เจอดีเข้าจนได้ รุ่งคุณ ก. เขียนพล่อย 'ความจริงเกี่ยวกับอดอร์ฟ ฮิตเลอร์'
(https://www.facebook.com/roong.ml)
คราวนี้ทูตอิสรเอลจัดเอง ตอบให้เป็นภาษาไทย ไม่ต้องแปลผิดแปลถูก
"แต่กลับไม่มีวิจารณญานที่จะแยกแยะได้ว่า อะไรคือเรื่องจริง อะไรคือโฆษณาชวนเชื่อ...
ต้องการนำความเคราะห์ร้ายของชนชาติหนึ่งมาบิดเบือน เพียงเพื่อต้องการจะผลักดันให้ตนเองได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น"
คราวก่อนจาบจ้วงมาดร้ายชาวเมืองผู้รับเคราะห์แผ่นดินไหว ว่า "ฟ้าดินจะลงโทษ...จงเตรียมหัวขาด"
ใช้ถ้อยคำดั่ง (The defender) ผู้ปกป้องปิตุพันธุ์บรรพบุรุษนั่นเชียว
อีกทั้งทำตนเป็นนักกิจกรรมสนับสนุน กปปส. เป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ ปูทางรัฐประหาร จากนั้นร่วมทวงคืนพลังงานจาก Rockefeller ตามอย่างรสนา
หลังๆ นี่สนใจเรื่องต่างด้าวขุดทองบ่อไทยขนออกไปรวยเมืองนอก
คงไปเจอข้อมูลวิกฤตการเงินเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งแรกเข้า เกิดromanticises อารมณ์ร่วมทางประวัติศาสตร์แบบ Anti-Semitic
เลยเอามาเขียนเป็นวรรคเป็นเวร ชนิดที่คนทั่วไปไม่ใช่ยิวยังรู้ว่าก้าวร้าวชนชาติเขา
"ที่นำความอับอายมาสู่ประเทศนี้เป็นอย่างยิ่ง"
ooo
"กานดา นาคน้อย" ซัด หม่อมโจ้ ฟอกขาวให้อาชญากรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชี้ปวศ.บันทึกภาพไว้หมด
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558ทุนไวท์เทนนิง
กานดา นาคน้อย
14 พฤษภาคม 2558
วันนี้ฉันเห็นสื่อออนไลน์นำเสนอบทความโดย “มล.รุ่งคุณ กิติยากร” เรื่อง “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ รัฐบุรุษที่ถูกทุนธนาคารยิว Zionist ทําลาย ใส่ความให้เป็นผู้ร้าย” [1] เขาสรุปในย่อหน้าสุดท้ายว่า
“ฝ่ายพันธมิตร anglo-american ที่รับใช่ทุนธนาคารยิว Zionist ผู้ร้ายตัวจริง ได้ใส่ร้ายบิดเบือนปิดบังความจริงต่างๆนานา รวมถึงเรื่อง Holocaust หรือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อันเป็นเรื่องหลอกลวง ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น ความจริงที่เกิดขึ้นคือ ได้มีการเซ็นสัญญา ระหว่างตระกูล Rothschilds และรัฐบาลอังกฤษ ว่าหาก Rothschilds สามารถนำสหรัฐ มาร่วมสงคราม รัฐบาลอังกฤษจะต้องยกดินแดน Palestine ซึงเป็นของชาว Palestine ที่ได้อาศัยอยู่มาแต่ไหนแต่ไร มาเป็นแผ่นดินของชาวยิว เรื่องราวเกี่ยวกับ Holocaust มิใช่อะไรนอกจาก propaganda หลอกลวง มีจุดเป้าหมายหลักคือการสร้างความเห็นอกเห็นใจในการ เข้าไป ไล่ ฆ่า ชาว Palestine นับล้านออกจากดินแดนของเขา เพื่อให้ชาวยิวได้มีรัฐของตนเอง พร้อมกับอีกจุดประสงค์ คือการทำลายลบล้าง ตำนานอัจฉริยภาพทางเศรษฐศาสตร์ ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นั่นเอง”
