วันเสาร์, มีนาคม 01, 2568

ส.ส.ไอ๊ซ์เจอตอเบ้อเร่อในบอร์ดประกันสังคมฝ่ายนายจ้าง อหังการ์ไม่ยอมให้เอกสารข้อมูลโครงการที่มีพิรุธ ซูเอี๋ยผู้รับเหมางาน ยกเว้นค่าปรับ ๑๙๓ ล้าน

ส.ส.ไอ๊ซ์เจอตอเบ้อเร่อในบอร์ดประกันสังคมฝ่ายนายจ้างและราชการ ขอดูเอกสารอะไรไม่ยอมให้ แถมส่งหนังสือเวียนถึงข้าราชการหน่วยงานประกันสังคมทุกคน ห้ามให้ข้อมูลใดๆ แก่กรรมาธิการสภาฯ อ้างว่าเป็นคนนอก ปมซูเอี๋ยผู้รับงาน ๑๙๓ ล้าน

จากกรณีกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบงบประมาณ ติดตามโครงการทำแอพลิเกชั่นเว็บไซ้ท์ของสำนักงานประกันสังคม มูลค่า ๘๕๐ ล้านบาท พบพิรุธหลายอย่าง โครงการล่าช้ามาตั้งแต่ช่วงโควิด-๑๙ จนบัดนี้ยังไม่แล้วเสร็จ

บริษัทผู้รับงานควรต้องจ่ายค่าปรับจำนวน ๑๙๓ ล้านบาท แต่ทางประกันสังคมยกเว้นให้ โดยยินยอมให้จ่ายเพียงวันละ ๘ แสนบาท เป็นเวลา ๗-๘ วันเท่านั้น ครั้นทาง กมธ.ขอเข้าถึงข้อมูลในเอกสารต่างๆ ของโครงการกลับถูกบิดเบี้ยว

รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. โฆษกของกรรมาธิการแถลงว่าการขอเอกสารยากเย็นแสนเข็ญ ทั้งที่พบพิรุธเรื่องโครงการล่าช้าน่ารังเกียจ โครงการควรแล้วเสร็จภายในสองปี นี่ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว พอสอบถามความคืบหน้า กลับได้รับคำตอบโอหังจากฝั่งนายจ้าง

“ตอบว่า โครงการนี้มีความสำคัญและไม่ต้องตรวจสอบเพราะทุกอย่างเปิดเผย โปร่งใสอยู่แล้ว โดยตัวแทนฝั่งนายจ้างไม่ยินดีที่จะให้ข้อมูลใดๆ กับทาง กมธ.” โดย ผอ.อนุกรรมาธิการไอทีตอบชัดเจนว่าไม่ต้องการส่งเอกสารให้ อ้างปัญหาข้อกฎหมาย

แม้นว่าเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางชี้แจงอย่างละเอียดว่ามี พรบ.อำนาจเรียก และ พรบ.ข้อมูลข่าวสารราชการ ระบุให้ทำการเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานเกี่ยวข้องได้ ฝ่ายประกันสังคมก็ยังไม่รับฟัง ส.ส.ไอ๊ซ์ต้องชี้ว่า กมธ. เป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องโดยตรง

ทาง กมธ.จึงตั้งข้อสังเกตุไปยังสำนักงานปราบปรามทุจริตแห่งชาติ ถึงข้อพิรุธต่างๆ ในโครงการของประกันสังคมดังกล่าว อีกทั้ง “จะส่งหนังสือถามไปที่ PDPA ว่าเอกสารเหล่านี้สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ และถ้าท่านยังไม่ยอมอีกตนจะฟ้องถึงศาลปกครอง”

รักชนก เผยด้วยว่า “มีผู้ชี้แจงท่านหนึ่งที่อยู่ในอนุกรรมการด้านไอทีจากสัดส่วนผู้ประกันตน ระบุว่าการทำงานในบอร์ดที่ผ่านมาเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก เสนออะไรก็ถูกฝ่ายราชการผนึกกำลังกับฝ่ายนายจ้างปัดตกทุกข้อเสนอ...

เป็นการจงใจปกปิดทำให้เงินของผู้ประกันตนและนายจ้างอยู่ในความดำมืด...ดิฉันขอตั้งคำถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หรือนายกรัฐมนตรี ท่านปล่อยให้กระทรวงแรงงานที่กำกับดูแลกองทุนประกันสังคมเป็นแบบนี้ได้อย่างไร”

(https://www.facebook.com/thestandardth/posts/X5w748wYFg, https://prachatai.com/journal/2025/02/112254 และ https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/CWK1R9LDrjbz)


199 วัน แห่งการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ ของ “ทิวากร” ผู้ต้องขังคดี 112 ที่ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาจําคุก 6 ปี จากเหตุโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” และโพสต์ข้อความถึงสถาบันกษัตริย์เกี่ยวกับการใช้มาตรา 112



“ทิวากร” : 199 วัน แห่งการต่อสู้เชิงอุดมการณ์

28/02/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ทนายความเดินทางไปทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดขอนแก่น เพื่อเข้าเยี่ยม “ทิวากร วิถีตน” เกษตรกร วัย 49 ปี ผู้ต้องขังคดี 112 ที่ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาจําคุก 6 ปี จากเหตุโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” และโพสต์ข้อความถึงสถาบันกษัตริย์เกี่ยวกับการใช้มาตรา 112 รวม 3 โพสต์ ในปี 2564 แม้จะมีการยื่นขอประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้ในชั้นฎีกามาแล้วถึง 6 ครั้ง แต่ศาลก็ยังไม่อนุญาตให้ทิวากรได้ประกันตัวสักครั้ง

แม้จะถูกคุมขังแต่ทิวากรยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับมาตรา 112 และได้เขียนหนังสือร้องทุกข์ถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมในการไม่ได้รับการประกันตัวของผู้ต้องขังคดีมาตรา 112

กับชีวิตข้างในเรือนจำทิวากรยังคงศึกษาและอ่านหนังสือสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเรื่องราวของนักเคลื่อนไหวต่อสู้ในต่างประเทศ ที่มีประโยคตรึงใจทิวากรคือ “ไม่ว่ายังไงเราต้องไม่ฆ่าอีกฝ่าย เราจะฆ่าไอเดียเขา” วลีที่สะท้อนถึงปรัชญาการต่อสู้อย่างสันติของตัวเขาเอง ที่มุ่งเปลี่ยนความคิด ไม่ใช่ทำลายผู้คน

_________________________________________

วันที่ 21 ม.ค. 2568

ทนายความนำเรื่องร่างฎีกาที่ส่งให้ทิวากรตรวจตั้งแต่ต้นเดือนมาพูดคุย “มีประเด็นไหนที่ต้องการให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมไหม” ทนายถาม “ให้ทนายเขียนตามความเหมาะสมหรือความเห็นของทนายทุกคนได้เลย” ทิวากรตอบอย่างเรียบง่าย แต่มีข้อเสนอที่แน่วแน่ เขาอยากให้ร่างฎีกาที่เขียนด้วยลายมือตนเองทั้ง 13 หน้า เข้าสู่สำนวนด้วย และอยากแถลงต่อหน้าผู้พิพากษาโดยตรง

เมื่อทนายชี้แจงว่าปกติในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลไม่มีการนัดพร้อมเป็นพิเศษ แต่มักนัดฟังคำพิพากษาเพียงครั้งเดียว ทิวากรจึงเปลี่ยนใจ “ยื่นเอกสารที่เขียนด้วยลายมือของผมเองเป็นคำแถลงเข้าไปดีกว่า” ทนายจึงถามต่อว่า “คาดหวังยังไงกับคำพิพากษา” ทิวากรตอบในทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “แล้วแต่ศาลจะตัดสินเลย ไม่คาดหวังอะไร เพราะถ้าศาลเขียนคำพิพากษาที่ไม่ดีออกมา ศาลก็ต้องอธิบายเอง”

ทนายแจ้งข่าวอีกว่าอัยการยื่นฎีกาแล้ว มีหมายแจ้งไปที่บ้านทิวากร แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นประเด็นอะไร ทิวากรเพียงยิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวว่า “ก็เอาให้สาแก่ใจเลย”

บทสนทนาเปลี่ยนไปสู่เรื่องการอ่านหนังสือ เขาเล่าถึงหนังสือที่กำลังอ่าน Cry Freedom: The Legendary True Story of Steve Biko and the Friendship that Defied Apartheid ของ John Briley เรื่องราวในช่วงที่เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ ถูกคุมขังถึง 27 ปี จากการเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสีผิว ที่มีสตีฟ บีโกหนึ่งในนักเคลื่อนไหวผิวดำยังคงออกมาต่อสู้กับนโยบายนั้นพร้อมกับคนอื่น ๆ แม้แต่คนผิวขาวที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ดวงตาของเขาทอประกายเมื่อเล่าถึงวลีที่ประทับใจ “ไม่ว่ายังไงเราต้องไม่ฆ่าอีกฝ่าย เราจะฆ่าไอเดียเขา”

คำพูดนี้สะท้อนปรัชญาการต่อสู้ของทิวากรเอง ไม่ใช่การทำลายบุคคล แต่เป็นการต่อสู้กับแนวคิด เป็นการต่อสู้อย่างสันติในท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทย

วันที่ 17 ก.พ. 2568

หลังผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน เมื่อพบกันอีกครั้ง ทิวากรมีร่องรอยของความอ่อนเพลียเล็กน้อย “ตอนนี้ได้เขียนหนังสือออกมา 2 ฉบับ” ทิวากรเล่าด้วยความกระตือรือร้น “เป็นหนังสือร้องทุกข์ต่อสมาชิกสภาผู้แทนฯ สส.วีรนันท์ ฮวดศรี” ฉบับแรกเขาอธิบายเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมในการไม่ได้รับการประกันตัว ไม่เพียงแต่กรณีของเขา แต่รวมถึงผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 คนอื่น ๆ ด้วย “อยากให้มีการอภิปรายเรื่องนี้ในรัฐสภา” ทิวากรกล่าวด้วยความหวัง

ฉบับที่สองมีเนื้อหาวิพากษ์การตีความมาตรา 112 ที่กว้างขวางเกินกว่าเหตุ เกินขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะถูกคุมขัง แต่ทิวากรยังคงติดตามและวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีของเขาอยู่ แต่สิ่งที่เขากังวลคือ “ตอนนี้หนังสือน่าจะยังไม่ถูกส่งออกมา น่าจะอยู่กับผู้อำนวยการแดน” แสดงให้เห็นถึงอุปสรรคในการสื่อสารกับโลกภายนอก

ทนายแจ้งเรื่องสำคัญคือการยื่นประกันครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2568 พร้อมผู้ต้องขังทางการเมืองคนอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน ซึ่งท้ายที่สุดศาลยังคงมีคำสั่งไม่ให้ประกันทุกคน

“คดีของผมเปรียบเหมือนการแข่งตะกร้อ” เขาอธิบายพร้อมกับเปรียบเทียบอย่างน่าสนใจ “ที่ตอนนี้ฝ่ายโจทก์กับฝ่ายจำเลยมีคะแนนเท่ากันแล้ว ศาลควรจะให้ประกันตัวโดยไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมอะไรมาอีก เพราะผลคดีสามารถแพ้หรือชนะก็ได้”

เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำ ทิวากรเล่าว่า พักหลังเขาเป็นหวัดบ่อย ๆ ก็เลยลาออกจากการเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ในห้องสมุด แต่ความกังวลของเขากลับไม่ได้เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง แต่เป็นกังวลว่าจะทำให้คนข้างนอกรู้สึกว่าเขาไม่ทำงานหรือเปล่า ทนายแนะนำให้เขาดูแลสุขภาพตนเองก่อน ถ้าไม่สบายก็หยุดพักก่อนดีแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องคนข้างนอก

วันที่ 28 ก.พ. 2568

“หนังสือร้องทุกข์ทั้งสองฉบับมีความคืบหน้าไหม ?” ทิวากรถามทนายความที่มาเยี่ยมด้วยน้ำเสียงกังวล หนังสือที่เขาเอ่ยถึงเป็นหนังสือร้องทุกข์ที่เขาเขียนขึ้นด้วยลายมือของตนเอง ส่งถึง ส.ส.วีรนันท์ ฮวดศรี ฉบับแรกเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมในการไม่ได้รับการประกันตัวของผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ส่วนฉบับที่สองวิพากษ์การตีความกฎหมายมาตรา 112 ที่กว้างเกินขอบเขต

ทนายแจ้งว่ายังไม่มีความคืบหน้า จึงนัดกันว่าสัปดาห์หน้าจะมาเยี่ยมอีกครั้ง และให้ทิวากรช่วยติดตามให้เจ้าหน้าที่นำเอกสารมามอบให้ทนาย เพราะทนายเคยสอบถามแล้วแต่ไม่มีใครรู้เรื่องเลย

แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่ใจของทิวากรยังคงกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับ ส.ส.ที่เขาส่งหนังสือร้องทุกข์ไปหา “ตอนนี้ผมก็รู้สึกเกรงใจ ส.ส.ของพรรคประชาชน เพราะกลัวว่าจะไปเอาประเด็น 112 มาเป็นเหตุให้พรรคอาจจะถูกยุบในอนาคต

ขณะนี้หลังจากลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ในห้องสมุดเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทิวากรถูกย้ายไปอยู่กองงานเย็บผ้า “ตอนนี้ผมได้ไปอยู่งานเย็บผ้า ก็จะเย็บพวกดอกไม้ผ้า” เขาเล่า

ทิวากรสังเกตเห็นความผิดปกติในการจำแนกนักโทษของเรือนจำ “ปกติแล้วจะมีคณะกรรมการจำแนก ซึ่งก็ไม่ได้มีการคัดแยกจำแนกอะไรเป็นพิเศษ แต่ในส่วนของผมมีการเรียกผมให้ไปคุยสอบถามสัมภาษณ์เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็มีการบันทึกภาพ” เขาตั้งข้อสังเกตว่า “คงเป็นการนำไปรายงานกับคนที่ยังติดตามอยู่”สะท้อนถึงการถูกเฝ้าระวังเป็นพิเศษในฐานะนักโทษคดีการเมือง

“ช่วงนี้มีอาการชาตรงบริเวณนิ้วมือทั้งสองข้าง” ทิวากรเล่าถึงปัญหาสุขภาพที่กำลังเผชิญ “ก็อาศัยนวดผ่อนคลายเอา ฝ่าเท้าบางทีเดินก็มีอาการเจ็บจี๊ดจี๊ด” อาการเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกวัน

จนถึงปัจจุบัน (26 ก.พ. 2568) ทิวากรถูกคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดขอนแก่นตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. 2567 โดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัวเป็นเวลา 199 วัน หรือมากกว่า 6 เดือนแล้ว

ทนายยื่นประกันครั้งที่ 6 อ้างคำสั่งให้ประกันปริญญา-จิรวัฒน์ ที่มีโทษเท่ากัน ศาลฎีกายังคงยืนยันไม่ให้ประกัน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2568 หลังการยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ให้ลงโทษจำคุกทิวากร ทนายความได้ยื่นประกันทิวากรระหว่างฎีกาเป็นครั้งที่ 6 เสนอเงินประกัน 500,000 บาท ระบุเหตุผลโดยสรุปว่า

คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษายกฟ้อง และต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้กลับคําพิพากษาเป็นลงโทษจําคุก

จําเลย ซึ่งจําเลยได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด และได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาแล้วเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2568

ตั้งแต่ในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน ตลอดจนชั้นพิจารณา จําเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี โดยจําเลยได้มาพบพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตลอดกระบวนการ จําเลยมีความประสงค์ในการต่อสู้คดีมาโดยตลอด ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุอันกระทบต่อการพิจารณาจําเลยยินยอมรับเงื่อนไขห้ามจําเลยเดินทางออกนอกประเทศและขอให้ศาลกําหนดวันนัดรายงานตัวต่อศาลเป็นระยะ

ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยมีคําสั่งลงวันที่ 24 ม.ค. 2568 อนุญาตปล่อยชั่วคราว ปริญญา ชีวินกุลปฐม ซึ่งถูกดําเนินคดีในข้อหาเดียวกันกับจําเลย โดยระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว จําเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ประกอบกับจําเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมาก่อน ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงอนุญาตให้ปล่อยจําเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกา ตีราคาประกัน 400,000 บาท” อีกทั้งเคยมีคําสั่งลงวันที่ 10 ธ.ค. 2567 อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจิรวัฒน์ ซึ่งคดีดังกล่าวทั้งสองมีลักษณะข้อหาคล้ายคลึงกับคดีนี้ รวมทั้งศาลลงโทษจําคุกในอัตราโทษที่เท่ากัน ผู้ร้องจึงประสงค์ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตปล่อยชั่วคราวจําเลยในคดีนี้ด้วยเช่นกัน

จําเลยเป็นผู้มีภูมิลําเนาถิ่นฐานที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน เป็นเพียงบุคคลธรรมดา ก่อนถูกดําเนินคดีนี้จําเลยประกอบสัมมาอาชีพโดยมีอาชีพทํานาและเลี้ยงวัว ปัจจุบันจําเลยมีอาการเจ็บป่วยคือป่วยคือมีอาการปวดที่บริเวณช่วงหลังและบริเวณเอวอย่างรุนแรง ซึ่งจําเลยรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่ที่โรงพยาบาลขอนแก่น

นอกจากนี้ ในคดีนี้ไม่ปรากฏเหตุและพฤติการณ์ใด ๆ ของจําเลยที่เข้าเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ที่ศาลจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจําเลย ผู้ร้องจึงขอให้ศาลได้ใช้ดุลยพินิจพิจารณาคําร้องโดยยึดหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจําเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ และก่อนมีคําพิพากษาถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดกระทําความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 29 วรรคสอง

อย่างไรก็ตาม วันต่อมา (15 ก.พ. 2568) ศาลฎีกายังคงมีคำสั่งไม่ให้ประกันทิวากรเช่นเคย ระบุคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเหตุที่อ้างตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกามิใช่เหตุผลอันสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ทั้งศาลฎีกาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างฎีกามาแล้ว ส่วนเหตุผลตามคำร้องที่อ้างอาการเจ็บป่วย จำเลยมีสิทธิได้รับการรักษาตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์อยู่แล้ว จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง“

.
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
วันเกิดครบ 49 ปี ‘ทิวากร’ ปีแรกในฐานะผู้ต้องขังระหว่างฎีกา ‘คดี 112’ จากการไม่ศรัทธา

https://tlhr2014.com/archives/73417


ใครที่ยังไม่ได้ตบมือให้พรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2021 ช่วยตบมือให้หน่อย - "หยุดไล่ชาวเมียนมาไปตาย รัฐบาลต้องมองคนเท่ากัน ต้องดูแลให้ชาวเมียนมามีชีวิตรอดด้วยปัจจัย 4 ทันที" จากโพสต์เพื่อไทย April 2,2021


