“…ผมชักเริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่า ความพยายามที่จะดูแลปัญหาคอร์รัปชั่นจริงใจแค่ไหนและจะทำหรือเปล่า เพราะข่าวลือมันมากเหลือเกิน"
ที่มา สำนักข่าวอิศรา
วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา 17:39 น.
หมายเหตุ : ผู้ช่วยศาสตราจารย์”ปกป้อง จันวิทย์”คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สัมภาษณ์คุณ “อานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ในหัวข้อ “สนทนา 30 ปี ทีดีอาร์ไอ: สังคมเศรษฐกิจไทย:ความท้าทายและการปฏิรูป" ในงานสัมมนาวิชาการทีดีอาร์ไอประจำปี 2557 “ประเทศไทยในสามทศวรรษหน้า:สี่ความท้าทายเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ" เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน “สำนักข่าวอิศรา” ถอดความเนื้อหาที่น่าสนใจมานำเสนอคุณผู้อ่าน ดังนี้
@ มองอดีตย้อนไป 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอะไรดีขึ้น มีอะไรเลวลงบ้าง และอะไรเป็นความท้าทายสำคัญที่รอประเทศไทยอยู่ข้างหน้า
ที่ดีขึ้นก็มี ที่เลวลงก็มีมาก แต่ผมว่าทุกสังคม ทุกประเทศ สิ่งที่ควรจะต้องจดจำก็คือ เราควรจะมีความภาคภูมิใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในเมืองไทยหรือความก้าวหน้าในเรื่องต่างๆ ขณะเดียวกันก็ต้องจดจำสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่เราผิดพลาดไป แต่ในการดำรงชีวิตส่วนตัวก็ดี การดำรงชีวิตในองค์หรือประเทศชาติก็ดี เราอย่าปล่อยให้สิ่งที่ไม่ดีในอดีตมาผูกมัดเรา จนกระทั่งไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้
@ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่เราควรเรียนรู้ในช่วง30ปีที่ผ่านมา
ผมว่าคนไทยไม่ค่อยสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะทุกประเทศทุกสังคม ถ้าพลเมืองไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ตัวเอง ไม่เรียนรู้สิ่งที่ดีงามหรือสิ่งที่ผิดพลาดไป สิ่งที่ผิดพลาดก็จะกลับมาเกิดซ้ำอีก อันหนึ่งคือ คนไทยความจำสั้น ลืมง่าย แต่การที่ความจำสั้นและลืมง่ายก็ไม่ได้เป็นของเสียทั้ง100% แต่ถ้าเราความจำสั้นแล้วลืมง่าย จะทำให้เรารู้สึกว่าทุกๆ5ปี ทุกๆ10ปี เราต้องจัดการความผิดพลาดในอดีต เพราะเราไม่เคยมีบทเรียนจากสิ่งที่เราผิดพลาด
@ อะไรคือสิ่งที่ควรจดจำให้ขึ้นใจแล้วไม่ควรทำอีก อย่าซ้ำรอยเดิม
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผม ที่ทำความปวดร้าวหรือทำความผิดหวังให้กับผมในชีวิตส่วนตัว ผมไม่ลืมนะ แต่ผมจะไม่เอาสิ่งเหล่านั้นมาผูกมัดจนกระทั่งไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ฉะนั้นชีวิตแต่ละชีวิต หรือชีวิตแต่ละสังคมต้องมองไปสู่อนาคตมากกว่า แล้วหลายสิ่งหลายอย่างต้องมองในเรื่อง positiveมากกว่า เพราะวันนี้ทุกอย่างมองเป็น negative หมด เราทำอะไรไม่ได้
