วันพุธ, กุมภาพันธ์ 04, 2558

ท่าดี และทีเหลว ของเศรษฐกิจไทยวันนี้ :ข่าวล่าจากบลูมเบิร์ก



ช่วงหนึ่งสัปดาห์จากปลายเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ปีใหม่นี้ มีรายงานข่าวของสำนักพิมพ์บลูมเบิร์กธุรกิจสองชิ้นพูดถึงประเทศไทย ข่าวหนึ่งตามเนื้อหาดูท่าทางจะดี แต่เมื่อพิจารณาผลลัพท์ที่ควรจะได้แล้ว กลับค่อนข้างว่างเปล่า ไม่ทำให้ตื่นตาเท่าไรนัก

ส่วนอีกข่าวนี่อ่านแล้วเศร้าเอาเลยเชียว เขากล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แบบว่า ตกสวรรค์ ปานนั้น

ข่าวแรกที่อ้างถึงนี้ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ว่าด้วยอัตราการว่างงานในประเทศไทย ผู้เขียน Suttinee Yuvejwattana บอกว่าต่ำที่สุดในโลก และต่ำมากเสียจนเหลวไหล (ridiculously)

รายงานข่าว 'Thailand's Unemployment Rate is a Ridiculously Low at 0.6%. Here's Why.' อ้างถึงอัตราการว่างงานของไทยเมื่อตอนสิ้นปี ๒๕๕๗ ซึ่งอยู่ที่ ๐.๕๖ เปอร์เซ็นต์ จัดว่าต่ำสุดของโลก เทียบกับ ๙.๔ เปอร์เซ็นต์ของอินเดีย กับ ๖ เปอร์เซ็นต์ของฟิลิปปินส์ แล้วดูสดสวยหาที่ติมิได้

ข่าวบอกด้วยว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่สำหรับไทยที่มีอัตราว่างงานต่ำกว่า ๑ เปอร์เซ็นต์ติดต่อกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ แถมเคยมีอัตราสูงเพียงครั้งเดียวในปี ๒๕๔๔ เมื่อเริ่มมีการเก็บข้อมูลการว่างงานตามระบบสถิติ แต่นั่นก็สูงแค่ ๕.๗๓ เท่านั้น

(ยิ่งเมื่อเทียบกับอัตราการว่างงานในสหรัฐซึ่งเมื่อเริ่มเข้าสู่เศรษฐกิจกดต่ำ หรือ recession เมื่อสี่ห้าปีก่อน อยู่ที่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย มาบัดนี้ลดเหลือ ๗ เปอร์เซ็นต์ นับว่าฮือฮากันมากเพราะเป็นหนึ่งในสองรัฐที่มีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวดในรอบหนึ่งปี ขณะที่ อัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศ ณ บัดนี้ อยู่ที่ ๕.๖ เปอร์เซ็นต์ ก็ร้องอู้อ้ากันขนานใหญ่แล้ว)

แต่ปัญหาสำหรับตัวเลขว่างงานอันสวยหรูของไทยอยู่ที่ ต่ำจนน่าเกลียดแบบนี้เพราะเหตุใด

โฆษกธนาคารชาติ จิระเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ชี้ว่าอัตราว่างงานต่ำนี่ไม่ใช่เพราะประเทศไทยมีนิยามในการจัดเก็บข้อมูลไม่เหมือนใคร (คือเป็นไทยๆ ดังกรณีนิยามความเป็นประชาธิปไตย นิยามคุณธรรมตุลาการ และนิยามเรื่องการคอรัปชั่น, I guest) “หากแต่มันเป็นปัญหามาจากโครงสร้าง”

