ภาพจาก UASEAN |
โดย Les Miserable
ที่มา Internet to Freedom
ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องพบกับหายนะแห่งการดำรงชีวิตอย่างหนักหน่วงแน่นอนแล้ว เพราะสัญญานทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของ 2557 นั้นเห็นชัดแล้ว ทุกรายได้สำคัญของประเทศที่มาจากการก้มหน้าก้มตาทำงานของประชาชนอันตรธานไปหมด นักท่องเที่ยวหายเกลี้ยง มาเที่ยวเมืองไทยไม่ได้ ไม่มีผู้ให้ประกันการท่องเที่ยวเพราะประเทศนี้อยู่ใต้กฎอัยการศึก โรงแรมระดับโลกในกรุงเทพ ฯ และภูเก็ตที่เต็มตลอดชาติมี Occupancy เหลืออยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นการจองข้ามปีจากปีที่แล้ว พัทยานักท่องเที่ยวยุโรปตะวันออกและโดยเฉพาะรัสเซียหายเกลี้ยง เพราะโดนชาติตะวันตกบีบเศรษฐกิจหนัก ตลาดนัดจตุจักรที่การเซ้งแผงหมายถึงกำไรงามของผู้เซ้งมาตลอด เพราะเป็นแหล่งช้อปปิ้งใหญ่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยธรรมดา ๆ ตอนนี้เจ๊งกันระเนนระนาด ปิดป้ายเซ้งต่อกันเป็นแถว ปิดร้านหนีซัพพลายเออร์ก็ยังมี
เรื่องพวกนี้สลิ่มไทยทุกคนก็รู้ดี เพราะมันเข้ามากระทบกับชีวิตประจำวันของคนพวกนี้กันถ้วนหน้าแล้ว เวลาพูดคุยกับเพื่อนสลิ่มและเพื่อนทหารใหญ่ ๆ ว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันอย่างไรไม่เห็นมันตอบอะไรได้สักคน เพราะพวกมันต่างก็รู้กันดีว่า การแก้ปัญหานั้นมีวิธีเดียวคือกลับไปสู่ประชาธิปไตยเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจไทยวันนี้มันต้องพึ่งตลาดโลก ใช้การนำเข้ามาเพื่อผลิตแล้วส่งออกเป็นรายได้ควบคู่กับการท่องเที่ยว สินค้าเกษตรก็ส่งออกวัตถุดิบแบบไม่ได้ราคา ถ้าควบคุมกระบวนการผลิตได้หมดแล้วไม่ทำอะไร รอราคาดีค่อยเอาออกมาทุ่มตลาด แบบอเมริกาทุ่มตลาดน้ำมันโลกกระทืบคนอื่นได้ อย่างนี้ถึงจะเป็นเสือซุ่มรอเวลาทะยาน แต่ถ้าเป็นประเทศที่ไม่มีใครเขาคบค้าเพราะเป็นเผด็จการแบบทุกวันนี้เขาเรียกว่า เศรษฐกิจแบบหมาขี้เรื้อน จะเดินไปไหนก็มีแต่คนเบือนหน้า
ตอนนี้ได้ข่าวว่าพยายามหาคนเก่ง ๆ มาแทนทีมที่อำมาตย์ยัดเข้ามา เพราะทีมอำมาตย์ไร้น้ำยา แนวคิดการแก้ปัญหาไม่มี ได้แต่ออกนโยบายรีดไถประชาชนตาดำ ๆ ไปวัน ๆ จนทุกวันนี้โดนกันหนัก สินค้าอุปโภคบริโภคแพงกันแบบบัดซบ แต่ทีมเศรษฐกิจก็ยังพยายามขูดรีดประชาชนในทุกทางเพื่อหาเงินมาให้ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ถลุงกันเพลินเท่านั้น เพราะไม่มีใครเคยทำมาค้าขายอะไรเลย เป็นแค่อดีตพวกนั่งกินดอกเบี้ยกับข้าราชการทำตามนโยบาย มันจะรู้เรื่องการตลาดตรงไหน
