โครงสร้างใหม่ (?) ของหน่วยงานด้านไอซีทีของไทย ที่มาภาพ: https://thainetizen.org/2015/01/new-thailand-digital-economy-organizations-structure-2015/ |
ที่มา Thai Publica
18 มกราคม 2015
สฤณี อาชวานันทกุล
ณ ต้นปี 2558 นโยบายของรัฐบาลเผด็จการภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ชัดเจนที่สุด เคลื่อนเร็วที่สุด และเป็นอันตรายต่อประชาชนคนใช้เน็ตมากที่สุดในความเห็นของผู้เขียน คือ นโยบายเปลี่ยนกระทรวงไอซีทีเป็น “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” และดัน “เศรษฐกิจดิจิทัล” ให้เป็นหัวหอกของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย
ผู้เขียนเห็นว่า ชุดร่างกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิตอล 10 ฉบับ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ 16 ธ.ค. 2557 และ 6 ม.ค. 2558 (อ่านสาระสำคัญและดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์เครือข่ายพลเมืองเน็ต) นั้น นอกจากจะไม่ช่วยสร้าง “เศรษฐกิจดิจิทัล” ตามข้ออ้างของรัฐบาลแล้ว ยังจะฉุดรั้งพัฒนาการของเศรษฐกิจดิจิทัล ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนอย่างถาวร และเปิดช่องให้เกิด “คอร์รัปชันเชิงสถาบัน” อย่างถูกกฎหมาย!
บทสรุปข้างต้นของผู้เขียนมองเห็นได้ไม่ยาก ถ้าเพียงแต่อ่านสาระสำคัญของร่างกฎหมาย แล้วคิดต่ออีกเล็กน้อยถึงความหมายและผลกระทบ
“ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” จะตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กปช.) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่งได้แก่ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 7 คน
กปช. และเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้มีอำนาจละเมิดสิทธิประชาชนมหาศาลชนิดที่จีนกับเกาหลีเหนืออาจมาอยากนับญาติด้วย ลำพังพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับหนังสือจากเลขาธิการ กปช. ก็สามารถขอข้อมูล เอกสาร หรือเรียกบุคคลใดๆ มาให้การ, ส่งหนังสือสั่งให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำตาม และเข้าถึง “ข้อมูลการติดต่อสื่อสาร” ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ไปรษณีย์ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เพื่อ “ประโยชน์ในการปฏิบัติการเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” (มาตรา 35)
เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมที่ “ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติภารกิจเพื่อตอบสนองและรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่กระทบต่อความมั่นคงทางทหาร” ถือเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้โดยอัตโนมัติ (มาตรา 38) มีอำนาจทั้งหมดที่กล่าวถึงด้านบนด้วย
“ภัยคุกคามไซเบอร์” กับ “ความมั่นคงทางทหาร” ไม่มีนิยามใดๆ ในร่างกฎหมายนี้ มีแต่นิยาม “ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ซึ่งหมายถึงมาตรการและการดำเนินการใดๆ ที่กำหนดขึ้น “เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ” ให้สามารถรับมือกับ “สถานการณ์ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบหรืออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการให้บริการหรือการประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โครงการโทรคมนาคม หรือการให้บริการโดยปกติของดาวเทียม อันกระทบต่อความมั่นคงของชาติซึ่งรวมถึงความมั่นคงทางการทหาร ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ”
สิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง คือ ลำพังสถานการณ์ที่ “อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง” ก็เพียงพอให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว รวมถึงดักฟังการสื่อสารแล้ว!
