วันพฤหัสบดี, เมษายน 09, 2558

งานรำลึก "เหตุการณ์ 10 เมษาฯ” ล่ม คำถามสำคัญคือ เหตุใด “นายทหารใหญ่” เหล่านั้นจึง หวั่น-เกรง กับ การรำลึกและระลึกถึง เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ขนาดนั้น ??




งานทำบุญ “10 เมษา” ล่ม เหตุทหารห้ามจัด

ที่มา ประชาไท
Thu, 2015-04-09 19:04

ทหารสั่งห้ามจัดงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม 10 เมษา 53 แม้จัดที่บ้านก็ไม่ได้ อ้างกลัวเป็นการสร้างกระแสปลุกระดม

9 เม.ย.2558 จากกรณีการจัดงานทำบุญรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมทางการเมือง ในวันที่ 10 เมษายนนี้ หลังจาก แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ยื่นหนังสือขออนุญาต คสช. เพื่อจัดงานรำลึกดังกล่าว โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ออกมากล่าวว่า อยากให้ไปรำลึกส่วนตัว เพราะทหารก็เสียชีวิตเหมือนกัน เราก็ไม่ได้จัดงานรำลึก หากจะทำบุญก็ทำ ไม่มีใครห้าม แต่ขอให้ไปทำที่บ้านของตัวเอง อย่ามารวมกลุ่มกัน จนกลายเป็นประเด็น ซึ่งไม่ดี เรื่องทำบุญ คสช.ไม่ห้าม แต่ให้ไปทำที่บ้านอย่ามารวมกลุ่มกันทำเป็นส่วนรวมไม่ได้ ตอนนี้อะไรที่เป็นประเด็น ขอร้องอย่าไปทำเลย

จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการ โดยย้ายไปทำบุญที่วัดเกิดการอุดม ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในวัน 10 เม.ย. นี้ เวลา 10.00 น.


ล่าสุด อุบลวดี จันทร ตัวแทนญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารห้ามไม่ให้จัดการทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัดพลับพลาไชย ก็ได้มีการย้ายที่มาจัดที่วัดเกิดการอุดมแทน โดยทางกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตเองก็ยังไม่แน่ชัดว่าแกนนำจะมาหรือไม่ แต่ยืนยันว่ากิจกรรมครั้งนี้เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตเท่านั้น ไม่ได้มีการจัดการชุมนุมทางการเมืองแต่อย่างใด และเป็นกิจกรรมที่จัดสืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งถือเป็นการพบปะกันระหว่างญาติผู้เสียชีวิต มีการถามทุกข์สุขกันปกติ แต่ล่าสุดได้มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง นำกำลังเข้ามาเพื่อขอให้ยุติการทำบุญที่วัดเกิดการอุดม พร้อมกับได้พูดคุยกับตัวแทนญาติผู้เสียชีวิต โดยให้เหหตุผลในการสั่งห้ามทำบุญว่า ไม่ต้องการให้เกิดการรวมตัวทางการเมือง ทั้งนี้ด้านตัวแทนญาติผู้เสียชีวิตเองก็ได้ต่อรองว่า จะย้ายไปจัดงานที่บ้านแทน แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ยินยอม

“เงินที่เรารวมกันมาสำหรับซื้อของเตรียมของจะทำบุญพระ บางส่วนก็มัดจำเขาไปแล้ว ญาติบางคนก็เดินทางมาจากต่างจังหวัดแล้ว เราก็ถามนายอำเภอว่าจะให้พวกเราทำอย่างไร เขาก็ถามว่าเราจ่ายเงินไปแล้วเท่าไหร่ แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือทำไมแค่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตเราไม่สามารถทำได้ ที่เรามาจัดร่วมกันเพราะจะได้ช่วยเหลือกันบางคนมีเงินมาก บางคนมีเงินน้อยก็จะได้เฉลี่ยๆ กันไป ไม่ได้จะมาเดินขบวน ปลุกระดมอย่างที่เขาเข้าใจ” อุบลวดีกล่าว
ooo





ที่มา ที่นี่และที่นั่นวันนี้
April 9, 2015

ผ่านมา 5 ปีแล้วสำหรับ เหตุการณ์การสลายการชุมนุมของประชาชน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 บริเวณถนนราชดำเนินและสี่แยกคอกวัว ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 27 ราย บาดเจ็บมากกว่า 863 คน

