วันอังคาร, พฤษภาคม 31, 2565

กกต.อยากลองของ ศรีสุวรรณกวนตรีน แต่ว่า “ผลประโยชน์แอบแฝงมันพอมีอยู่”

จะว่า กกต.อยากลองของ กรณียังไม่รับรอง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่า กทม. ฟังขึ้นอย่างที่หลายคนว่า ก็ไม่เชิงนัก ในเมื่อผลประโยชน์แอบแฝงมันพอมีอยู่ ถ้าจะโยงข้อหาที่ สำนักข่าวหงวนบอกว่า ปุ๊ ซอยอารีย์ นี่เขาเชียร์แมลงสาบสุดลิ่ม

ถึงอย่างนั้น ถ้า กกต.เอาใจนายที่แต่งตั้งพวกตนมา จัดให้ชัชชาติแพ้ฟาล์วด้วยข้อหาเก็บป้ายหาเสียงไม่หมดหลังสามวัน ปล่อยให้ประชาชนเอาป้ายเหล่านั้นไปทำกระเป๋าใช้ซ้ำ เป็นการตอบแทนคะแนนเสียง ละก็ น่าจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่

มากกว่าให้ผู้ได้คะแนนที่สอง ของ ปชป. (สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์) ขึ้นแทน หนักไปกว่านั้น มีเสียงสรรพยอกหยอกแรง ว่าถ้าเลือกกันใหม่แล้วได้ วิโรจน์ (ลักขณาอดิสร) พรรคก้าวไก่ไล่ชนแหลก ทั้ง กกต.และฐานเสียงสลิ่มจะหัวหมุน

Pita Limjaroenrat @Pita_MFP บอกแล้วตอนนี้ “การประวิงเวลาของ กกต....แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติขององค์กรอิสระที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร” ออกอาการ ขี้แพ้ชวนตีแสดงอิทธิฤทธิ์ว่ามีอำนาจในมือ ๓๐+๓๐ ยื้อได้ ๖๐ วัน

จน ศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องจอมก่อกวน (แต่กับฟากไม่เอารัฐประหาร) เหลิงหนักถึงขั้นเอาไปโพสต์กวนตรีนว่า “คน กทม. ๑.๓๘ ล้าน (ได้) ชักดิ้นชักงอเป็นไส้เดือนกิ้งกือบนกองขี้เถ้า” บ่งว่าคนร้องกับคนรับฟ้องรู้เห็นเป็นใจต่อกัน

จึงได้มีการเรียกร้อง “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ๑,๓๘๖,๒๑๕ เสียง” ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของศรีสุวรรณ “มีกระทำโดยเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่” รวมทั้ง “การหาข้อบิดเบือนในข้อกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” (Lustha Mod Normal)

ในทางตัวบทกฎหมาย สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬา ชี้ถึง มาตรา ๑๑๘ วรรค ๒ พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ๒๕๖๒ ว่าคนที่ร้องเรียน “ต้องรับผิดชอบข้อฟ้องร้องของตนเองด้วย 

กฎหมายไม่ได้ปล่อยให้ร้องได้เรื่อยเปื่อย” การนี้เมื่อไปดูที่ตัวบทพบว่า ถ้าเป็นการกลั่นแกล้ง “ให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพื่อมิให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง” อีกทั้งได้ทำการ “แจ้งหรือให้ถ้อยคำ” ไว้ต่อ กกต.ด้วย

“มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ ๗-๑๐ ปีและปรับตั้งแต่ ๑๔๐,๐๐๐-๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด ๒๐ ปี” แล้วยังหากพบว่ามีพรรคการเมืองรู้เห็นเป็นใจ “ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้น กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง”

สำหรับศรีสุวรรณ ไม่ยี่หระ เขาบอกว่า “ผมไม่สนใจ ๑.๓๘ ล้าน” แล้วยกตัวอย่างกรณี สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ ด้วยคะแนน ๑.๒ ล้านเสียง พอ คสช.ยึดอำนาจ “ไม่เห็นมีแฟนคลับออกมาร้องแรกแหกกระเฌอ ชักดิ้นชักงอเป็นไส้เดือน”

กระนั้นเมื่อนักข่าวถามชัชชาติระหว่างลงพื้นที่ย่านพระราม ๓ เขาตอบว่า “เรื่องนี้ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ เราก็ต้องให้เกียรติท่าน และก็อย่าไปกดดันท่าน คนร้องก็มีหน้าที่จะร้อง คนตัดสินก็มีหน้าที่ตัดสิน เราเป็นว่าที่ก็ลงพื้นที่หาข้อมูลไปเรื่อยๆ”

เชื่อสิ ชัชชาติอาจจะมองเห็นอะไรอยู่ในใจแล้ว ดูจากการได้รับเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ของ สุรชาติ เทียนทอง ดัง อจ.สิริพรรณตั้งข้อสังเกตุว่า กกต.ใช้เวลาเกือบ ๖๐ วันก่อนจะประกาศรับรอง ชัชชาติจึงได้ลงพื้นที่ตรวจโน่นตรวจนี่ รับฟังเสียงชาวบ้าน

ผลพลอยได้อยู่ที่ หากอำนาจเก่าต้องการผ่องถ่ายผลประโยชน์อะไรที่เคยมีเคยได้ ก็จะปลอดโปร่งสามารถทำได้สะดวกระหว่างที่ กกต.เตะถ่วงเวลายืดเยื้อ ๖๐ วันนี่ละ ถ้าผู้ได้รับเลือกตั้งใหม่ได้แต่นั่งเฉยรอเวลา

(https://www.facebook.com/Posttoday/videos/A1/377126301057051/, https://www.facebook.com/groups/225550657843210/posts/1592755897789339/ และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_7084073) 

นายศรีสุวรรณ มันพิทักษ์รัฐธรรมนูญแบบไหนวะ


Thasnai Sethaseree
7h

เป็นการพูดแสดงความเห็นที่ดูถูกประชาชนและสนับสนุนอำนาจนอกรัฐธรรมนูญอย่างที่สุด ในขณะที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

Tanet Charoenmuang
7h
มันพิทักษ์รัฐธรรมนูญแบบไหนครับ





Party'jack Russell
ไปไม่ได้หรอกคะ..รถกฐิน..ผ้าป่ารอเต็มลาน

มีเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบเงินเข้าออกในบัญชีที่เกี่ยวข้องกับนายศรีสุวรรณ จรรยา ว่ามีการว่าจ้างเพื่อทำลายฝ่ายการเมืองตรงข้าม และสร้างหลักฐาน อันเป็นเท็จ ในการหาข้อบิดเบือนในข้อกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่




Lustha Mod Normal
13h

ขอเสียงผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง1,386,215 เสียง ตรวจสอบการ ออกมาร้องเรียนของ นายศรีสุวรรณ จรรยา มีกระทำโดยเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ อยากให้มีการตรวจสอบเงินเข้าออกในบัญชีที่เกี่ยวข้องกับนายศรีสุวรรณ ว่ามีการว่าจ้างเพื่อทำลายฝ่ายการเมืองตรงข้าม และสร้างหลักฐาน อันเป็นเท็จ ในการหาข้อบิดเบือนในข้อกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เท่ากับว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีเจตนาล้มล้างการปกครอง นายศรีสุวรรณ จรรยา มี 1 สิทธิ แต่จะให้มาเบียดบัง อีก 1,386,215 สิทธิ ไม่ได้เพราะฉะนั้นทุกท่านต้องออกมาต่อสู้ เพื่อรักษาผู้แทนของท่านเช่นกัน

ผู้มีอำนาจรู้สึกกลัวดร.ชัชชาติมากขึ้นทุกวัน เพราะดร.ชัชชาติคือตัวเปรียบเทียบอย่างชัดเจนที่สุดในขณะนี้ ก่อนหน้านี้มักมีคำถามจากฝ่ายที่สนับสนุนหัวหน้ากบฏประยุทธ์ว่า ไล่ประยุทธ์ไปแล้วจะเอาใครมาเป็นนายกฯแทน..ชัชชาติไงละ !