ฉันสงสัยว่าผู้เขียนเป็นใคร? ทำไมเขาบิดเบือนประวัติศาสตร์ราวกะว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นบุคคลในยุคที่มนุษย์บันทึกประวัติศาสตร์ด้วยพงศาวดารไม่มีกล้องถ่ายรูปไม่มีกล้องถ่ายภาพยนตร์? ฉันหาข้อมูลพบว่าเขาเป็นบุตรชายของอดีตนางงามจักรวาลคนแรกของไทย คุณแม่เขาเป็นนางงามจักรวาลในยุคสมัยที่เขาเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ อังกฤษและอิสราเอลรวมหัวกันบิดเบือนประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ร่วมกับ “ทุนธนาคารยิว”
บริษัทมิสยูนิเวิร์สยุคสงครามเย็นคือธุรกิจคนยิว
ธุรกิจที่สำคัญของคนยิวไม่ได้มีแค่ธนาคาร บริษัทมิสยูนิเวอร์สที่จัดประกวดนางงามจักรวาลยุคสงครามเย็นและให้มงกุฎนางงามจักรวาลแก่คุณแม่ของคุณรุ่งคุณก็เป็นธุรกิจคนยิว ชื่อบริษัทเคเซอร์โรท (Kayser-Roth) ซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอที่นิวยอร์ค บริษัทนี้ขายธุรกิจมิสยูนิเวอร์สให้โดนัลด์ทรัมพ์ (Donald Trump) ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งเพียงปีเดียว ช่วงสงครามเย็นบริษัทนี้มีประธานชื่อ “อับราฮัม ไฟน์เบิร์ก” (Abraham Feinberg) เขาเป็นนักธุรกิจเชื้อสายยิวที่สนับสนุนการสร้างชาติอิสราเอลอย่างเปิดเผย [2] บริษัทมิสยูนิเวอร์สใช้การประกวดนางงามจักรวาลประชาสัมพันธ์สินค้าสิ่งทอของบริษัทเคเซอร์โรท บริษัทที่ร่วมเป็นสปอนเซอร์การประกวดนางงามจักรวาลโดยเฉพาะบริษัทเครื่องสำอางค์ก็ร่วม “ส่งออกนิยามความงามมาตรฐานสากล” กล่าวได้ว่าการประกวดนางงามจักรวาลช่วยประชาสัมพันธ์ระบบทุนนิยมอเมริกันทางอ้อมไปทั่วโลก
ธุรกิจค้าเพชรของคนยิว
นอกจากธุรกิจมิสยูนิเวอร์สและธนาคารแล้วธุรกิจสำคัญของคนยิวตั้งแต่ก่อนสงครามเย็นเป็นศตวรรษคือธุรกิจค้าเพชร ทั้งตลาดเพชรที่ยุโรปรวมทั้งตลาดที่เบลเยี่ยมและทั้งตลาดค้าเพชรที่นิวยอร์คด้วย คนยิวมีส่วนร่วมก่อตั้งองค์กรตีตราคุณภาพเพชรที่เรียกว่าสถาบันอัญมณีอเมริกาหรือจีไอเอ (Gemological Institute of America-GIA) จีไอเอมีสาขาทั่วโลกตามตลาดเพชรที่สำคัญรวมทั้งที่อิสราเอล ฉันคิดว่าเพชรที่มงกุฎมิสยูนิเวอร์สของคุณแม่คุณรุ่งคุณคงมาจากพ่อค้าคนยิวเช่นกัน ปัจจุบันสินค้าส่งออกจากอิสราเอลมาไทยมากที่สุดก็คือเพชร แม้ว่าพ่อค้าเพชรชาวอินเดียเริ่มเป็นคู่แข่งที่สำคัญในตลาดเพชร องค์กรจีไอเอก็ยังมีอำนาจกำหนดมาตรฐานเพชร ดังนั้นคนยิวก็ยังมีอิทธิพลต่อราคาเพชรในตลาดโลก
คนไทยได้อะไรจากคนยิว?