@ ความท้าทายเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน การบริหารจัดการทรัพยากร การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูประบบประกันสังคม และการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ โจทย์ใหญ่ๆเหล่านี้ สังคมจะรับมือและข้ามผ่านอย่างไร ต้องมีนโยบายสาธารณะแบบไหน
ประเด็นที่คุณยกขึ้นมา ไม่ได้เพิ่งพูดกัน แต่พูดกันมาในสังคมไทยมาเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ผมรู้สึกว่าพูดเรื่องพวกนี้ควรพูดพอประมาณ แต่สิ่งที่เมืองไทยขาดคือ ผู้ทำ
การแข่งขันก็ดี หรือเรื่องต่างๆที่คุณพูดถึง สุดท้ายเมื่อชูประเด็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทีดีอาร์ไอหรือสถาบันใด บอกว่าน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ แต่ที่เมืองไทยขาดคือ ไม่มีคนทำ หรือมีคนทำก็ทำไม่เป็น
ที่คุณยกประเด็นมา ส่วนตัวของผมมองข้ามประเด็นพวกนี้ไปแล้ว ผมมองว่าเราจะแก้ไขประเด็นเหล่านี้หรือจะผ่านพ้นเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น 1. อยู่ที่การบริหารซึ่งอันนี้ค่อนข้างเป็นที่หนักใจสำหรับผม
หลายครั้งหลายคราวที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เชิงประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารหรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายตกม้าตายเพราะจัดการไม่เป็น ผมว่าเราพูดมากพอแล้ว 4-5ประเด็นที่คุณพูด แต่ขณะนี้เราต้องการคนทำมากกว่า ในประสบการณ์ของผม คนเราแบ่งได้2ประเภท พวกหนึ่งเป็นพวกพูด อีกพวกหนึ่งเป็นdoer ซึ่งผมว่าเราขาดคนพวกนี้มาก
@ คุณอานันท์พูดถึงการทำ ถ้าทำให้เป็น ต้องทำอย่างไร
ภาษาอังกฤษเรียกว่า management แต่ผมว่าสอนกันไม่ได้นะ ผมไม่ได้หมายความว่าคนที่เรียนจบ management แล้วจะ manage เป็นนะ สิ่งเหล่านี้ต้องสั่งสมจากประสบการณ์ ในทางวิชาการก็ต้องมีพอประมาณ
2.คือ คุณจะเป็น manager ที่ดี เป็น execute policy ที่ดี คุณอาจจะมีประเด็น รู้วิธีการแก้ไข แต่ถ้าคุณ execute ไม่เป็น มันก็ไม่ไปไหน ฉะนั้น manage และต้องมีความรู้ทางวิชาการพอสมควร และมีประสบการณ์ค่อนข้างจะมาก
ประสบการณ์ในที่นี้ ควรจะต้องผ่านงาน นักการเมืองไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยที่อ่อนเรื่องการจัดการ ที่อังกฤษ อเมริกา ที่หลายแห่ง เขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าขณะนี้นักการเมือง เป็นนักการเมืองอาชีพทั้งนั้น ไม่เคยทำงานอื่นใดมาก่อนเลย
อย่างอังกฤษ 70-80 ปีก่อน นักการเมืองเคยทำงานเป็น สต๊อกโบรกเกอร์ อาจจะเป็นผู้จัดการ อาจจะเป็นซีอีโอบริษัทต่าง แต่ปัจจุบันเป็นอาชีพ ฉะนั้นนักการเมืองก็ไม่ได้ผ่านการบริหารที่ดี แต่ถ้าไม่เอาคนที่เป็นนักการเมือง สมมุติเป็นเทคโนแครต แต่ถ้าเทคโนแครตไม่เคยผ่านชีวิตของการทำงานในภาคเอกชนเลย ก็ตกม้าตายเหมือนกัน
