วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 09, 2568

แก๊งสภานายจ้างนายทุน กกร. ที่ออกมาค้านพรบ.แรงงาน อากาศ โรงงาน เห็นโพสต์นี้หรือยัง


Suphalak Bumroongkit
Yesterday
·Bangkok, Thailand ·

เห็นข่าวที่แก๊งสภานายจ้างนายทุน กกร. ออกมาค้านพรบ.แรงงาน อากาศ โรงงาน ผมเลยต้องเขียนสิ่งนี้ด้วยความหัวร้อน ผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.คุ้มครองแรงงาน ร่างที่เพิ่มวันหยุด ลดเวลาทำงาน ที่ผมเป็นกรรมาธิการ
.
ร่างนี้มีสาระสำคัญแค่ 3 ข้อ
1. ลดเพดานการทำงานสูงสุด จาก 48 ชม./สัปดาห์ เหลือ 40 ชม./สัปดาห์ -> หรือก็คือกำหนดเพดานจากตอนนี้ทำ 6 วัน เหลือทำ 5 วัน
2. ต่อจากข้อที่แล้ว กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์ จาก 1 เพิ่มเป็น 2 วัน
3. เพิ่มวันลาพักร้อน จากปีละ 6 วัน เป็น 10 วัน
จะเห็นได้ว่า 3 ข้อนี้นี้คือสิทธิพื้นฐานสากลทั้งนั้น (ยกเว้นลาพักร้อนที่ยังต่ำกว่ามาตรฐานสากล) เศรษฐกิจโตขึ้นมาขนาดนี้แล้ว แรงงานก็ควรมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
.
ซึ่งแน่นอน การออกกฎหมายต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในการประชุมแต่ละครั้งเราได้เชิญแต่ละภาคส่วน รวมถึงตัวแทนจากฝั่งธุรกิจเข้ามา ซึ่งตัวแทนจากฝั่งธุรกิจก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกมธ.ด้วย ทุกอย่างมีบันทึกการประชุมเป็นเอกสารเก็บไว้หมด แต่บันทึกจะบันทึกแบบสั้นๆ ตัดน้ำออก ถ้าไปอ่านก็จะไม่หงุดหงิดเท่าฟังจริงๆ
.
ผมไม่พอใจ และไม่เข้าใจ เหตุผล ตรรกะ ที่ฝั่งธุรกิจชี้แจงให้กับกมธ.มากๆ เขาบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยเพราะเหตุผลต่างๆเหล่านี้
(1) ไม่เห็นด้วย เพราะโรงงานจำนวนมากทำงานกัน 5 วันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องลดชั่วโมงการทำงาน บางโรงงานเขากำหนดให้ลูกจ้างทำ 5 วันเองโดยไม่ต้องต่อรองเลย เพราะทำงานวันเสาร์มันเปลืองไฟ
= อืมม ถ้าทำ 5 วันอยู่แล้ว ก็ต้องลดได้สิ จะได้ให้โรงงานที่ยังทำ 5 วันไม่ได้ลดลงมาเหลือ 5 วันสักที แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนส่วนมากทำ 5 วันจริง? ผมได้พูดย้ำอยู่หลายครั้ง ขอสถิติภายในสมาคมของผู้มาชี้แจง แต่ตัวแทนสมาคมไม่เคยตอบคำถามผมเรื่องนี้ หรือนำสถิติส่งให้กรรมาธิการแต่อย่างใด

(2) ต่อจากข้อที่แล้ว ผู้แทนนายจ้างอีกสมาคมอ้างถึงสำนักงานสถิติแห่งชาติ ว่าคนไทยทำงานเฉลี่ย 42.5 ชม. ซึ่งถือว่าไม่ได้สูง จึงไม่ควรลดชั่วโมงการทำงาน
= 42.5 นั่นเป็นตัวเลขจริง แต่! เป็นตัวเลขของทุกอุตสาหกรรมรวมกัน พอเฉลี่ยออกมาแล้วมันเลยต่ำกว่าความเป็นจริง พรบ.นี้บังคับใช้แค่แรงงานเอกชน ก็ควรจะใช้ชั่วโมงการทำงานจากภาคเอกชนเป็นหลัก นั่นคือ 46.3 ชม./สัปดาห์ จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมีแรงงาน 16% ที่ทำงานมากกว่า 50 ชม. -> และยิ่งไปกว่านั้นผมไปค้นสถิติเองบนเว็บ ILO ซึ่งใช้ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาตินี่แหละ พบว่าถ้าแยกเป็นรายอาชีพแล้ว แรงงานที่ทำงานกับเครื่องจักรในโรงงานทำมากถึง 48.6 ชม., พนักงานเซลล์ ภาคบริการทำงาน 47.9, เสมียน พนักงานธุรการ 45.9, ช่างเทคนิค 44.5 แล้วคุณพี่เอาอะไรมาบอกว่าส่วนใหญ่ทำ 5 วัน?

