วันพุธ, ธันวาคม 17, 2557

คำสัมภาษณ์ 'วัฒน์ ท่าเสา' กับ นักข่าวบางกอกโพสต์ - หกเดือนที่ผ่านมา สิ่งที่คิดไว้ กับ สิ่งที่เป็นอยู่ มันต่าง-เหมือน กันอย่างไรบ้าง?



ที่มา FB 'วัฒน์ ท่าเสา'

คำให้สัมภาษณ์ คุณอัจฉรา นักข่าวบางกอกโพสต์ ตอบ อัจฉรา บางกอกโพสท์

หนึ่ง คำถามหลักๆคือ ผ่านมาหกเดือน สิ่งที่พี่คิดไว้ กับ สิ่งที่เป็นอยู่ มันต่าง-เหมือน กันอย่างไรบ้าง

เคยคิดไหมว่า ไม่ได้เข้าป่ากับเขาตอนนั้น แต่ตอนนี้กลับเหมือนเข้าป่า คือมิอาจอยู่ในถิ่นพำนัก หรือกับครอบครัว มันทำให้พี่คิดอะไรบ้าง (เท่าที่พอจะแชร์ได้)

ตอบ สมัยเข้าป่าเมื่อปี 2519 กับตอนนี้ ถึงจะต่างเวลาเกือบสี่สิบปี แต่ที่ไม่ต่างเลย คือเป็นเรื่องที่เราเดาได้ ว่า แล้วมันก็ “รัฐประหาร” เพราะโครงสร้างสังคมการเมืองไทย ยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม อำนาจพิเศษ หรือศักดินาตกค้าง อำนาจโบราณยังอยู่เหนืออำนาจของปวงชนตามระบอบประชาธิปไตย ผมจึงไม่แปลกใจ ไม่ตระหนกตกใจ ผมแพ็กกระเป๋าเตรียมพร้อมเรื่อยมา ตั้งแต่มีม็อบเสธ.อ้ายแล้ว ในปี 2555
ว่าเกิดรัฐประหารเมื่อไรก็จะ “ไป”

เราต้องรู้ตัว เราทำอะไร เราเป็นใคร อย่ารอให้ตัวเองถูกกระทำ

สมัยปี 2519 พอมีประกาศรัฐประหารตอนเย็น ผมเดินทางเข้าป่าทันที ออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันที่ 6 ตุลา ถึงป่า ภูพาน สกลนคร ในบ่ายวันที่ 7 ตุลาคม ไม่รีรอ ไม่ลังเล

วันที่ 22 พฤษภาคม2557 พอมีการรัฐประหาร (ตามคาด เพราะประกาศกฎอัยการศึกนำร่องมาแล้ว) ผมขับรถออกจากบ้านที่ ท่าเสา ไทรโยค กาญจนบุรี มาสแตนด์บายอยู่ชายแดน ซึ่งก่อนหน้านี้ผมสำรวจเส้นทางไว้เรียบร้อยแล้ว พอสายๆวันที่ 24 พค. มีประกาศรายชื่อให้ไปรายงานตัว มีชื่อผมด้วย ผมก็ออกเดินทางข้ามแดนมาแบบ สบาย –สบาย

บางคนมองแบบผิวเผินว่า ทำไมไม่ไปรายงานตัว จะได้อยู่อย่างปกติ แต่ผมเห็นว่า การมีชีวิตอยู่ในสภาพใต้เงาปืนรัฐประหาร มันไม่มีทางปกติหรอกครับ โดยเฉพาะ สำหรับคนทำงานเขียนหนังสืออย่างผม โดนควบคุมแน่อนพันเปอร์เซ็นต์

ยิ่งกว่านั้น เรายังอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่สามารถไว้วางใจได้เลย โดยเฉพาะการจับกุมด้วยข้อหา 112 ซึ่งจะไปหามาตรฐานความยุติธรรมอะไรไม่ได้ แล้วแต่เขาจะตีความ อย่าเสี่ยงดีกว่า และเราก็ประเมินตัวเอง ว่าเราได้ พูดความจริง วิพากษ์ศักดินา ได้เขียนกวี ได้ร้องเพลงอะไรมาบ้าง

ขณะนี้ เพื่อน มิตรสหายบางคน ไม่ขอเอ่ยชื่อ ยังอยู่ในคุกอยู่เลย ทั้งที่ไปรายงานตัวแล้ว หรือบางคน ขนาดข้ามแดนออกมาแล้ว กลับเข้าไปรายงานตัว ต้องเข้าคุกเลย เงียบๆ ไม่เป็นข่าว คุณเป็นนักข่าว รู้เรื่องเงียบๆพวกนี้ไหมครับ

