม่ได้วางปีนี้หรือปีหน้า ตนวางจากสิ่งที่ไม่เคยวาง ตนวางมา ๒๐ ปี ไม่เคยได้ยินตนพูดหรอ” อ่า บ่องตง เพิ่งได้ยิน

ข้อสำคัญทั่นดันบอก “เพราะฉะนั้นอะไรที่มันแย่มาทั้งหมด ตนแก้ไม่ได้ภายในปีสองปี”

นี่ถ้าพูดอย่างคนเล่นสนุ๊กเกอร์ ต้องว่า ต้อนนี้เหลืองมันบังแดงอยู่ ต้อง ‘แก้’ สนุ๊กให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยไป ‘วาง’ สนุ๊กเขากลับอีกที ผลีผลามจะแทงแดงแต่ไปกระทบเหลืองก็เสียแต้มสิ

อย่างกรณีใช้ ม.๔๔ พร่ำเพรื่อ สั่งปลดกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ๗ คน เฉพาะส่วนที่เป็นภาคประชาชน (ล้วนแต่เครือข่ายประชาสังคมของ นพ.ประเวศ วะสี ทั้งนั้น) เหลือไว้แต่ส่วนที่เป็นภาครัฐ ๑๑ คน

(เพื่อให้แน่ใจ ทั้งเจ็ดคนเป็นเตรือข่ายกันแค่ไหน กรุณาดูที่http://thaipublica.org/2016/01/thaihealth-7-1-2559/ เรื่อง ‘สำรวจมูลนิธิที่ได้รับเงินจาก สสส. พบใช้เลขที่ตั้งสำนักงานเดียวกัน’)

ก็เลยทำให้คนที่เคยเป่านกหวีดเรียกทหารให้มายึดอำนาจ อย่าง นพ. สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ อดีตแกนนำแพทย์ชนบท ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่อย




“จุดยืนทางวิธีคิดของ คสช.คือ การจัดแถวประเทศไทย คิดแบบทหารต้องการให้ประชาชนซ้ายหันขวาหันตามที่สั่ง ใช้กระบวนการแช่แข็งการมีส่วนร่วม ครอบงำทิศทางให้อยู่ในกรอบ ตัดท่อน้ำเลี้ยงภาคประชาชน และ สสส.ก็คือท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ที่สุดในขณะนี้”

“และงบ สสส.ในอนาคตจากบอร์ดใหม่ เชื่อมั่นได้ว่า จะเปิดช่องให้ภาคราชการ กองทัพ เข้ามาของบก้อนใหญ่ๆทำโครงการได้สะดวกโยธินขึ้น”

(http://www.isranews.org/isranews-a…/…/43892-open_43892.html…)

อันนี้ตรงกับที่ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ วิเคราะห์ไว้ทางว้อยซ์ทีวี ‘ไล่ประชาชนพ้น สสส. เพื่อทุนเหล้า บุหรี่ ราชการ’ (http://news.voicetv.co.th/thailand/308517.html)

ศิโรตม์กล่าวตอนหนึ่งในรายการโดยอ้างข้อมูลจาก นสพ.บางกอกโพสต์ว่า ฝ่ายราชการมองสำนักข่าวอิศราเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ โดยที่อิศรานั้นได้รับทุนการดำเนินงานจากงบประมาณของ สสส. และการเสนอข่าวของอิศราทำให้รัฐบาลไม่พอใจหลายเรื่อง โดยเฉพาะรายงานเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์




จึงได้มีการสั่งปลดกรรมการฝ่ายภาคประชาชนเพื่อตั้งผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ที่เป็นคนของฝ่ายรัฐบาลโดยตรง รวมทั้งเป้นคนที่กลุ่มทุนเหล้าและบุหรี่พอใจ เพราะที่ผ่านมาผลงานของ สสส. กระทบต่อผลประโยชน์ของธุรกิจอบายมุขเหล้า บุหรี่อย่างมาก

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากข้อวิจารณ์ที่เคยมีมานานปีต่อกลุ่มหมอและเอ็นจีโอในภาคประชาชนของ นพ.ประเวศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าร่วมเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ แล้วได้ร่วมกันใช้งบประมาณก้อนโตจาก สสส.

(นี่จาก Thanapol Eawsakul
“นอกจากรองศาสตราจารย์ประภัทร นิยม ในฐานะอธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์ ที่ใช้โรงเรียนรุ่งอรุณเป็นฐานในการเรียกทหารมารัฐประหารแล้ว คุณธีรพล นิยม ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทแปลน ก็ร่วมเป่านกหวีดกับบรรดา สถาปนิกใหญ่ทั่วฟ้าเมืองไทยด้วย)

นอกนั้นยังมีข้อวิจารณ์ที่ critical พอควรจากการ ‘ตกสวรรค์’ ครั้งนี ดังความเห็นของ Yingcheep Atchanont เป็นหนึ่งที่น่าสนใจรับฟัง