มีคนไทยมากมายได้ประโยชน์จากธุรกิจคนยิว อาทิ พ่อค้าเพชรที่ทำธุรกิจกะพ่อค้าเพชรคนยิว กองประกวดนางสาวไทยที่ส่งหญิงไทยเข้าประกวดนางงามจักรวาล บริษัทเครื่องสำอางค์ที่ประชาสัมพันธ์สินค้าผ่านการประกวดนางสาวไทย สถานีโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดการประกวดนางงามจักรวาล ฯลฯ คุณแม่คุณรุ่งคุณก็ได้รับประโยชน์โดยตรงจากธุรกิจคนยิวที่คุณรุ่งคุณเกลียดชัง ยี่ห้อนางงามจักรวาลจากธุรกิจคนยิวก็อำนวยให้คุณแม่คุณรุ่งคุณทำธุรกิจเครื่องสำอางค์และสถาบันเสริมความงามได้ ถ้าคุณรุ่งคุณถือหุ้นสถาบันเสริมความงามร่วมกับคุณแม่หรือรับมรดกจากคุณแม่ ในอนาคตคุณรุ่งคุณก็ได้ประโยชน์โดยตรงจากคนยิวที่คุณรุ่งคุณเกลียดชังเช่นกัน
ในทางอ้อมถ้าคุณรุ่งคุณเชื่อมั่นว่านายทุนยิวร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลอังกฤษกุมอำนาจเศรษฐกิจโลก ระบบทุนนิยมไทยก็ได้ประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าว ได้รับการช่วยเหลือทางการทหารจากสหรัฐฯในยุคสงครามเย็น แน่นอนว่าสหรัฐฯไม่ได้ทำการกุศลช่วยไทยแบบให้เปล่าแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน คนไทยที่ร่วมมือกับสหรัฐฯก็ทำเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันเช่นกัน บริษัทข้ามชาติจากสหรัฐฯก็มีผู้ถือหุ้นชาวไทยเก็บเกี่ยวกำไรร่วมกับผู้ถือหุ้นที่สหรัฐฯ
วาทกรรมยิวครองโลก
วาทกรรมที่นำเสนอความเกลียดชังคนยิวมักอ้างอิงว่า “ยิวครองโลก” ด้วยการพาดพึงถึงบทบาทของธุรกิจต่างๆ ของคนยิว โดยเฉพาะธุรกิจธนาคารบ้างก็โยงไปถึงนักวิทยาศาสตร์หรือผู้คิดค้นเทคโนโลยีด้านต่างๆ รวมทั้งด้านอาวุธสงคราม บ้างก็โยงไปถึงองค์กรข้ามชาติว่าพยายามจัดระเบียบโลก ฯลฯ วาทกรรมดังกล่าวทำให้เกิดคำถามมากมาย อาทิ
ก) คนชาติพันธุ์อื่นโง่เง่าเต่าตุ่นคิดค้นอะไรไม่ได้จนต้องอาศัยยิวตั้งแต่ตื่นยันหลับหรือ?
ข) นาฬิกาโรเล็กซ์ ไวน์และแฟชันจากฝรั่งเศสหรืออิตาลีเป็นผลิตภัณฑ์คนยิวหรือ?
ค) ธุรกิจยารักษาโรคและเครื่องมือแพทย์อยู่ในกำมือของคนยิวหรือไม่?
ง) เทคโนโลยีก่อสร้างด้วยปูนซีเมนต์เป็นของคนยิวหรือไม่?
จ) ห้างสรรพสินค้าติดแอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ของคนยิวหรือไม่?
ฉ) รถไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีของคนยิวหรือไม่?
ช) เครื่องบินแอร์บัสและโบว์อิ้งเป็นของคนยิวหรือไม่?
ซ) โค้กกะเป๊ปซี่เป็นธุรกิจคนยิวหรือไม่?
ฌ) ญี่ปุ่นและจีนเป็นเชื้อสายยิวที่สมควรโดนเกลียดชังเช่นกันหรือไม่?
ญ) ถ้าญี่ปุ่นและจีนไม่ใช่เชื้อสายยิวแล้วจะอ้างว่า “ยิวครองโลก” ได้ไหม?
ฎ) ถ้า “ยิวครองโลก” ไปแล้ว การขายแรงงาน (ทั้งไร้ทักษะทั้งมีทักษะ) ให้นายทุนยิวแล้วแรงงานได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้นย่ำแย่กว่าการขายแรงงานให้คนชาติพันธุ์เดียวกันหรือ?
ฏ) การมีนายจ้างเป็นคนผิวสีคล้ายกันแต่กดค่าแรงต่ำว่าคนยิวเป็นเรื่องน่ายินดีหรือ?
ฐ) การปลูกผักเลี้ยงปลานั่งเกวียนกินยาหม้อขอหวยและขายแรงงานให้ทุนญี่ปุนและจีนดีกว่าการขายแรงงานให้ยิวหรือร่วมทุนกับยิวหรือ?
ฑ) วัฒนธรรมหมกมุ่นกับครีมไวท์เทนนิงได้รับการส่งเสริมโดยธุรกิจนางงามจักรวาลหรือไม่?