Yesterday

ผู้มีอำนาจรู้สึกกลัวดร.ชัชชาติมากขึ้นทุกวัน เพราะดร.ชัชชาติคือตัวเปรียบเทียบอย่างชัดเจนที่สุดในขณะนี้ ก่อนหน้านี้มักมีคำถามจากฝ่ายที่สนับสนุนหัวหน้ากบฏประยุทธ์ว่า ไล่ประยุทธ์ไปแล้วจะเอาใครมาเป็นนายกฯแทน แต่หลังจากชาวกรุงเทพฯแห่กันไปเทคะแนนอย่างถล่มทลาย ให้ดร.ชัชชาติมาเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯคนใหม่ แล้วยิ่งได้เห็นความพร้อมสำหรับการทำงานบริหารกรุงเทพฯในทุกๆด้านของดร.ชัชชาติแล้ว ยิ่งทำคนไทยทั้งประเทศเกิดความมั่นใจ และยอมรับว่า ดร.ชัชชาติมีความเหมาะสม และมีศักยภาพเพียงพอหากจำเป็นต้องหานายกฯคนใหม่
ที่สำคัญรู้สึกว่า "ใช่เลย" นี่แหละ!นายกฯคนใหม่ที่สังคมไทยกำลังต้องการให้มาบริหารประเทศแทนหัวหน้ากบฏประยุทธ์
ผู้มีอำนาจจึงมิอาจยอมให้ดร.ชัชชาติได้มีโอกาสเข้ามาเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯ เพราะหากให้ดร.ชัชชาติได้แสดงฝีมือบริหารกรุงเทพฯได้อย่างเต็มที่ ผลงานมากมายจะปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน คะแนนนิยมในตัวดร.ชัชชาติก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ในทางตรงข้ามจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์และผลงานของหัวหน้ากบฏประยุทธ์ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับดร.ชัชชาติแล้ว จะเทียบกันไม่ได้เลย
การหยุดดร.ชัชชาติด้วยการให้ใบแดง แล้วเกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ของคนกรุงเทพฯที่ไม่พอใจผลการตัดสินของ กกต. มันจะไปเข้าเงื่อนไขของผู้ที่จ้องรอโอกาส ทำรัฐประหารอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างเพื่อหยุดยั้งความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่
#มึงกล้าทำก็เอาเลย
.....

กกต. อย่าลืมบทเรียน นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย นี้นะคะ กกต. ใครต้องจ่ายสรุปหรือยัง


ผกาวรรณ ห้วยชีเลข
Yesterday

อย่าลืมบทเรียนนี้นะคะ กกต. ใครต้องจ่ายสรุปหรือยัง
...................
วันที่ 20 เม.ย. 2565 นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย เปิดแถลงข่าวที่โรงแรมฟูรามา เชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ระบุว่า ศาลจังหวัดฮอดได้พิพากษาคดีที่นายสุรพล ฟ้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ชุดปัจจุบันเยียวยา จากกรณีวินิจฉัยโดยไม่ให้ความเป็นธรรม รวบรัด เร่งรีบ ไม่ได้ไตร่ตรองวินิจฉัยอย่างรอบคอบ แล้วให้ ‘ใบส้ม’ ใบแรกของประเทศไทยกับตนในช่วงที่มีการเลือกตั้ง ปี 2562
จนกระทั่งในที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้วินิจฉัยว่า ตนไม่มีความผิด จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย จาก กกต. ที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติในฐานะ ส.ส. 8 สมัย จำนวนเงิน 86 ล้านบาท ซึ่งศาลได้วินิจฉัยให้ กกต. ชดใช้เป็นวงเงิน 64.1 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเรื่องถึงที่สุดแล้ว คดีนี้ถือเป็นบรรทัดฐานต่อไปให้กับนักการเมืองว่า กกต. จะเอาผิดกับนักการเมืองต้องมีความรอบคอบวินิจฉัยให้ชัดเจน ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม จะมีการแถลงรายละเอียดเรื่องนี้อีกครั้ง ในวันจันทร์ที่ 25 เม.ย. นี้

Battle for Bangkok: แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ - #สงครามชิงกรุงเทพ “ไม่สู้ก็กลายเป็นทาส”






Battle for Bangkok: แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

การเลือกตั้งผู้ว่าและสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในแวดวงการเมืองและวงการอื่นมากมายอย่างที่ “ไม่เคยปรากฏมาก่อน” สำหรับผมแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดีต่อ “ความเป็นประชาธิปไตย” ของประเทศไทยที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญมากขึ้นมากในโลกปัจจุบันและอนาคต



เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ผมคิดว่าถ้าประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาระบอบการปกครองให้เป็น “ประชาธิปไตยในระดับสากล” ได้ภายในเวลาอีกไม่นาน ประเทศไทยก็จะ “ล้าหลัง” ลงไปเรื่อยๆ จากที่เรา “แน่นิ่ง” มานานเกือบ 10 ปี แล้วหลังการรัฐประหารในปี 2557 และมีการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ที่ยัง “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ในปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่แทบจะ “แก้ไขไม่ได้” ถ้าคนบางกลุ่มไม่ต้องการ

ในช่วงเวลาเกือบ 10 ปี ที่ผ่านมานั้น น่าจะพูดได้ว่า สถานะในสังคมโลกของไทยตกต่ำลงมาก เช่นเดียวกับสถานะทางเศรษฐกิจที่มีการเติบโตช้าลงอย่างเห็นได้ชัด จากเศรษฐกิจโตเร็วมากในกลุ่มอาเซียนกลายเป็น “โตช้าที่สุด” และไม่รู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร สิ่งสำคัญส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรัฐธรรมนูญและระบบการปกครองเป็นอุปสรรค ว่าที่จริงผมเองก็แทบจะ “หมดหวัง”

ในอนาคตของประเทศมานานแล้ว เช่นเดียวกับ “คนรุ่นใหม่” จำนวนมากที่ตัดสินใจ “สู้” แต่ก็ดูเหมือนว่าหลายคนกลับพบว่าเป็นเรื่องยากมาก เกิดความรู้สึกว่า “พ่ายแพ้” และ “หมดกำลังใจ” หลายคนถอดใจและคิดว่า “ย้ายประเทศ” ง่ายกว่า

สถานการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้และ “มืดมน” ที่สุดนั้น ทำให้ผมหวนคิดถึงเหตุการณ์ของประเทศอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากการบุกฝรั่งเศสของเยอรมัน โดยที่กองทัพส่วนหน้าของอังกฤษที่เข้าไปช่วยฝรั่งเศสต่อต้านกองทัพนาซีพ่ายแพ้อย่างยับเยินและต้องถอยร่นไปจนมุมอยู่ที่หาดดันเคิร์กก่อนที่จะหนีข้ามทะเลกลับสู่เกาะอังกฤษได้อย่างน่าอัศจรรย์

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเยอรมันก็คงจะข้ามทะเลเข้ายึดอังกฤษในไม่ช้า นั่นทำให้ประชาชนอังกฤษรวมถึงสมาชิกรัฐสภาที่มีชื่อเสียงบางคนคิดที่จะ “ยกธงขาว” ทำสัญญาสงบศึกกับเยอรมัน

แต่คนที่คิดว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะต้องสู้กับเยอรมันจนถึงที่สุดก็คือ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ และเขาได้ประกาศในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งกลายเป็นคำพูดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกว่า

“We shall defend our island, whatever the cost may be, we shall fight on the beaches, we shall fight on the landing grounds, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender.”