ซึ่งในทุกๆปี ประชาชนจะร่วมกันจัดงาน “รำลึก” ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อแสดงความเคารพต่อ “ผู้บริสุทธิ์” ที่ต้องสละชีวิตไปในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ทว่าในปี 2558 ซึ่ง “กองทัพ” มีอำนาจภายหลังก่อการรัฐประหาร โค่นล้มประชาธิปไตยไปเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 กลับไม่อนุญาตให้มีการ “จัดงานรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษาฯ” ขึ้น แม้ว่าการจัดงานดังกล่าวจะเป็นเพียงการ “ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับก็ตาม”

คำถามสำคัญคือ เหตุใด “นายทหารใหญ่” เหล่านั้นจึง หวั่น-เกรง กับ การรำลึกและระลึกถึง เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ขนาดนั้น ??

เพราะ คำตอบก็คือ “บรรดาผู้มีอำนาจ” ในปัจจุบัน ล้วนแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ใช่หรือไม่?

ย้อนกลับไปในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชาชนด้วยความรุนแรง ดังกล่าวถูกบันทึกไว้จากสื่อสารมวลชนจำนวนมากว่า สถานการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยขุนทหาร รายล้อม ได้ร่วมกันในนาม “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)” ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทหาร ปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” จากกลุ่มประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยุบสภา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่าย ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งให้บุก-ลุย-สลายการชุมนุม

โดยบ่ายวันที่ 10 เมษายน มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจากกระสุนจริง 2 ราย หนึ่งในนั้นเสียชีวิตในเวลาต่อมาคือ “นายเกรียงไกร คำน้อย” โดนยิงที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งต่อมาศาลได้มีคำสั่งว่าเป็นการเสียชีวิตเนื่องจากกระสุนที่มาจากทางฝั่งทหาร เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2557

ซึ่ง “ผล” จาก “คำสั่งของศาล” ที่ยืนยันว่า เสียชีวิตเรื่องจากกระสุนที่มาจากฝั่งทหาร นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ “สังคมโลก” จำนวนมาก “ตั้งคำถาม” กับ คำสั่งสลายการชุมนุมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะ “การสั่งกาารให้ทหารใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม” และ “การอนุญาตให้ทหารใช้อาวุธเข้าไปปฏิบัติการสลายการชุมนุม” ซึ่ง “ขัดกับขั้นตอนกฎการใช้กำลังในการสลายการชุมนุมสากล” อย่างร้ายแรง

และผลของความผิดพลาดดังกล่าว ก็คือทำให้ “ผู้บริสุทธิ์” ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากดังกล่าว

โดยเอกสาร “กระดาษเขียนข่าว” สำหรับเจ้าหน้าที่ศูนย์การสื่อสาร แบบ สส.6 ลง ด่วนภายใน 10 เม.ย.53 (10 เมษายน 2553) พร้อมตราประทับ “ลับมาก”
ที่สั่งการไปยังหน่วยปฏิบัติต่างๆ โดย ระบุในข้อ 2.ตามที่ นรม.สั่งการให้ ศอฉ.ทำการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่และพื้นที่ผิวการจราจร บริเวณสะพานผ่านฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่ 10 เม.ย.53 เวลา 13.30 เป็นต้นไป

โดยกำหนดในข้อ 3.2 การใช้อาวุธ ระบุชัดเจนว่า 3.2.1 อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธในการป้องกันตนเองและรักษาความปลอดภัยให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ซึ่งต่อมา “คำสั่งให้ทหารเข้าสลายการชุมนุม” และการ “ไฟเขียว” ให้ “ใช้อาวุธ” ในการบุกเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน ก็กลายเป็นสิ่งที่ ฝ่ายต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างหนักว่า “กระทำเกินกว่าเหตุ” จนกลายเป็น ชนวนของความรุนแรงและการสูญเสียที่ตามมาทั้งหมด

โดยทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ศพ บาดเจ็บรวมกว่า 2,000 คนในเวลาต่อมา !



ooo

รำลึก “เหยื่อ 10 เมษาฯทมิฬ” ค้น ใครฆ่า “ฮิโรยูกิ”? .. เปิดปากคำ “พยาน” ชี้ชัด “กระสุนสังหาร” ยิงจากฝั่ง “ทหาร”!



ในเหตุการณ์การออกคำสั่งใช้กำลังทหารบุกเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนด้วยความรุนแรงบริเวณถนนราชดำเนินและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 27 รายและเสียชีวิตรวมกว่า 863 คนนั้นกรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าสลดและสะเทือนใจไปทั้งประเทศไทยและทั่วทั้งโลก

โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เคลื่อนไหวกดดันให้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตว่า “เป็นฝีมือของใคร” ?