แบบนี้ผมก็เลยสงสัยว่า องค์การนายจ้าง มีทรัพยากรเงินทองมากมาย จะไม่มีเจ้าหน้าที่หาข้อมูลง่ายๆแบบนี้ให้เลยเหรอ? ใช้สถิติไม่เป็น? หรือจงใจมาป้อนข้อมูลผิดๆเพื่อเข้าข้างตัวเองกันแน่

(3) ไม่เห็นด้วย เพราะชั่วโมงการทำงานตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) คือ 48 ชม.เท่ากับไทย จึงไม่มีความจำเป็นต้องลด
= ไม่จริง ชั่วโมงมาตรฐานของ ILO ตามอนุสัญญาฉบับที่ 47 คือ 40 ชม. มาตั้งแต่ปี 1935 หรือ 90 ปีมาแล้ว แสดงว่าองค์กรนายจ้างที่ใหญ่ระดับประเทศ ใช้ข้อมูลผิดๆล็อบบี้รัฐมาโดยตลอด

(4) ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าลดชั่วโมงการทำงานจาก 6 เหลือ 5 วัน จะทำให้ output ลดลง 16.66% เพราะเวลาทำงานหายไปจาก 6 วัน เหลือ 5 วัน คิดเป็น 16% จะเป็นการทำลายเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
= ความเป็นจริงคือไม่ใช่ เพราะ เศรษฐกิจไทยประกอบด้วยหลาย sector ซึ่งแต่ละ sector ลดลงไม่เท่ากัน ภาครัฐไม่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว บ้านผมเชียงใหม่ภาคการท่องเที่ยว ถ้าร้านกาแฟทำงานลดลง 1 วัน เขาก็แค่จ้างคนมาเพิ่มวันเสาร์ ทุกวันนี้เขาก็จ้างกันมาเสริมอยู่แล้ววันอาทิตย์ แล้วยอดขายร้านกาแฟผมจะลดลงได้ยังไง? นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้เข้ามาน้อยลง, ภาคเกษตรด้วย ถ้าชาวนาทำงานน้อยลง 1 วัน พืชที่หว่านเมล็ดไว้จะโตเร็วขึ้นมั้ย วัวที่เลี้ยงจะโตเร็วขึ้นไหม ก็ไม่อยู่ดี, อย่างไรก็ตาม นายจ้างก็สามารถจ้างคนมาทำ OT ได้อยู่แล้ว หรือจ้างรายวันมาทำแทนได้อยู่ดี

ต่อให้เอาแค่ภาคการผลิตเป็นหลัก ความสัมพันธ์ระหว่างoutputกับชั่วโมงการทำงานก็ไม่ได้เป็นเส้นตรง ที่จะลดลงในสัดส่วนที่เท่ากัน ตัวแทนนายจ้างบอกว่า เราต้องคำนึงผลกระทบของ SME จะล้มหายตายจากทั้งประเทศ แต่หากดูสถิติจริงๆแล้ว SME ที่เป็นภาคการผลิตมีจำนวนเพียง 16% ของ SME ทั้งหมดเท่านั้น