มีคนมาเกลี้ยกล่อมทั้งโดยโทรศัพท์มาจากค่ายทหาร ระหว่างเขารายงานตัว หรือรายงานตัวแล้วก็เดินทางมาเกลี้ยกล่อม ด้วยความปรารถนาดี แต่คนเรา ต้องมีลายแทงชีวิตครับ เหมือนเสือต้องมีลาย

ผมตัดสินใจแล้ว ชีวิตมีแต่เดินไปข้างหน้า อย่างมั่นใจ วันเวลาผ่านไปพบว่า คดี 112 มันมาฉวัดเฉวียนแบบวางใจไม่ได้ แม้เรารู้แก่ใจว่า เราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แล้วจะอยู่เสี่ยงทำไม

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ได้กระทบชีวิตประจำวัน หรือชีวิตครอบครัวผมเท่าไรนัก เพราะปกติ ผมก็อยู่ตัวคนเดียว เมียจากไปสวรรค์แล้ว ลูกๆก็ทำงานหมดแล้ว 
 
แรกๆมีบ้าง คิดถึง หมา แมว เหลือเชื่อจริงๆว่า การเมืองห่วยแตกในบ้านเรา ทำให้หมาแมวของผมเดือดร้อนไปด้วย อย่าลืมว่า หมาที่รักนายมันมากๆนั้น พอนายไม่อยู่ มันจะไม่กินอาหาร ส่วนแมว พอนายไม่อยู่ มันก็จะออกพเนจรร่อนเร่ไป..อนิจจา

โดยส่วนตัว ผมไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ทางกายภาพอยู่สบายกว่าสมัยเข้าป่า 6 ตุลา ยุคนี้การสื่อสารสะดวก พูดคุยกับคนใกล้ชิดได้ตลอด ตื่นมาเช้ามืดดูข่าวออนไลน์

ยอดเยี่ยมมากคือ คนใกล้ชิด สหาย เพื่อน ลูก เมีย ทุกคนให้กำลังใจ สนับสนุน

วันที่นั่งรถข้ามเขตแดนประเทศมา หลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ผมรู้สึกเศร้าสลดใจครับ

คือความที่ผมชอบอ่านประวัติศาสตร์การเมือง ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส รัสเซีย ที่เกิดสงครามกลางเมือง เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างฝ่าย “เจ้า” กับ “ประชาชน” ฆ่ากันตายไปมาหลายระลอก 

ผมไม่อยากเห็นภาพนั้นเกิดกับคนรอบๆตัวเรา ผมผ่านยุค หกตุลา ปี 2519 อันนั้นเป็นหนังตัวอย่างเป็นสงครามกลางเมืองย่อยๆ รบกันแถวป่าเขาทั่วทุกภาคของประเทศ 

ทหาร ตำรวจ ตายเยอะ เช่นเดียวกับสหายในป่า ก็ตายเยอะ

แต่ว่า คราวนี้ หากเกิดสงครามกลางเมือง ก็จะไม่ได้รบกันในป่า หากแต่จะมารบกันแถวร้านเซเว่น ตามตรอกซอกซอย รวมทั้งทุกวันนี้ ปริมาณประชากรประเทศไทย มีมากกว่ายุคโน้น หากรบกัน คนจะตายเยอะกว่าสมัยโน้น

ตกลงกันดีๆ อย่ารบกันดีกว่า 

แต่คนเรา หากกดขี่บีฑากันมากๆ มันก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาจนลืมตายได้ ที่สุด ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม เพราะคนกำหนดเกมไม่ใช่เรา แต่เป็นระดับ บิ๊กบราเธอร์ โน่น

สอง พี่นึกมาก่อนไหมว่า จะมีวันที่ทหารและสถาบันเกี่ยวข้อง จะบ้าได้ถึงเพียงนี้ที่จะกวาดคนคิดต่างเข้าคุก ลงทัณฑ์ แล้ว ทีนี้พี่ หรือเพื่อนพ้องจะทำยังไงต่อไปได้บ้าง

ตอบ เดาไว้แล้ว เหมือนเราดูการชกของ เขาทราย แกแล็กซี่ ก็ต้องคอยดูหมัดอีซ้ายทะลวงไส้ ประมาณนั้น กลุ่มอำนาจผูกขาดประเทศไทยเขาเคยชินกับการทำเช่นนี้ มาหลายครั้ง..มาก ในช่วงเวลาห้า-หกสิบปี คิดอะไรไม่ออก ก็..รัฐประหาร จนทำให้คนจำนวนหนึ่ง พลอยเชื่อตามอย่างนั้น 

รัฐประหารจะไปยากอะไร สร้างสถานการณ์ ปิดถนน ไล่ยิง ไล่ตีกัน บาดเจ็บ ล้มตาย สร้างฉาก เร้าอารมณ์ให้เกิดทางตัน แล้วคนจำนวนหนึ่งก็จะเรียกหารัฐประหาร ตามความเคยชิน ทั้งที่รู้ว่า สุดท้ายมันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ และเพิ่มปัญหาใหม่เข้ามาอีก 
 