@ แล้วทหาร เป็นผบ.ทบ.มาก่อน ประสบการณ์พอไหมครับ
ทหารยิ่งมีข้อจำกัดมาก เพราะต้องเข้าใจว่าเขาชินกับ command structure ผมคุยกับเพื่อนหลายคนบอกว่า mentality ของทหารทั่วโลกคล้ายคลึงกัน
ผมว่าทหารมีข้อจำกัดมาก เพราะว่าวิธีการทหารคือวิธีสั่งอย่างเดียว ฉะนั้น dialog ไม่มี มีแต่ข้างบนกับข้างล่าง ข้างบนสั่ง ข้างล่างทำ แต่ในปัจจุบันก็เป็นไปได้ ที่กองทัพไทยมีโอกาสหรือมีสิทธิที่จะพูดมากขึ้น แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ว่าข้างบนเขาสั่งว่าอย่างไร
ในระบบของทหาร ผมว่าไม่มีคำว่า dialog แม้แต่การบริหารภาคเอกชน อำนาจก็อยู่ที่เบอร์1 เบอร์2 แต่ในทางการเมือง ต้องลืมเรื่องเบอร์1 เบอร์ 2 การบริหารราชการการแผ่นดินที่ดีต้องฟังเสียงจากทุกระดับ สิ่งที่เราขาดคือ ฟังไม่ค่อยเป็น
ผมชอบยกตัวอย่างว่า มีคนพูดเป็นเรื่องตลกว่า ทำไมพระเจ้าถึงสร้างให้มีปากเดียว 2 หู เพราะพระเจ้าต้องการคนฟังมากกว่าคนพูด หรือมีหนังสือหลายเล่มที่เขียนถึงความจำเป็นของการฟัง บางคนฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่องก็ลำบาก หรือฟังแล้วทัศนคติของเขาไม่เข้าใจลึกซึ้ง
เพราะถ้าเราบอกว่าต้องฟัง ในเซนส์ภาษาอังกฤษคำว่า dialog ไม่ใช่ว่าคุณมาคุยแล้วคาดคั้นเอาคำตอบจากผม หรือผมคาดคั้นคำตอบจากคุณ แบบนั้นไม่มีทาง เพราะทุกอย่างต้องมีการอะลุ่มอล่วย ผมไม่อยากใช้คำว่าต่อรองนะ แต่มันต้องมี flexibility
ถ้าเผื่อนั่งคุยกันจริงจัง ส่วนตัวผมโชคดี ที่เวลาผมคุยกับใคร ผมไม่ค่อยสนใจว่าวิธีคิดของเขาตรงกับผมหรือไม่ ไม่มานั่งคิดมากว่าเขาถูกหรือผมถูก แต่ผมจะมองว่าสิ่งที่เขาพูดกับผมข้อเท็จจริงถูกต้องหรือเปล่า และหลังจากข้อเท็จจริงถูกต้องแล้ว วิธีวิเคราะห์เขาเป็นอย่างไร
ผมไม่มองวิธีวิเคราะห์เขาผิดหรือถูก หลายครั้งหลายคราวที่คำตอบของเขาอาจไม่ตรงกับผม แต่ผมได้เรียนรู้จากสิ่งที่เขาตอบ แล้วสามารถนำมาปรับปรุงสิ่งที่ผมคิดและทำให้ดีขึ้นได้ ฉะนั้นเวลาเราคุยกับคน ไม่ใช่เรื่องเอาตายหรือเอาผิดเอาถูก หรือเอาชนะกัน
@ คุณอานันท์เคยบอกว่าเข้าใจได้ว่าทำไมต้องมีการรัฐประหารและเห็นใจ เอาใจช่วยอยู่บ้าง แล้ว 6 เดือนผ่านไปของคสช. ยังเอาใจช่วยหรือยังเห็นใจอยู่ไหม หรือประเมินการทำงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
ผมไม่ได้พูดถึงขั้นนั้นมั้ง ผมว่าเป็นรัฐบาลชุดไหนก็ตาม ผมเอาใจช่วยทั้งนั้น เพราะว่าผมไม่สิทธิ์หรือไม่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบที่จะมามานั่งวินิจฉัยว่าใครมาผิดมาถูก ที่มาที่ไปเขาเป็นยังไง โดยจิตใจผมเอาใจช่วยทุกรัฐบาล ที่ผ่านมาผมสามารถพูดกับทุกรัฐบาลได้ ฟังไม่ฟังอีกเรื่องหนึ่ง