ส่วนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เทคโนโลยี วิชาการ มีหลักฐานจากต่างประเทศเต็มไปหมด ว่าการลดเวลาทำงานเหลือ 4 วัน (4นะ ไม่ใช่ 5) เพิ่ม productivity ทำงานน้อยลงแต่ได้งานเท่าเดิม หลายประเทศที่ทำการทดสอบก็เริ่มลดวันทำงานลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ เกาหลีใต้ อังกฤษ ไอซ์แลนด์ -> ผมก็เลยถามตัวแทนนายจ้างว่าพรรคส้มหาเสียงเรื่องนี้มา 7 ปี เคยได้วางแผนลดเวลาการทำงานกันบ้างมั้ยในสภานายจ้างต่างๆ อย่างน้อยตอนพรรคส้มชนะเลือกตั้งก็ควรจะคุยกันบ้างนะ แต่ไม่มีคำตอบเรื่องนี้แต่อย่างใด แม้ว่าเราจะเห็นตัวแทนของสภานายจ้าง สภาอุตสาหกรรมไปพูดในงานเสวนาใหญ่ๆเสมอ เรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์, เรื่อง AI, เศรษฐกิจสีเขียว ฯลฯ แต่เรื่องสิทธิพื้นฐานเหล่านี้กลับไม่เคยสนใจเลยสักนิด แต่ก็ชอบบอกให้แรงงานต้องปรับตัวๆ ต้องreskill นายจ้างไม่เห็นปรับตัวเลยยยย

(5) ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าจะให้จ้างคนมาเพิ่มวันที่ 6 ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 แรง จะเป็นการเพิ่มต้นทุนอีกประมาณ 16.66% - 25% นายจ้างส่วนใหญ่จ่ายไม่ไหว หากผู้ประกอบการต้องการจะคงก าลังการผลิต
= ผมเอาสถิติสัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานในแต่ละประเภทอุตสาหกรรมมาโชว์ให้กมธ.ดู ข้อมูลนี้มาจากสำมะโนอุตสาหกรรมและแบบสำรวจธุรกิจและการค้า พบว่าสัดส่วนต้นทุนด้านค่าจ้างคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากต่อต้นทุนทั้งหมด น้อยกว่าที่สังคมคิดกันแน่นอน เช่น ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นอย่างภาคก่อสร้าง คิดเป็น 9% เอง ยิ่งไปกว่านั้น ภาคการผลิตมีสัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานต่อต้นทุนรวมน้อยลงไปอีก เช่น โลหะ, ยานยนต์ มีสัดส่วนต้นทุน 3%, อิเล็กทรอนิกส์ เคมี 4%, เครื่องจักร 5%, อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า กระดาษ 6% เป็นต้น ที่เหลือเป็นต้นทุนอย่างอื่นหมดเลย

สมมติถ้าธุรกิจจำเป็นต้องทำงานในวันเสาร์จริงๆ ก็จ่ายเพิ่มอีก 1 แรงให้พนักงานเดิม ซึ่งจากตัวอย่างที่เป็นธุรกิจก่อสร้างก็จะมีต้นทุนเพิ่ม = 9 x 116% = 10.44 แปลว่าเพิ่มมา 1.4% เอง ผมไม่รู้ว่า 16.66%-25% คิดมาจากไหน ถ้าจ้างพนักงาน part-time มาทำ ก็ไม่ต้องจ่าย OT ด้วยซ้ำ ถ้าต้นทุนเพิ่มมาแค่นี้แล้วจ่ายไม่ไหว ก็อย่าทำธุรกิจโดยเบียดบังเวลาของแรงงานเลย

(6) ไม่เห็นด้วย เพราะ จะทำให้แรงงานรายวันรายได้น้อยลงถึง 4 วัน ใน 1 เดือน จากสถิติของสภาอุตสาหกรรม เราจ้างงาน 75% เป็นรายวัน
= เราไม่สนับสนุนให้จ้างงานรายวันแต่จ้างมาทำงานทุกวันแบบรายเดือน มันไม่มีความรับผิดชอบ ควรจ้างเป็นรายเดือนไปเลย นอกจากนี้ ผมขอสถิติที่ว่า 75% จ้างรายวัน ก็ไม่ยอมเอามาแสดงให้กมธ.แต่อย่างใด ต่อให้สถิติเป็นความจริง ตัวเลขนี้จะสามารถนำมาอ้างอิงได้แค่ไหน เพราะองค์กรนายจ้างอื่นๆ หรือนายจ้างทั่วๆไปก็ไม่ได้จ้างรายวันกัน 75% แน่นอน ทั้งนี้ ฝั่งนายจ้างก็เอาแต่อ้างอิงเลขตัวนี้ ที่ไม่รู้มีจริงหรือไม่