ฉันคิดว่าผู้อ่านหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก
สีดำvs สีขาว
การขายครีมไวท์เทนนิงที่ไม่ได้ผสมสารพิษเป็นทางเลือกที่ทำได้ในระบบทุนนิยม แต่การฟอกขาวอาชญากรด้วยการอ้างว่าศพหลายล้านศพไม่มีจริง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นการกระทำที่น่าละอาย ยุคสงครามเย็นไม่ใช่ยุคที่มนุษย์บันทึกประวัติศาสตร์ด้วยการจดลงในใบลานหรือเล่ากันปากต่อปาก มีการบันทึกภาพทั้งภาพนิ่งทั้งภาพเคลื่อนไหวมีอาชีพที่เรียกว่า “นักประวัติศาสตร์” ซึ่งแตกต่างจาก “นักประพันธ์” นิยายชาตินิยมโรแมนติกอย่าง “คู่กรรม” หรือ “ทวิภพ”
เดี๋ยวนี้ค่าเครื่องบินไม่แพงทำให้คนไทยนิยมไปเที่ยวต่างประเทศ ฉันหวังว่าทัวร์ไปดูค่ายกักกันที่ฆ่าคนเป็นล้านที่โปแลนด์และอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออกจะได้รับความนิยมในอนาคตอันใกล้ ฉันไม่ทราบว่าคุณรุ่งคุณไปทัวร์ค่ายกักกันที่โปแลนด์แล้วแต่ไม่เชื่อหรือว่ายังไม่เคยไป ถ้าโปแลนด์ฟังดูไกลเกินไป พิพิธภัณฑ์คุกตวลสแตงที่กัมพูชาก็พอจะสอนให้เข้าใจว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” คืออะไร
คนชาติพันธุ์เดียวกันก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ถ้าโดนยุยงให้เกลียดชังกันจนมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนเหมือนกัน
หมายเหตุ "กานดา นาคน้อย" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยคอนเนตทิคัต
[1] “หม่อมโจ้ – รุ่งคุณ” เขียนบทความป้อง “ฮิตเลอร์” ชี้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องหลอกลวง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1431535581
[2]ข่าวมรณกรรมและประวัติของ“อับราฮัมไฟน์เบิร์ก”:AbrahamFeinberg, 90, Philanthropist for Israel http://www.nytimes.com/1998/12/07/nyregion/abraham-feinberg-90-philanthropist-for-israel.html
สำหรับ ม.ล.รุ่งคุณ เป็นบุตรของ ม.ร.ว.เกียรติคุณ กิติยากร กับ อาภัสรา หงสกุล นางงามจักรวาลคนแรกของประเทศไทย โดย ม.ล.รุ่งคุณ หรือหม่อมโจ้เคยใช้ชีวิตบวชเรียนเป็นพระอยู่นานหลายปี ปัจจุบัน หม่อมโจ้หันไปใช้ชีวิตกับการทำไร่ ทั้งยังร่วมเคลื่อนไหวในประเด็นปฏิรูปพลังงาน
ooo
หมายเหตุ: บทความจาก ผศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
อ่านการบิดเบือนประวัติศาสตร์เยอรมันและยกย่องฮิตเลอร์ในฐานะรัฐบุรุษของรุ่งคุณ กิติยากร พร้อมๆ กับข่าวหมอเหรียญทองแห่งองค์กรเก็บขยะแผ่นดินอ้างการใช้กฎหมาย 112 เอาผิดคุณ Tananun Buranasiri เพื่อ ”ป้องกันมิให้ประชาชนไปรุมทำร้าย” แล้ว พูดได้อย่างเดียวว่า หากคนเหล่านี้ต้องการอยากจะเป็นนีโอนาซีแบบไทยๆ ก็ควรประกาศตนออกมาเลยให้ชัดเจน อย่าแอบอ้างว่ารักชาติ บิดเบือนประวัติศาสตร์ อ้างประชาชนอย่างไร้ความละอาย