เนื่องจาก “ภาคเกษตรกรรมมักโอบเอาแรงงานเข้าไว้ในอ้อมอก และผู้ที่ตกงานจะหาทางออกได้ด้วยการเข้าสู่การจ้างงานนอกแบบ (unofficial) หรือหันไปประกอบกิจการของตนเอง” ทั้งนี้เพราะในประเทศไทยไม่มีระบบประกันการว่างงาน ผู้ที่ตกงานจึงต้องไขว่คว้าหาอะไรทำแทนในทันใด ไม่ว่าจะเป็นงานนอกเวลา (part time) หรือว่างานนอกระบบ ซึ่งล้วนแต่นับรวมเป็นการจ้างงานแล้วทั้งสิ้น

งานนอกระบบในประเทศไทยอาจหมายถึงการเข็นรถขายของ ขับแท็กซี่ ขับมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงงานที่ก้ำกึ่งอยู่ในพื้นที่สีเทาอีกมากมาย เหล่านี้เมื่อปี ๒๕๕๖ เป็นจำนวนถึง ๖๔ เปอร์เซ็นต์ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ ที่ซึ่งนับรวมอยู่ในภาคส่วนอัตราสวยงามของการจ้างงานเต็มรูปแบบ

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานต่ำ มันเป็นผลมาจากสัดส่วนของประชากร ขณะที่อัตราพันธุกรรมสมบูรณ์ (fertility) (อันเป็นผลต่อไปถึงการเพิ่มแรงงานรุ่นใหม่) อยู่ที่ ๑.๔ เปอร์เซ็นต์ แต่ของฟิลิปปินส์อยู่ที่ ๓.๔ ขณะเดียวกันจำนวนคนสูงวัยพ้นจากการจ้างงานของไทยเพิ่มจาก ๗ เปอร์เซ็นต์ในปี ๒๕๓๗ มาเป็น ๑๕ เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว

ชัดแจ้งตามตัวเลขอีกเช่นกันว่า จำนวนคนเข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยกว่าจำนวนที่ปลดระวางไป ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนักต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดหมายในปีนี้ว่าจะโตในอัตราต่ำๆ ระหว่าง ๑ ถึง ๔ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อัตราการว่างงานอันสวยหรู ๐.๖ เปอร์เซ็นต์จึงดู ท่าดี ท่วงทีเป็นอย่างไรไว้ลุ้นกันข้างหน้า

จึงมาถึงข่าวที่สองของบลูมเบิร์กที่ (เรา) ยกเอามาให้พิเคราะห์กัน

ย้อนเวลาถอยไปเพียงเจ็ดวัน บลูมเบิร์กธุรกิจตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับประเทศฟิลิปปินส์ ที่กระทุ้งอุ้งท้องประเทศไทยเข้าเต็มเปาอย่างช่วยไม่ได้

รายงานข่าวชื่อ 'Move Over Thailand, the Philippines is Southeast Asia's Strong man.' เขียนโดย Rina Chandran และ Sharon Chen บอกว่าฟิลิปปินส์ไม่ใช่ คนป่วยแห่งเอเซีย อีกต่อไป เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (ปีนี้ ๖.๙) เกิน ๖ เปอร์เซ็นต์ติดต่อกันเป็นปีที่สาม

กระแทกประเทศไทยตกเก้าอี้จากที่เคยนั่งแท่น โตเอาๆ ของเอเซียอาคเนย์ไปอย่างไม่เป็นท่า

ข่าวชี้ว่าในปี ๒๕๔๙ ไทยกับฟิลิปปินส์มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเคียงไหล่กันเด๊ะ แต่เศรษฐกิจไทยมีอันต้องล้มลุกคลุกคลานนับแต่มีการรัฐประหารในปีนั้น ซ้ำมีอาการตัวร้อนรุมๆ ของการเมืองต่อเนื่องเรื่อยมา ผสมกับวินาศกรรมน้ำท่วมปี ๒๕๕๔ อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วน (manufacturing) หงายหลังแล้วยังกระโผลกกระเผกมาจนบัดนี้ โดยที่ทางฟิลิปปินส์กลับเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อปีที่แล้วดัชนีความแข็งขันในการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ของไทยตามเกณฑ์ของภาคีเศรษฐกิจโลก ตกจากอันดับ ๓๓ ไปอยู่ที่ ๖๗ แต่ว่าฟิลิปปินส์กลับไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเพิ่มพูนปริมาณสินค้าส่งออกเฮือกขึ้นเหนือกว่า ๑๒ เปอร์เซ็นต์ ทั้งประเภทชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคและสิ่งทอ (ซึ่งเคยเป็นหน้าตาของไทยในด้านเอ็กซ์ปอร์ต)

