วันศุกร์, มีนาคม 06, 2558

ว่าด้วยขบวนนักศึกษาต้านเผด็จการ หลัง รปห. ๒๒ พ.ค. ๕๗


ภาพก่ร์ตูนเสียดสีสังคมไทยจากสำนักข่าวออนไลน์ต่างประเทศ

สรุปบทเรียน 22 พ.ค. 2557 (4): ขบวนนิสิตนักศึกษา


โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน 'โลกวันนี้วันสุข' ฉบับวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558



รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญขั้นประวัติศาสตร์ของขบวนประชาธิปไตย รัฐประหารได้ทำให้ตระกูลชินวัตร พรรคเพื่อไทยอ่อนแอลงอย่างมากและสูญเสียสถานะการต่อรองไปจนหมด และทำให้ขบวนคนเสื้อแดงซึ่งเกิดการแตกแยกอย่างถึงรากมาตั้งแต่กรณีนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก เครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงของพรรคเพื่อไทยเกิดการสลายตัวอย่างช้าๆ ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ปฏิเสธนิรโทษกรรมเหมาเข่งก็แยกทางเดินไปโดยอิสระ

แต่รัฐประหารครั้งนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนิสิตนักศึกษาปัญญาชนเช่นกัน เพราะนอกจากจะทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองอย่างสำคัญในหมู่นิสิตนักศึกษาแล้ว ยังเป็นการโยนภาระหน้าที่การเป็นกองทัพหน้าในการต่อต้านเผด็จการ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ลงมาบนหน้าตักของพวกเขาโดยตรงอีกด้วย
ป้ายโผล่ที่สำนักบัณฑิตอาสา มธ. ศูนย์รังสิต

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียตะวันออกไม่กี่ประเทศที่มี ตำนาน การต่อสู้ทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน  เช่น ประเทศจีนนับจากการเคลื่อนไหวใหญ่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1919 ถึงการประท้วงของนักศึกษาที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ปี 2532 กระทั่งล่าสุดคือการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาฮ่องกงในปลายปี 2557 นักศึกษาเกาหลีใต้ที่ยืนหยัดต่อต้านเผด็จการทหารอย่างต่อเนื่องยาวนานจนได้ประชาธิปไตยในปี 2530 นักศึกษาไต้หวันชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติทางตรงอย่างเสรีจนได้ประชาธิปไตยในปี 2533 รวมทั้งนักศึกษาประชาชนอินโดนีเซียเดินขบวนขับไล่เผด็จการซูฮาร์โต้เป็นผลสำเร็จในปี 2541

ขณะที่ประเทศไทยก็มีตำนานการต่อสู้ของนักศึกษาปัญญาชน ตั้งแต่การเดินขบวน ทวงมหาวิทยาลัยคืน โดยนักศึกษาธรรมศาสตร์จากการยึดครองของทหารในปี 2494 จนถึงขบวนการนิสิตนักศึกษาช่วงปี 2516-2519

บทบาทของนิสิตนักศึกษาในช่วงปี 2516-19 ที่พวกเขาหันไปสู่ประเด็นปัญหาความเป็นธรรมทางสังคม สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกรรมกร ชาวนา สลัม ไปสู่โรงงานและชนบท บางส่วนได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิสังคมนิยม จนพวกจารีตนิยมต้องกระทำการสังหารหมู่นักศึกษาในวันที่ 6 ตุลาคม 2519  

เหล่านี้ทำให้พวกเขาสรุปบทเรียนว่า มหาวิทยาลัยอาจเป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดอิสระที่ท้าทายและเป็นอันตรายต่อการปกครองแบบอำนาจนิยมของพวกเขาได้

ด้วยเหตุนี้ ตลอดยุค 2520 จนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยทุกแห่งจึงถูกกลุ่มจารีตนิยมแทรกแซงครอบงำอย่างเป็นระบบ ผ่านอำนาจราชการและเครือข่ายผู้บริหารที่รับใช้เผด็จการมาทุกยุคทุกสมัย ทำให้พวกจารีตนิยมประสบความสำเร็จอย่างเบ็ดเสร็จในการครอบงำมึนชานักศึกษา ให้หมกมุ่นอยู่แต่เสพสุขนิยม ละเลยปัญหาการเมืองและสังคมทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยโดยสิ้นเชิงยาวนานถึงสี่สิบปี

พวกจารีตนิยมยังประสบความสำเร็จในการปลูกฝังลัทธิชนชั้นนำในหมู่นิสิตนักศึกษา ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยทัศนะดูถูกประชาชน ยกย่องบูชาชนชั้นสูงจารีตนิยม เกลียดชังระบบการเมืองแบบเลือกตั้ง พรรคการเมืองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังจะเห็นได้ว่า แม้รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะมีผลไปกระตุ้นให้นักศึกษาปัญญาชนจำนวนหนึ่งเกิดการตื่นตัวทางการเมืองในทางประชาธิปไตย แต่สำหรับนิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่แล้ว พวกเขายังคงมึนชาต่อเผด็จการ และอีกจำนวนหนึ่งก็สนับสนุนรัฐประหารอีกด้วย

เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลสะเทือนต่อนักศึกษาปัญญาชนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งก็คือ การชุมนุมใหญ่ของขบวนคนเสื้อแดงในช่วงมี.ค.-พ.ค. 2553 ซึ่งจบลงด้วยการเข่นฆ่าประชาชนอย่างนองเลือด เหล่านี้ได้กระตุ้นให้นักศึกษาปัญญาชนสงสัย ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบต่อวิกฤตการเมืองที่เป็นอยู่ต่อหน้าพวกเขา ได้เรียนรู้และเก็บรับบทเรียนอันนองเลือดจากการต่อสู้เสียสละของขบวนคนเสื้อแดง จนพวกเขาเกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างช้าๆ

รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เป็นการปลุกให้นิสิตนักศึกษาปัญญาชนกลุ่มใหญ่ สดุ้งตื่นขึ้นจากภาวะหลับใหล พวกเขาได้เผชิญกับอำนาจเผด็จการที่เปล่าเปลือย ไร้ยางอาย กดขี่ ละเมิดสิทธิเสรีภาพอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก การตื่นตัวของนิสิตนักศึกษาแต่ละแห่งมีจำนวนคนเพียงเล็กน้อย แต่มีกระจัดกระจายอยู่ในวิทยาเขตทั่วประเทศ

และนับแต่รัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา พวกเขาคือกลุ่มพลังทางสังคมเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การเคลื่อนไหวของพวกเขาที่มีจำนวนน้อยและการกดขี่ของเผด็จการกำลังทำให้เกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยแพร่กระจายไปในหมู่นิสิตนักศึกษาวงกว้างอย่างรวดเร็ว

ขบวนนิสิตนักศึกษารุ่นใหม่นี้มีลักษณะเด่นสำคัญหลายประการที่เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน

ประการแรก หัวหอกของนิสิตนักศึกษาปัจจุบันจำนวนหนึ่งตื่นตัวมาจากการรับรู้ การกดขี่และอยุติธรรม ที่เกิดกับคนเสื้อแดงในช่วงปี 2553 ไปสู่การรับรู้ลักษณะเผด็จการของพวกจารีตนิยม และท้ายสุดคือ เผด็จการทหารเต็มรูปที่มีพวกจารีตนิยมเป็นเสาค้ำ

นัยหนึ่ง จุดแข็งของพวกเขาคือ ความชัดเจนในความรับรู้ทางการเมืองไปถึงรากเง่าและเสาค้ำของเผด็จการ ข้อนี้แตกต่างกับขบวนนิสิตนักศึกษา 14 ตุลา 16 ที่รับรู้เผด็จการทหารของ ถนอม-ประภาส แต่ไม่รับรู้หรือไม่ชัดเจนในอำนาจที่แท้จริงของพวกจารีตนิยม ซึ่งเป็นผลให้ดอกผลแห่งการต่อสู้ของพวกเขาถูกปล้นชิงไปโดยพวกจารีตนิยมในที่สุด

ประการที่สอง นิสิตนักศึกษาปัจจุบันเติบโตมาในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่มีกระแสเสรีนิยมประชาธิปไตยเป็นกระแสหลัก เมื่อพวกเขาตื่นตัวทางการเมืองครั้งแรก ก็เป็น เสรีนิยมและประชาธิปไตย อย่างชัดเจนแต่ต้น มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดที่ปฏิเสธเสรีนิยม 

นัยหนึ่ง จุดแข็งของพวกเขาคือ ความเป็นเสรีประชาธิปไตย ที่ทำให้พวกเขามีลักษณะก้าวหน้า มีความชอบธรรม ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนและจากประชาคมโลก ประเด็นนี้ พวกเขาต่างจากนักศึกษา เดือนตุลาฯ ที่เติบโตมาในยุคสงครามเย็น ได้รับอิทธิพลจากลัทธิสังคมนิยมมาแต่ต้น และปฏิเสธเสรีนิยม

ประการที่สาม การที่นิสิตนักศึกษาปัจจุบันเป็น เสรีนิยม อย่างยิ่ง ก็ได้ทำให้พวกเขาเป็น ปัจเจกชนนิยม อย่างยิ่งไปด้วย ซึ่งมีผลต่อรูปแบบการจัดตั้งและวิธีการเคลื่อนไหวของพวกเขา ที่มีลักษณะกระจัดกระจายเป็นปัจเจกชนเสรี  
๕ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นชูสามนิ้วต้อนรับหัวหน้าคณะรัฐประหาร

ฉะนั้น แม้พวกเขาจะสามารถท้าทายเผด็จการและสร้างผลสะเทือนได้ระดับหนึ่ง แต่ก็จะยังไม่สามารถขยายตัวเติบใหญ่จนเข้มแข็งพอที่จะสั่นคลอนระบอบเผด็จการได้แม้แต่น้อย

ประการที่สี่ แม้ว่าในหมู่นิสิตนักศึกษาวงกว้างจะมีอารมณ์ที่ไม่พอใจเผด็จการอยู่ทั่วไปและมีปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่นิสิตนักศึกษาที่เคลื่อนไหวอย่างเอาการเอางานกลับยังมีจำนวนน้อยมาก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากข้อสามข้างต้น คือ นิสิตนักศึกษาที่เป็นหัวหอกและเอาการเอางานนั้น ยังขาดรูปแบบการจัดตั้งและวิธีการทำงานที่สามารถดึงเอามวลชนนิสิตนักศึกษาจำนวนมากให้เข้ามาร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม

ความท้าทายเบื้องหน้าของนิสิตนักศึกษาที่ต่อต้านเผด็จการคือ จะต้องลดทอนและแก้ไขจุดอ่อนสองประการหลัง จะต้องพัฒนารูปแบบการจัดตั้งและวิธีการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมต่อลักษณะทางชนชั้นของพวกเขา ที่ยังเป็นเสรีนิยมและปัจเจกชน แต่ก็มีเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย

และที่สำคัญคือ ต้องเปิดกว้างให้นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่สามารถเข้าร่วมได้ เมื่อนั้น ขบวนนิสิตนักศึกษาเสรีประชาธิปไตยก็จะขยายตัว มีบทบาทและมีพลังที่จะเป็น กองหน้าของขบวนประชาธิปไตย ที่ประชาชนส่วนกว้างจะให้การสนับสนุนได้อย่างแท้จริง