เท่าที่รู้ความพยายามหาทีมเศรษฐกิจใหม่นั้นยากเย็นมาก มือเศรษฐกิจชั้นดีที่ประเทศนี้มีอยู่มากมายนั้น ไม่ยอมมาเปลืองตัวกันเลย เพราะพวกเขารู้ดีว่าเสียคนแน่ ถ้าเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาลเผด็จการทหาร และพวกเขาก็รู้ดีกันด้วยว่าทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่วันนี้เติบโตต่ำเตี้ยที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติเพียงไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นมีทางเดียวเท่านั้น คือประเทศต้องมีการเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยแบบที่สังคมโลกยอมรับ ไม่ใช่แบบที่พยายามให้พวกนักกฎหมายอุบาทว์ที่ร่างรัฐธรรมนูญให้โดนหาเรื่องฉีกทิ้งมาตลอด แต่ก็ยังหน้าด้านเข้ามาหากินกับการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้มันยัดเยียดมาให้ประชาชนอย่างที่กำลังทำกันอยู่หรอก
อานิสงค์จากผลการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในด้านการส่งออกกำลังจะหมดลงหลังคริสต์มาส ตอนนี้กำลังซื้อในประเทศหดวูบ ใครมีเงินเก็บก็ไม่ยอมจับจ่าย ไม่รู้ว่าปีหน้าจะมีเงินซื้อข้าวกินกันหรือเปล่า ขนาดสินค้าหากินกับคนจนแบบบะหมี่สำเร็จรูปยังย่ำแย่ มีหวังปีหน้าพินาศย่อยยับกันทั้งประเทศแน่ ทั้งนี้ก็เพราะประเทศไทยกำลังเป็นเสมือนหมาขี้เรื้อนที่ไม่มีใครคบค้า นอกจากประเทศที่ได้ประโยชน์จากการที่คนบางคนขายชาติให้เป็นเส้นทางทำมาหากินสบาย ๆ ของพวกเขาเท่านั้น โดยไม่ยอมเปิดตาดูว่า กำลังทำให้คู่แข่งทางการค้าของเราเองเติบใหญ่และที่สุดก็กลับมาทำให้เราลำบากกันหนักยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้น
ooo
จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพห้องขายของจำนวนหลายคูหา ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องว่างให้เช่าและมีแผ่นกระดาษเขียนข้อความติดไว้ว่า “เซ้งร้าน” พร้อมระบุว่า “ร้านแถวจตุจักรติดป้ายเซ้ง/ให้เช่าเพียบ ขนาดที่หัวมุมMRTเคยบูมสุดๆ” พร้อมมีถ้อยคำเสียดสีว่า “เศรษฐกิจกำลังจะดี จะหลอกตัวเองได้นานแค่ไหน”
ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์ออนไลน์” จึงได้ลงพื้นที่สำรวจตลาดนัดจตุจักร ว่าเป็นจริงตามที่ข้อมูลดังกล่าวโพสต์อ้างหรือไม่ โดยผลปรากฏว่า บริเวณหัวมุมของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรี (MRT) มีร้านค้าต่างๆ 3-4 ร้าน ปิดกิจการ ทั้งให้เซ้งหรือให้เช่าร้านต่อจากเจ้าของเดิม โดยมีแผ่นกระดาษติดประกาศไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับระบุเบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ให้ติดต่อจริง ทั้งนี้ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ยังพบเช่นเดียวกันว่า มีห้องว่างที่ปิดกิจการและว่างให้เซ้งหรือเช่าต่อ อาทิ โครงการ 1, 6, 9, 24 เป็นต้น
เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าบริเวณโครงการ1เปิดเผย “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า โครงการ 1 สถานีรถไฟฟ้าเพชรบุรีบริเวณนี้ จะเปิดร้านขายสินค้าเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งช่วงนี้ยอดขายรายวันลดลงจากเมื่อก่อนมาก โดนช่วงที่ขายดีสุดๆ ในหนึ่งเดือนเคยขายได้ประมาณ 3-4 หมื่นบาท แต่ทุกวันนี้แค่เดือนละ 1 หมื่นบาทก็ยังขายไม่ได้ ทำให้พ่อค้า-แม่ค้าปิดกิจการ และเซ้งร้านให้เช่าตามที่ติดป้ายประกาศไว้จริง