(7) ไม่เห็นด้วย เพราะต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ใช้เวลาเปลี่ยนผ่านเรื่องนี้ถึง 7 ปี ถ้าเราจะทำบ้าง ควรให้เวลาบังคับใช้กฎหมาย 7 ปีเช่นเดียวกัน
= เกาหลีใต้เปลี่ยนผ่าน 7 ปีจริง แต่เริ่มบังคับใช้กับธุรกิจขนาดใหญ่ภายใน 1 ปี และปีต่อๆมาก็บังคับใช้กับธุรกิจที่ขนาดเล็กลงมาเรื่อยๆ จนครบปีที่ 7 ซึ่งผิดกับที่ฝั่งนายจ้างเรียกร้องให้เราเริ่มบังคับใช้พร้อมกันทั้งหมดใน 7 ปี ทั้งนี้ นักกฎหมายในกมธ.ต่างพูดกันว่าไม่มีกฎหมายไหนที่เขียนออกมาให้บังคับใช้ใน 7 ปี แค่ 1 ปี ก็เยอะที่สุดแล้ว

ปัญหาของการอ้างแบบนี้คือ โลกนี้มี 200 ประเทศ แต่ละประเทศก็ออกกฎหมายเปลี่ยนผ่านชั่วโมงการทำงานทั้งนั้น ส่วนใหญ่ใช้เวลา 1 ปี 2 ปี หรือ 4 ปีก็มี แต่ทุกครั้งที่นายจ้างและข้าราชการอ้าปากพูด จะยกเกาหลีใต้ตลอดที่ใช้ 7 ปี แบบนี้เขาเรียกว่า cherry picking หยิบผลไม้ลูกเดียวมาอธิบายต้นไม้ทั้งป่า ไม่ได้เป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบ

นอกจากนี้ ฝั่งนายจ้างก็ไม่เคยอธิบายกลไกของการเปลี่ยนผ่านใน 7 ปีที่ขอด้วยว่าเขาจะทำอะไรบ้าง 1 2 3 4

( ไม่เห็นด้วย เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังวิกฤต ถ้ายิ่งลดเวลาการทำงานจะยิ่งทำลายเศรษฐกิจไทย
= เศรษฐกิจไทยกำลังแย่นั่นเป็นความจริง แต่การลดชั่วโมงการทำงานเป็นมาตรการในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้องค์ความรู้มากขึ้น ไทยต้องการนวัตกรรม/เทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ถ้าคนยังต้องทำงานหนัก ทำงานซ้ำๆตลอดเวลา จะไปมีความคิดสร้างสรรค์คิดสิ่งดีๆขึ้นมาได้อย่างไร? สภาพัฒน์ได้นำเสนอสถิติในกมธ.นี้ด้วยว่าแรงงานส่วนใหญ่อยากพัฒนาตัวเองแต่สาเหตุ 80% คือไม่มีเวลา ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนผ่าน เราก็จะเป็นประเทศที่ทำงานหนัก รับจ้างเขาผลิตไปเรื่อยๆแบบนี้ นี่คือการ trade-off ระยะสั้น เพื่อเพิ่มผลิตภาพในระยะยาวให้เศรษฐกิจไทย