จนกระทั่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ผู้ออกคำสั่งให้มีการสลายการชุมนุม โดยใช้กำลังทหารและใช้อาวุธ นั้นต้องเร่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิต

แต่กระนั้นตลอดอายุของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ปรากฏผลแห่งความคืบหน้า ที่จะยุติได้ว่า “กระสุนสังหาร” ที่คร่าชีวิตนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ นั้นมีต้นตอมาจากไหน ?

แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2557 เว็บไซด์มติชนออนไลน์ ได้เผยแพร่ข่าว “ศาลไต่สวนคดีฮิโรยูกิ พยานชี้ชัดยิงจากฝั่งจนท. นัดพระสุเทพให้ปากคำนัดหน้า” ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 พ.ย. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการคดีพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ผู้ตายที่ 1 นายวสันต์ ภู่ทอง ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ตายที่ 2 และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ตายที่ 3 ทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553

โดย พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผู้บังคับการกองโยธาธิการ ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบบริหารงานสืบสวนคดีดังกล่าว ขึ้นเบิกความต่อจากนัดที่แล้วว่า จากการสอบสวนนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง ผู้ชุมนุมนปช.ที่มอบคลิปวิดีโอมีภาพนายฮิโรยูกิทำข่าวอยู่บริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ขณะนั้นยังไม่มีผู้ชุมนุมเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ โดยนายฮิโรยูกิยังเข้าไปบันทึกภาพเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันปฐมพยาบาลเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถอยร่นเข้าไปบริเวณสะพานวันชาติ

พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นระดับผู้บังคับบัญชา ได้แก่พล.ต.วลิต โรจนภักดี (ยศขณะนั้น) พ.อ.ธรรมนูญ วิถี และพ.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ทั้งหมดยืนยันว่า ทำการขอคืนพื้นที่ตามขั้นตอนหลักสากลจากเบาไปหาหนัก โดยไม่ได้ใช้อาวุธและกระสุนปืนจริง นอกจากนี้ยังเรียกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาสอบสวน โดยทั้ง 2 คนมอบแผ่นซีดีและเอกสารภาพถ่ายบ่งบอกว่าน่าจะมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม และทำให้ผู้ตายทั้ง 3 คนถึงแก่ความตาย ส่วนพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษก ศอฉ. มอบหลักฐานเป็นซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 และการจับกุมชายชุดดำ

พล.ต.วัลลภ เบิกความอีกว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่าย พบว่าซีดีมีการตัดต่อสลับไปมาและไม่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ที่แท้จริง จึงยากต่อการรับฟังข้อมูลจากวิดีทัศน์ทั้งหมด ยกเว้นแผ่นซีดีที่ได้จากกล้องของนายฮิโรยูกิที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นส่งมาให้พนักงานสอบสวน ซึ่งเรียงเวลาตามลำดับเหตุการณ์ที่นายฮิโรยูกิเข้าไปทำข่าว โดยมีความยาวประมาณ 5.57 นาที เริ่มตั้งแต่เวลา 15.20 น. เป็นภาพผู้ชุมนุมรวมตัวกัน แต่ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน ต่อมาเวลา 19.29 น. เป็นภาพเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณแยกวิสุทธิกษัตริย์ จากนั้นเวลา 19.48 น. เป็นภาพผู้ชุมนุมกำลังแกะตัวหนอนบนทางเท้าออก

พยานเบิกความต่อว่า กระทั่งเวลา 20.44 น. เป็นภาพบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา มีรถสายพานลำเลียงพลจอดอยู่ โดยพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นั่งอยู่บนรถดังกล่าวด้วย เวลา 20.45 น. เป็นภาพเจ้าหน้าที่ยิงปืนขึ้นฟ้า แต่ขณะนั้นยังไม่มีภาพของผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ จากนั้นเวลา 20.46 น. เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาขว้างใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ควันลอยกลับไปหาเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ถอยร่นเข้าไป ซึ่งตรงกับที่นายไพบูลย์ให้การไว้ ต่อมาเวลา 20.48 น. มีเสียงระเบิดครั้งแรก ถัดมาอีก 5 วินาที มีเสียงระเบิดครั้งที่สอง จากนั้นเป็นภาพเจ้าหน้าที่เข้าไปลำเลียงเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บออกมาปฐมพยาบาล ก่อนที่เหตุการณ์จะสงบลงชั่วคราว