“โครงการ 1 จะเป็นร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นมือ 1 หรือของแบรนด์เนมเป็นส่วนใหญ่ ราคาค่าเช่าร้านอยู่ที่ประมาณ 22,000-24,000 บาทต่อห้อง แต่หากต้องการเป็นเจ้าของร้าน สามารถเซ้งร้านในราคาสูงถึงประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งในวันปกติก็สามารถเปิดร้านได้ แต่แทบจะไม่มีคนเดิน จึงไม่คุ้มกับเวลาและค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน”เจ้าของร้านรายดังกล่าวระบุ
เช่นเดียวกับเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าเด็กโครงการ 6 เปิดเผยว่า ช่วงนี้เงียบมากหากเทียบกับสมัยก่อน แม้จะมีคนเดินตลาดมากก็ตาม แต่ตนเองโชคดีที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ทั้งจำหน่ายปลีก-ส่ง จึงเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัวและค่าเช่าร้านที่ตกเดือนละ 11,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตลาดนัดจตุจักรมีร้านค้ากว่า 9,000 ร้านค้า แบ่งออกเป็นทั้งหมด 30 โครงการ มีทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย แฟชั่นทันสมัย หนังสือเก่า-ใหม่ ของเก่าของหายาก งานฝีมือหัตถกรรม เซรามิค เบญจรงค์ สัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์สำหรับสัตว์ ต้นไม้และอุปกรณ์จัดสวน ของแต่งบ้าน งานศิลปะ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป ซึ่งการสำรวจเบื้องต้น ซึ่งนอกเหนือจากโครงการ 1, 6, 9, 24 แล้ว โครงการอื่นๆ ที่เหลือ ก็ยังมีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ไม่คึกคักเท่าที่ควร บางโครงการก็มีการติดป้าย “ให้เซ้งร้าน-ให้เช่าร้าน” เช่นกัน แต่ไม่มากเท่ากับ 4 โครงการที่กล่าวมาข้างต้น
ขณะที่นางสิริมา หิรัญเจริญเวช ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "เดลินิวส์ออนไลน์" ว่า ตลาดนัดจตุจักรมีห้องเช่าขนาด 5 ตารางเมตร 8,900 ห้อง บนเนื้อที่ 68 ไร่ เสียค่าเช่ารายเดือน 3,157 บาท และภาษี 451 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,608 บาท ส่วนราคาค่าเช่าที่พ่อค้า-แม่ค้าจ่ายเป็นหมื่นๆ บาทนั้น เป็นราคาที่เจ้าของเดิมตกลงร่วมกับเจ้าของรายใหม่ แต่เจ้าของเดิมก็สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้เจ้าของรายใหม่ได้เช่นกัน โดยจะเสียค่าโอนให้กับการรถไฟฯเป็นเงิน 20,000 บาท
“คงเป็นทุกตลาดที่ขายของไม่ค่อยดี เพราะพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่เป็นแหล่งซื้อขายที่ดังที่สุดแห่งหนึ่ง กลายมาเป็นสถานที่นัดเจอกัน เดินเล่น หรือแฮงเอ้าท์ ซึ่งทำให้ยอดขายของพ่อค้า-แม่ค้าลดลง จนบางรายอยู่ไม่ได้”นางสิริมากล่าว
ooo