ผิดหลักสากลที่ว่า กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิประชาชนนั้นจะต้องลิดรอนสิทธิเท่าที่ “จำเป็นและได้ส่วน” (necessary and proportionate) อย่างชัดเจน
นอกจาก กปช. จะมีอำนาจสั่งให้ทุกคนทำตาม ไม่ว่ารัฐหรือเอกชนแล้ว หาก กปช. มีมติว่าใครก็ตามไม่ดำเนินการตาม ร่างกฎหมายนี้ก็ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวกระทำผิดวินัย (มาตรา 31) อีกทั้ง สำนักงาน กปช. ก็หาเงินเองได้ รับเงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรระหว่างประเทศก็ได้ (มาตรา 19) แถมไม่ต้องนำส่งรายได้เข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (มาตรา 20)
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกฎหมายนี้ยังเปิดช่องให้เกิด “คอร์รัปชั่นเชิงสถาบัน” โดยกำหนดให้สำนักงาน กปช. มีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (มาตรา 14) ทำให้เกิดความกังวลทันทีว่า ประชาชนหรือใครก็ตามจะมีสิทธิฟ้องเจ้าหน้าที่ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต (มาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา) ได้อย่างไร
พูดง่ายๆ คือ กฎหมายฉบับนี้ให้ กปช. มีอำนาจล้นฟ้า ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนขั้นพื้นฐาน ดักฟังล้วงเจาะข้อมูลสื่อสารและข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องขอหมายศาล (ต่างจาก พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ปัจจุบัน) เพียงใช้ข้ออ้างครอบจักรวาลว่ามีสถานการณ์ที่ “อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง” ต่อความมั่นคงของชาติ อีกทั้งยังไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ กับการใช้อำนาจของตนเอง
เปรียบเป็นการสถาปนา “กฎอัยการศึกทางคอมพิวเตอร์” ไปชั่วกัลปาวสาน
ตอนที่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ออกมาแฉว่าหน่วยงานข่าวกรองอเมริกัน คือ National Security Agency (NSA) ดักข้อมูลประชาชนคนอเมริกันและชาวต่างชาติทั่วโลกอย่างมโหฬาร (ซึ่งที่จริง ข้อมูลที่ถูกดักในอดีตนั้นถูกเข้ารหัสโดยโปรแกรมเมอร์ของ NSA เพื่อคุ้มครองความเป็นส่วนตัว แต่กลไกนี้ถูกถอดออกในเวลาต่อมา) บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง กูเกิล เฟซบุ๊ก ยาฮู! ฯลฯ ก็ประสานเสียงกันประณามรัฐทันทีว่าโครงการสอดแนมกำลัง “ทำลาย” เศรษฐกิจดิจิทัลอเมริกัน (รายละเอียดข่าว) เพราะ “ความไว้วางใจ” ระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ใช้เน็ตคือหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล ลูกค้าจำนวนมากหันไปสนใจบริษัทชาติอื่นที่โฆษณาว่าปลอดภัยจากเงื้อมมือรัฐ
นอกจากนี้ การสืบสวนเรื่องโดยสภาก็พบว่าเจ้าหน้าที่ NSA ใช้ระบบสอดแนมในทางมิชอบหลายกรณี เช่น สอดแนมคนที่ตนสนใจจะจีบเป็นแฟน
Edward Snowden ผู้ออกมาแฉโครงการสอดแนมประชาชนของ NSA ที่มาภาพ: http://scottberkun.com/wp-content/uploads/2014/04/what-do-you-think-of-national-security-leaker-edward-snowden-poll.jpg |
จากประสบการณ์ที่เราได้เห็นในต่างประเทศ ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าหากร่างกฎหมายนี้ผ่านออกมาจริงๆ คือ บริษัทดิจิทัลชั้นแนวหน้าของโลกจะยิ่งไม่อยากมาตั้งสำนักงานในเมืองไทย จะได้ปลอดภัยจากการถูกดักข้อมูลและถูก กปช. สั่งให้ดักข้อมูลลูกค้า ส่วนบริษัทไทยที่อยากทำธุรกิจดิจิทัลก็ยิ่งต้องคิดหนักว่าอยากทำหรือไม่ และประชาชนคนไทยที่ไม่อยากถูกรัฐละเมิดความเป็นส่วนตัว ก็จะแห่กันไปใช้บริการของต่างชาติมากขึ้น
ดูๆ ไปแล้วกฎหมายฉบับนี้น่าจะฉุดรั้งพัฒนาการของเศรษฐกิจดิจิทัล มากกว่าสนับสนุนให้เกิด
ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายอีกฉบับในชุดนี้ คือ ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ฉบับใหม่ ยังระบุว่า การจัดสรรคลื่นความถี่สามารถใช้วิธี “คัดเลือก” ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการประมูล
ถอยหลังเข้าคลองอย่างชัดเจน เพราะเปลี่ยนจากวิธีที่โปร่งใสมาก กลับไปใช้วิธีที่โปร่งใสน้อย ไม่รับประกันการเปิดเสรี เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายเดิมๆ มีอำนาจเหนือตลาดต่อไป อีกทั้งยังดึง กสทช. ให้กลับไปเป็นองค์กรใต้กำกับของรัฐบาล เปิดช่องให้การเมืองแทรกแซงอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มกลไกตรวจสอบและความโปร่งใส
ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้เขียนเห็นว่า ชื่อ “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” สมควรเปลี่ยนเป็น “กระทรวงดิจิทัลเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ” เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาของกฎหมาย
เพราะกฎหมายใดก็ตามที่ให้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยไม่จำเป็นและไม่ได้ส่วนกับขนาดของภัยต่อความมั่นคง อีกทั้งยังเพิ่มภาระและความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการ ย่อมไม่มีวันสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อคนไทยทุกคนได้เลย.