แปลว่า “เราจะปกป้องเกาะของเรา ไม่ว่าจะสูญเสียแค่ไหน เราจะต่อสู้บนชายหาด เราจะต่อสู้บนพื้นแผ่นดินที่เราลงจอด เราจะสู้ในท้องทุ่งและบนถนน เราจะสู้บนเนินเขา เราจะไม่มีวันยอมแพ้”

หลังคำประกาศนั้นไม่กี่วัน ฝรั่งเศสก็ยอมแพ้ต่อเยอรมัน และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันเช่นเดียวกัน เยอรมันก็บุกอังกฤษ เริ่มจาก “สงครามทางอากาศ” โดยการส่งเครื่องบินถล่มอังกฤษอย่างไม่ยั้งเพื่อให้อังกฤษยอมจำนนหรือไม่ก็หมดหนทางต่อต้านกองกำลังที่จะยกพลขึ้นบกในภายหลัง เรียกว่าเป็นสงครามทางอากาศล้วนๆ

อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศของอังกฤษนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่เยอรมันจะเอาชนะได้ ซึ่งต่างจากกองทัพบกที่เยอรมันเหนือกว่าประเทศอื่นมากโดยเฉพาะในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น หลังจากเวลาผ่านไป 3-4 เดือน เยอรมันก็ต้องหยุดและเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายไปที่การบุกโซเวียตรัสเซียแทน

“สงครามทางอากาศ” ของฝ่ายอังกฤษนั้น น่าจะไม่ใช่เฉพาะการรบด้วยเครื่องบินที่ยังไงอังกฤษก็ยังด้อยกว่า ที่จริงแล้ว “อาวุธทางอากาศ” ที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งที่คนไม่ตระหนักก็คือคำพูดของเชอร์ชิลที่กระตุ้นและให้กำลังใจมหาศาลแก่ชาวอังกฤษให้ต่อสู้กับผู้รุกรานคือเยอรมัน ซึ่งในช่วงนั้นถูกส่งผ่านวิทยุและหนังสือพิมพ์กันอย่างกว้างขวาง

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการใช้ข้อมูลข่าวสารในการต่อสู้ ซึ่งต่อมามีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันที่บ่อยครั้งกลายเป็นจุดตัดสินชัยชนะหรือพ่ายแพ้ ยกตัวอย่างเช่นในสงครามสงครามรัสเซีย-ยูเครนขณะนี้ที่ฝ่ายยูเครนใช้เฟซบุค ทวิตเตอร์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ส่งข้อมูลข่าวสารโจมตีรัสเซียและขอความเห็นใจและความช่วยเหลือจากประชาคมโลกจนรัสเซียไม่สามารถเอาชนะยูเครนได้แม้จะมีกองทัพที่เหนือกว่ามาก

นักต่อสู้ “เพื่อประชาธิปไตย” ของไทยในอดีตที่ต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่าย“อนุรักษ์นิยม” อย่างราบคาบและต้องเก็บตัวเงียบมาหลายปีหลังการรัฐประหารนั้น ได้เริ่มกลับมาต่อสู้ใหม่และนำโดย “คนรุ่นใหม่” ที่มีความเชี่ยวชาญในการ “รบทางอากาศ” นั่นก็คือ ระบบอินเตอร์เน็ตที่ทรงพลังและเครือข่ายสื่อสังคมที่ก้าวหน้าและไม่มีใครสามารถสกัดหรือขัดขวางได้

พวกเขาต่อสู้ด้วยความคิดแบบเชอร์ชิลที่ว่า “ถ้าไม่สู้ก็กลายเป็นทาส” พวกเขา ต่อสู้ในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย พวกเขาต่อสู้บนท้องถนน พวกเขาต่อสู้ในโลกอินเตอร์เน็ต พวกเขาต่อสู้ในสภา และสุดท้ายในคูหาเลือกตั้ง และดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะสูญเสียแค่ไหน การเลือกตั้งผู้บริหารกรุงเทพมหานครอาจจะเป็นจุดเริ่มของชัยชนะเช่นเดียวกับการรบเพื่อช่วงชิงเกาะอังกฤษ

เราคงต้องรอวันเลือกตั้งทั่วไปที่จะตามมาอีกไม่นาน ผมเองหวังว่าประเทศไทยจะสามารถผ่านวันที่ “มืดมน” ที่สุดมาได้โดยที่ไม่ต้องมีการต่อสู้ทางกายภาพที่รุนแรงซึ่งมีโอกาสที่จะทำลายสถาบันหลัก ๆ ของประเทศแบบที่เคยเกิดในหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศพัฒนาแล้วในอดีต ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็อาจจะทำให้ไทยต้องถอยหลังไปอีกนานและอาจจะฟื้นไม่ได้เลย ผมหวังด้วยว่า ด้วยพลังอำนาจของข้อมูลข่าวสารที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวันจะทำให้คนส่วนใหญ่ที่สุดของไทยยอมรับว่าประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตยแบบสากลและไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
By ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
29 พ.ค. 2565


จีนหน้าแหก..10 ชาติมหาสมุทรแปซิฟิก ปฏิเสธที่จะร่วมลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคง (Common Development Vision) กับจีน..



ผิดคาด! 10 ชาติแปซิฟิก ปัดข้อตกลงความมั่นคงกับจีน หวั่นขยายอิทธิพล

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ระบุว่า 10 ชาติมหาสมุทรแปซิฟิก ปฏิเสธที่จะร่วมลงนามในข้อตกลงด้านความมั่นคง (Common Development Vision) กับจีน เนื่องจากกังวลว่าข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ประเทศตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจอย่างจีน

รายงานระบุว่า การหารือระหว่างนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน และบรรดาผู้นำชาติหมู่เกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่มีขึ้นที่ประเทศฟิจิ นั้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ เหตุการณ์ซึ่งสื่อตะวันตกมองว่าเป็นความล้มเหลวในทางการทูตของรัฐบาลจีนที่พยายามขยายอิทธิพลคานอำนาจกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรในภูมิภาคดังกล่าว

ร่างข้อเสนอของจีนในข้อตกลงดังกล่าวประกอบไปด้วย การช่วยฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจ การมีส่วนร่วมในด้านความมั่นคงไซเบอร์ ขยายความสัมพันธ์ทางการเมือง ร่วมทำแผนที่ทางทะเลในพื้นที่อ่อนไหว และการเข้าถึงทรัพยากรทางธรรมชาติทั้งบนแผ่นดินและในน่านน้ำในพื้นที่