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
"ทุกวันนี้คนไม่กล้าจับจ่าย ถ้าให้เงินคนมีรายได้น้อย รู้ไหมเขาจะหมุนเงินใช้อีก 10 รอบ เขาจะซื้อของกิน ของใช้ ของที่เกิดจากประเทศ ไม่มีทางซื้อหลุยส์ วิตตอง กระเป๋าแพง ๆ หรอก แต่ถ้าเงินไปตกที่คนมีเงินอยู่แล้ว คนที่มีพร้อมทุกอย่างก็เอาเงินเข้าธนาคาร ก็ไม่เกิดการหมุนเงิน”นายธนินท์กล่าว
นายธนินท์กล่าวว่า คนมีรายได้น้อย ต้องทำให้มีรายได้มากขึ้น ซีพีก็ได้ประโยชน์ อย่านึกว่า เขามาจับจ่ายผมก็มีรายได้ เพราะถ้าเขายากจน ซีพีก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันนะ อย่าเข้าใจผิด มีคนถามว่า นี่ผมรักเมืองไทยหรือไม่ ผมบอกเลย ผมรักเมืองไทยมากกว่าคนอื่น รักไม่แพ้คนอื่น ถ้าเมืองไทยมีปัญหาผมจะเสียหายหนัก ผมก็ต้องรักเต็มที่ ผมจึงอยากจะให้ยกระดับคนรากหญ้าให้ดีขึ้น ให้ถูกต้อง ไม่ใช่เงินกระจุกอยู่กับคนร่ำรวยไม่มาก เงินก็ไม่กระจายคนมีเงินเอาไปฝากธนาคาร ถ้าให้เงินคนรากหญ้านะ บางอย่างหมุนเลย 10 รอบ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้นายกฯยังพูดถึงเรื่องหนี้ระยะสั้น กลาง ยาว ที่ต้องมีการวางแผน ทำอย่างไรให้เกิดห่วงโซ่ ไม่ใช่ต่างคนต่างไป
นายธนินท์กล่าวอีกว่า คิดว่าการจัดงานลดราสินค้าครั้งนี้จะมีเงินสะพัดถึง 5 หมื่นล้านบาท และอาจเป็น 5 แสนล้านบาท หากเงินไปถึงคนรากหญ้า เพราะการขายสินค้าอุปโภคบริโภคแบบนี้ คนทั่วไปนิยมกัน ทำให้โรงงานผลิตของขายได้ด้วย รัฐบาลคือผู้ที่โปรโมตสินค้ากระจายไประดับล่าง แม้สุดท้ายเอกชนอาจจะเสียบ้าง แต่เสียเพียงชั่วคราว ระยะยาวจะเป็นประโยชน์ในระดับกว้าง ดังนั้นต่อไปเราต้องมาวางแผนกันให้คนข้างล่างยั่งยืนขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกขณะนี้เป็นอย่างไรนายธนินท์กล่าวว่าจริงๆ แล้วเอเชียสะเทือนเพียงเล็กน้อย อย่างไทยก็ขายของในประเทศเอเชียด้วยกันกว่า 50% สมัยก่อนไทยต้องพึ่งประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรปเกินกว่า 50% แต่วันนี้เราพึ่งอเมริกา ยุโรปไม่เกิน 20% อีก 30% เราขายให้ทั่วประเทศทั้ง รัสเซีย ประเทศตะวันตก ตะวันออก ดังนั้นจึงต้องวางแผนสู่ตลาดเอเชีย
นายธนินท์กล่าวว่า นายกฯให้ข้อคิดเห็นที่ยอดเยี่ยมคือ มีเขตเศรษฐกิจให้กับนักธุรกิจ บอกไม่ต้องรอผังเมืองเขตเศรษฐกิจหรอก ให้นักธุรกิจดำเนินการรอเลย ผมก็อยากไปลงทุนอยู่ 2 แห่ง แห่ง 1 คือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อีกแห่งคือ แม่สอด จังหวัดตาก ถ้านักธุรกิจไทยอยากไปลงทุนที่ประเทศพม่า ก็ต้องเอื้อประโยชน์ทุกอย่างเท่าที่เรามีประสบการณ์ ถ้าอะไรที่เหมาะสมต่อการลงทุนผลิตในไทย เราก็ต้องส่งเสริมให้การผลิตในไทยมีความคล่องตัว แล้วไม่ใช่ดึงเฉพาะนักธุรกิจไทย แต่ต้องดึงนักธุรกิจข้ามประเทศ เพราะต่อไปการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) 10 ประเทศ จะมีการค้าข้ามมหาสมุทรอีกด้วย