เชื่อว่าน่าจะไม่เป็นการย้อนแย้ง หรือ irony เกินการ หากตัดตอนเอาบทกลอนที่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขียนสำหรับ จิตร ภูมิศักดิ์ ไว้เมื่อครั้งที่เขาอาจจะยังไม่รู้ตนเองว่าเป็น ‘เหลืองในเมืองหลวง’ มาสะท้อนความเป็นไปของหนึ่งหน่วยการผลิตทางวรรณศิลป์ในประเทศไทยที่ชื่อ ‘อ่าน’ ได้
“ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
ยังดีกว่าใบไม้เหลืองในเมืองหลวง
ที่รอปลิดหล่นเปล่าประโยชน์ปวง
เป็นด่างดวงดำเปื้อนในป่าคน
ใบไม้ป่าร่วงแล้วได้เลี้ยงป่า
ทิ้งลงมาเลี้ยงรากเลี้ยงลำต้น
เหมือนแม่ให้นมลูกปลูกฝังจน
ลูกเติบตนโตแทนเต็มแผ่นดิน
เมื่อเมืองคนคับคั่งด้วยคนป่า
คนดีก็ด้อยค่าเหมือนกรวดหิน
เมื่อสัตว์ป่าสร้างป่าไว้หากิน
สัตว์เมืองก็ต้องสิ้นวิสัยเมือง...”
ยังดีกว่าใบไม้เหลืองในเมืองหลวง
ที่รอปลิดหล่นเปล่าประโยชน์ปวง
เป็นด่างดวงดำเปื้อนในป่าคน
ใบไม้ป่าร่วงแล้วได้เลี้ยงป่า
ทิ้งลงมาเลี้ยงรากเลี้ยงลำต้น
เหมือนแม่ให้นมลูกปลูกฝังจน
ลูกเติบตนโตแทนเต็มแผ่นดิน
เมื่อเมืองคนคับคั่งด้วยคนป่า
คนดีก็ด้อยค่าเหมือนกรวดหิน
เมื่อสัตว์ป่าสร้างป่าไว้หากิน
สัตว์เมืองก็ต้องสิ้นวิสัยเมือง...”
ใบไม้ ‘อ่าน’
ใช่ว่าจะร่วงหายเฉกเช่น ‘ใบไม้ป่าชื่อ
จิตร ภูมิศักดิ์’ แต่การพลิกผันและร่วงโรยก็ก่อกำหนดผลกระทบแห่งการสูญเสียประดุจเดียวกัน
บทบันทึกเชิงรำลึกชิ้นนี้ปักไว้เพื่อชี้ให้เห็นถึงบรรยากาศขัดขวางทางก้าวหน้า
ในความหมายแอบอิงกับคำอังกฤษที่ว่า progressive ด้านความคิดอ่าน
ด้านสิทธิเสรีภาพ และเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของประชาชน ‘ในราชอาณาจักรแห่งนี้'
โดยเนื่องมาแต่ คำชี้แจงถึงผู้อ่าน ของบรรณาธิการวารสาร ‘อ่าน’ ที่จากตัวตนอันเป็นอยู่ อาจดูน้อยนิดแค่ประติ้ว หากแต่พลังสร้างสรรค์ที่เป็นมา มหาศาลยิ่งนัก ความว่า
“สืบเนื่องจากการรัฐประหาร
โดยพวกทหารที่เรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ – หรืออะไรก็ช่าง รวมทั้งการกวาดล้างกวาดจับกวาดเรียกตัวผู้เห็นต่างในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
และการบังคับโดยคำสั่งของผู้เถลิงอำนาจเหล่านั้นให้ประชาชนทำหรือไม่ทำอะไร ดิฉันเสียใจที่จะต้องเรียนให้ทราบว่า วารสาร อ่าน ไม่เพียงไม่สามารถออกตามกำหนดได้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่าน
มา แต่ในภายภาคหน้าที่ยังไม่รู้ว่าอะไรจะตามมาอีกในราชอาณาจักรแห่งนี้ ดิฉันจนใจที่จะคาดเดาได้จริงๆว่าเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ
ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจะกระทบต่อการทำงานของเราอย่างไรอีก...
มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่โตเกินไปหากดิฉันจะยังทำวารสาร
อ่าน ต่อไปโดยหันไปพูดเฉพาะเรื่องที่
‘ปลอดภัย’และเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากวารสาร อ่าน วางตัวเองไว้ว่าเป็นวารสารด้านการวิจารณ์
ดิฉันยังคงยืนยันว่าจะต้องพยายามพูดให้ได้ในทุกเรื่องที่ช่วยไม่ได้ว่ามันเกี่ยวข้อง
ต่อให้ต้องยอมรับอย่างละอายว่าที่ผ่านมามิใช่จะไม่ได้ทำงานบนฐานของการเซ็นเซอร์ตัวเองอยู่เป็นระยะ
เพียงแต่ดิฉันจะไม่ยอมถอยหลังไปกว่านี้
หากมิใช่เสียแล้วก็ขอให้เป็นอันเข้าใจกันว่า ไม่ต้องมี...”
ไอดา | DEAR READer
ยางอายอายแอบสิ้น
สาบสูญ
เบ็ดเสร็จบริบูรณ์
ประหาร
ที่หายที่ไม่เห็น
หดเหี้ยน เกินกอบ
คือหัวประชาชนนั่นแล้ว
– มันลืม.
และคลิปนี่เป็นมิติหนึ่งแห่งตัวตนของ ไอดา อรุณวงศ์ :
ที่ผู้ใช้นาม 'คืนความจริง
ประเทศไทย' กรุณาให้กรอบใจความไว้ว่า
“ไอดา
อรุณวงศ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์อ่าน ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นพื้นที่ของการวิจารณ์ที่เชิงอรรถไม่มีราคาเท่าการกล้าแสดงน้ำเสียง
อคติ จุดยืน (และกระทั่งรวมถึงอารมณ์ขันทั้งที่ขื่นและไม่ขื่น)
และเป็นพื้นที่ของการวิจารณ์ที่ต้องสามารถตรวจ สอบ
โต้แย้งได้ และไม่อนุญาตให้ผูกขาดการมี “judgement of taste” ไว้ที่อาวุโสหรือฐานันดรทางวิชาการใด ทว่าทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนฐานของความรับผิดชอบ และรอบด้านในการกลั่นออกมาเยี่ยงงานวิชาการ และเหนืออื่นใด ต้องเป็นการวิจารณ์ที่ไม่บอดใบ้ต่อการเมืองวัฒนธรรมที่ดำเนินไปในโลกที่แวดล้อมการอ่านนั้น
แม้จะตระหนักอยู่ร่วมกันถึงข้อจำกัดในสังคมที่เพดานการวิจารณ์ในทางการเมืองวัฒนธรรมต่ำใต้ธุลี
http://readjournal.org/about/
วารสารอ่าน ภายใต้การกำหนดทิศทางของไอดา อรุณวงศ์ จึงกลายเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานของนักวิชาการ นักศึกษา นักวาดภาพล้อเลียน นักวิจารณ์สังคมและการเมือง นักเขียนและอื่นๆ ที่ฝีมือดีและกล้าหาญที่สุดหลายต่อหลายคน"
http://readjournal.org/about/
วารสารอ่าน ภายใต้การกำหนดทิศทางของไอดา อรุณวงศ์ จึงกลายเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานของนักวิชาการ นักศึกษา นักวาดภาพล้อเลียน นักวิจารณ์สังคมและการเมือง นักเขียนและอื่นๆ ที่ฝีมือดีและกล้าหาญที่สุดหลายต่อหลายคน"