มันเหมือน บอกว่าบ้านนี้สกปรกนะ ต้องล้างบ้าน เสร็จแล้วไปเอาน้ำโคลนมาล้างบ้าน

บ้าน ยิ่งเลอะเทอะเละเทะหนักเข้าไปอีก 

หรือที่เขาเปรียบกันเรื่อง ติดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดเรื่อยไป กระดุมเม็ดนี้ มันติดผิดมาตั้งแต่รัฐประหาร ในปี 2549 มันก็ผิดเรื่อยมา ถึงขั้นฆ่ากันตายเป็นร้อยในปี 2553 และก็ยังปั่นป่วน ยังตายประปรายมาเรื่อยๆ แล้วยังดื้อติดกระดุมเม็ดใหญ่ผิดต่อไป คือรัฐประหาร ปี 2557

กี่ปีแล้ว ใส่เสื้อติดกระดุมผิดเป็นแถบ ยังมีหน้าไปเข้าสมาคมกับนานาชาติเขา นายกฯไทยเลยโดน ประธานาธิบดี บารัก โอบาม่า ทักไง ว่าเมื่อไร ประชาธิปไตยในบ้านยู จะเรียบร้อย

คือทักว่า เฮ้ยู ยูติดกระดุมผิดนะ

จะแก้ปัญหา จะปฏิรูป มันก็ต้องไปปลดกระดุมเม็ดแรกที่ติดผิดนั้นก่อน กระดุมเม็ดที่ติดผิดเมื่อปี 2549

ความดื้อดึงของคนไทยส่วนหนึ่ง ดันทุรังคิดไปว่า ประเทศไทยไม่เหมือนใคร เป็นความหลง ซึ่งในความเป็นจริง คุณเป็นประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งในโลกอันกว้างใหญ่ ขณะเดียวกัน ประเทศเรามีจำนวนประชากรมากโขอยู่ จนไม่อาจจะรวบรัดบังคับให้คนคิดแบบเดียวกันได้อย่างเด็ดขาด คุณไม่ใช่ราชอาณาจักรภูฏาน ที่มีประชากรล้านเดียว ไม่ใช่บรูไน ที่มีประชากรสี่แสนคน ไม่รัฐมอนาโครัฐ เลโซโท ที่มีคนน้อยหรอมแหรม ...หากเทียบกับไทย

เราเป็นประเทศไทย มีประชากรใกล้เจ็ดสิบล้านคน เจ็ดสิบล้านคนที่มีความคิดแตกต่างหลากหลาย และเราก็เป็นประเทศเปิดมายาวนาน เราไม่ใช่เกาหลีเหนือ ที่บังคับให้คนคิดอยู่ในกรอบคับแคบเดียวกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แล้วไง ประเทศไทย 
 
ถ้าใครมีความคิดแตกต่าง ก็จะโดนบีบคั้น กีดกัน กักขัง เข่นฆ่า แล้วจะอยู่กันอย่างไร

จะไล่ไปอยู่ที่อื่น สมัยก่อนอาจทำได้ เช่น อังกฤษไล่คนไม่เอาเจ้า ไล่ไปอยู่อเมริกา เอาไปปล่อยเกาะทวีปออสเตรเลีย แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แล้ว

เป็นแบบนี้ เราจะทำยังไง...เราก็ถอนใจสิครับ ไอ้รัฐประหารเพื่อแช่แข็งประเทศไทย มันทำกันมาตั้งแต่สมัยเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2500 กวาดคนมีความคิดก้าวหน้าเข้าคุกเป็นร้อย แช่แข็งประเทศไทย รื้อฟื้นประเพณีโบราณของพวกศักดินา เข่นฆ่าประหารชีวิตคนที่คิดต่าง
ตอนนั้น ผมเพิ่งอายุสามขวบเอง นี่จะหกสิบปีแล้ว เขาก็ยังทำกันอยู่อย่างนั้น ยังตั้งหน้าตั้งตาจะแช่แข็ง จะให้เราทำยังไง ก็ถอนใจ หายใจเข้าลึกๆ 
 
การจะเปลี่ยนความเคยชิน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำของคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

หลายคนรอการเปลี่ยนฤดูกาล คือเปลี่ยนรัชสมัย พูดตามตรง ผมไม่รู้ ไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง ว่าเปลี่ยนรัชสมัยแล้ว จะดีขึ้น หรือแย่ลง

แต่มากกว่าการรอคือ เรายังต้องทำงานของเรา ทำอะไร งานปฏิวัติความคิด ครับ

การปฏิวัติ ไม่ใช่เอาปืนไปจี้หัว ให้คนยอมคิดและทำตามต้องการ อันนั้นมันแบบ เขมรแดง แบบปฏิวัติวัฒนธรรมของลัทธิเหมาเจ๋อตุง และแบบเผด็จการสตาลิน