ไม่แต่เท่านั้นปัจจัยสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการกระตุ้นการจับจ่ายภายในประเทศ ให้เกิดวงจรหมุนเวียนท่ามกลางสภาพซบเซาอันเนื่องมาแต่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์จากผลของการขยายตัวทางการผลิตและการจ้างงาน

(วัฏจักรทางเศรษฐกิจพื้นฐาน ตามทฤษฎีคีย์สเช่นนี้ไม่เกิดในประเทศไทย เพราะมีขบวนการประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้สมกับที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือชื่อย่อว่า กปปส. ที่ขณะนี้พากันย้ายที่ส้องสุมไปอยู่สวนโมกข์ ได้ทำการ Shutdown Bangkok ด้วยความรุนแรงต่างๆ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารดังตั้งใจ)

และอีกเช่นกัน นอกจากรายงานข่าวจะบอกว่าเศรษฐกิจไทยล้มแล้วลุกไม่ขึ้นหลังจากโดนรัฐประหารกระแทก ยังมีปัจจัยเรื่องความแข็งขันเนื่องจากวัยของ คนในตลาดแรงงานเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ให้ต้องหงอยหงอทางเศรษฐกิจต่อไปไม่รู้จะนานแค่ไหน หรืออย่างน้อยไล่ไม่ทันฟิลิปปินส์ไปพักใหญ่

ตามรายงานของกองทุนประชากรสหประชาชาติ เมื่อปีที่แล้วฟิลิปปินส์มีประชากรในวัยทำงานอายุ ๑๐- ๒๔ ปี อยู่ถึง ๓๑ เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ไทยมีอยู่แค่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ บวกกับอัตราพันธุกรรมสมบูรณ์ในไทยที่ลดน้อย เหลือแค่ ๑.๔ เปอร์เซ็นต์ด้วยแล้ว

ไทยอาจกลายเป็นประเทศที่โตช้ากว่าใครในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปอีกนาน

ธุรกิจคึกคักในฟิลิปปินส์
รวมความว่าข่าวบลูมเบิร์กทั้งสองชิ้นกล่าวถึงประเทศไทยทางเศรษฐกิจในท่วงท่าที่เคย ดี มาแล้วไม่น้อย หากแต่เนื้อแท้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ล้วนเห็นภาพ ทีเหลวแทบทั้งสิ้น ไม่แต่เท่านั้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยง่อยเปลี้ย ปัจจัยน่าคิดอยู่ที่ชักจะมีคนพ้นวัยทำงานไม่กระปี้กระเปร่ามากไปหน่อยแล้ว จริงไหม

ครั้นจะให้ผู้ที่กุมอำนาจบ้านเมืองอยู่ขณะนี้มาตอบ หรือแม้แต่รับฟังคงยาก เพราะคณะผู้นำเหล่านี้ล้วนพ้นหรือใกล้วัยเกษียณกันทั้งนั้น ยิ่งพวกปูชนียะวัยทองที่มักออกมาสอนสั่งประชากร นั่นล้วนแต่ชอบมองย้อนหลังไปไกลลับ ให้กลับกลายเป็นสิ้นหวังทั้งเพบ่อยไป

เมื่อใดที่คนในวัยมองไปข้างหน้าออกมามีบทบาทกันบ้างมากๆ นั่นแหละคงจะพอหวังได้ให้เศรษฐกิจไทยมีกึ๋นยืนยงกันอีกครั้ง