หลายประเทศก็ออกกฎหมายลดเวลาทำงานในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา อเมริกาออก Fair Labour Standard Act ในปี 1938 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ The Great Depression, สวีเดนออกปี 1921 ช่วงก่อนรัฐสวัสดิการ และคนสวีเดนถึง ⅓ อพยพไปยังอเมริกา, ฝรั่งเศสออกปี 2000 ลดให้เหลือ 35 ชม. ท่ามกลางอัตราการว่างงานที่สูงมาก อเมริกาก็เช่นกัน การลดชั่วโมงการทำงานยังมีเป้าหมายเพื่อ “การแบ่งปันงาน” (work sharing) โดยจำกัดชั่วโมงการทำงานของคนที่ทำงานหนักมากๆ แล้วเอางานไปให้คนที่ทำงานไม่เต็มเวลา หรือว่างงานทำงานแทน
.
จบบบ ผมสรุปปัญหาของการให้ข้อมูลจากฝั่งนายจ้างให้ดังนี้
1.ไม่มีข้อมูลทางสถิติ ไม่ได้อ้างอิงข้อมูลทางวิชาการ แต่ใช้การมโนเอาเอง ป้อนข้อมูลผิดๆให้คนพิจารณา ถ้ามีสถิติอยู่บ้าง ก็ใช้สถิติไม่เป็น เช่น ข้อ (2) เอาสถิติของแรงงานทุกภาคส่วนมาใช้ โดยไม่เจาะเฉพาะภาคเอกชน เราจะเห็นว่าแถลงการณ์คัดค้านก็ไม่ได้ระบุเหตุผลชัดๆว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย ตัดมาที่พวกเราเวลาจะผลักดันอะไร นั่งหาข้อมูลกันหลังขดหลังแข็งแทบตาย
2.ใช้การ cherry picking เอาเคสๆเดียว มาอธิบายทั้งหมด
3.ขาดความเป็นตัวแทนสภาฯ สมาคมที่ได้รับเชิญมาให้ข้อมูล (ใครให้เชิญมาน้าา) มีนายจ้างเป็นสมาชิกสักกี่คนเชียว?
.
เรื่องนี้ผมหงุดหงิดมากๆ คนทั่วไปคิดว่าองค์กรเหล่านี้มันยิ่งใหญ่มาก แต่แค่การเก็บสถิติต่างๆในองค์กรตัวเอง หรือทีมงานเบื้องหลังหาข้อมูลง่ายๆพวกนี้ให้ เขายังไม่มีเลย (หรือมีแต่ไม่ยอมแชร์เพราะจะเสียเปรียบก็ไม่รู้นะ) สมาชิกในองค์กรมีสักกี่คนยังไม่รู้เลย แต่กลับรวมตัวกันเพื่อล็อบบี้อย่างเดียว สนใจแค่ประโยชน์ของตัวเอง พอตัวเองได้เปรียบก็ไปล็อบบี้คนนู้นคนนี้ โดยไม่เคยให้พื้นที่แรงงานได้พูดบ้าง แต่พอตัวเองเสียเปรียบกับท่องคาถาให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันแบบ “ไตรภาคี" แล้วจะไม่ให้โมโหได้ไง
.
จริงๆมีเรื่องนอกกรรมาธิการที่ไม่ได้พูดอีก ผมมาเป็นกรรมาธิการพิจารณากฎหมายครั้งแรก ได้ประสบการณ์เยอะมาก เห็นเลยว่าเขาล็อบบี้กันจริงๆยังไง ข้าราชการช่วยล็อบบี้ยังไง เช่นมีคนส่งทูตมาเจรจาขอลดวันลาพักร้อน จากที่จะเพิ่มเป็น 10 ขอเพิ่มเป็น 8 พอได้มั้ย เท่ามาเลเซีย โอ้โห แค่ 2 วันต่อปีก็ยังต่อ ทั้งๆที่ประเทศอื่นแถวนี้หยุด 12 15 18 ก็มี
.
ดังนั้น ฝั่งแรงงานเองก็อย่าไปยอม ตอนนี้เรารู้แล้วว่าฝั่งนายจ้างก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าเราเท่าไรหรอก เราต้องรวมตัวกันสู้ ถ้าไม่รวมตัวกันสู้ก็ไม่มีใครเห็นหัวเรา ขนาดฝั่งเขารวยอยู่แล้ว เขายังรวมตัวกันดิ้นรนต่อสู้เลย เวลารัฐจะทำอะไร จะได้เชิญตัวแทนแรงงานมาถาม มานั่งเป็นที่ปรึกษาบ้าง
.
ร่างนี้ผ่านชั้นกมธ.ด้วย 15 ต่อ 7 เสียง คนที่เห็นด้วยก็มีหลากหลายพรรคการเมือง เพื่อไทย ภจท. รทสช.ก็โหวตเอาด้วย
.
รอติดตามการอภิปรายเรื่องนี้ในสภาของพี่เสก คาดว่าธันวาคมนี้ครับ
See less
— at รัฐสภา Parliament.

https://www.facebook.com/photo/?fbid=25539989212251765&set=a.659147210762643