พรรคเพื่อไทย
April 2, 2021
·
หยุดไล่ชาวเมียนมาไปตาย
รัฐบาลต้องมองคนเท่ากัน
ต้องดูแลให้ชาวเมียนมามีชีวิตรอดด้วยปัจจัย 4 ทันที
.
“ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง จึงอยากขอร้องให้พลเอกประยุทธ์เห็นคุณค่าของชีวิตคนให้เท่ากัน โดยขอให้ดูแลผู้ลี้ภัยจากเมียนมาทันที ภายใต้การดูแลป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มข้นและอย่าให้เกิดปัญหาซ้อนปัญหาตามมาภายหลัง”
.
"สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้คือสงคราม เหตุใดเพื่อนบ้านอย่างไทย จึงสนับสนุนอุ้มชูทหาร แต่นิ่งเฉยดูดายกับการเข่นฆ่าประชาชน เหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นการวัดระดับความเป็นมนุษย์ วัดระดับสติปัญญาและความสามารถในการบริหารจัดการปัญหาระหว่างประเทศของพลเอกประยุทธ์ได้เป็นอย่างดี"
.
อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีทหารเมียนมากระทำการรุนแรงเข่นฆ่าประชาชนจนบาดเจ็บล้มตาย สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวโลกเป็นอย่างมาก
.
กะเหรี่ยงที่ยังมีชีวิตรอดนับพันคนหลบหนีเข้ามาในชายแดนไทยหวังรักษาชีวิต แต่กลับถูกกีดกันไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ โดยทหารไทยที่บริเวณแม่สามแลบ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ตรึงกำลังกั้นแนวชายแดน ห้ามไม่ให้ผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงข้ามแดนเข้ามา
.
ทั้งหมดถือเป็นการกระทำที่สวนทางคำพูดที่สวยหรูของพลเอกประยุทธ์ ที่บอกว่าพร้อมเปิดรับผู้ลี้ภัยและดูแลเต็มที่ จึงปฏิเสธได้ยากว่าประเทศไทยไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การผลักดันคนหนีตายให้กลับไปในแดนสงครามจึงเท่ากับไล่เขาให้ไปตาย
.
แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี ค.ศ.1951 และไม่มีกฎหมายว่าด้วยผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ แต่ไทยเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารด้านประเด็นผู้ลี้ภัย (Executive Committee : ExCom) ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)และยังอยู่ในภาคีกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 7 ฉบับ
ดังนั้นรัฐบาลไทยควรปฏิบัติกับชาวกะเหรี่ยงตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลเหล่านี้ โดยควรให้ที่พักพิงหรือปัจจัยสี่ตามสมควรแก่การดำรงชีวิตอยู่ หากสถานการณ์สงบลงแล้วจึงควรเนินการส่งผู้ลี้ภัยกลับถิ่นในภายหลัง
.
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ชาติที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งประชาคมอาเซียน อีกทั้งยังเคยเป็นประธานอาเซียนมาก่อน แต่ท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมาซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันกลับไม่ชัดเจนแม้กระทั่งในเรื่องมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานที่ควรกระทำ


https://www.facebook.com/photo/?fbid=4197217573644482&set=a.527931380573138


กรณีอุยกูร์: หรือเราไม่ต้องสนใจปฏิกิริยาประชาคมโลก?


กรณีอุยกูร์: หรือเราไม่ต้องสนใจปฏิกิริยาประชาคมโลก?: Suthichai Live 28-2-2568

Thai PBS

Feb 27, 2025 

การส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เป็นประเด็นที่ถูกจับตามอง โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และแม้จะมีคำยืนยันในเบื้องต้นว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน แต่ยังมีคำถามมากมายที่รอคอตอบ รวมถึงหากมองไปข้างหน้า ไทยต้องเจอกับอะไรหลังจากเรื่องนี้

https://www.youtube.com/watch?v=eTyk1gRio10


รัสเซียและจีนเร่งจ้างข้ารัฐการสหรัฐ ที่ถูกเลิกจ้าง - เจ้าหน้าที่บางคนที่ถูกเลิกจ้าง อดีตอาจมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับทางการสหรัฐ


Khalissee @Kahlissee

Russia and China Hiring U.S Layoffs 
You couldn't make this up. 

U.S. intelligence warns that Russia and China are aggressively recruiting recently fired federal employees, especially those with security clearances. 

Despite growing concerns, Director of National Intelligence Tulsi Gabbard has dismissed warnings as “disloyal,” insisting that “patriots” will replace those removed. 

Is national security at risk?

https://x.com/Kahlissee/status/1895532437293166690
.....

Exclusive: US intel shows Russia and China are attempting to recruit disgruntled federal employees, sources say


Russian servicemen stand with the Kremlin's Spasskaya tower and Saint Basil's cathedral before the Victory Day military parade rehearsal in central Moscow, on April 27, 2023. Kirill Kudryavtsev/AFP via Getty Images

February 28, 2025
CNN

Foreign adversaries including Russia and China have recently directed their intelligence services to ramp up recruiting of US federal employees working in national security, targeting those who have been fired or feel they could be soon, according to four people familiar with recent US intelligence on the issue and a document reviewed by CNN.

The intelligence indicates that foreign adversaries are eager to exploit the Trump administration’s efforts to conduct mass layoffs across the federal workforce – a plan laid out by the Office of Personnel Management earlier this week.

Russia and China are focusing their efforts on recently fired employees with security clearances and probationary employees at risk of being terminated, who may have valuable information about US critical infrastructure and vital government bureaucracy, two of the sources said. At least two countries have already set up recruitment websites and begun aggressively targeting federal employees on LinkedIn, two of the sources said.

A document produced by the Naval Criminal Investigative Service said the intelligence community assessed with “high confidence” that foreign adversaries were trying to recruit federal employees and “capitalize” on the Trump administration’s plans for mass layoffs, according to a partly redacted copy reviewed by CNN.

It added that foreign intelligence officers were being directed to look for potential sources on LinkedIn, TikTok, RedNote and Reddit.

At least one foreign intelligence officer directed an asset to create a company profile on Linkedin and post a job advertisement, and to actively pursue federal employees who indicate they are “open to work,” the NCIS document says.

The adversaries think the employees “are at their most vulnerable right now,” another of the sources said. “Out of a job, bitter about being fired, etc.”

“It doesn’t take a lot of imagination to see that these cast aside federal workers with a wealth of institutional knowledge represent staggeringly attractive targets to the intelligence services of our competitors and adversaries,” a third source familiar with the recent US assessments told CNN.

CNN has reached out to the Office of the Director of National Intelligence as well as the embassies of China and Russia in Washington for comment.

The intelligence seems to confirm what was previously a hypothetical fear for current and US officials: that the mass firings could offer a rich recruitment opportunity for foreign intelligence services that might seek to exploit financially vulnerable or resentful former employees. The Justice Department has charged multiple former military and intelligence officials for providing US intelligence to China in recent years.
Officials have been discussing the risk

Career officials at the CIA have been quietly discussing that risk and how to mitigate it in the recent weeks, current and former intelligence officials previously told CNN. Director of National Intelligence Tulsi Gabbard earlier this week suggested that those discussions represented a “threat” made by disloyal government employees — rather than a clinical warning of the potential risks posed by President Donald Trump’s aggressive cost-cutting strategy — and that those involved should be penalized.

“I am curious about how they think this is a good tactic to keep their job,” Gabbard told Fox News’ Jesse Watters on Tuesday. “They’re exposing themselves essentially by making this indirect threat using their propaganda arm through CNN that they’ve used over and over and over again to reveal their hand, that their loyalty is not at all to America. It is not to the American people or the Constitution. It is to themselves.

“And these are exactly the kind of people that we need to root out, get rid of so that the patriots who do work in this area, who are committed to our core mission can actually focus on that,” she said.

Multiple current officials across national security agencies who spoke to CNN on the condition of anonymity expressed frustration at the administration’s response to what they see as very real warnings — not partisan swiping.

“Employees that feel they have been mistreated by an employer have historically been much more likely to disclose sensitive information,” said Holden Triplett, who served as director of counterintelligence at the National Security Council in the first Trump administration and is a former FBI attaché at the US embassies in Moscow and Beijing. “We may be creating, albeit somewhat unintentionally, the perfect recruitment environment.”
‘This isn’t reality TV’

“This isn’t reality TV,” said another former intelligence official. “There are consequences.”

The CIA and Defense Department are weighing significant staff cuts. The Pentagon said in a memo last week that over 5,000 probationary employees, who in most cases have been in their job a year or less, could be fired in the short term. And the CIA has already fired more than 20 officers for their work on diversity issues, many of whom are now challenging their dismissal in court.

The CIA also aggressively seeks to recruit disaffected government employees in adversarial countries “all the time,” noted a former intelligence official — using similar tactics. The agency has released a series of public recruitment videos aimed at persuading disgruntled Russian government employees to spy for the United States, videos that detailed ways to securely contact the agency.

“’Domestic political turbulence in your country? Sign up with us to help us help your country!’” the former official paraphrased the US efforts, adding that those efforts deeply aggravate foreign governments.

The CIA may have already inadvertently put some American secrets within the grasp of foreign spies and hackers. In an effort to comply with the executive order to downsize the federal workforce, the CIA earlier this month sent the White House an extraordinarily unusual email listing all new hires that have been with the agency for two years or less — a list that included CIA officers who were preparing to operate under cover — over an unclassified email server.