การปฏิวัติ เริ่มต้นที่สมอง ที่ความคิด จิตใจ ไม่ใช่จี้บังคับ

เช่น บางคนเคยงมงายศักดินาอย่างหนัก พอได้อ่านหนังสือเรื่อง “เดอะท้าวสามลไม่เคยยิ้ม” ก็บอก โถ หลงกราบไหว้มานาน

นี่แค่เรื่อง ข้อมูล ขอโอกาสให้ข้อมูลได้ทำงาน ผู้คนจะตาสว่าง ไม่ต้องมาทะเลาะ ขัดแย้ง หรือมาฆ่ากันตาย งานปฏิวัติ ต้องทำอย่างนี้

สำหรับคนที่อยู่ในสายงานศิลปวัฒนธรรม อย่างผม และเพื่อนๆ มองตัวอย่างในอดีตสิครับ การปฏิวัติประชาธิปไตยในฝรั่งเศส จนถึงรัสเซีย (ที่แม้เรียกตัวเองว่า ปฏิวัติสังคมนิยม แต่แท้จริง ยังเป็นปฏิวัติประชาธิปไตย) ล้วนเริ่มต้นปูพื้นปฏิวัติความคิดด้วยหนังสือ การ์ตูน 

ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติรัสเซีย ภาพการ์ตูน มีบทบาทมาก เขาจะพิมพ์ภาพการ์ตูนไปติดตามกำแพง ข้างฝาบ้าน เช่นภาพว่า สังคมรัสเซีย มันมีชนชั้นสูงเอาเปรียบกันมาเป็นชั้นๆ โดยชนชั้นชาวนา ซึ่งเป็นทาสติดที่ดิน แบกภาระอยู่ในชั้นล่างสุด

ในรัสเซีย นักเขียนมีบทบาทปูพื้นให้ผู้คนในสังคม มองเห็นว่า คนชั้นล่างเป็นคน เป็นมนุษย์ ไมใช่เป็นควายแดง ไม่ใช่เป็นสมุนทักษิณ ดังเช่นในงานเขียนของ อันตัน เชคอฟ, นิโคไล โกโกล ตลอดจนงานของ แม็กซิม กอร์กี้ย์, ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้, ลีโอ ตอลสตอย

เช่นเดียวกับนักเขียนฝรั่งเศส รูซโซ, วอลแตร์ ฯลฯ ได้ปูพื้นมาก่อนปฏิวัติ ในปี 1789 กระนั้น ก็ยังวุ่นวาย ฆ่ากันตายเยอะ แถมพลิกเกมกลับไปกลับมาหลายสิบปี กว่าจะสงบ

ดังนั้น ในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เรายังต้องทำงานปฏิวัติความคิดต่อไป ซึ่งที่ผ่านมานักคิด ศิลปิน นักเขียน กวี รุ่นที่ได้รับกระแสเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้ทำมาขั้นตอนหนึ่ง แล้วเว้นว่างไป คนรุ่นเราต้องช่วยกันทำต่อครับ

ที่ผ่านมา อย่างด้านเพลง น้องๆวงดนตรีไฟเย็น ทำหน้าที่ได้ดี เขาไม่ได้กินแดนล่วงเกินไปในพื้นที่ของฝ่ายศักดินา แต่เขาปกป้องพื้นที่ของฝ่ายประชาชน เมื่อฝ่ายศักดินา กินแดน เข้ามา เช่นเพลง ไม่รักนะ ระวังติดคุก

ศิลปิน กวี นักเขียน นักเพลง นักคิด นักพูด นักวิชาการเสวนา ฯลฯ ท่านทั้งหลายมีบทบาทอย่างมาก ในการปฏิวัติความคิดในสังคมไทย เพื่ออะไร เพื่อจะได้ไม่ต้องทำสงครามกลางเมืองกันรุนแรง ไม่ต้องไล่ฆ่า ไม่ต้องตายกันทีละมากๆ เพราะคนที่ตายนั้น คือพี่น้องเรา คือญาติมิตร และอาจเป็นกระทั่ง ตัวเราเอง

นี่คือความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า แนวรบศิลปวัฒนธรรม

มันคือการ รักษาโรคเพื่อช่วยคน ฆ่าเชื้อร้าย ฆ่าโรคาพยาธิ ที่อยู่ในหัวสมองคน เพื่อช่วยเหลือคน ด้วยความรักและเมตตา

สาม มองเห็นอนาคตหรือหนทางที่สังคมไทยจะเปิดทางให้พี่และเพื่อนๆได้กลับมามีบทบาททางสังคมการเมืองได้อีกหรือไม่ เร็ว ช้าแค่ไหน