คณะทหารชุดนี้ ผมไม่ค่อยรู้จักเขาส่วนตัว แต่พบกันตามงาน ก็เคารพนับถือซึ่งกันและกัน แต่ไม่ได้เคยคุยกันอย่างจริงจัง ตอนแรกๆผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่สบายใจที่อย่างน้อย โอกาสจะมีการรบราฆ่าฟันกัน หรือมีความไม่สงบตามจุดต่างๆ ในประเทศไทยหมดไป หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเริ่มทำ ผมว่าประชาชนให้การสนับสนุนดี
แต่ต่อมาๆ การบริหารแผ่นดินไม่ใช่เรื่องการรักษาความสงบอย่างเดียว แต่มีหลายมิติเหลือเกิน เมื่อมีหลายมิติ ไม่ใช่ของง่ายที่คนใดคนหนึ่งไม่ว่าจะพลเรือนหรือทหาร นักการเมือง เทคโนแครต หรือนักธุรกิจ จะดูแลปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้ทำมาแล้วสบายใจ แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอึดอัดใจ ผมชักเริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่า ความพยายามที่จะดูแลปัญหาคอร์รัปชั่นจริงใจแค่ไหนและจะทำหรือเปล่า เพราะข่าวลือมันมากเหลือเกิน ผมก็หวังว่าข่าวลือข้างนอก ทหารก็คงจะได้ยินบ้าง ผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อข่าวลือ แล้วก็ไม่ใช่เป็นคนฟังแล้วไปขยายต่อข่าว แต่เมื่อได้ยินมา ผมก็หวังว่าไม่ใช่
แต่ผมว่า ใครก็ตามที่รับผิดชอบ จำเป็นต้องรู้ว่ามีข่าวลือกันอยู่ และเขาต้องรู้ดีว่าข่าวลือนั้นจริงไม่จริง ถ้าเป็นจริงผมก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่จริงก็ควรหาทางปรับความเข้าใจ
มีการพูดกันต่างๆนานาว่า มีการตกลงกันนอกรอบ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้ายังสนใจทำเรื่องการปรองดอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องแยกให้ถูก การปรองดองเรื่องหนึ่ง การเอาผิดลงโทษเรื่องหนึ่ง ผมไม่ได้บอกว่าควรจะทำอย่างไร การปฏิรูปก็อีกเรื่องหนึ่ง คนชอบถามว่าปฏิรูปก่อนปรองดองหรือปรองดองก่อนปฏิรูป ในใจผมคิดว่าต้องไปพร้อมกัน
ปฏิรูปคือการพยายามแก้ปัญหาปัจจุบัน ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่อนาคต แต่การปรองดอง เป็นเรื่องที่ยังค้างอยู่ในอดีต คงจะต้องดูต่อไปว่า ที่ผ่านมาทำไมไม่มีความปรองดอง เราต้องจับประเด็นให้ถูกว่า ความไม่ปรองดองเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นจากตัวบุคคลหรือเปล่า
ในใจผมส่วนหนึ่งเกิดจากตัวบุคคล แต่ผมไม่คิดว่าปรองดองระหว่างบุคคลแล้ว เมืองไทยจะมีความปรองดองได้ ผมไม่คิดว่าปรองดองกับการประสานผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว จะนำไปสู่ความปรองดองที่ถาวรได้
ผมมองว่า ปัญหาความแตกแยกของเมืองไทยในอดีตมีมาช้านานแล้ว และเกิดความรุนแรงมากขึ้นเมื่อ3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ถามว่าประเทศอื่นเขาไม่มีเหรอ ประเทศอื่นเขาก็มี และมีไม่น้อยไปกว่าเมืองไทย
ดูประวัติศาสตร์ทั่วโลก เขารุนแรงมากกว่าเราเยอะ ฉะนั้นผมมีความหวังว่าสิ่งที่ทำให้คนไทยแตกแยกกันหรือความไม่ปรองดอง หรือความไม่สงบในอดีตเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ของเราจิ๊บจ๊อย และคิดว่าของเราแก้ไขได้ แต่ต้องจับประเด็นให้ถูกเสียก่อน