Some of those officers, who have had access to classified information about the agency’s operations and tradecraft, may now be terminated as part of the layoffs.

https://www.cnn.com/2025/02/28/politics/us-intel-russia-china-attempt-recruit-disgruntled-federal-employees/index.html


กรณีสมชัย สัจจพงษ์ ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นข้อบ่งชี้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีตัวเลือกแล้ว สัญชัย สัจจพงศ์ คือหนึ่งในคณะกรรมการสอบความรับผิดเรื่องจำนำข้าวและออกคำสั่งให้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับผิดชดใช้คืนหลายหมื่นล้าน



Thanapol Eawsakul
7 hours ago
·
กรณ๊สมชัย สัจจพงษ์ ดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นข้อบ่งชี้ว่าพรรคเพือไทยไม่มีตัวเลือกแล้ว
............
ภานหลังจากกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งถือว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นระธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว
ดูเหมือนวาพรรคเพื่อไทยจะไม่มีใครมาดำรงตำแหน่งทางการคลังได้อีกแล้ว
กรณีนายสมชัย สัจจพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการ ธปท.คนใหม่
ซึ่งเป็นการเสนอชื่อจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร น่าสนใจ
ไม่พลิก ! “สมชัย สัจจพงษ์” ได้รับเลือกนั่งเก้าอี้ประธานแบงก์ชาติคนใหม่... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1764139
สัญชัย สัจจพงศ์ คือหนึ่งในคณะกรรมการสอบความรับผิดเรื่องจำนำข้าวและออกคำสั่งให้คุณยิ่งลักษณ์ ชิยวัตร รับผิดชดใช้คืนหลายหมื่นล้าน (คดีนี้ตอนนี้อยู่ที่ศาลปกครองสูงสุด) และเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกยิ่งลีกษณ์ ชินวัตรฟ้องด้วย
'ปลัดคลัง' ปัดกลั่นแกล้ง 'ยิ่งลักษณ์'
https://www.bangkokbiznews.com/business/766159
'ยิ่งลักษณ์' หนีไม่กระทบยัดทรัพย์
https://www.bangkokbiznews.com/politics/770324

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/9565700913496662



บีบีซีได้แฟ้มข้อมูลที่เรียกกันว่า "แฟ้มตำรวจซินเจียง" (Xinjiang Police Files) มาตั้งแต่ปี 2022 แฟ้มนี้ได้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการกักขังชาวอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเติร์ก



อุยกูร์ : แฟ้มลับตำรวจซินเจียงเผยตัวตนและเรื่องราวชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมขังในซินเจียง

โดย จอห์น ซัดเวิร์ธ
บีบีซีนิวส์
25 พฤษภาคม 2022

จากข้อมูลมหาศาลที่ถูกแฮ็กออกมาจากเซิร์ฟเวอร์ตำรวจในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน มีทั้งรูปหลายพันรูปจากระบบค่ายกักขังขนาดใหญ่ที่ถูกปกปิดเป็นความลับ และเอกสารที่ระบุนโยบายสั่งยิงใครก็ตามที่พยายามหนีออกมาไม่ให้มีชีวิตรอด

บีบีซีได้แฟ้มข้อมูลที่ขณะนี้เรียกกันว่า "แฟ้มตำรวจซินเจียง" (Xinjiang Police Files) มาในปีนี้ และหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการสืบค้นและยืนยันข้อมูล แฟ้มนี้ได้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการกักขังชาวอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเติร์ก

การเผยแพร่รายงานนี้มีขึ้นในจังหวะเดียวกับที่มิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เดินทางไปถึงจีนเมื่อไม่นานมานี้ โดยผู้วิพากษ์วิจารณ์หลายคนกังวลว่าแผนการเดินทางของเธอจะถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดโดยรัฐบาลจีน

แฟ้มข้อมูลนี้เปิดเผยสิ่งต่าง ๆ ในเชิงลึกมากกว่าที่เคยมีมา "ค่ายปรับทัศนคติ" และเรือนจำของจีนถูกใช้แยกกันแต่ก็เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันในการกักขังชาวอุยกูร์ ซึ่งนำไปสู่ความเคลือบแคลงสงสัยอย่างยิ่งต่อสิ่งที่รัฐบาลจีนเปิดเผยต่อสาธารณะ

รัฐบาลอ้างว่า "ค่ายอบรมให้การศึกษาใหม่" (re-education camps) ที่สร้างขึ้นทั่วซินเจียง ตั้งแต่ปี 2017 ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า "โรงเรียน" แต่นี่เป็นเรื่องตรงกันข้ามจากที่เห็นในคำสั่งตำรวจ เวรรักษาความปลอดภัย และรูปถ่ายของผู้ถูกคุมขังที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน

นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้อหาก่อการร้ายอย่างแพร่หลายทำให้คนหลายพันคนถูกส่งเข้าเรือนจำ แฟ้มข้อมูลนี้เผยให้เห็นว่ามันถูกใช้เป็นวิธีการคู่ขนานไปกับค่ายกักกันผู้คน โดยตำรวจตั้งข้อหารุนแรงและใช้อำนาจตามอำเภอใจ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาชุดหนึ่งเกี่ยวกับนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่การแสดงออกถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ หรือการนับถือศาสนาอิสลาม และมีการบัญชาการไล่ลงมาเป็นทอด ๆ จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน


ในแฟ้มข้อมูลที่ถูกแฮ็กออกมามีรูปชาวอุยกูร์มากกว่า 5,000 รูป ที่ถ่ายช่วงเดือน ม.ค. ถึง ก.ค. ปี 2018

หลังจากใช้ข้อมูลอื่นประกอบ เราพบว่ามีอย่างน้อย 2,884 คนที่ถูกกักขัง

และสำหรับคนที่ถูกระบุว่าอยู่ในค่ายอบรมเพื่อให้การศึกษาใหม่ มีสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้เป็น "นักเรียน" ที่เต็มใจเข้ารับการอบรมในค่ายอย่างที่ทางการจีนอ้างมานาน

รูปจากค่ายอบรมให้การศึกษาใหม่บางรูป มีภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนถือกระบองอยู่ข้าง ๆ ติดมาด้วย อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ทางการระดับสูงของจีนปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด

"ความจริงคือศูนย์การศึกษาและการฝึกในซินเจียงเป็นโรงเรียนที่ช่วยให้ผู้คนเป็นอิสระจากแนวคิดที่สุดโต่ง" หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน ระบุเมื่อปี 2019

หลายคนถูกกักขังเพียงเพราะแสดงออกว่านับถือศาสนาอิสลาม หรือเพราะเดินทางไปประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม


ทาจิกุล ทาฮีร์ อายุ 60 ปี ถูกกักขังเพื่อเข้ารับการศึกษาใหม่ เมื่อเดือน ต.ค. ปี 2017 หลังถูกกล่าวหาว่า "สอนศาสนาโดยผิดกฎหมาย"

นอกจากมีการข่มขู่ใช้กำลังให้เห็นในเบื้องหลัง รูปของผู้หญิงคนนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีการตีตราว่าคนคนหนึ่งมีความผิดเพียงเพราะมีความเชื่อมโยงกับคนอื่น (guilt by association) อย่างแพร่หลาย

เอกสารในแฟ้มข้อมูลนี้ระบุว่าลูกชายของ ทาจิกุล ทาฮีร์ (Tajigul Tahir) "มีความเชื่อทางศาสนาอย่างรุนแรง" เพียงเพราะเขาไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ นี่เป็นผลทำให้เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 10 ปีด้วยข้อหาก่อการร้าย

ตัวเธออยู่ในรายชื่อ "ญาติของผู้ถูกคุมขัง" โดยถือเป็นหนึ่งในคนหลายพันคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะ "อาชญากรรม" ของสมาชิกในครอบครัว


รูปนี้ประกอบไปด้วยรูปผู้ถูกคุมขัง 2,884 คน

รูปเหล่านี้เป็นภาพบันทึกเกี่ยวกับสมาชิกในสังคมชาวอุยกูร์ที่ถูกรวบตัวส่งไปอยู่ในค่ายกักกันและเรือนจำ

ราไฟล์ โอเมอร์ (Raphile Omer) อายุแค่ 15 ปี ขณะที่ถูกคุมขัง


ผู้ที่มีอายุมากที่สุดคือ แอนิฮาน ฮามิต (Anihan Hamit) ซึ่งในขณะที่ถูกคุมขัง มีอายุ 73 ปี


ใน "แฟ้มตำรวจซินเจียง" (Xinjiang Police Files) - ชื่อที่สมาคมผู้สื่อข่าวนานาชาติซึ่งบีบีซีเป็นสมาชิกกำหนดขึ้น - มีทั้งรูปและเอกสารนับหมื่นชิ้น

ในจำนวนนั้น มีคำพูดของเจ้าหน้าที่ทางการอาวุโสที่ถูกเก็บเป็นความลับ คู่มือภายในองค์กรตำรวจ ข้อมูลเรื่องบุคลากร รายละเอียดการกักขังชาวอุยกูร์มากกว่า 20,000 คน และรูปภาพจากสถานที่ที่มีความอ่อนไหวมาก


ภาพจากภายใน "ค่ายปรับทัศนคติ"

ผู้ที่นำของแฟ้มข้อมูลนี้มาเผยแพร่อ้างว่าได้ทำการแฮ็ก ดาวน์โหลด และถอดรหัส จากเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ตำรวจหลายแห่งในเขตปกครองตนเองซินเจียง ก่อนที่จะส่งต่อข้อมูลมาให้ ดร.เอเดรียน เซนซ์ นักวิชาการจากมูลนิธิรำลึกเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากลัทธิคอมมิวนิสต์ (Victims of Communism Memorial Foundation) เขาเป็นบุคคลต้องห้ามของรัฐบาลจีนเพราะทำงานวิจัยเรื่องเขตปกครองตนเองซินเจียง