ตอบ ยังมืดแปดด้าน มองไม่เห็นอะไรเลย

ผมเอง ไม่ได้ชะเง้อว่า เมื่อไรจะได้กลับบ้าน อยู่ที่ไหน ในประเทศ นอกประเทศ หรือไปอยู่ดาวอังคาร ไม่มีปัญหา ไม่ท้อ ไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหน เราก็มีบทบาททางสังคมการเมืองได้ หัวใจเกินร้อย (ขี้คุยนะตาวัฒน์)

สี่ อัจตามคดีก์อฟกับแบงก์อยู่ คิดว่า การใช้แบบขยายวงของ112 ในตอนนี้(ทั้งตำรวจและอื่นๆ) มันจะมีผลต่อสถาบันหลักๆในสังคมยังไงบ้าง

ตอบ คดีละครเจ้าสาวหมาป่า มันคือสุดยอดดราม่าที่ชาวโลกสากลมองดูแล้วจะสมเพชเวทนา เพราะภาพมันออกมาว่า คนแก่เหลาเหย่ รุ่นอายุเก้าสิบสี่ อายุ แปดสิบเจ็ด ออกมาวิ่งไล่ตะครุบจับเด็กรุ่นหลานเหลน แล้วก็หอบแฮ่กๆ ให้คนเขาหัวร่อโห่ฮา

พูดจริงๆ ไอ้การเล่นลิเก ละคร สะท้อนวิจารณ์เจ้า มันเป็นประเพณีไทยมาแต่ดั้งเดิม เจ้าไทยสมัยโบราณเขาไม่ถือสา จะสร้างบทให้พระราชาผิดเพี้ยน งมงาย บ้าเซ่อ หลงเมียน้อยไม่ลืมหูลืมตา หลงเชื่อโหราจารย์ที่รับสินบนมา เชื่อไสยศาสตร์งมงาย เขาทำกันมานานแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่สอง ท่านยังไปหยิบเอาละครพื้นบ้านเหล่านั้น มานิพนธ์เป็นบทกลอนละครนอก เอาไว้เตือนใจพวกเจ้าด้วยกัน หัดสำเนียกไว้บ้าง พวกที่บ้าสถาบัน คลั่ง 112 

คือนิทาน ละครเหล่านั้น มันเป็นมันเป็นรูระบายความร้อนเดือดในอารมณ์ของอาณาประชาราษฎร์ โบราณเขาไม่ถือกัน ทั้งที่เป็นยุคศักดินาโบราณ เพราะเมื่อกาน้ำเดือด ต้องมีรูระบาย แต่มายุคศักดินาตกค้าง มันเพิ่งมาถือสาบ้าบอคอแตกกันไม่เกินห้าสิบปีนี้เอง ร้องเพลง เล่นละคร มันตามมาไล่จับเข้าคุก ต่อไปลิเก ละครชาตรี พวกนี้ ต้องเลิกเล่นหมด กาน้ำเดือด ไม่มีรูระบาย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ความรัก ความศรัทธา ต้องออกมาเอง จากหัวใจผู้คน ไม่ใช่เอากฎหมาย 112 ไปบังคับให้รัก ใครไม่รัก ต้องติดคุก 

อย่าว่าแต่รักสถาบันกษัตริย์เลย แค่รักผู้หญิงสักคนหนึ่ง ผมเอาปืนไปจี้ เอากฎหมายไปบังคับเขาได้ไหมว่า เอ็งไม่รักกู เอ็งต้องตาย ต้องติดคุก แล้วเขาจะรักเหรอ




ถามจริงๆ คุณใช้อะไรคิดนะ จึงไปบังคับให้คนต้องรักคุณ คนตั้งเกือบเจ็ดสิบล้าน บางคนเขาอาจไม่รักคุณ แล้วคุณจะฆ่าเขาหรือ มีแต่คนเป็นโรคจิตอย่างรุนแรงเท่านั้น ที่ต้องการให้คนทั้งเจ็ดสิบล้านคน รักตัวเองคนเดียว รักคนอื่นไม่ได้นะ ไม่รักไม่ได้ ไม่รักต้องติดคุก..โอ๊ย ผมจะอธิบายกับพวกโรคจิตอย่างไรดี

แล้วผลจะเป็นอย่างไร ผลคือ คนจะรักคุณน้อยลง น้อยลงเรื่อยๆไง รุ่นหลานเหลน เช่น อั้ม เนโกะ เขาเปิดเผยตัวตนเลยว่า เขาต้องการ รีปับลิก แล้วยังไง คุณจะไปไล่ฆ่า รุ่นหลานอย่าง อั้ม เนโกะ หรือ