แทคติกที่นีโอนาซีแบบไทยๆ กำลังใช้ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับฝ่ายขวาของตน ดูไปแล้ว ไม่ได้ต่างไปจากแทคติกของนาซีเยอรมันรุ่นก่อนแต่อย่างใด -- ฉวยใช้ภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง หาแพะมารับบาปที่เกิดขึ้น โหมสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ใช้ความเกลียดชังในการขยายเครือข่ายกลุ่มก้อนของมวลชน สร้างคะแนนนิยมให้กับผู้นำด้วยการขจัดแพะเหล่านั้นให้หมดไปจากสังคม
สิ่งที่ฮิตเลอร์และนาซีเยอรมันต้องการ ไม่ใช่เศรษฐกิจพึ่งตนเองแบบที่ใครบางคนฝันเฟื่อง แต่เป็นสังคมแบบเชื้อชาติเดียวบริสุทธิ์ ที่ชนชาติอารยันเข้ายึดครองทรัพยากรทุกอย่าง ขจัดพวกที่แตกต่างออกไปจนหมดประเทศ ไม่ใช่แค่ยิวเท่านั้นที่ถูกกำจัด หากแต่คอมมิวนิสต์ นักคิด นักเขียน นักสหภาพแรงงาน ที่ต่อต้านระบอบนาซี ต่างถูกสังหารจนหมดสิ้น
การอ้างเรื่องทุนสามานย์ของชาวยิว นับเป็นตรรกะเหยียดเชื้อชาติที่ฮิตเลอร์ใช้อย่างได้ผลในการรณรงค์กำจัดชาวยิว และถูกเอามาใช้ต่อเพื่อรณรงค์ต่อต้านทุนจีนอย่างซีพี ทุนนักการเมืองอย่างทักษิณอย่างหวังผลของฝ่ายขวาไทย การใช้ตรรกะเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติดูเหมือนจะสร้างอารมณ์ร่วมแห่งความเกลียดชังได้ประสบผลกว่าการใช้ข้อมูลและเหตุผล จึงกลายเป็นสิ่งที่นีโอนาซีไทยงัดเอามาใช้เป็นประจำ ในคอมเม้นท์หนึ่งที่ก่นด่า “พ่อค้าเจ๊กเลวๆ”ในไทยที่แสบไม่แพ้ “พวกยิว” ที่ทำให้ค่าครองชีพสูง รุ่งคุณให้ความเห็นที่เชื่อมโยงทางเชื้อชาติที่เป็นบ่อเกิดแห่งความเลวว่า “ยิวตาชั้นเดียวครับ”
ที่ฝ่ายขวาไทยจงใจไม่พูดถึงคือข้อเท็จจริงที่ว่า ยิวในเยอรมนีและในหลายประเทศ เป็นชนกลุ่มน้อยที่ต้องเผชิญกับลัทธิต่อต้านยิว (Anti-semitism) ที่เบียดขับพวกเขาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมมาตลอดประวัติศาสตร์ เพียงเพราะมีความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง ทำให้ชาวยิวต้องพยายามปรับตัวในหลายช่องทางเพื่อความอยู่รอด ในเยอรมนียุคที่ฮิตเลอร์ครองอำนาจ ยิวเป็นประชากรกลุ่มเล็กมีจำนวนเพียง 5 แสนคน แทบไม่ถึง 1%ของประชากรทั้งหมด แต่ก็เช่นเดียวกับชาวเยอรมัน ชาวยิวทำงานในแทบจะทุกสาขา ตั้งแต่แรงงาน ศิลปิน หมอ ทนายความ เจ้าของร้านค้า ไปจนถึงทุนในระดับต่างๆ ไม่ได้มีอาชีพแต่นายแบงก์เท่านั้น
ในการกวาดล้างชาวยิวให้หมดไปจากสังคม ฮิตเลอร์ใช้ทุกวิถีทางนับแต่การจำกัดสิทธิในการทำงาน กีดกันไม่ให้สมรส สังสรรค์ปะปนกับชาวเยอรมัน บอยคอตร้านและสินค้ายิว สร้างบัตรประจำตัวและใส่ชื่อให้ชัดว่าเป็นยิว (ชาย-Israel หญิง-Sara) เพื่อตำรวจตรวจจับได้ง่าย แย่งยึดเอาทรัพย์สินซึ่งหน้า ไปจนถึงกวาดจับเข้าทำงานในค่ายและสังหารหมู่ด้วยการรมแก๊สในค่ายกักกัน ชาวยิวหากไม่หนีตายออกนอกประเทศ ก็เสียชีวิตในค่ายกักกัน ในขณะที่ทรัพย์สมบัติถูกขายทอดตลาดหรือไม่ก็ยึดมาเป็นของรัฐ
การกวาดล้างชาวยิวจึงไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือเพื่อการอยู่ดีกินดีของประชาชนอย่างที่นาซีมักอ้าง หากแต่เป็นไปตามตรรกะของการเหยียดเชื้อชาติที่มีผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