ดร.เซนซ์ ได้ส่งต่อข้อมูลนี้ให้กับบีบีซี แม้ว่าบีบีซีสามารถติดต่อผู้ที่นำแฟ้มข้อมูลนี้มาเผยแพร่ได้โดยตรง แต่เขาไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนและที่อยู่

ไม่มีเอกสารที่ถูกแฮ็กออกมาชิ้นไหนที่ลงวันที่หลังปี 2018 โดยเป็นไปได้ว่าเป็นผลจากคำสั่งที่ออกมาในช่วงต้นปี 2019 กำหนดให้ปรับมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลเกี่ยวกับเขตปกครองซินเจียงให้รัดกุมขึ้น นั่นอาจทำให้แฮ็กเกอร์รายนี้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ใหม่กว่านั้นได้

ดร.เซนซ์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ "แฟ้มตำรวจซินเจียง" ซึ่งผ่านการตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่นแล้ว ตีพิมพ์ในวารสารแห่งสมาคมยุโรปเพื่อจีนศึกษา (Journal of the European Association for Chinese Studies) และได้เผยแพร่ภาพผู้ถูกคุมขังทั้งหมดรวมถึงหลักฐานบางส่วนทางโลกออนไลน์

"เนื้อหาไม่ได้ถูกตัดออก มันทั้งดิบ ไม่มีการลดทอน และประกอบไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง เรามีทุกอย่าง" นักวิชาการคนนี้บอกกับบีบีซี

"เรามีเอกสารลับ คำพูดของผู้นำคนต่าง ๆ ที่พูดอย่างเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาคิดยังไง เรามีตารางต่าง ๆ เรามีรูปภาพ ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน และมันได้ทำลายความพยายามโฆษณาชวนเชื่อของจีน"

นอกจากรูปภาพของผู้ถูกคุมขังแล้ว แฟ้มตำรวจซินเจียงยังมีเอกสารอีกชุดหนึ่งที่เผยให้เห็นว่าค่ายที่จีนพยายามบอกว่าเป็นโรงเรียนฝึกอาชีพเหล่านี้เป็นเหมือนเรือนจำ

คู่มือปฏิบัติของตำรวจระบุถึงการให้เจ้าหน้าที่พกอาวุธในทุกพื้นที่ในค่าย การวางตำแหน่งปืนกลและปืนไรเฟิลบนหอตรวจการ และมีนโยบายสั่งยิงใครก็ตามที่พยายามหนีออกมาไม่ให้รอดชีวิต

ผ้าปิดตา, กุญแจมือ และโซ่ตรวน เป็นข้อบังคับสำหรับ "นักเรียน" ทุกคนที่ถูกย้ายไปศูนย์อื่น หรือแม้กระทั่งไปโรงพยาบาล



หลายทศวรรษมาแล้ว ซินเจียงได้ผ่านวงจรของการเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดนที่คุกรุ่น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ และความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอย่างเข้มงวดขึ้น

แต่รัฐบาลได้เปลี่ยนนโยบายเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากปี 2013 และ 2014 ที่เกิดเหตุโจมตีสองครั้งซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ที่สัญจรไปมาในกรุงปักกิ่งและเมืองคุนหมิง ซึ่งรัฐบาลโทษว่าเป็นฝีมือของชาวอุยกูร์ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนและชาวมุสลิมหัวรุนแรง

รัฐเริ่มเห็นว่าวัฒนธรรมอุยกูร์เป็นปัญหา และภายในไม่กี่ปี "ค่ายปรับทัศนคติ" ขนาดใหญ่หลายร้อยแห่งเริ่มปรากฏบนภาพถ่ายดาวเทียม โดยชาวอุยกูร์ถูกส่งไปยังสถานที่เหล่านี้โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาคดี



ระบบเรือนจำในซินเจียงเองก็ถูกขยับขยายอย่างกว้างขวาง และถูกใช้เป็นอีกหนทางหนึ่งในการควบคุมอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์ หลังจากถูกนานาชาติวิจารณ์การไร้ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายในค่ายกักกันต่าง ๆ

จากไฟล์ตาราง 452 ชุด เราได้เห็นการใช้แนวทางสองอย่างนี้ร่วมกันอย่างชัดเจน โดยมีการระบุชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัว ของชาวอุยกูร์มากกว่า 2.5 แสนคน โดยบอกว่ามีใครบ้างที่ถูกคุมขัง ในสถานที่ประเภทไหน และด้วยเหตุผลอะไร

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่ามีการจับคนเข้าไปคุมขังในค่ายและเรือนจำอย่างไม่หยุดหย่อน มีรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ทางการจีนได้สอดส่องสังคมชาวอุยกูร์อย่างอคติ -โดยใช้ข้อมูลจากเครื่องมือสอดส่องของรัฐเป็นตัวช่วย - และจับกุมและควบคุมตัวผู้คนโดยพลการ

มีตัวอย่างนับไม่ถ้วนของการที่คนถูกลงโทษย้อนหลังจาก "อาชญากรรม" ที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว หรือแม้กระทั่งหลายทศวรรษก่อน อาทิ ชายคนหนึ่งถูกจำคุก 10 ปี ในปี 2017 จากการ "เรียนคัมภีร์ศาสนาอิสลามกับย่าของเขา" เพียงไม่กี่วันเมื่อปี 2010

คนหลายร้อยตกเป็นเป้าจากการใช้มือถือ - ส่วนใหญ่แล้วจากการฟัง "การสอนศาสนาที่ผิดกฎหมาย" หรือการติดตั้งแอปพลิเคชันที่ต้องเข้ารหัสในมือถือ

มีคนอื่น ๆ ที่ถูกตัดสินจำคุกนับ 10 ปี โทษฐานที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือสื่อสารมากพอ โดยมีมากกว่าร้อยกรณีที่โดนลงโทษเพราะ "เงินในมือถือหมด" ซึ่งทางการบอกว่าเป็นสัญญาณว่าผู้ใช้พยายามหลบหลีกการสอดส่องของรัฐ

ไฟล์ตารางระบุข้อมูลว่ามีการสืบค้นเรื่องราวชีวิตของผู้คนเหล่านี้อย่างละเอียดเพื่อหาข้ออ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งถูกนำไปเปลี่ยนเป็นข้อหาที่นิยามไว้อย่างกว้างที่สุด อาทิ "หาเรื่องทะเลาะวิวาท" หรือ "รบกวนความสงบสุขในสังคม" และจากนั้นก็ถูกลงโทษด้วยข้อหาร้ายแรงอย่างการก่อการร้าย ต้องถูกคุมขัง 7 ปี 10 ปี 25 ปี ฯลฯ

ในไฟล์ตาราง มีการระบุว่า เทอร์ซัน คาดีร์ (Tursun Kadir) สอนและศึกษาคัมภีร์ศาสนาอิสลามในช่วงทศวรรษ 80 และไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขามีความผิดฐาน "ไว้เคราโดยได้อิทธิพลมาความคิดสุดโต่งทางศาสนา"

ชายวัย 58 ปี ผู้นี้ถูกสั่งจำคุก 16 ปี 11 เดือน รูปจากแฟ้มเอกสารเป็นภาพเขาช่วงก่อนและหลังที่รัฐจีนจะพิจารณาว่าการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นอุยกูร์เป็นเรื่องผิดกฎหมาย


เทอร์ซัน คาดีร์ มีความผิดฐาน "ไว้เคราโดยได้อิทธิพลมาความคิดสุดโต่งทางศาสนา"

ชายวัย 58 ปี ผู้นี้ถูกสั่งจำคุก 16 ปี 11 เดือน

รูปจากแฟ้มเอกสารเป็นภาพเขาช่วงก่อนและหลังที่รัฐจีนจะพิจารณาว่าการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นอุยกูร์เป็นเรื่องผิดกฎหมาย


แฟ้มตำรวจซินเจียงแสดงให้เห็นว่าการสอดส่องตรวจตราไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่ในค่ายกักกันและเรือนจำเท่านั้น

แต่รูปถ่ายแสดงให้เห็นว่าชาวอุยกูร์ที่ยังอาศัยอยู่ที่บ้านอีกจำนวนมากถูกเรียกตัวมาถ่ายรูป โดยมีทั้งคนสูงอายุไล่ไปจนถึงเด็ก ๆ

พวกเขาถูกเรียกมาที่สถานีตำรวจอย่างไม่เป็นเวลา บางรายถูกเรียกมากลางดึก

ระบบการตั้งชื่อไฟล์ที่ใช้เหมือนกับรูปที่ถ่ายในค่ายกักกันและเรือนจำ ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ว่าข้อมูลถูกนำไปใช้สำหรับเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่ทางการจีนกำลังติดตั้งอยู่ในขณะนั้น

เราไม่อาจทราบได้จากหน้าตาของพวกเขาว่าพวกเขารู้ว่ามีค่ายกักกันที่เขาหลายพันคนหายเข้าไปหรือไม่ แต่ไฟล์ตารางที่มีทำให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเสี่ยงต้องเผชิญกับอันตรายเช่นกัน

5 เดือนหลังจากตำรวจถ่ายรูปพวกเขาในปี 2018 คู่สามี-ภรรยา เทอร์ซัน เมเม็ตทิมิน (Tursun Memetimin) และ อาชิกุล เทอร์กัน (Ashigul Turghun) ถูกส่งไปศูนย์กักตัวหลังถูกกล่าวหาว่า "ฟังเทปบันทึกการสอนที่ผิดกฎหมาย" จากโทรศัพท์มือถือของคนคนหนึ่งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว


คู่สามี-ภรรยา เทอร์ซัน เมเม็ตทิมิน และ อาชิกุล เทอร์กัน ถูกควบคุมตัวในปี 2018


ลูกสาวสองคนของพวกเขา รูซิกุล (Ruzigul) อายุ 10 ขวบ และ ไอเช็ม (Ayshem) ซึ่งตอนนั้นอายุ 6 ขวบ

รูปของลูกสาวสองคนจากทั้งหมดสามคนของพวกเขาก็อยู่ในแฟ้มที่ถูกแฮ็กออกมาด้วย ตอนที่พ่อแม่หายตัวไปรูซิกุล (Ruzigul) อายุ 10 ขวบ ขณะที่ อายเช็ม (Ayshem) อายุ 6 ขวบ

ไฟล์ตารางนี้ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนักเกี่ยวกับตัวลูก ๆ ของผู้ที่ถูกนำตัวไปคุมขัง

มีความเป็นไปได้ว่ามีเด็กจำนวนมากที่ถูกนำตัวไปอยู่ในระบบโรงเรียนประจำของรัฐเป็นการถาวร โดยดังกล่าวสร้างขึ้นทั่วซินเจียงในช่วงเดียวกับที่มีการสร้างค่ายกักกัน

ชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศบอกกับบีบีซีว่า ผมที่ตัดสั้นของเด็กในรูปเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลายคนถูกบังคับให้เข้าเรียน ในโรงเรียนเหล่านั้นอย่างน้อย ๆ ก็ในช่วงวันธรรมดาแม้ว่าเด็ก ๆ จะยังอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ หรือแค่พ่อหรือแม่คนเดียวก็ตาม

รูปภาพเหล่านี้เผยให้เห็นนโยบายที่ตั้งใจมุ่งเป้าไปยังครอบครัวชาวอุยกูร์ในฐานะที่เป็นแหล่งสะสมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมชาวอุยกูร์ และ "ทำลายรากฐาน วงศ์ตระกูล ความสัมพันธ์ และที่มา ของพวกเขา"


นอกจากจะเผยให้เห็นระบบการหน่วงเหนี่ยวกักขังของจีนอย่างชัดเจนมากกว่าที่เคยมีมาก่อนแล้ว แฟ้มตำรวจซินเจียง ยังบ่งชี้ถึงขอบเขตของการกระทำดังกล่าว

เอกสารส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตปกครองทางตอนใต้ของซินเจียง ซึ่งรู้จักในชื่อ Konasheher ในภาษาอุยกูร์ หรือชู่ฟู ในภาษาจีน



การวิเคราะห์ข้อมูลของ ดร.เซ็นซ์ ชี้ว่าในช่วงปี 2017-2018 เฉพาะในเขตปกครองนี้แห่งเดียว ชาวบ้าน จำนวนรวมทั้งสิ้น 22,762 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 12% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ หากไม่อยู่ในค่ายก็อยู่ในคุก

และหากนำไปคำนวณเพื่อดูสถานการณ์ที่เกิดกับเขตปกครองซินเจียงโดยรวม ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการคุมขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวเติร์กในวัยผู้ใหญ่ มากกว่า 1.2 ล้านคน ตัวเลขนี้อยู่ในข่ายเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องของชาวอุยกูร์ประเมินไว้ และเป็นตัวเลขที่ทางการจีนมักไม่ยอมรับ

จากการทำงานร่วมกับองค์กรข่าว 14 แห่ง จาก 11 ประเทศ บีบีซีพิสูจน์ได้ว่าแฟ้มตำรวจซินเจียงนี้มีความสลักสำคัญเพียงใด

ชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในยุโรปและสหรัฐฯ ถูกขอให้ส่งรายชื่อและหมายเลขประจำตัวของญาติที่หายตัวไปในภูมิภาคซินเจียง ซึ่งหลายรายมีชื่อตรงกับในเอกสารข้อมูลที่พบ สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง

บีบีซียังขอให้ ศ.ฮานี ฟาริด ผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์หลักฐานจากภาพ แห่งมหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ แคลิฟอร์เนีย ตรวจพิสูจน์ภาพของชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งที่ถูกคุมขัง ซึ่งเขาไม่พบว่ามีการปลอมแปลง หรือตกแต่งใด ๆ เกิดขึ้น อย่างที่พบในการใช้เทคโนโลยีตัดต่อภาพปลอม


ขอบภาพบางภาพอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ๋

อย่างไรก็ดี มีบางภาพที่ขอบอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดจากการทำสำเนาและขยับไปมาเล็กน้อย สิ่งนี้สามารถอธิบายโดยให้น้ำหนักไปที่ความคิดที่ว่าภาพเหล่านั้นได้มาจากเครือข่ายเฝ้าระวังอันมีขอบข่ายมหาศาลชองจีนในซินเจียง

ศ.ฟาริด เชื่อว่าภาพที่ไม่สมบูรณ์ น่าจะเกิดจากกระบวนการปกติของการใช้ฐานข้อมูลระบบจดจำใบหน้า ซึ่งในกรณีภาพบุคคล มักจะมีการเลื่อนส่วนของดวงตาให้ตรงกับแนวนอน

นอกจากนี้ยังมีการตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมด้วยการจัดเรียงภาพให้ตรงกับเวลาที่ประทับบนภาพ รวมทั้งตรวจสอบรายละเอียดอื่น ๆ ในภาพ ซึ่งก็พบว่าเป็นภาพที่ถ่ายตามเวลาที่เกิดขึ้นจริงและในสถานที่จริง

หลังจากสอบถามไปยังรัฐบาลจีนเกี่ยวกับแฟ้มที่ถูกแฮคนี้ สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดีซี ตอบกลับว่า

"ประเด็นใด ๆ เกี่ยวกับซินเจียงล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการก่อการร้าย ความคิดสุดโต่งรุนแรงและคตินิยมของการแยกตัวออกไป ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหรือศาสนา"

แถลงการณ์จากสถานทูตยังกล่าวอีกว่า ทางการจีนได้ "ใช้มาตรการที่ช่วยลดทอนความคิดสุดโต่งอย่างมีประสิทธิภาพ เด็ดเดี่ยว และเอาจริงเอาจัง"

"ขณะนี้ภูมิภาคดังกล่าวมีความมั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งยังเกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ" แถลงการณ์ยังกล่าวอีกว่าสิ่งเหล่านี้ "คือการตอบโต้อย่างทรงพลังที่สุดต่อคำโกหกและการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับซินเจียง"

แต่สถานทูตไม่ได้ตอบคำถามอื่นใดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่พบในแฟ้มข้อมูล

แฟ้มตำรวจซินเจียง ยังมีภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงการจัดการกับชาวอุยกูร์เพื่อบังคับให้พวกเขาปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตัวเอง ทำให้ต้องเชื่อฟัง โดยใช้วิธีการเดียวกับที่เอกสารของตำรวจระบุว่าเป็นวิธีที่ใช้ในค่าย แต่ในครั้งนี้เกิดขึ้นในศูนย์กักกัน

นั่นรวมถึงการที่ผู้ถูกคุมขังต้องนั่งยอง ๆ ก้มศีรษะ โดยมีตำรวจหลายนายพร้อมกระบองยืนล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีการกระทำที่ดูคล้ายการอบรม ซึ่งก็มีลักษณะคาบเกี่ยวกันระหว่างคุกกับค่ายอบรม

ผู้ถูกคุมขังนั่งยอง ๆ ก้มศีรษะ มีตำรวจพร้อมกระบองยืนล้อมรอบ

ตัวอักษรที่อยู่ด้านหลังชุดที่ผู้ถูกคุมขังสวมใส่เขียนว่า ศูนย์กักกันเทเกส (Tekes) ทางเหนือของซินเจียง ซึ่งตรงกับภาพถ่ายดาวเทียมที่แสดงให้เห็นบริเวณด้านนอกศูนย์กักกันนี้ในเมืองเทเกส


ผู้ถูกคุมขังถูกนำตัวไปอบรม





แฟ้มข้อมูลที่ถูกแฮคนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลายคน ซึ่งชี้ให้เห็นแนวคิดเบื้องหลังการดำเนินการกับชาวซินเจียง อย่างคำกล่าวซึ่งมีตราประทับว่า "เป็นความลับ" ของนายเฉา เกฉี รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของจีนที่เดินทางไปยังเขตซินเจียงเมื่อเดือน มิ.ย.2018 ที่ว่า เฉพาะในพื้นที่ทางใต้ของซินเจียง มีคนอย่างน้อย 2 ล้านคน ที่ได้รับ "แนวคิดสุดโต่งรุนแรง"

นอกจากนี้รัฐมนตรีคนนี้ยังชื่นชมนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่สนับสนุนเงินทุนก่อสร้างสถานที่คุมขังใหม่ ๆ หลายแห่งเพื่อรองรับผู้คุมขังได้มากถึง 2 ล้านคน

ในแฟ้มข้อมูลยังมีคำกล่าวของายเฉิน ฉวนกั๋ว ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กล่าวเมื่อปี 2017 ว่า "สำหรับบางคนแล้ว การเข้ารับการศึกษาห้าปีอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ"

"เมื่อไหร่ที่คนเหล่านี้ถูกปล่อยออกไป ปัญหาก็จะกลับมา นี่คือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในซินเจียง" เขากล่าว

รายงานชิ้นนี้จัดทำและรวบรวมข้อมูลในกรุงบรัสเซลส์ กรุงลอนดอน นิวยอร์ก และสวีเดน โดยพนักงานของบีบีซีในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร



อ่านบทความเดิมและชมคลิปที่
https://www.bbc.com/thai/international-61570553


เรื่องอุยกูร์ ภายใน 24 ชั่วโมง "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร จากไม่รู้อะไรเลย กลับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่ว่ารู้หรือไม่รู้ การตัดสินใจ ของรัฐบาลไทย แย่มาก


Thanapol Eawsakul
16 hours ago
·
ภายใน 24 ชั่วโมง "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี
จากไม่รู้อะไรเลย กลับรู้ทุกอย่าง
แต่ไม่ว่ารู้หรือไม่รู้
การตัดสินใจ ของรัฐบาลไทย ก็แย่มาก
.....