ไอ้รุ่นผม เรียกร้องเบาะๆแค่ ให้กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญจริงๆ ซึ่งผมเห็นว่า เป็นข้อเสนอที่ทุกฝ่ายน่าจะหยวนๆกันได้ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินกันมากไป เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย สามารถอยู่กันไปได้อย่างมีความสุข ทั้งฝ่ายอำนาจราชา และฝ่ายอำนาจประชา แต่โดยความเป็นจริง เห็นกันอยู่ว่าฝ่ายอำนาจราชา เขาไม่แคร์ ไม่สนใจ มีแต่ไล่ฆ่าไล่จับเข้าคุก ขนาดคนไปเขียนในห้องน้ำยังไล่จับมาเข้าคุกเลย ผมว่า มันวิปริตแล้วนะครับ แค่จะไปเขียนระบายในห้องน้ำยังทำไม่ได้เนี่ย

ห้า พี่มีอะไรจะฝากถึงคนในประเทศที่ยังดิ้นรน พยายามแสดงออกในสิ่งที่ตนเองคิดและเชื่อ อยู่ไหม

คิดว่าคนข้างในจะดิ้น จะโวยวายกันไปได้กี่มากน้อย

ผมเชื่อในหลักคิดของพุทธศาสนา หัวใจของศาสนาพุทธ เขียนไว้ตามฐานพระพุทธรูปโบราณว่า เย ธัมมา เหตุปภวาฯลฯ ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ดำรงอยู่แต่เหตุ และต้องดับที่เหตุ คุณธรรมกี่ประการก็เอาไม่อยู่หรอกครับ ถ้าเหตุแห่งทุกข์ มันยังอยู่ ทุกข์คือการเป็นเผด็จการ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก เขาก็ต้อง ออกมาชูสามนิ้ว อย่าลืมว่า ในสมัยสงครามเย็น อเมริกาได้สร้างภาพ สร้างความเคยชินว่า ประเทศไทยนี้ ต่างจากประเทศคอมมิวนิสต์นะ มีสถาบันกษัตริย์นะ และเป็นประเทศเปิด มีเสรีภาพนะ ก็สร้างภาพมาอย่างนี้ จนเป็นความเคยชินว่า คนไทยต้องมีเสรีภาพนะ มันไม่เหมือนเกาหลีเหนือ ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์รัสเซียและจีนสร้างภาพไว้ว่า ต้องเป็นเมืองปิด ต้องแช่เข็ง ความเคยชินที่ต่างกัน จึงทำให้คนไทย ยังต้องออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพ เพราะอยู่ๆ คุณจะมาแช่แข็งให้อยู่กันแบบเกาหลีเหนือ รับไม่ได้หรอก ขอบอก ว่าหากไม่ผ่อนปรน ไม่เข้าใจฐานที่มีของสังคมไทย สักวันมันอาจเกิดเรื่องน่าเศ้ราขึ้น

หก ต่างชาติ หรือแม้แต่องค์กรอย่างเสรีไทย ของคุณจารุพงศ์ จะเกี่ยวข้อง เกื้อหนุนกับคนลี้ภัยต่างแดนได้อย่างไร

เสรีไทยต้องถามเขาเองครับ ยังไงๆเราก็ต้องชื่นชมในจุดยืนของเขา ส่วนอนาคตข้างหน้า ก็ดูกันไป ถึงอย่างไร ผมก็ชื่นชมจุดยืนของกรรมการเสรีไทย อย่าง ท่านจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และคุณจักรภพ เพ็ญแข ที่ไม่คลอนแคลน ไม่ยอมทำตามเสียงเกลี้ยกล่อมจากเมืองไทย เท่านี้ก็ชื่นใจครับ ส่วนคนลี้ภัยนั้น เสรีไทยแถลงมาแล้วว่า “ช่วยตัวเอง”

เจ็ด มีอีกเรื่องที่อาจดูน่ารำคาญ แต่คนไทยยังงมงายและคิดว่า ทุกคนที่ออกนอกประเทศได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากทักษิณ และอาจจะมีสถานภาพที่ดี(พยายามเสี้ยมว่าดีกว่าคนอยู่ในประเทศ) จริงๆแล้ว คนต่างแดน ได้สื่อสารและเข้าใจเป้าหมายและแนวทางของทักษิณกันแค่ไหน เป็นพวกเดียวกันจริงๆเหรอ

อ้าว พวกเรากับทักษิณ ร่วมชะตากรรมกันมายาวนานแล้วนะครับ นับแต่รัฐประหาร ปี 2549 ส่วนบางครั้งเรารู้สึกว่า ทักษิณไปโดนเขาหลอกอีกแล้ว นั่นก็เป็นรายละเอียด เงื่อนไขชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังไงก็ยังรัก ยังเห็นใจกันอยู่ ยิ่งออกมาอยู่ต่างแดนเหมือนกัน ยิ่งเข้าใจหัวอกของทักษิณ ที่ต้องออกมาก่อนเรา นานมากแล้ว 