ooo
ที่มา ประชาไท
Tue, 2015-01-2020 ม.ค. 2558 - ตามที่เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ และร่างพระราชกฤษฎีการวม 8 ฉบับเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีการอนุมัติหลักการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมทั้งอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้วยนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) โดยถูกวิจารณ์ว่าร่างกฎหมายฉบับใหม่จะละเมิดสิทธิ เพราะมีการรับรองการดักฟังข้อมูลนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ล่าสุดวันนี้ (20 ม.ค.) เว็บไซต์บล็อกนัน ซึ่งอ้างรายงานทวิตเตอร์ของวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวบางกอกโพสต์ ระบุว่าหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี มีผู้สื่อข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงเหตุผลที่ต้องออกกฎหมายนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า "จะผ่านแล้วจะทำไม ไม่งั้นจะเป็นนายกไปทำไม"
matichon tv เผยแพร่วิดีโอคลิปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเหตุผลในการผ่านกฎหมายดังกล่าวว่า "ทุกคนต้องรู้จักกติกาบ้าง รู้ว่าเขาทำงานกันอย่างไร สิ่งที่ผมกลัวเป็นห่วงที่สุดก็คือทุกคนมัวแต่มองอย่างเดียวว่าจะถูกจำกัดสิทธิ์ วันนี้จำกัดสิทธิ์อะไรบ้างหรือยัง จำกัดอะไรบ้างหรือยัง" โดยมีผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงเหตุผลต่อจน พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับไปว่า "ไม่ต้องทำไมอะ ก็ทำไม จะผ่านอะทำไม แล้วจะเป็นทำไมวะ นายกจะเป็นทำไม"
สำหรับรายละเอียดของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์นั้น นิยาม "ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" ว่าหมายถึง "มาตรการและการดำเนินการที่กำหนดขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศให้สามารถปกป้อง ป้องกัน หรือรับมือกับสถานการณ์ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบหรืออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการให้บริการหรือการประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โครงข่ายโทรคมนาคม หรือการให้บริการโดยปกติของดาวเทียม อันกระทบต่อความมั่นคงของชาติซึ่งรวมถึงความมั่นคงทางการทหาร ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ"
นอกจากนี้ในร่างกฎหมาย ยังกำหนดให้ตั้งคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กปช.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน
กรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือภยันตรายจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจกระทบความมั่นคงของประเทศ ให้ กปช. สั่งหน่วยงานรัฐทุกแห่งดำเนินการเพื่อป้องกัน แก้ไข บรรเทาความเสียหายที่เกิดหรืออาจจะเกิดได้ กรณีมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน การพาณิชย์หรือความมั่นคงของประเทศ กปช. สั่งหน่วยงานเอกชนได้
และตามร่างกฎหมายดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากเลขาธิการ มีอำนาจดังต่อไปนี้ เช่น 1. มีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้หน่วยงานรัฐ บุคคลใดๆ มาให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชี เอกสาร หลักฐานเพื่อตรวจสอบหรือให้ข้อมูล 2. มีหนังสือให้หน่วยงานราชการหรือเอกชนดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของ กปช. 3. เข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารทั้งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือหรืออุปกรณ์การสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
ยกเครื่องดิจิทัล?: เปิดร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์
ครม.ผ่านซีรีส์ 8 กม.รองรับ ศก.ดิจิทัล พ่วงแก้ พ.ร.บ.คอม-ร่าง พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์
ooo
บิ๊กตู่ ปี๊ดแตก ยัวะนักข่าว หลุดประโยค “แล้วจะเป็นนายกฯ ทำไมวะ”
https://www.youtube.com/watch?v=73fCZpep1Og
ที่มา มติชน ทีวี
ความเห็นจากเวป...
อ๊ะ งั้น "เราก็จะวิจารณ์ท่านต่อไป แล้วจะทำไม ไม่งั้นจะเป็นประชาชนไปทำไม เป็นสื่อไปทำไม"