พยานเบิกความอีกว่า กระทั่งเวลา 20.51 น. มีเสียงปืนดังขึ้นนัดแรก เวลา 20.52 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามายืนดูเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ก่อนมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นนัดที่ 2 มีภาพเจ้าหน้าที่ทหารนอนบาดเจ็บหน้า ร.ร.กวดวิชาพัทจรีย์ โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งถือไม้เดินตามเข้าไป เวลา 20.53 น. มีเสียงปืนดังขึ้นเป็นนัดที่ 3 และดังต่อเนื่องจนเป็นเสียงรัว กระทั่งเวลา 20.54 น. เป็นภาพสุดท้ายที่ผู้ตายบันทึกไว้ คือภาพกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ฝั่งตรงข้ามร้านอาภรณ์พาณิชย์ กำลังขว้างก้อนหินไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่

พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความว่า จากภาพและคลิปวิดีโอ รวมถึงการสอบสวนพยานใกล้ชิดเหตุการณ์ทั้งหมด 8 คน สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า นายฮิโรยูกิเสียชีวิตบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถ.ดินสอ เวลาประมาณ 21.00 น. เนื่องจากถูกกระสุนปืนแรงสูงบริเวณหน้าอก ส่วนนายวสันต์และนายทศชัยก็เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนแรงสูงในบริเวณเดียวกัน เนื่องจากตรวจสอบพบดีเอ็นเอในคราบโลหิตบริเวณที่เกิดเหตุตรงกับนายวสันต์และนายทศชัย

พล.ต.ต.วัลลภเบิกความต่อว่าต่อมาคณะพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาว่าอาวุธปืนและลูกกระสุนปืนที่ยิงถูกผู้ตายทั้ง 3 คน มาจากทิศทางใด จากรายงานของแผนกตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนกตรวจร่องรอยวิถีกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรายงานการตรวจร่องรอยวิถีกระสุนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) โดยทั้ง 2 หน่วยงานยืนยันตรงกันว่า พบร่องรอยวิถีกระสุนปืนในบริเวณที่เกิดเหตุ 114 รอย ในจำนวนนี้สามารถบอกทิศทางได้ 108 รอย โดยทั้ง 2 หน่วยงาน ยืนยันสอดคล้องกันว่า วิถีกระสุนปืนมาตามแนวถ.ดินสอจากทางด้านสะพานวันชาติ มุ่งหน้าไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพียงด้านเดียว

พยานเบิกความอีกว่า เมื่อประกอบกับคำให้การของพยานบุคคลทั้ง 8 คน ซึ่งให้การว่า ได้ยินเสียงปืนและเห็นแสงไฟมาจากด้านสะพานวันชาติ ในจำนวนนี้มีพยาน 3 ปากที่ตรวจสอบแล้วว่าอยู่ใกล้ชิดกับนายฮิโรยูกิมากที่สุดตามคำให้การจริง จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนแผ่นซีดีที่นายอภิสิทธิ์มอบให้พนักงานสอบสวน คลิปช่วงแรกเป็นเพียงแผนผังจำลองพื้นที่ประกอบคำบรรยาย โดยไม่มีภาพเหตุการณ์จริง ซึ่งเหตุการณ์ไม่ตรงกับคลิปวิดีโอที่ผู้ตายบันทึกไว้ ในคลิปยังนำภาพเหตุการณ์ระเบิดมาแสดง พร้อมระบุว่ามีชายชุดดำและเกิดเหตุระเบิด 3 ครั้ง ขณะเดียวกันก็สอดแทรกภาพนิ่งของชายชุดดำถืออาวุธปืนเข้าไปในคลิป พร้อมคำบรรยายว่า มีการยิงอาวุธปืนเอ็ม 16 อาก้า และระเบิดเอ็ม 79 แต่ในคลิปวิดีโอของนายฮิโรยูกิเกิดเหตุระเบิดเพียง 2 ครั้ง และไม่มีภาพของชายชุดดำปรากฏอยู่