ต้นเหตุของความไม่ปรองดองไม่ใช่เรื่องของชนชั้นบุคคล ไม่ใช่เรื่องของกรุงเทพฯกับต่างจังหวัด ไม่ใช่เรื่องของศาสนา ไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์ทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องของอะไรอีกหลายอย่างที่พูดกันทั่วไป แต่ผมว่าทั่วโลกกำลังมีความเปลี่ยนแปลง
ความไม่ปรองดองในเมืองไทยก็เหมือนกับในประเทศอื่นๆ ซึ่งมีปัญหาเดียวกัน ในอดีตแตกแยกกันระหว่างพวกซ้ายกับพวกขวา หรือเป็นเรื่องของพวกเจ้ากับพวกชนชั้นล่าง หรือวิธีคิดแตกต่างกันด้านเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ
แต่ผมว่า นับวัน ความไม่ปรองดองหรือเหตุของการเกิดความแตกแยกเกิดขึ้นจากความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นความเหลื่อมล้ำในฐานะ เหลื่อมล้ำในอำนาจ เหลื่อมล้ำในการต่อรอง ความเหลื่อมล้ำในเรื่องพื้นที่ เรื่องสิทธิต่างๆ
สิ่งที่กำลังเกิดทั่วโลก มันไม่ใช่เรื่องซ้ายขวา แต่เป็นเรื่องข้างบนกับข้างล่าง ไปอ่านข่าวต่างๆในโลกนี้ที่หนักคือ บนกับล่าง แล้วบนกับล่างไม่ใช่เรื่องความร่ำรวยอย่างเดียว เพราะข้างบนมีทั้งซ้ายทั้งขวา มีทั้งรวยทั้งจน ข้างล่างก็มีทั้งซ้ายขวา ทั้งจนทั้งรวย นี่คือเหตุสำคัญไม่ใช่แค่ในเฉพาะเมืองไทย
ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องวิธีคิด ทีมีความแตกต่าง ฉะนั้น Challenge ของเราในอนาคต ข้างบนจะฟังข้างล่างได้อย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน ผมไม่ได้บอกว่าทุกอย่างที่ข้างล่างทำถูก หลายสิ่งหลายอย่างอาจจะไม่ถูก แต่ก็อยู่ในฐานะที่เขาด้อยโอกาส ด้อยสิทธิ ด้อยอำนาจ ด้อยเงิน ข้างบนต้องใจกว้างขึ้น
พวกเราที่นั่งตรงนี้อยู่ข้างบนทั้งนั้น เป็นหน้าที่ของเรา นี่ผมถือว่านี่คือ Challenge ของเมืองไทย ถ้าข้างบนไม่ปรับตัว ข้างบนไม่ทำอะไรอย่างจริงจังให้ข้างล่างมีความรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา ไม่ต้องเห็นด้วยกับเขาทุกอย่าง แต่เข้าใจประเด็นที่เขากำลังเดือดร้อน ประเด็นที่เขายกขึ้นมา แล้วเราพร้อมที่จะฟัง พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง สำคัญที่สุดคือ พร้อมที่จะปรับตัวเราเองด้วย เพราะเราเกิดมามีการศึกษาที่ดีมาตลอดชีวิต เราอยู่เหนือคนอื่น การงานเราก็ดีกว่า เงินทองก็มีมากกว่า สิทธิก็มีมากกว่า โอกาสก็มีมากกว่า
ถ้าเราไม่คิดเผื่อแผ่ให้กับข้างล่าง เวลาในการพูดจากับข้างล่าง เราต้องยอมเสียเปรียบบ้าง เพราะทั้งชีวิตเราได้เปรียบมาตลอด เราต้องคืนความสุขให้กับคนข้างล่าง พวกเราเสวยสุขมานานแล้ว อันนี้ผมว่าเป็นโจทย์ใหญ่ของเมืองไทย
ข้างบนต้องใจกว้าง ข้างบนต้องจริงจัง ข้างบนต้องรู้เลยว่าปัญหาอยู่ที่ไหน และพร้อมเข้าไปช่วยแก้ไข โดยคำนึงถึงจิตใจของข้างล่าง มากกว่าคำนึงถึงสถานะของตัวเอง
