กลุ่มผู้บริหารสถานจับจ่ายพวกไฮโซ ต้อนกันไปคุยกับท่านผู้นรรม
แล้วออกมาแถลง 'หน้าตาสดใส' (ภาพเน้น) ว่ากฏอัยการศึกนี้ ดี๊ดี
"ปีนี้พารากอนโตขึ้นร้อยละ 25 นั้นหมายความว่านักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัย ซึ่งปีนี้ไปจ.ภูเก็ต หรือเกาะสมุย ก็ไม่สามารถหาตั๋วเครื่องบินได้เพราะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และการที่ทหารเข้าควบคุมนักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัย เราก็รู้สึกปลอดภัย"
http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1421077437
แต่ ดร.โสภณ พรโชคชัย บอก อ๊ะ อย่ามโน
"1. หากพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ปีละประมาณ 12 ล้านล้านบาท ปรากฏว่าปี 2557เติบโตราว 1% ทั้งที่ควรเป็น 4% หากไม่เกิดความไม่สงบทางการเมือง แสดงถึงความสูญเสียโอกาสไปถึง 360,000 ล้านบาท (3% ของ GDP)
2. นับถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2557 กรมการท่องเที่ยวเปิดเผยข้อมูลว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2557 มีประมาณ 22 ล้าน หายไปจากปี 2556 ถึง 2 ล้านคน โดยคนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายราว 44,000 บาท ก็เท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวหายไปเกือบ 100,000 ล้านบาทแล้ว ยิ่งหากในสถานการณ์ปกติปี 2557 น่าจะมีนักท่องเที่ยวราว 26 ล้านคน ก็เท่ากับไทยสูญเสียโอกาสไปเกือบ 200,000 ล้านบาทจากการท่องเที่ยวในภาวะที่ไม่เป็นปกติเช่นนี้"
นั่นแค่สองข้อเนอะ ฉบับเต็มมีเยอะ รวมทั้งเรื่องสมุย ดิอง-ดิออร์ด้วย โดยเฉพาะกรณีสดใส "เพราะผู้ที่ปิดถนนเหล่านั้นต่างได้ดิบได้ดีในทางการเมืองในขณะนี้แล้ว"
http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_anpg.php?strquey=area_announcement835.htm
ตานี้มาดูของ ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ บ้าง (เอาเต็มๆ เพราะไม่มีลิ้งค์)
"สภาวะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ เรียกว่า "เศรษฐกิจซบเซา" คือ เม็ดเงินการจับจ่ายใช้สอยได้หายไปจากระบบ เริ่มตั้งแต่เกิด กปปส. ปชช.ก็หยุดใช้จ่ายเงิน ข้าราชการไม่ใช้เงินงบประมาณ นักท่องเที่ยวหายไปสองล้านคน การลงทุนโครงการใหม่หยุดชะงักหมด ประจวบกับภาวะเศรษฐกิจจีน-ยุโรป ทำให้ส่งออกไทยไม่โต
แล้วก็เกิดเป็น "วงจรย้อนกลับ" เมื่อการใช้จ่ายของปชช.หยุดชะงัก การใช้จ่ายลด การขายก็ลดตาม ทำให้รายได้ลด รายจ่ายก็ลดอีก ฯลฯ เศรษฐกิจไทยขณะนี้จึงอยู่ในสภาพ "ติดกับดักภาวะซบเซา" เหมือนรถติดหล่มโคลนแน่น
ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทหารก็เข้าใจ และรู้ว่าต้องกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบให้ฟื้นกลับมา
แต่เมื่อคิดถึงวิธีการแก้ไข ก็ยังใช้วิธีโบราณที่พ้นสมัย คือ ให้ภาครัฐเร่งใช้จ่าย อัดฉีดเงินงบประมาณเข้าไป เอาภาครัฐบาลไปดันศก.ไทยทั้งระบบให้พ้นจากหลุม นี่ถ้าเป็นสัก 30-40 ปีที่แล้ว วิธีนี้ก็คงจะได้ผลอยู่หรอก
แต่ศก.ไทยวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว การใช้จ่ายของปชช. นักลงทุน และการค้าตปท.ได้ขยายตัวใหญ่โตมาก ทำให้การใช้จ่ายภาครัฐมีขนาดเล็กลงเหลือแค่ราว 20-22% ของศก.ไทยเท่านั้น ฉะนั้น ลำพังภาครัฐบาลล้วนๆ ไม่มีทางดันศก.ไทยให้เดินหน้าไปได้ ก็เหมือนเอากระบอกสูบมอเตอร์ไซค์ไปดันรถบรรทุก 18 ล้อนั่นแหละ! นี่คือสิ่งที่ข้าราชการกระทรวง ศก. และทีมศก.ของรัฐบาลทหารไม่เข้าใจ
แล้วยิ่งดูตัวเลขเงินอัดฉีดภาครัฐที่ทีมศก.แถลงในหลายเดือนมานี้ มียอดรวมกันแค่ไม่กี่แสนล้านบาท ขณะที่การใช้จ่ายทั้งหมดในศก.ไทยสูงถึงปีละ 12 ล้านล้านบาท! เงินอัดฉีดที่กำลังทำอยู่นี้ มันก็แค่น้ำหนึ่งหยดในโอ่งศก.ไทยใบใหญ่เท่านั้น!
ตรงนี้ก็ต้องให้เครดิตคุณทักษิณที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างปรุโปร่ง จะเห็นได้ว่า มาตรการกระตุ้นศก.ของทักษิณเกือบทั้งหมดไม่ได้ทำผ่านการใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐ แต่ทำผ่านรายจ่าย รายได้ และเงินลงทุนของปชช.โดยตรง ซึ่งส่งไปถึงศก.รวม เห็นผลชัดรวดเร็ว
นี่ก็เลยเป็นที่มาของไอเดียที่เสนอโดยกลุ่มนายทุนที่หากินกับเผด็จการคือ "ไล่แจกเงินหรือคูปองสองพันบาท" (อีกแล้ว) โดยหวังว่าจะได้สองเด้ง คือ เด้งแรก อัดฉีดเม็ดเงินใส่มือปชช.โดยตรง เด้งที่สองคือ เมื่อปชช.ใช้เงินหรือคูปองซื้อของอุปโภค เงินนี้ก็จะไหลมาเข้ากระเป๋าพวกนายทุนที่เสนอมาตรการนี้เอง!
เม็ดเงินที่แจกนี้ก็คงแค่ไม่กี่หมื่นล้านบาท ไม่มีผลต่อศก.รวมอยู่ดี แต่ที่แน่ๆ นายทุนที่เสนอมาตรการนี้ ก็จะได้ "น้ำเลี้ยง" มาลูบริมฝีปากตัวเองที่กำลัง "อดอยากปากแห้ง" อย่างหนักในขณะนี้พอดี!"