โดยทางการจีนเสนอข้อแลกเปลี่ยนเป็นความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ การทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างจีนและบรรดาประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อเข้าถึงตลาดที่มีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน ของจีนเป็นต้น

ทั้งนี้ เดวิน ปานูเอโลก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐไมโครนีเซีย เขียนจดหมายเตือนบรรดาผู้นำชาติแปซิฟิกเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ข้อเสนอดังกล่าวของจีนนั้นไม่ตรงไปตรงมา และจะทำให้จีนมีอิทธิพลต่อรัฐบาล และเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจในอุตสาหรรมสำคัญๆ มากขึ้น

ด้านแฟรงก์ เบนิมารามา นายกรัฐมนตรีฟิจิ ระบุหลังเสร็จสิ้นการหารือระบุว่า ทั้ง 10 ชาติมองเรื่องฉันทามติมาเป็นอันดับแรกอย่างที่เคยเป็นมาตลอด และว่า จำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงที่ครอบคลุมร่วมกันก่อนที่จะมีการลงนามในข้อตกลงใหม่ในภูมิภาค

ด้านเจ้าหน้าที่ทางการจีนเองยอมรับว่าข้อเสนอของทางฝั่งจีนนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่คาด โดยระบุว่า แม้จะมีแรงสนับสนุนโดยรวม ยังคงมีข้อกังวลในบางเรื่องและเราเห็นตรงกันที่จะให้มีการหารือกันต่อไปจนกว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้

ทั้งนี้ ข้อเสนอฉบับเต็มจากทางการจีนนั้นยังไม่มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ แต่ก็มีข้อมูลหลุดออกมาถึงมือสื่อก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ทางการจีนระบุว่าจะเผยแพร่เอกสารแสดงออกถึงจุดยืนเน้นย้ำให้เห็นถึงข้อเสนอของจีนต่อสาธารณะในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

.....

Washington and Canberra campaign strongly against Beijing’s efforts to boost regional influence

"ไม่เคารพ"มีบัญญัติไว้ใน 112 ด้วยเหรอ ??


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
18h

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2565 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ “กรรณิกา” (นามสมมติ) วัยรุ่นอายุ 20 ปี ถูกพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ยื่นฟ้องในข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 12 เหตุพ่นสีบนฐานตั้ง-รูปรัชกาลที่ 10 และบนป้ายและถนนหน้าเทศบาลตำบลอินทขิล ตั้งแต่เมื่อปี 2564 ก่อนศาลให้ประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีด้วยหลักทรัพย์ 1.5 แสนบาท
.
เหตุในคดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2564 กรรณิกาเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ตามหมายเรียกผู้ต้องหา โดยถูกแจ้งข้อกล่าวหาโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2564 เวลาประมาณ 22.30 น. ผู้ต้องหาพ่นสีสเปรย์สีแดงลงบนพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 และราชินี ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า บก.ตชด. ภาค 3 เป็นรูป “III” และที่ป้ายชื่อเทศบาลตำบลอินทขิลว่า “ปล่อยเพื่อนกู” และที่ฐานตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 หน้าเทศบาลตำบลอินทขิล บนกำแพงและถนนหน้าเทศบาล ในอำเภอแม่แตง
.
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 และพ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใด ๆ ที่กำแพง ที่ติดกับถนนฯ ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ก่อนให้ปล่อยตัวไป
.
จากนั้นพนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสมควรฟ้องคดี และส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาให้อัยการพิจารณา โดยกรรณิกาเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตลอดทุกนัด จนกระทั่งวันที่ 26 พ.ค. 2565 เจ้าหน้าที่อัยการแจ้งกับกรรณิกาว่าอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง และนัดให้ไปรายงานตัวที่ศาล
.
เวลา 13.00 น. กรรณิกาพร้อมผู้ปกครอง และทนายความเข้ารายงานตัวที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ กรรณิกาถูกนำตัวเข้าไปควบคุมไว้ภายในห้องควบคุมตัวของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้พิพากษาสอบถามกรรณิกาว่ามีทนายความแล้วหรือไม่ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของศาล
.
ระหว่างที่กรรณิกาถูกควบคุมตัวอยู่ ทนายความและผู้ปกครองได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.30 น. ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยหลักทรัพย์จำนวน 150,000 บาท ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ส่วนตัวของญาติ ทำให้กรรณิกาได้รับการปล่อยตัวหลังถูกควบคุมตัวไว้กว่า 4 ชั่วโมง
.
.
เปิดคำฟ้อง อัยการอ้างว่าการกระทำจำเลย ไม่ถวายพระเกียรติ ทำให้ประชาชนเกิดความแตกแยก
.
สำหรับคดีนี้ มีนางสาวปิยาพร นครไทยภูมิ พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้เรียงฟ้อง บรรยายพฤติการณ์ที่กรรณิกาถูกกล่าวหาโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2564 จำเลยกระทำความผิดหลายบทกลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
.
1. จำเลยใช้สีสเปรย์สีแดงพ่นเป็นเส้นตรง จำนวน 3 ขีด (III) ขนานเป็นแนวบนล่าง ลงบนพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และราชินี ซึ่งติดตั้งไว้ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 3 ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งประชาชนทั่วไปพบเห็นเข้าใจว่าเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านรัฐบาล
.
2. จำเลยใช้สีสเปรย์สีแดงพ่นเป็นเส้นตรงจำนวน 3 ขีด เป็นแนวบนล่าง บนครุฑซึ่งเป็นกรอบพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และพ่นข้อความว่า “ประควย” ด้านล่าง พ่นข้อความว่า “ประเทศควย” และ “ยสตน” บนแท่นของพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 โดยคำว่า “ประเทศควย” ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าเป็นการต่อต้านการปกครองของประเทศไทย และเข้าใจว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องไม่ดี
.
อัยการอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ถวายพระเกียรติแก่พระมหากษัตริย์ ขัดกับเจตนารมณ์ในการเผยแพร่พระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งต้องการเฉลิมพระเกียรติและแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้อความและสัญลักษณ์ที่จำเลยพ่นสีเป็นการจาบจ้าง ล่วงเกิน ดูหมิ่น เป็นการแสดงความไม่เคารพสักการะที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง โดยมีเจตนาเพื่อให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศและแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และราชินี ทำให้ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
.
อัยการระบุอีกว่า จำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเกิดความแตกแยกและเคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์ และระบอบการปกครองฯ และออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง การกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และทำให้ประเทศชาติไม่เป็นปึกแผ่น อันกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
.
3. จำเลยใช้สีสเปรย์สีแดงพ่นลงบนป้ายกำแพงเทศบาลตำบลอินทขิล ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าเทศบาลตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยข้อความว่า “ปล่อยเพื่อนกู III” อันเป็นการพ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความหรือรูปรอยใดๆ ที่กำแพงที่ติดกับถนน
.
4. จำเลยใช้สีสเปรย์สีแดงพ่นลงบนถนนสายเชียงใหม่-ฝาง บริเวณหน้าเทศบาลตำบลอินทขิล จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยข้อความว่า “ขี้ข้าเผ” อันเป็นการพ่นสีหรือทำให้ปราอันเป็นการพ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความหรือรูปรอยใดๆ บนถนน
.
พนักงานอัยการไม่คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย ระบุขอให้อยู่ในดุลยพินิจศาล
.
.
อ่านบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/44153