พยานเบิกความต่อว่า นอกจากนี้ในคลิปดังกล่าวยังมีภาพชายคลุมหัวให้สัมภาษณ์นักข่าวว่ามีระเบิดลง 2 ลูก แต่ไม่ทราบชื่อและไม่ทราบว่าให้สัมภาษณ์บริเวณ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถติดตามตัวชายคนดังกล่าวมาสอบปากคำได้ สำหรับคลิปดังกล่าวที่นายอภิสิทธิ์นำมามอบให้ก็ไม่ใช่ภาพบริเวณ ถ.ดินสอ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุการณ์บริเวณใด โดยนายอภิสิทธิ์ให้การว่า มีผู้นำแผ่นซีดีมาให้และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ เมื่อไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณ ถ.ดินสอ จึงไม่สามารถนำแผ่นซีดีดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาได้ เนื่องจากไม่มีน้ำหนักและไม่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ และจากรายงานการชันสูตรบาดแผลของ พ.อ.ร่มเกล้า และเจ้าหน้าที่ทหาร รวม 5 คน ระบุว่า เสียชีวิตจากวัตถุระเบิด โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารคนใดเสียชีวิตจากการถูกอาวุธปืนยิงบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา

พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า จากคลิปและพยานบุคคลที่สอบสวนมาทั้งหมด ไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะชี้ชัดว่า มีการยิงกระสุนปืนจากฝั่งกลุ่มผู้ชุมนุม นอกจากนี้ ที่เกิดเหตุบริเวณ ถ.ดินสอมีความกว้างเพียง 9 เมตร ประกอบกับแพทย์ลงความเห็นว่า กระสุนปืนที่ถูกผู้ตายที่ 1-3 เป็นกระสุนปืนแรงสูง โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนวิธีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและดีเอสไอยืนยันว่า ทิศทางและร่องรอยกระสุนปืนมาจากด้านสะพานวันชาติเพียงด้านเดียว ประกอบกับเจ้าหน้าที่ทหารยอมรับว่า ได้เข้าครอบครองพื้นที่ปฏิบัติการทางยุทธวิธีตั้งแต่บริเวณสะพานวันชาติจนถึงบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะพนักงานสอบสวนจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกผู้ตายทั้ง 3 มาจากด้านสะพานวันชาติ ซึ่งเป็นแนวที่ตั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครเป็นผู้ยิง

พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความอีกว่า คณะพนักงานสอบสวนจึงลงความเห็นว่า นายฮิโรยูกิเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลาประมาณ 21.00 น. บริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถ.ดินสอ ส่วนนายวสันต์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ในเวลาก่อนหน้าที่นายฮิโรยูกิถูกยิงเล็กน้อย และนายทศชัยเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ในเวลาหลังนายฮิโรยูกิถูกยิง โดยทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนปืนจากฝั่งสะพานวันชาติ ซึ่งเป็นแนวที่ตั้งของเจ้าหน้าที่

สอดคล้องกับที่ “หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7685″ซึ่งพาดหัวข่าวเอาไว้ว่า “สรุปสำนวน-จนท.ฆ่า ‘ฮิโรยูกิ’ คลิป-120 รูกระสุนมัด พรุนกำแพง-ใกล้จุดตาย” โดยได้เปิดเผย “รายงานข่าวจากทีมพนักงานสอบสวน” ซึ่งทำสำนวนนายฮิโรยูกิ เปิดเผยเอาไว้กับ “ข่าวสด” ว่าจากการสอบสวน สอบปากคำพยาน และตรวจหลักฐานจากที่เกิดเหตุ พบข้อมูลว่านายฮิโรยูกิถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงอย่างแน่นอนในวันที่ 10 เม.ย. 2553 หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม.โดยพยานหลายปากที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันตรงกันว่ากระสุนปืนยิงมาจากแนวทหารอีกทั้งพยานที่เข้าไปช่วยนายฮิโรยูกิยังถูกยิงเช่นกันขณะที่พยานบางคนมองเห็นนาทีและจุดที่นายฮิโรยูกิล้มลงอย่างชัดเจน

นอกจากนั้นพนักงานสอบสวนยังได้รับข้อมูลใหม่จากประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเป็นคลิปวิดีโอบันทึกภาพก่อนและหลังนายฮิโรยูกิถูกยิงจากการตรวจสอบกำแพงบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่นายฮิโรยูกิโดนยิงยังพบว่ามีรูกระสุนจากปืนของเจ้าหน้าที่รัฐตามกำแพงมากกว่า 120 รูและตำรวจสามารถเก็บหลักฐานหัวกระสุนเอาไว้ได้ด้วยซึ่งเป็นส่วนประกอบช่วยชี้ว่ามีการยิงมาจากแนวทหารเข้าใส่จุดที่นายฮิโรยูกิยืนทำข่าวอยู่จริง

ขอบคุณเนื้อหา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1417178189