ถ้าคิดว่าสิ่งที่ฮิตเลอร์ทำนั้นเป็นไปเพื่อทำลายระบอบการผูกขาดทางเศรษฐกิจของนายทุนยิวก็นับว่าฝ่ายขวาไทยตื้นเขินทางปัญญาในการพิจารณาแยกแยะระหว่างเรื่องจริงกับโฆษณาชวนเชื่อ อย่างที่เอกอัครราชฑูตอิสราเอลว่าไว้จริงๆ แต่ท่านฑูตอาจเข้าใจผิดก็เป็นได้เพราะเอาเข้าจริงพวกนีโอนาซีชนชั้นสูงในไทยอาจรู้อยู่แล้วเต็มอกและเห็นดีเห็นงามไปกับลัทธิกวาดล้างทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่กล้าหาญพอจะยอมรับเท่านั้นเองสิ่งที่ออกมาจึงกลายเป็นปาหี่ไร้รสนิยมว่าด้วย “มายาคติของ Holocaust” ที่พูดไปถึงไหนก็อายไปถึงนั่น
และหากคนเหล่านั้นเห็นด้วยการกวาดล้างชาวยิว (โดยไม่เสียเลือดเนื้อ--ฟังดูคล้ายๆวาทกรรมกระชับพื้นที่ยังไงยังงั้น) พวกเขาย่อมเห็นด้วยกับการกวาดล้างคนพิการทางร่างกายและทางสมอง ยิบซี คอมมิวนิสต์ คนเร่ร่อน ฯลฯของฮิตเลอร์ด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ฮิตเลอร์เห็นว่าไร้ประโยชน์ต่อสังคม แถมยังทำลายสายพันธุ์อันบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ จึงจับไปรมควันสังหารเสียหมด ฐานปรานีหน่อยก็จับมาทำหมันเพื่อไม่ให้สืบพันธุ์ได้ ในยุคของฮิตเลอร์ หน่วยงานจัดตั้งภาคพลเมืองที่ทำหน้าที่เป็นกองกำลังกึ่งทหาร ได้แก่ Sturmabteilung (SA --Storm Detachment) และ Schutzstaffel (SS) หรือการ์ดตำรวจ ทำหน้าที่เป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญที่ตรวจตรา จับกุม ใช้กำลังเข้าจู่โจมทำลายพวกยิวและพวกที่เป็นศัตรู และ “ขยะ” ของพวกเขา ดูเหมือนว่าบ้านเราก็มีทั้ง SA และSS ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขันไม่แพ้กัน ในยุคที่การรมแก๊สเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป คุกกลายเป็นสิ่งที่พวก SA และ SS ไทยใช้ในการจัดการกับพวกที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ขยะแผ่นดิน”
ชาวต่างชาติตะวันตกมักถามอยู่เสมออย่างไม่เข้าใจว่า เหตุใดชนชั้นกลางในไทยจึงหมกมุ่นกับเรื่องนาซีและฮิตเลอร์กันนัก ราวกับว่าการศึกษาไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจและละเอียดอ่อนกับประวัติศาสตร์โลกเลยแม้แต่น้อย การพยายามหาคำตอบจากระดับการศึกษา ไม่น่าจะช่วยทำให้สามารถเข้าใจจิตสำนึกและการรับรู้ทางการเมืองของคนเหล่านั้นได้ และน่าจะเป็นการเสียเวลาเสียเปล่าๆ ฝ่ายขวาจำนวนไม่น้อยในโลกเลือกที่จะเป็นอนุรักษ์นิยมและขวาจัด เพราะสังกัดดังกล่าวรักษาประโยชน์ทางชนชั้นของพวกเขาบนอุดมการณ์ความเชื่อที่ว่ามนุษย์นั้นไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับฮิตเลอร์และพวกนาซีเยอรมัน ฝ่ายขวาไทยเลือกที่จะเป็นนีโอนาซีและสร้างประวัติศาสตร์เยอรมันแบบไทยๆก็เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อการค้ำจุนสถานะทางชนชั้นที่พวกเขาเชื่อว่าเหนือและสูงกว่าชนชั้นอื่นเอาไว้อย่างอุ่นใจนั่นเอง