อยากรู้มั้ย ทำไม "งบบำเน็จบำนาญ" นับตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจ 9ปี พุ่งกว่าเท่าตัว ดังนั้นถ้าดูจากการจัดสรรงบประมาณ เกรงว่าประเทศไทยจะเป็น "รัฐราชการบำนาญ" ไม่ใช่ "รัฐทหาร" อย่างที่หลายคนคิดกัน และนั่นจะเป็นภาระต่อภาษีประชาชนที่แก้ไขได้ยากอย่างยิ่ง

https://www.facebook.com/saiseema.p/posts/3150398438608995
Saiseema Phutikarn
9h

<9ปีรัฐราชการบำนาญ? ทำ "งบบำเน็จบำนาญ" พุ่งกว่าเท่าตัว>
ประเทศไทยเป็น "รัฐราชการบำนาญ" ถ้าดูจากการจัดสรรงบประมาณนับตั้งแต่ปี 2557 ที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลพรรค คสช. ทำการยึดอำนาจ ไม่ใช่ "รัฐทหาร" อย่างที่หลายคนเข้าใจ
นับตั้งแต่รัฐประหาร 2557 รายการหนึ่งในงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็คือ "งบเบี้ยหวัดบำเน็จบำนาญ" ซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับข้าราชการ ทหาร ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมางบประมาณรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากปีละ 2.5 ล้านล้าน เป็นปีละ 3.2 ล้านล้าน หรือเพิ่มขึ้นเพียง26% แต่งบเบี้ยหวัดบำเน็จบำนาญ กลับเพิ่มจาก 1.3 แสนล้านต่อปี เป็น 3.2 แสนล้านต่อปี หรือเพิ่มขึ้นถึง 144%!!!
การเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของค่าใช้จ่ายเบี้ยหวัดบำเน็จบำนาญ ทำให้ในปี 2566 รัฐบาลมีค่าใช้จ่าย เบี้ยหวัดบำเน็จบำนาญ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของงบประมาณรวม หรือทุกๆ 100 บาทของงบประมาณ เป็นค่าใช้จ่ายเงินบำเน็จบำนาญให้กลับข้าราชการทหารตำรวจที่เกษียณไปแล้ว 10 บาท เมื่อเทียบกับสัดส่วนก่อนปี 2557 ที่อยู่แค่ประมาณ 5% ของงบรวมมาโดยตลอด
การเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดของ "งบบำเน็จบำนาญ" นับตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจ ทำให้ในปี 2562 งบบำเน็จบำนาญได้แซง "งบกลาโหม" ได้เป็นครั้งแรก และทิ้งขาดแบบไม่เห็นฝุ่นหลังจากนั้น โดยในแง่มูลค่า งบกลาโหมยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2 แสนล้านต่อปี แต่งบบำเน็จบำนาญพุ่งทะลุ 3.2 แสนล้านต่อปีไปแล้ว ยิ่งถ้าพิจารณาในแง่สัดส่วนต่องบรวม งบกลาโหมค่อยๆปรับตัวลดลงจากระดับ 7% เป็น 6% ต่องบรวม สวนทางกับงบบำเน็จบำนาญที่เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 10%
ดังนั้นถ้าดูจากการจัดสรรงบประมาณ เกรงว่าประเทศไทยจะเป็น "รัฐราชการบำนาญ" ไม่ใช่ "รัฐทหาร" อย่างที่หลายคนคิดกัน และนั่นจะเป็นภาระต่อภาษีประชาชนที่แก้ไขได้ยากอย่างยิ่ง

Puangthong Pawakapan
6h
เงินบำนาญทหารที่พุ่งพรวดนี้เป็นเพราะอายุราชการแต่ละคนเพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่รับราชการเท่าเดิม แต่เพราะเวลาที่ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน พวกเขาจะได้อายุราชการ x 2 เท่า ต่อให้นั่งในออฟฟิศ ไม่มีหน้าที่ด้านปฏิบัติการอะไร ก็ได้ 2 เท่าด้วย
#ถ่วงความเจริญทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นำนายทหารชั้นนายพล 2,230 คน และนายตำรวจชั้นนายพล 510 คน ที่ได้รับพระราชทานยศ เฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ.

ในหลวง-ราชินี เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา

19 มี.ค. 2564
  

หมาตายเห็บกระโดด อ่านความเละเทะของ วุฒิสภาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร จากปากคนใน หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์


Thanapol Eawsakul
16h

หมาตายเห็บกระโดด อ่านความเละเทะของ วุฒิสภาจากการแต่งตั้งของคคณะรัฐประหาร จากปากคนใน หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์
...............
วันนี้ไทยรัฐหน้า 3 สัมภาษณ์หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์
วิเคราะห์ขุมกำลังค้ำบัลลังก์นายกฯ : ปรับตัวก่อนเปลี่ยนแปลง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2404891
หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้เล่่าถึงความเละเทะขของวุฒิสภาชุดนี้อย่างมากมายเช่น
“เวลาโหวตหลายๆครั้ง โดยเฉพาะญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มันเป็นลักษณะ อย่าเรียกว่าบล็อกเลย อยากจะเรียกว่าฟอร์สบังคับให้โหวต ซึ่งหมอไม่ใช่คนนั้น
ฉะนั้นในสามปี ไม่เคยเสนออะไรเปลี่ยนแปลงได้เลย!! เพราะด้วยความเป็นระบบราชการและระบบทหาร เขาไม่อยากทำอะไรให้มันกระเทือนนายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) หรือรัฐบาล
เคยคุยกันหลายคนแล้วว่า วุฒิสภาต้องทำตามรัฐธรรมนูญ เฮ้ย!!! ทำไมงานปฏิรูปที่ไม่เดินหน้า ทำไมไม่พูดกับนายกฯตรงๆ เพราะเราเห็นระบบที่นายกฯวางมา
ก็ให้สภาพัฒน์ไปรวบรวม ให้หน่วยงานราชการเสนอ มันได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง แล้วทำไมนายกฯไม่สั่งลงมา บ้านเมืองต้องการปฏิรูป ปฏิวัติตอนนั้นก็ต้องการเข้ามาปฏิรูป
สามปีเราเห็นว่าเมื่อไม่กล้าสื่อสารถึงนายกฯ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย รัฐมนตรีก็ทำอะไรไม่ได้ มีแต่ความเกรงใจ
ทั้งที่เราทำงานให้ประเทศ ภายใต้ก้นบึ้งของหัวใจที่เหมือนกัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องไม่ถูกทำลาย แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเดินจังหวะเดียวกันทั้งหมด
พูดง่ายๆ รู้สึกเสียดายเงิน แต่ก่อนทำงานได้เงินนิดเดียว ทำงานหนักชิปเป๋ง ตอนนี้เงินเยอะกว่าแต่ก่อน กลับทำอะไรไม่ได้
เมื่อถูกถามว่าวุฒิสภาชุดนี้จะปรับปรุงการทำงานได้หรือ ไม่
หมอพรทิพย์ บอกว่า
ปรับปรุงการทำงานเหรอ!? ไม่มีทาง เพราะตั้งแต่ระดับเบอร์หนึ่ง เบอร์สอง ขององค์กร รวมถึงประธาน กมธ. ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารหมด
ทุกอย่างเวลาประชาสัมพันธ์ก็ทำภายใน เราก็ถามว่าไปทำกิจกรรมอะไรก็ส่งให้ดูกันเอง ไม่เห็นสังคมรับรู้ จนกระทั่งล่าสุดเกิดคดีแตงโม ทุกคนบอกเป็นครั้งแรกที่สังคมรู้ว่า ส.ว.มีไว้ทำอะไร
“เชื่อไหมว่าไม่เคยถูกคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ วุฒิสภาวางตัวให้ไปออกรายการโทรทัศน์เลยสักครั้งเดียว มีเฉพาะประธาน กมธ. รองประธาน กมธ. โฆษก กมธ.
เฉพาะข้อเสนอที่อยากให้เขย่าใหม่เพื่อเลือกว่าจะทำอะไรดีที่สุด... ไม่มีทาง เพราะคนที่คุมเรื่องติดตาม เสนอแนะ เร่งรัดการปฏิรูปประเทศ การจัดทำและดำเนินการตามยุทธ ศาสตร์ชาติ คือ ทหาร สายตรงนายกฯ
เราพูดเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เราก็ยึดหลักธรรมอะไรที่อยากทำ แต่เป็นสิ่งเขาลิขิตให้ทำ ก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
แน่นอนว่า การเลือกนายกรัฐบมตรีครั้งหน้าหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ และพวกจำนวนหนึ่งก็บยอกเป็นนัยล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะไม่เลือกประยุทธ์ เป้นนายกอย่างแน่นอน
"ซึ่งมี ส.ว.เยอะมากที่คิดแบบนี้ มันเป็นอำนาจที่ไม่ควรกำหนดให้เรา รอบหน้าปล่อยให้ไปตามระบบ
ปล่อยให้เป็นไปตามระบบกลไกของสภาผู้แทนราษฎร ให้ ส.ส.โหวตเลือกนายกฯ
วุฒิสภาช่วยรัฐบาลทางอ้อม โดยตั้งหลักทำงานเชิงรุก เพื่อวางบทบาทให้ล้อไปกับสังคมที่ก้าวหน้า"
นี่เป็นตัวอย่างของเห็บที่อยู่บนซากหมาตายมากว่า 3 ปี ที่พร้อมจะกระโดดออกไปทุกเมื่อ