วิวาทะ V2
11 hours ago
·
ยังไม่ได้คุยในรายละเอียด พูดจริง ๆ ว่าเรื่องแบบนี้ ถ้าประเทศใดก็ตามในโลกจะทำอะไรต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดกระบวนการระหว่างประเทศ รวมถึงยึดเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน อันนี้คือเรื่องใหญ่ ทุกประเทศต้องยึดเรื่องนี้เป็นหลัก

แพทองธาร ชินวัตร, 27 ก.พ.2568
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวที่มีการส่งตัวอุยกูร์กลับจีน


"เรื่องนี้สองรัฐบาลได้คุยกันมาสักพักแล้ว และการพบปะของผู้นำในหลาย ๆ ระดับ ก็ได้มีการยืนยันว่าทุกคนที่กลับไปจะปลอดภัย พยายามทำทุกอย่างให้ราบรื่นที่สุด และการที่พวกเขากลับไปสู่ครอบครัวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี"

แพทองธาร ชินวัตร, 28 ก.พ.2568
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกังวลความปลอดภัยกรณีส่งอุยกูร์กลับจีน
 
https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/9563108377089249https://www.facebook.com/photo/?fbid=1061293189359776&set=a.465768302245604



ทั่วโลกประณามไทย ส่งตัว “ชาวอุยกูร์” กลับจีน ไทยต้องเจออะไรหลังจากนี้ หลังส่ง “อุยกูร์” กลับจีน


ทั่วโลกประณามไทย ส่งตัว “ชาวอุยกูร์” กลับจีน | จับตาสถานการณ์ | 28 ก.พ. 68

Thai PBS

Feb 27, 2025 
กรณีรัฐบาลไทยผลักดันชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากนั้น อย่างเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่แถลงการณ์ของ “มาร์โก รูบิโอ” รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุขอประณามการกระทำดังกล่าวอย่างถึงที่สุด
 
เช่นเดียวกับ เดวิด แลมมี รมว.ต่างประเทศอังกฤษ ระบุว่า สหราชอาณาจักรไม่เห็นด้วย กับการตัดสินใจส่งกลับชาวอุยกูร์ของไทย
 
ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักการไม่ส่งกลับ และพันธกรณีของรัฐบาลไทยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

https://www.youtube.com/watch?v=hl2rnxujbeo


ไทยต้องเจออะไรหลังจากนี้ หลังส่ง “อุยกูร์” กลับจีน | ข่าวค่ำ | 27 ก.พ. 68

Thai PBS

Feb 27, 2025 

การส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เป็นประเด็นที่ถูกจับตามอง โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และแม้จะมีคำยืนยันในเบื้องต้นว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน แต่ยังมีคำถามมากมายที่รอคอตอบ รวมถึงหากมองไปข้างหน้า ไทยต้องเจอกับอะไรหลังจากเรื่องนี้

https://www.youtube.com/watch?v=hl2rnxujbeo
https://www.youtube.com/watch?v=aOSdfygC2Tg




 

ความจริงมีหนึ่งเดียว! นี่คือหลักฐานโต้แย้งคำกล่าวอ้างของรัฐบาลนายกฯ #แพทองธารชินวัตร ที่บอกว่า 40 #อุยกูร์ #Uyghur สมัครใจกลับจีน … หลายคนคงมีคำตอบในใจว่าใครโกหก

 



https://x.com/sunaibkk/status/1895356661247943055
.....


กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang
18 hours ago
·
เปิดจดหมาย 3 ฉบับจากเสียงผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก และผู้ที่ถูกผลักดันกลับจีน มาดู (ฟัง) เสียงคนที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกจากห้องกักเป็นเวลาเกือบ 11 ปี สุดท้ายรัฐไทยเปล่งเสียงแทนว่าพวกเค้าอยากกลับจีนมากเพื่อไปเจอครอบครัวเค้า !!
จดหมายทั้งสามฉบับเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือขอวามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักและคุมขังในไทยมานานเกือบ 11 ปี โดยชาวอุยกูร์ 48 คน ยืนยันไม่สมัครใจกลับจีน กลัวติดคุกและถูกฆ่าตาย และส่งถึงนายกรัฐมนตรีไทย ใช้หัวอกความเป็นแม่และผู้หญิงช่วยให้ชาวอุยกูร์ได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่
จดหมายฉบับแรกมาจากผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ถึง UNHCR เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แต่จดหมายไปไม่ถึง UNHCR ทาง สตม.เก็บไว้และส่งคืนให้ผู้ต้องกักระหว่างอดอาหาร เมื่อเดือน ม.ค.2568 ที่แจ้งชัดเจนว่า “อย่าส่งเค้ากลับจีน เพราะหากถูกส่งไปชีวิตเค้าไม่ถูกขัง ก็ถูกทรมานและอาจตายได้” จดหมายฉบับนี้ถูกดองและส่งคืน
จดหมายฉบับที่สองนอกจากนี้ยังมีจดหมายจากญาติของผู้ต้องกักที่เป็นตัวแทนของ 43 อุยกูร์ ถึงนายกรัฐมนตรีของไทย ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เป็นลูกๆ และสามีพวกเขาไปประเทศอื่น จดหมายส่งไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2567 ย้ำเรื่องการที่นายกฯ ก็เพิ่งได้รับคุณพ่อที่เพิ่งกลับมาราวมครอบครัวได้ ซึ่งเป็นหัวอกของความเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำให้แยกจากกัน และต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่าครอบครัวของ 43 อุยกูร์นี้ถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (ตุรกี) เมื่อปี 2568 นะครับ ไม่ใช่อยู่ที่จีน !!
จดหมายฉบับที่สามเขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ในห้องกักที่สวนพลูขอความช่วยเหลือ SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา 19 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 -28 ม.ค.2568
นี่คือเสียงจากผู้ที่ไม่มีเสียง (Voices of the Voiceless) ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และครอบครัวที่ถูกทำให้แยกกันเป็นเวลามากกว่า 10 ปี จะเอายังไงรัฐบาลไทย ?? จะนั่งโต๊ะแถลงแบบหลอกลวงคนทั้งโลกว่าเค้าอยากกลับประเทศเองโดยสมัครใจอีกหรือไม่ ?? เค้าประท้วงโดยการอดอาหารตอนต้นปีนี้เพราะกลัวว่าจะถูกผลักดันกลับจีน !! ญาติเค้าที่อยู่ตุรกีขอให้ใช้หลักการรวมครอบครัวไปที่ตุรกี แล้วบอกนายกฯ เราขอให้เอาใจท่านมาใส่ใจเค้าในฐานะลูกสาวที่พ่อเพิ่งกลับมารวมครอบครัวจากการลี้ภัยในต่างประเทศ เอ้าจะว่าไง ??
เลขา สมช.บินไปจีนไปร่วมสร้างภาพกับการโกหกหลอกลวงจากนักการเมืองที่อ้างหลักสิทธิมนุษยชนผิดๆ บิดเบี้ยวนี้ ท่านไปทำทำไม ผมเสียใจอย่างแท้จริงกับการจัดฉากหลอกลวงระดับโลกนี้ แถม ผบ.ตร.มาอ้างว่าเค้าอยากกลับบ้านไปรวมครอบครัวมันคืออะไร ?? ไอ้การที่ ผบ.ตร.ไม่รู้วิธีการแก้ไขแบบยั่งยืนด้านผู้ลี้ภัยผมไม่ติดนะเพรา่ะคงไม่รู้จริงๆ แต่อย่าเสนอสิ่งที่จะทำให้สังคมตระหนักรู้ที่ผิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยบอกว่าเราเสียภาษีเลี้ยงดูเค้ามาอย่างยาวนาน ทำไมต้องดูแลและเค้าอยากกลับบ้าน โถ่ !! เพราะจริงๆ มีมากกว่า 1 ประเทศอยากรับมาอย่างยาวนาน แต่รัฐไทยไม่ให้
หยุดบิดเบือนการกระทำผิด ทำงานลับๆ ล่อๆ ทำอย่างกับขบวนการนำพา (Human Smuggling) ทำเป็นไม่บอกไม่กล่าว ทำให้เสร็จก่อนแล้วให้จีนแถลงก่อน หากท่านโปร่งใสและกล้าหาญจริงและบอกว่าตัวเองทำชอบธรรมแล้ว ทำไมไม่ประกาศตั้งแต่แรกที่มีการตกลงกับสีจิ้นผิง แล้วแจ้งให้สาธารณะทราบ ที่สำคัญที่สุด ไม่แจ้งให้ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ทราบว่ามีกระบวนการอะไร เค้าเต็มใจหรือไม่ และให้เค้าบอกเองว่าเค้าอยากกลับไปจีนเอง !!
หยุดการแก้ตัวที่บิดเบืเนข้อเท็จจริงและเสนอเหตุผลยอดแย่ ต้องยอมรับความจริง !!


https://www.facebook.com/NolKannavee/posts/652928540589985
https://x.com/sunaibkk/status/1895356661247943055

'Ukraine You're not alone.' ผู้นำนานาชาติยุโรปต่างประกาศยืนข้างยูเครน




.....