“เห็นคนออกมาโวยวายว่าเป็นการทำลายภาคประชาสังคม แต่ส่วนตัวคิดว่า สสส. หมดความเป็น ‘ภาคประชาสังคม’ ไปนานแล้ว โอเคว่า สสส.ทำงานทางสังคมอย่างคล่องตัวกว่าหน่วยราชการ แต่ระบบการบริหารใช้เส้นสายและคิดแบบ Topdown ด้วยแนวคิดสายหมอๆ บริหารด้วยเงินรัฐ

เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติทำตัวเป็นเครื่องจักรทำงานตามกรอบ คนนอกและคนรับทุนตั้งคำถามไม่ได้ ยกประเด็นขึ้นโต้แย้งกับกรอบคิดของคนให้ทุนไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายนโยบายสสส.ก็ย่ำอยู่กับแนวคิดงดเหล้า-สอนคุณธรรม หลายปีที่ผ่านมาสสส.ล้มเหลวในการพัฒนาตัวเพื่อเอางบภาษีเหล้าไปทำงานที่สร้างผลกระทบใหม่ๆ ให้มากขึ้น

แน่นอนว่าการใช้มาตรา ๔๔ ปลดบอร์ดนั้นเป็นวิธีการที่ทุเรศจริงๆ แน่นอนว่าเป็นการทำลายโอกาสและช่องทางที่ภาคประชาสังคมกลุ่มหนึ่งเคยมองว่าเป็นความหวัง แน่นอนว่าสสส.ในอนาคตคงเปลี่ยนไปและอาจห่วยหนักกว่าเดิม การเดินหมากครั้งนี้ไม่รู้คสช.ทำเพื่ออะไร แต่ที่แน่ๆ คสช.กำลังสร้างศัตรูทางการเมืองเพิ่มและกำลังทำลายตัวเอง”

และนี่ฮุคสุดท้ายเข้าชายโครงแล้วงัดขึ้นปลายคาง

“สิบกว่าปีมาสสส.วางเครือข่ายผู้คนของตัวเองไว้เข้มแข็งในระดับ ‘เจ้าพ่อ’ ที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งในสังคมไทยเลยก็ว่าได้ สสส.และคสช.ต่างก็มีจุดคล้ายกันตรงที่เข้าควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จแบบไม่ถามคนอื่น วางฐานอำนาจตัวเองคับประเทศในนามการทำความดีเพื่อชาติบ้านเมือง”

จะดีชั่วอย่างไร ณ ขณะนี้เครือข่ายหมอประเวศก็ได้เจอกับ their own bitter medicines แบบเดียวกับที่เครือข่ายสมาคมชาวสวนยางภาคใต้กำลังเจอะจังๆ

“ไม่ไหวแล้วทำอย่างไร ต้องปรับปรุงปฏิรูปตัวเองด้วยหรือเปล่า ต้องปลูกพืชเสริมเพื่อช่วยเหลือตัวเองบ้างหรือเปล่า ที่เหลือรัฐบาลก็จะช่วย แต่ถ้าทั้งหมดยังแบกรับอยู่แบบนี้ ยางทั้งหมดที่ปลูก ๕ ล้านไร่ ได้ผลผลิตกี่ล้านตันเกินหรือไม่ มันก็เป็นแบบนี้ แล้วใครทำให้ปลูกเยอะ

ถ้าปลูกอย่างพอประมาณ โดยวันนี้หลายแห่งช่วยตัวเองได้ด้วยการปลูกสตอเบอรี่ในสวนยาง ปลูกกล้วยหอมทองแทรก จะปลูกอะไรก็ปลูกกันเพื่อให้เกิดรายได้ ให้อยู่กินทดแทนราคายางที่ตกไปก่อน”

ทั่นผู้ ‘นัมพ์’ (Urban dictionary : nump. A mix of 'nap' and 'dump'. The act of, while taking a dump, falling asleep on the toilet.) กล่าวไว้เมื่อ ๗ มกราคม ๒๕๕๘ (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php…)

ไม่ใช่อุทธาหรณ์สอนใจ ไม่ใช่ประชดทับถม แต่มันเป็นสัจจธรรมของการรัฐประหารยึดอำนาจ ยิ่งเป็นพวกเคยทำแล้วถูกสุนัขคาบไปแดรก ยิ่งต้องยอมไม่ได้ให้เสียของ...อีก

ดูอย่างความอื้อฉาวเรื่องทุจริตในโครงการราชภักดิ์ ที่สาวกันจนใกล้ๆ เกือบๆ จะถึงอดีต ผบ.ทบ. ผู้อยู่ในความไว้วางใจของสาม ป. ก็มีอันต้อง ‘ชักสั้นติดกึก’ ทันใด

เมื่อ “อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ออกประกาศเรื่องจดทะเบียนข้อบังคับมูลนิธิราชภักดิ์ว่า

มูลนิธินี้ชื่อว่า ‘มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร’”

(http://www.dailynews.co.th/politics/370928)

ที่ว่าคณะรัฐประหารชุดนี้หมายใจจะอยู่น้าน นาน ด้วยประการ (ะ) ฉะนั้น