“Revenge is a dish best served cold.” การแก้แค้นต้องรอได้ ทำให้นึกถึงสุภาษิตจีนสอนใจ


Pipob Udomittipong
22h

ไม่มีคำถามใดที่โง่ แต่คำตอบโง่ ๆ มีอยู่จริง แบบฝรั่งว่า “There are no stupid questions, only stupid answers.” #ชัชชาติ บอกบ้านอยู่แถวนั้น แต่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญเหรอที่เขาเดินเข้ามาในงาน ตั้งแต่ที่เขาย่างเท้าก้าวเข้ามาในงาน #ตลาดราษฎร มันก็บ่งบอกถึงความตั้งใจ ความกล้าหาญ และความรู้ความเข้าใจของเขาในเรื่องนี้แล้ว ที่ทำงานของ #ประยุทธ์จันทร์โอขา ก็อยู่แถว ๆ ทีมีม็อบเยอะแยะ ไม่เห็นมันเดินหลงเข้าไปในม็อบเลย ประยุทธ์เจอคำถามฉลาด ๆ เยอะแยะ เคยมีคำตอบที่ฉลาด ๆ บ้างป่ะ
ชช.มีสิทธิโดยประการทั้งปวงที่จะเดินเข้าไปในงานหรือไม่ จะขึ้นไปพูดในเวทีหรือไม่ รวมทั้งจะตอบคำถามหรือไม่ การที่รุ้งถามคำถามเกี่ยวกับ #มาตรา112 ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก ไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่คำตอบของชช.บ่งบอกว่าเขาเป็นคนฉลาด เป็นผู้นำที่ใจกว้าง ยอมรับความหลากหลาย ยอมรับการเห็นต่าง เขาเข้าใจคนแบบรุ้ง เพราะลูกเขาก็อายุพอ ๆ กัน ชช.อยู่ระหว่างคนรุ่นเก่ากับใหม่ เหมือนพ่อแม่หลายคนรวมทั้งตัวผม เราทำตัวโง่เขลา ตามสมัยไม่ทันไม่ได้
ฉะนั้นชช.บอกว่าไม่เคยเจอกับรุ้งมาก่อน ไม่แน่ใจว่าเป็นรุ้งตัวจริงหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะบอกว่าชช.ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก #มาตรา112 ไม่รู้เรื่องราวของ “คณะราษฎร” เป็นไปไม่ได้ แค่การพูดว่าอย่าเอา #มาตรา112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็เป็นหัวใจของปัญหาแล้ว
และแบบที่ชช.ว่า “Revenge is a dish best served cold.” การแก้แค้นต้องรอได้ ต้องทำเป็นขั้นตอน มันถึงจะสาสม
ไทยรัฐ สรุปใช้ได้ https://www.thairath.co.th/news/politic/2405442
...

ลูกผู้ชาย 10 ปี ล้างแค้น ไม่สาย | Chinatalks เรื่องเล่าจีน

Dec 19, 2017

Chinatalks

เรื่องราวในยุคสมัยชุนชิว ที่เป็นที่มาของคำว่า "ลูกผู้ชาย 10 ปี ล้างแค้นไม่สาย" ฟังแล้วมีความเห็นอย่างไรบ้าง อย่าลืมมา comment กัน ^^

ป้ายหาเสียงทำกระเป๋า #สำหรับใช้กันเองในทีม #ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง


Prinya Thaewanarumitkul
Yesterday

ป้ายหาเสียงทำกระเป๋า #สำหรับใช้กันเองในทีม
#ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ตามที่มีผู้ไปร้องต่อ กกต.ว่าป้ายหาเสียงทำกระเป๋าของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเป็นการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้เป็นตัวเงิน เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกตนเองนั้น
เรื่องนี้ความจริงแล้วไม่มีประเด็นที่ซับซ้อนอะไรครับ เพราะการที่จะผิดมาตรา 65 (1) ของ #พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 จะต้องเป็นการ “จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือ ผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด” เพื่อ “จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง” ซึ่งก็คือ #การห้ามซื้อเสียงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือส่ิงของก็ตาม แต่ทั้งนี้เนื่องจากคุณชัชชาติได้ประกาศต่อสาธารณะเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในเฟซบุคว่า “ไม่อยากให้ไวนิลป้ายหาเสียงกลายเป็นขยะหลังการเลือกตั้ง เราจึงมีแผนนำกลับมาหมุนเวียน (Recycle) โดยตัดเย็บเป็นกระเป๋าหรือผ้ากันเปื้อน #ไว้ใช้ต่อกันเองในทีม” ดังนั้น ในเม่ีอเป็นการทำเอาไว้ใช้กันเองในทีม ไม่ใช่แจกประชาชนเพื่อจูงใจให้เลือกตนเอง จึงไม่ใช่การกระทำที่ผิดมาตรา 65(1) ครับ
ส่วนในประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่า #ไม่มีการไปแจ้งความคนที่เก็บป้ายไป แสดงว่ามีเจตนาที่จะให้มาตั้งแต่ต้น เรื่องนี้เป็นคนละส่วนกันครับ เพราะ #ต้องดูเจตนาในตอนที่ทำ ซึ่งได้มีการประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า “ใช้กันเองในทีม” แม้ว่าป้ายหาเสียงจะเป็นทรัพย์สินของผู้สมัคร แต่ที่ผ่านมาการเก็บป้ายหาเสียงหลังเลือกตั้งไปใช้ เช่น เอาไปมุงหลังคา ปูนั่ง บังแดด ฯลฯ ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เคยมีปัญหาอะไร เพราะเมื่อหาเสียงเสร็จแล้วป้ายหาเสียงก็กลายเป็นขยะหรือของที่ทิ้งหรือไม่ใช้แล้ว การเรียกร้องให้ไป #แจ้งความจับกุมประชาชน ในเรื่องเรื่องนี้ด้วยข้อหาลักทรัพย์ซึ่งมีโทษทางอาญาจึงเป็นเรื่องที่ออกจะเกินไปมาก แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้มีกฎหมายตรงไหนเขียนไว้เลยว่าเจ้าทรัพย์มีหน้าที่ต้องไปแจ้งความ
ทั้งนี้ มาตรา 65(1) ของพระราชบัญญัติเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา โดยมาตรา 126 กำหนดโทษจำคุกหนึ่งปีถึง 10 ปี และตัดสิทธิเลือกตั้งถึง 20 ปี การพิจารณาจึงต้องใช้หลักกฎหมายอาญาอย่างเคร่งครัดคือ ต้องดูเรื่องเจตนาในตอนทำป้ายเป็นสำคัญ #การไม่ไปแจ้งความไม่มีผลไปเปลี่ยนเจตนาในตอนทำป้าย ครับ
มีอีกหนึ่งเรื่องที่อยากกล่าวถึงคือ เรื่องการไปร้องทุกข์กล่าวโทษผู้สมัครทั้ง ผู้ว่า กทม. และ ส.ก. หลายคนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 #ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เนื่องจาก #ประกาศกกต. กำหนดให้เก็บป้ายภายใน 3 วันหลังเลือกตั้ง แต่ผู้สมัครจำนวนหนึ่งยังเก็บป้ายไม่หมดจึงผิดมาตรานี้ ผมเข้าใจว่าผู้ที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษอาจจะสับสนระหว่างประกาศกับคำสั่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน #ประกาศมีลักษณะให้ปฏิบัติตามเป็นการทั่วไป ส่วน #คำสั่งมีลักษณะเฉพาะเจาะจงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำหรือไม่กระทำการใด การไม่เก็บป้ายให้หมดภายใน 3 วัน เป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศ #ไม่ใช่การขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เรื่องนี้จะเป็นการขัดคำสั่งได้ ก็ต่อเม่ีอ กกต.ออกคำสั่งไปยังผู้สมัครที่ยังเก็บป้ายไม่หมดให้เก็บป้ายให้หมด แล้วผู้สมัครคนใดไม่เก็บป้ายให้หมด นั่นแหละครับถึงจะผิดมาตรานี้
โดยสรุป ผิดหรือไม่ก็ต้องว่าตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งนักกฎหมายที่ตามเรื่องนี้ก็ล้วนแต่เห็นตรงกันว่า #ป้ายหาเสียงทำกระเป๋าไว้ใช้กันเองในทีมไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ครับ
ด้วยความเคารพ ผมเชื่อว่า กกต.ท่านจะพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวัง และเพื่อที่เหตุการณ์แบบที่เกิดในปี 2562 ที่เขต 8 จังหวัดเชียงใหม่ ที่ กกต.ไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่สุดท้ายศาลเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องและสั่งให้ กกต.ต้องชดใช้เงินให้กับผู้ชนะการเลือกตั้งถึง 64 ล้านบาท ไม่เกิดขึ้นอีกครับ

วันจันทร์, พฤษภาคม 30, 2565

เลขไทย เลขหรั่ง กำพืดไม่ต่างกันเลย มีต้นกำเนิดจากอินเดียใต้

เลขไทย เลขหรั่ง ต่างกันแค่ไหน กระแสยกเลิกเลขไทยบอกว่า คร่ำครึ (โดยเฉพาะ เลข ๑ หางชี้ = ๙) ใช้กับกลไกดิจิทัลไม่ได้ ซ้ำยังว่าต้นตอแท้จริงเลขไทยลอกแบบจากเลขเขมรทั้งดุ้น ไม่ใช่ของตัวเองเสียหน่อย ดังที่ อจ.Somrit Luechai บอก

“ดูก่อนอานนท์ ก่อนที่เธอจะอ้าปากพูดอะไรควรศึกษามาก่อนให้ถ่องแท้ เลขที่เธอว่าเลขไทยนั้น ความจริงเป็นเลขเขมร ไทยเอามาใช้จนเข้าใจว่าเป็นเลขไทย” ส่วนเลขฝรั่งที่เราเรียกว่า อารบิก นั่นก็ไม่ใช่มาจากอาหรับ แต่เป็นของอินเดียดั้งเดิม

เช่นกันกับเลขขแมร์ ที่เขมรก็ใช้อยู่ในปัจจุบัน นั้นมาจากอินเดิยโบราณเหมือนกัน ฉะนี้ทั้งเลขขแมร์และอาราบิกล้วนมีกำพืดจากที่อื่น เฉกเช่นเชื้อชาติในอุษาคเนย์ที่ปะปนกันมา แล้วก็กำลังปะปนกันไป ไม่เชื่อสังเกตุดูรูปเค้าหน้าดาราสาวไทยรุ่นนี้สิ เหมือนเกาหลี-ญี่ปุ่นกันไปหมด

อานนท์ (ศักดิ์วรวิชญ์) ที่ อจ.สมฤทธิ์เอ่ยถึงนั่น เป็นนักวิชาการสายสลิ่ม พวก ไทยภักดี ซึ่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคนี้คนหนึ่ง ทศพล พรหมเกตุ เอาไปสาธยายสรรพคุณของการใช้เลขไทยเสียเอ่อล้น ว่ามันคือเลือดเนื้อ อัตลักษณ์ รากเหง้าอารยธรรมแห่งชนชาติ

ผิดพลาดมหันต์ ชนิดที่ อจ.สมฤทธิ์เปรียบเปรย “นักศึกษาโง่เป็นเรื่องปรกติ อาจารย์โง่เป็นเรื่องผิดปรกติ แต่ถ้าอาจารย์โง่แล้วอวดฉลาด ถือว่าวิปริตเลยน่ะ” ถึงกระนั้นก็ตาม ลองดูความเห็น อจ.Jessada Denduangboripant บ้าง

“จริงๆ แล้ว หนังสือราชการนั้น ไม่ได้บังคับให้ใช้เลขไทยนะครับ แต่จะใช้หรือไม่ใช้ ให้ขึ้นกับนโยบายของแต่ละส่วนราชการ ถ้าใช้เลขไทยแล้วไม่เอื้อต่องาน (เช่น การเงิน หรือใช้ภาษาต่างประเทศ) ก็สามารถใช้เลขอารบิกได้”

อจ.เจษฎายกเอาเรื่องราวที่มาของเลขไทยจาก วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๑ เดือน ม.ค.-มี.ค. ๒๕๔๕ ที่บอกว่าอักษรและเลขไทยซึ่งพ่อขุนรามคำแหงทรงริเริ่มให้ใช้นั้น ดัดแปลง มาจากอักษรขอม ดังนั้นถ้าจะอ้างอารยธรรมไทย สาวไปเจอขอม