'You're not alone.' Europe stands up for Ukraine amid row between Zelenskyy and Trump

Fri, February 28, 2025
RBC-Ukane

Several European leaders have already expressed their support for Ukraine. This occurred after a heated talk between US President Donald Trump and Ukrainian leader Volodymyr Zelenskyy.

More details about who supported Ukraine can be found below.

Poland

After the conversation between the US and Ukrainian leaders, Polish Prime Minister Donald Tusk noted in a post on X that Ukrainians are not alone.

"Dear Zelenskyy, dear Ukrainian friends, you are not alone," he emphasized.


France

French President Emmanuel Macron was one of the first to react to the quarrel between Trump and Zelenskyy.

"We must respect those who fight," Macron briefly reacted.

He stressed that we should not forget there is "an aggressor and the one who was attacked."


Germany

Meanwhile, the deputy leader of the German CDU party, Johann Wadephul, added that Europe will not betray Ukraine.

"The scenes from the White House are shocking. How can someone stab the president of an invaded country in the back like that? Free Europe will not betray Ukraine!" he remarked.

Germany's Minister of Foreign Affairs, Annalena Baerbock, joined Wadephul in supporting Ukraine.

"Ukraine is not alone. Germany together with our European allies stands united alongside Ukraine - and against the Russian aggression. Ukraine can build on unwavering support from Germany, Europe, and beyond. Their defense of democracy & their quest for peace & security is ours," she said.

German Chancellor Olaf Scholz emphasized that no one wants peace more than Ukrainians right now.

"Therefore we are working on a common path to a lasting and just peace. Ukraine can rely on Germany – and on Europe," he added.

Potential future German Chancellor Friedrich Merz also expressed his support for the Ukrainian president and Ukraine.

"Dear Volodymyr Zelenskyy, we stand with Ukraine in good and in testing times. We must never confuse aggressor and victim in this terrible war," he noted.


Spain

Spanish Prime Minister Pedro Sánchez joined the list of European leaders expressing support and solidarity with Ukraine after the clash between Trump, Vance, and Zelenskyy.

"Ukraine, Spain stands with you," said the Prime Minister.


United Kingdom

According to Sky News, the UK's position "remains unchanged" after the breakdown in negotiations between Trump and Zelenskyy.

An anonymous source said, "let's see what happens in the coming days."

The source added that the UK government’s position is "unwavering support for just and lasting peace that ensures Ukraine's sovereignty and security."

The source reiterated the position of British Prime Minister Keir Starmer, stating that "no negotiations about Ukraine without Ukraine" are possible, and added that Europe has to play its part in defense and "step up."


Lithuania

Lithuanian President Gitanas Nausėda joined European leaders and also supported the Ukrainians.

"Ukraine, you'll never walk alone," he wrote in a post on X.


Moldova

Moldovan President Maia Sandu also commented on the conversation between Trump and Zelenskyy.

"The truth is simple. Russia invaded Ukraine. Russia is the aggressor. Ukraine defends its freedom and ours. We stand with Ukraine," she wrote on X.


Czechia

Czech Prime Minister Petr Fiala announced that his country also supports Ukraine and the Ukrainian people.

"We stand with Ukraine and on the side of the free world!" he emphasized.


Latvia

Latvian President Edgars Rinkēvičs also sided with Ukraine, as Ukraine is a victim of Russian aggression.

"Ukraine is a victim of the Russian aggression. It fights the war with the help of many friends and partners. We need to spare no effort for just and lasting peace. Diplomacy sometimes is the art of the impossible in difficult circumstances. Latvia stands with Ukraine," noted the country’s leader.

The Prime Minister of Latvia, Evika Siliņa, also joined the President.

"Latvia stands with Ukraine," she wrote.


Norway

Norwegian Prime Minister Jonas Gahr Støre, following the tense atmosphere between Volodymyr Zelenskyy and Donald Trump, remarked that what the world witnessed today from the White House was "serious and discouraging."

"Ukraine still needs US support, and the security and future of Ukraine are also important for the US and Europe... Zelenskyy has strong support in Ukraine, broad support in Europe, and he has led his people through a very difficult and brutal time under Russia’s attacks," he stated.

Støre explained that, in his opinion, Trump's accusations that Zelenskyy is gambling with World War III are "deeply unfounded, and this is a statement I distance myself from."

"Norway supports Ukraine in its struggle for freedom. We hope that the Trump administration also understands the importance of a just and lasting peace in Ukraine," the Prime Minister concluded.


Sweden

Swedish Prime Minister Ulf Kristersson stated that his country also supports Ukraine.

"Sweden stands with Ukraine. You are not only fighting for your freedom but also for all of Europe’s. Slava Ukraini!" he remarked.


Netherlands

Dutch Prime Minister Dick Schoof declared that the Netherlands continues to support Ukraine just as firmly as before.

"The Netherlands supports Ukraine as firmly as ever. Now more than ever. We want a lasting peace and an end to the war of aggression started by Russia. For Ukraine and its people, and for Europe," the Prime Minister noted.


European Union


European Commission President Ursula von der Leyen also joined in supporting Ukraine and President Zelenskyy.

"Your dignity honors the bravery of the Ukrainian people. Be strong, be brave, be fearless. You are never alone, dear President Zelenskyy. We will continue working with you for a just and lasting peace," she stated.

The EU's High Representative for Foreign Affairs, Kaja Kallas, also expressed her support for Ukraine.

"We stand by Ukraine. We will step up our support to Ukraine so that they can continue to fight back the agressor. Today, it became clear that the free world needs a new leader. It’s up to us, Europeans, to take this challenge," she emphasized.

European Parliament President Roberta Metsola also expressed her support for the Ukrainian people and their president.


USA

Meanwhile, US Senator Adam Schiff called Trump a coward and Zelenskyy a hero.


It should be noted that Democratic lawmakers stood up for Zelenskyy, condemning Trump and Vice President JD Vance’s attitude toward the Ukrainian president after the heated exchange between the two leaders in the Oval Office.

In particular, Senate Minority Leader Chuck Schumer, a New York Republican, wrote in a post on X that "Trump and Vance are doing Putin’s dirty work. Senate Democrats will never stop fighting for freedom and democracy."

Senator Chris Murphy also joined the support for Ukraine, noting that it was "an utter embarrassment for America." Senators Ruben Gallego and Brian Schatz also remarked that it was a "disgrace" and "shame."

"Shame, shame, shame," Schatz wrote.

Republican Senator Sheldon Whitehouse also supported Ukraine.

"Our leaders acting like ventriloquist dummies for Putin. Disgusting," he wrote.

US Senator Bernie Sanders, in turn, noted that he believes in democracy.

"Trump berates Zelenskyy, the leader of a democratic country courageously fighting Russian imperialism, while he allies himself with Putin, a dictator who started the bloodiest European war in 80 years. Sorry, President Trump. We believe in democracy, not authoritarianism," he emphasized.
Zelenskyy's meeting with Trump

Today, Friday, February 28, Ukrainian President Volodymyr Zelenskyy arrived in the United States.

The head of state has already met with American senators and US President Donald Trump.

However, during the conversation with journalists, a quarrel erupted between Zelenskyy and Trump regarding the war in Ukraine.

The Ukrainian President reminded that the war in Ukraine did not end under Barack Obama, Donald Trump, or Joe Biden. This caused a sharp reaction from US Vice President JD Vance, and then from Trump.

It should be noted that Ukrainian President Zelenskyy has left the White House early.

Meanwhile, American leader Trump stated that Zelenskyy is not ready for peace.

https://newsukraine.rbc.ua/news/you-re-not-alone-europe-stands-up-for-ukraine-1740774646.html



วันนี้ฮีโร่และคนขี้ขลาดพบกันที่โอวัลออฟฟิศ ณ ทำเนียบขาว เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ฮีโร่จะกลับบ้านที่ยูเครน ส่วนคนขี้ขลาด ยังคงนั่งอยู่ในโอวัลออฟฟิศ ชมคลิปฉบับเต็ม President Trump and Ukraine's Zelenskyy meet


Watch live: President Trump and Ukraine's Zelenskyy meet

USA Today

Streamed live 3 hours ago

President Donald Trump and Ukrainian President Volodymyr Zelenskyy were set to meet at the White House Friday to negotiate a rare earths deal and discuss a potential end to the Russia-Ukraine war before delivering a press conference.
 
The pair have exchanged verbal blows in the weeks leading up to the meeting, with Zelenskyy accusing Trump of spreading Russian disinformation about the war and Trump accusing Zelenskyy of being a "dictator."

Three years after Russia's invasion of Ukraine, the United Nations Security Council on Monday adopted a U.S.-drafted resolution that takes a neutral position on the conflict as Trump seeks to broker an end to the war. The resolution displays the more favorable view of Russia shown by Trump than his predecessor, former President Joe Biden.

https://www.youtube.com/watch?v=nrvd6IsukV8




 



David Axelrod
@davidaxelrod

I love my country with all my heart and I've never been more embarrassed for America than the spectacle I just witnessed in the Oval Office. 

Zelensky is fighting for the survival of his country, his people and their democracy. 

Trump and Vance appear to be completely aligned with Putin, the invader whose aim has been to conquer Ukraine.

Zelensky should know that millions and millions of Americans still stand with him and his valiant people.


https://x.com/davidaxelrod/status/1895541495928873053
https://x.com/nexta_tv/status/1895538305598365894
https://www.youtube.com/watch?v=nrvd6IsukV8


Trump has destroyed America in the eyes of the world. Zelenskyy is fighting for the survival of his people. We just witnessed what can only be described as bullying. Now, more than ever it is time to #StandWithUkraine