ไอ้เรื่องการช่วยเหลือทางการเงิน มันเป็นความจริงของชีวิต เวลาลำบาก มีคนมาช่วย เราย่อมจดจำรำลึก และคนช่วย มักกำชับว่า “ไม่ประสงค์ออกนาม” ผมมีน้องๆนักเขียน มีเพื่อน มีสหายรุ่นเข้าป่า ช่วยกันไปตามมีตามเกิด กูไม่รวย แต่กูอยากช่วยมึง ประมาณนี้ บางทีมีคนรวยมาช่วย ก็ยิ่งดีสิครับ ชอบนะ จะบอกให้ ไม่เคร่งเครียดหรอก พอได้อยู่ได้กินไปวันๆ ไม่เป็นภาระอะไรมาก 

ผมเคยผ่านช่วงชีวิตที่ต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ส่งลูกสามคน จนเรียนจบหมด อันนั้นหนักกว่ามาก ตอนนี้ แค่เลี้ยงตัวเองคนเดียวไปวันๆ ไม่มีปัญหาครับ 
 
ส่วนเรื่องเป้าหมาย ตอนนี้เรากับทักษิณมีเป้าเดียวกัน เป้าหมายใกล้ๆแค่นี้ ยังไม่เป็นจริงเลย

ผมไม่ใช่พวกลัทธิคัมภีร์ ประเภทว่า ร่วมกับชนชั้นนายทุนโค่นชนชั้นศักดินา แล้วค่อยโค่นชนชั้นนายทุน ปะโธ่ คนจะต้องร่วมเป็นร่วมตายกัน แล้วยังคิดมาโค่นกันเองอีก คิดได้ไง บ้า..โค่นนี้เสร็จ จะไปโค่นโน้น แล้วใครเขาจะร่วมมือกับคุณ เพ้อฝันนะ อายุก็มากๆกันแล้ว 

ผมต้องการแค่ทำความฝันแปดสิบปี ของคนรุ่นนายปรีดี พนมยงค์ ให้เสร็จ คือเป็นประชาธิปไตย มีรัฐสวัสดิการ ประชาชนมีสิทธิ มีเสรีภาพ พอแล้ว แค่นี้ ไม่รู้จะได้เห็นหรือเปล่าในชาตินี้ ปู้โธ่ ดูสิ ในคุก ก็เต็มไปด้วยนักโทษการเมือง นักโทษ 112 นี่คือความจริง ถ้าคุณเป็นนักลัทธิมาร์กซ หัวใจของลัทธิมารกซ์ คือ อยู่กับความจริง ไม่เพ้อฝัน ไม่คิดเองเออเอง

แล้วของแถมประเภท เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ นั่นผมก็ไม่เอาเด็ดขาด ใครติดคัมภีร์ อยากได้เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์รัสเซียในยุค สตาลิน ประชาชนเป็นสิบๆล้าน ต้องลำบากเดือดร้อนติดคุกล้มตาย ภายใต้เผด็จการสตาลิน ที่อ้างว่าเป็นเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ อีกทั้งพวกกวี นักเขียนรัสเซีย พากันเข็ดหลาบที่สุด 

และถ้าจะทำงานใหญ่ ขอให้เลิกคิดเล็กคิดน้อยกันเสียที เรื่องจุกๆจิกๆ แบบแย่งเศษกระดูกกัน มีปัญหาก็คุยกันภายใน อย่ามาสาวไส้ให้กากิน มองโลกตามความเป็นจริง 

การทำงานใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ที่จะไม่มีสปอนเซอร์หนุนช่วย กองทัพเรดการ์ด ของ เลนิน ติดปืนพรึ่บเดียวสี่หมื่นกระบอก เพราะมีเยอรมันหนุนช่วย

เหมาเจ๋อตุงสร้างฐานที่มั่น เลี้ยงกำลังพลหลายหมื่นคนได้ เพราะสตาลินช่วยส่งเงินปีละหลายล้านรูเบิลให้ รวมไปถึง โฮจิมินห์ เจ้าสุภานุวงศ์ กำลังอาวุธ ปัจจัยต่างๆ มีจีน มีรัสเซียช่วย จึงรบชนะฝรั่งเศส รบชนะอเมริกา (พูดอย่างนี้ ไม่ได้มองข้ามการร่วมแรงร่วมใจกันของผู้รักชาติเวียดนาม – ลาว นะครับ มันเป็นเงื่อนไขมาประกอบกัน เพื่อชัยชนะ) 