@คุณอานันท์พูดไว้ในหนังสือ30ปีทีดีอาร์ไอว่า โจทย์ใหญ่ของการปฏิรูป รัฐต้องเล็กลง และกระจายอำนาจ ส่งอำนาจคืนไปที่จังหวัด ไม่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ยังเป็นโจทย์สำคัญของการปฏิรูปหรือเปล่า
ใช่ ทุกวันนี้กระจุกหมดในข้างบนไง กรุงเทพฯก็ข้างบน อำนาจก็กระจุกอยู่ข้างบน ความร่ำรวยกระจุกอยู่ข้างบน 10% ของคนไทยที่มีรายได้ ผมอาจจำไม่ได้แน่นอน แต่การกระจุกอำนาจ นี่คือตัวปัญหา
ที่ผ่านมาเราบอกว่ามีการกระจายอำนาจ มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ มันไม่ได้กระจายอำนาจอะไรเลย อำนาจยังอยู่ที่ส่วนกลาง ที่ผ่านมาไม่ใช่ครับ เป็นภาพลวง แต่ต้องให้เขามีสิทธิที่จะดูแลชีวิตของเขาในปัจจุบันหรือในอนาคต
เขามีสิทธิจะเก็บภาษีในพื้นที่ ให้เขามีสิทธิหลายอย่างที่จะดูแลตัวเอง เขาควรจะมีตำรวจที่จะดูแลเรื่องการจราจรเขาเอง เขามีสิทธิเรียกร้องว่าแบบฉบับของการพัฒนาที่สภาพัฒน์ทำอย่าไปใช้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคเหนือ หรือแม้ปริมณฑล ใช้ฉบับเดียวกันไม่ได้
คนไทยต้องหัดเป็นคนใจกว้างมากกว่านี้ อย่าถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองพูดถูกหมด ฟังให้มากขึ้น แล้วใส่ใจให้มากขึ้น แล้วเห็นใจคนอื่นมากขึ้น จะต้องเป็นสังคมที่เราแคร์คนอื่น ไม่ใช่ทุกอย่างมองที่ตัวเรา ไม่ใช่ทุกอย่างมองที่สถานะของเราหรือมาจากมุมมองของเรา
นายอานันท์ไม่สามารถเป็นตัวแทนประเทศไทยได้ นายอานันท์ไม่สามารถเป็นตัวแทนกรุงเทพฯได้ ผมอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในกระจุกส่วนหนึ่งของผม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการแชร์กัน แบ่งปันกัน แม้แต่ความหวังเราต้องแชร์กัน ผลประโยชน์ก็ต้องแชร์กัน ไม่มีหรอกครับ ยืนอยู่โดดเดียว แล้วเวลาแชร์ไม่ใช่แชร์กันเฉพาะ2-3 จังหวัด หรือเฉพาะภูมิภาค แต่ต้องแชร์ทั่วประเทศ
@การคืนอำนาจให้ประชาชนเกิดขึ้นได้ภายใต้กระบวนการปฏิรูปในรัฐบาลรัฐประหารได้หรือไม่
ประเทศที่เขามีระบบกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ญี่ปุ่น หรือประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น จีน เขาแบ่งปันอำนาจให้กับท้องถิ่นมากกว่าใครๆ
ผมถามนักกฎหมาย เราไปเขียนว่าเมืองไทยเป็นรัฐเดี่ยว แบ่งแยกไม่ได้ เราเอาตามตัวนั้นเลย เรามีระบอบกษัตริย์ มีความเชิดชู มีความจงรักภักดี แต่มันคนละเรื่องกัน
ญี่ปุ่นก็มีระบบกษัตริย์ อังกฤษก็มี แล้วประเทศอย่างจีน เขากระจายอำนาจอย่างจริงจัง รัฐบาลท้องถิ่นเขามีอำนาจหลายอย่าง นี่เป็นเทรนด์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือเป็นคนไทย สุดท้าย ความอยากเป็นอิสระ ความอยากจะเป็นนายตัวเอง ความอยากมีความคิดเป็นจองตนเอง คุณไปห้ามไม่ได้