ฟิเดล คัสโตร แห่งคิวบา ก็เช่นกัน

ส่วน เช กูวาร่า ไปเข้าป่าโบลีเวีย ไปไม่รอดเพราะอะไรล่ะ ขนาดได้นมมาไม่กี่กระป๋อง เชยังต้องไปทะเลาะกับลูกน้อง เพราะเชไม่มีสปอนเซอร์ใหญ่ มีแต่สปอนเซอร์รายย่อย อย่าง จังปอลซาร์ต นักเขียนฝรั่งเศส 

พคท. หรือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต้องยุติบทบาทเมื่อคอมมิวนิสต์จีนมาจับมือกับขุนศึกและศักดินาไทย หยุดการให้ สปอนเซอร์ นี่คือเรื่องของ สปอนเซอร์การเมือง

แปด ถ้าจะให้ย้อนกลับแก้ไขอดีตเมื่อเร็วๆนี้ คิดว่าเรื่องใดที่ไม่ควรเกิดขึ้น หรือควรจะได้บังเกิดขึ้นมากที่สุด เช่น เหมาเข่ง ไม่มีแล้วเพื่อไทยอยู่ยาวไป หรือจริงๆเสื้อแดง ต้องไม่มีการใช้อาวุธตั้งแต่ปี53 หรือจริงๆต้องบีบเรื่องแก้112ให้มากกว่านี้ หรือจริงๆไม่ควรผลักดันเรื่องนี้ให้พวกเขากลัวจนต้องกวาดล้างหนักอย่างนี้ หรือเพราะสื่อ มันห่วย ฯลฯ

อดีตแก้ไขไม่ได้ ให้มันผ่านไป เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ธรรมชาติของขบวนการต่อสู้ก็เป็นอย่างนี้ คือจากอ่อนหัด ไร้เดียงสา แล้วจึงค่อยเติบโตขึ้น มันเป็นเรื่องของคนจำนวนมาก การจะเข้าใจร่วมกัน ย่อมต้องผ่านประสบการณ์ร่วม

อย่างเรามองเห็นว่า นปช.มีมวลชนมากมายมหาศาล ทว่า ไม่มีการจัดตั้งในทางลึกเลย พอโดนโจมตี พอเพลี้ยงพล้ำ ก็ย่อมแตกสลาย เป็นเรื่องที่มองเห็น แต่เราไปทำอะไรไม่ได้ 

ช่วงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม ขนาดระดับแกนนำเวที นปช. ยังไปไม่เป็นเลย ติดแหง็กแถวชายแดนไทย จนต้องกลับไปรายงานตัว เพราะไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีการเตรียมทางหนีทีไล่ ไม่อยากทับถมนะครับ มองเป็นบทเรียน แนวทาง ยึดอำนาจรัฐด้วยไมโครโฟน นั้น ต้องคิดให้ลึกกว่าเก่า 
 
จะเหมาเข่ง ไม่เหมาเข่ง เพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ พวกนี้ เราอ่านโครงสร้างการเมืองไทย ที่ยิ่งลักษณ์อยู่มาได้สองปีกว่า นี่นับว่ายอดหญิงเก่งมากแล้ว เกินคาดนะ และ ฝ่ายเจ้า เขาก็อดทนอยู่เหมือนกัน แต่เราต้องรู้ว่า วันหนึ่ง เขาต้องฟาดยิ่งลักษณ์ลงไป มันเป็นเกมเดินฝ่ากับระเบิด แล้วแต่ว่า ก้าวไหนน้องปูจะไปเหยียบระเบิด นี่คือชะตากรรมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของปวงชนชาวไทย ในขณะที่ฝ่ายศักดินา ยังคุมอำนาจแท้จริงไว้

ไม่อยากไปเรียกร้องฝ่ายไหนในการแก้ไขอดีต ผมนึกถึงแต่ว่า พวกคนรุ่นผมที่ผ่านประสบการณ์สมัยเดือนตุลามา ทั้งปี 2516 และ 2519 เคยเข้าป่า พวกเราขาดการเชื่อมโยงประสบการณ์เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป คือเว้นวรรค หยุดสนใจเรื่องพวกนี้ ไปทำมาหากิน สร้างครอบครัว สร้างตัว เลี้ยงลูก เป็นพักใหญ่ กว่าจะกลับมาพบว่า โครงสร้างสังคมการเมืองไทย มันไม่พัฒนา หนำซ้ำ ห่วยแตกกว่าเดิม เสียใจตัวเองในเรื่องนี้ มันเป็นอดีตที่ไก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้น สูจงทำปัจจุบันและอนาคตให้ดี

ขอบคุณพี่ที่อดทนกับคำถามที่แลดูเหมือนมาจากนอกโลก

ผมต่างหาก อยู่นอกโลก ยิ่งอยู่นอกโลก เมื่อมองกลับเข้ามา ยิ่งมองเห็นโลก ตอแหลแลนด์ ชัดเจน