@คุณอานันท์เคยเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ได้บทเรียนอะไรจากการทำงานรอบนั้นบ้าง และคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับนักปฏิรูปที่กำลังทำเรื่องปฏิรูปในปัจจุบันอย่างไร
ผมมีบทบาทน้อยที่สุด แต่ผมทำหน้าที่ประธาน แต่ก็โชคดีได้เชิญให้ผู้รู้ทั้งหลาย สุดท้ายผมเรียนรู้มากกว่าใคร เพราะผมเริ่มจากไม่รู้อะไรเลย แต่รายงานที่เราเขียนขึ้นมา ผมยกความดีให้อาจารย์เสกสรรค์(ประเสริฐกุล) อาจารย์นิธิ(เอียวศรีวงศ์) และอีกหลายคน ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการดึงประเด็นหรือปัญหาของประเทศชาติเขามาสู่สาธารณะ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าเมื่อทำรายงานเสร็จแล้ว ไม่ค่อยมีใครเอาใจใส่เท่าไหร่
เราตั้งเป้าให้เป็นรายงานที่ไม่ได้เสนอรัฐบาล แต่เสนอพรรคการเมืองทุกพรรค ก็ไม่มีพรรคการเมืองไหนสนใจ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นรายงานหรือเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุด แต่ผมเสียใจที่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสนใจเลย คณะรัฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ แม้แต่สถาบันทีดีอาร์ไอก็ไม่ทราบว่าสนใจมากน้อยแค่ไหน
อันนี้คือสิ่งที่น่าเสียใจ เพราะว่านี่คือแบบฉบับที่เอาไปพูดกันได้ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนหรือสถาบันไหนจัดเวทีเสวนาหรือคุยเรื่องรายงาน ถกเถียงกัน เปลี่ยนแปลงปรับปรุง เพราะรายงานเสนอหลายอย่างในสิ่งที่คิดว่าน่าจะต้องมีการคิดต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องการคืนอำนาจให้กับท้องถิ่น หรือการจัดสรรงบประมาณใหม่ เมืองไทยเป็นเมืองที่โอกาสมีมาก แต่เราไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้
อันหนึ่งที่สังคมไทยต้องเข้าใจว่า ปัญหาต่างๆที่เราประสบอยู่ ปฏิรูปแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย ผมว่าปฏิรูปเป็นกระบวนการ ไม่มีวันจบ แก้ไปอีก10 ก็ต้องแก้ใหม่ ฉันใดฉันนั้น ร่างรัฐธรรมนูญดีอย่างไร แก้ปัญหาเมืองไทย หรือมีเลือกตั้งแล้วจะแก้ปัญหาเมืองไทย ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง เป็นส่วนหนึ่ง รัฐธรรมนูญก็ส่วนหนึ่ง
แต่มีอีกหลายเรื่อง สิทธิในการออกความเห็น สิทธิในการชุมนุม ความอิสระของศาลยุติธรรม ความอิสระของสื่อ และอีกหลายประการ ฉะนั้นเราต้องทำพร้อมๆกันไป อย่าไปคิดว่า 1 ปีเริ่มทำปฏิรูปแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่เรียบร้อยหรอก เพราะยังไม่ได้แก้ปัญหารากเหง้า
ปัญหารากเหง้าคือความเหลื่อมล้ำ ปัญหารากเหง้าคือความไม่ยุติธรรมในสังคม ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ผมหมายถึงข้อเท็จจริงว่ามันเหลื่อมล้ำจริงๆ และไม่ยุติธรรมจริงๆ
ขอบคุณภาพจาก:thaipublica.org
...
พาดหัว หมายังไม่ทันตาย... ยื้มมาจาก Thanapol E.