“ตัวเลขไทยและตัวเลขอารบิกในปัจจุบัน จึงมีต้นตออักษรตัวเลขชุดเดียวกันคือ จากอักษรเทวนาครี” อจ.เจษฎาอ้าง นิตยสารศิลปวัฒนธรรม “เคยสืบค้นไว้ว่า เลขโบราณใน จารึกเขมร สมัยก่อนเมืองพระนคร” ก็มาจากอักษรอินเดียใต้

ดังนั้น “เลขอินเดียใต้ (ราชวงศ์ปัลลวะ) เป็นที่มาของเลขที่ใช้ในดินแดนอุษาคเนย์ทั้งหมด รวมทั้งเลขที่ใช้ในอาณาจักรทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย” ฉะนี้คงเหมาเอาได้ละว่าเลขไทยเลขอารบิกไม่มีใครศักดิ์ศรีเหนือกว่ากันในด้าน ราชาชาตินิยม

เพียงแต่ต้องเอามาใช้ให้ต้องตรงกับงาน ให้เกิดความสะดวกและมรรคผลมากที่สุด สำหรับผู้เขียนนี้ชอบใช้เลขไทยเวลาเขียนหนังสือไทย ที่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะการเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถเขียนอักษรไทยควบเลขอารบิกรวดเดียวได้

ถ้าจะใช้เลขอารบิกต้องเปลี่ยน ‘icon’ จุดตั้งจากไทยเป็นอังกฤษเสียก่อน นั่นคือความสะดวก อีกอย่างมีความรู้สึกส่วนตัวว่าเลขไทยไปกันได้คล้องจองกับอักษรไทยมากกว่าเลขฝรั่ง เช่นกันกับการใช้วรรณยุกต์กับคำที่มีสำเนียงไม่ตรงกับชนิดอักษร

เราทราบกันดีว่าภาษาไทยมีเสียงสูงต่ำตามชนิดอักษร แล้วยังมีวรรณยุกต์ให้ใช้เลียนเสียงได้ตรงกับภาษาพูดได้ใกล้เคียงมาก คำทับศัพท์อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน ที่มีสำเนียงแปลกๆ กันไป เขียนให้อ่านได้ดีด้วยวรรณยุกต์

ข้อคิดก็คือทั้งเลขไทยและเลขอารบิกยังสามารถนำมาใช้ในบริบทที่ต่างกันและสมน้ำสมเนื้อได้ ไม่จำเป็นต้องโยนทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นกันกับวรรณยุกต์ ซึ่งไม่ได้ทำให้ภาษารุ่มร่าม หากแต่ทำให้มีสำเนียงสุนทรีย์เสียอีก

เห็นมีคนยกตัวอย่างกรณีลักลั่นของเลขไทยเลขหรั่ง เช่น 5G ก็ไม่ควรเขียนว่า ๕G แต่เขียน ๕จี ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ยุคนี้นิยมเขียน I hear, I-tube แต่ถ้าเขียน I5 กับ E5 ความหมายต่างกันลิบลับกับ ไอ ๕ และ อี ๕ คุณว่ามั้ย

 

(https://www.facebook.com/jessada.denduangboripant/posts/pfbid02wm และ https://www.facebook.com/permalink.=1205225461)

ข่าวลับจาก กกต. สายข่าวแจ้งว่า ฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยมกำลังสมคบคิดกันหาแนวทางสกัดชัชชาติไม่ให้ได้เป็น ผู้ว่าฯ กทม.


ไทกร พลสุวรรณ
@Thaikorn1
·22h

ข่าวลับจาก กกต. สายข่าวแจ้งว่า ฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยมกำลังสมคบคิดกันหาแนวทางสกัดชัชชาติไม่ให้ได้เป็น ผู้ว่าฯ กทม. โดยใช้ประเด็น ป้ายหาเสียงที่ให้ประชาชนเอาไปทำกระเป๋า "เป็นสัญญาว่าจะให้" ตามที่ ‘นักร้อง’ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว กกต.จะวินิจฉัยว่าอย่างไร? รอฟังข่าวเร็วๆนี้
....

21 ปี กกต. ยุคปัจจุบัน มาถึงจุดเสื่อมสุด ยุบแม่-เท่านั้นแหละ เบาแผ่นดินลดความสิ้นเปลืองภาษีไปเยอะเลย


Atukkit Sawangsuk
7h

กกต.ยุคปัจจุบัน มาถึงจุดเสื่อมสุด หลังก่อตั้งมา 21 ปี
กกต.ชุดแรก เป็นชุดที่มีเครดิตมากที่สุด แต่ก็เป็นต้นตอแห่งพิษร้าย
คือเมื่อเชื่อว่า กกต.เป็นเทพ ศักดิ์สิทธิ์ ก็เลยประเคนอำนาจให้
สามารถเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 1 ปี "ใบแดง" เพียงเพราะ "เชื่อได้ว่า" ทุจริต
"ใบแดง" ไม่มีในรัฐธรรมนูญ 2540 นะครับ
มีแต่ "ใบเหลือง" สั่งเลือกตั้งใหม่เมื่อเห็นว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
แต่กลับมางอกใน พรบ.เลือกตั้งฉบับแก้ไขปี 2543 เพิ่มมาตรา 85/1-85/10 เป็นอำนาจที่เกินกว่ารัฐธรรมนูญ แต่สังคมไทยหน้ามืดคิดว่าต้องใช้ยาแรงปราบนักการเมืองชั่ว
:
รัฐประหาร 49 รัฐธรรมนูญ 50 ยิ่งเพิ่มอำนาจ กกต. ใบแดงกรรมการบริหารพรรค=ยุบพรรค ที่ใช้ยุบพรรคพลังประชาชนแล้วตั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ในค่ายทหาร ชนวนม็อบเสื้อแดง 52-53 นองเลือดกลางเมือง
รัฐธรรมนูญ 60 ยังเพิ่มใบส้ม ใบดำ ตัดสิทธิตลอดชีวิต
ความเป็นอิสระก็ไม่มีเหลือ มีแต่ กกต.ที่ตั้งจากรัฐประหาร ใช้ สนช.
รธน.50 ให้ สว.กึ่งหนึ่งมาจากสรรหา ใช้ตั้ง กกต.ชุดสมชัย
รธน.60 นี่ยิ่งชั่ว ให้กรรมการสรรหาองค์กรอิสระ มาจากองค์กรอิสระด้วยกัน
:
กกต.ไทยก๊อปมาจากอินเดีย ซึ่งมีอำนาจแค่สั่งเลือกตั้งใหม่ จัดเลือกตั้งก็ใช้ข้าราชการนั่นแหละ แต่ใครไม่เป็นกลางสั่งย้ายได้
กกต.อินเดีย มีแค่ 3 คน เจ้าหน้าที่ 300 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 900 ล้านคน!
แต่เขาก็ใช้ข้าราชการนั่นแหละ พลเรือน 4 ล้านคน ตำรวจ 2 ล้านคน จัดเลือกตั้งนานเป็นเดือน
:
กกต.ไทยที่จริงก็ใช้มหาดไทย ครู ตำรวจ (เลือกคั้งท้องถิ่นก็ใช้ข้าราชการท้องถิ่น) แต่มีพนักงานน่าจะร่วมสามพัน ต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50 ล้าน
มีสำนักงาน กกต.ทุกจังหวัด ส่วนกลางมีสำนักต่างๆ อีก 26 สำนัก เช่นสำนักสืบสวนสอบสวน 5 สำนัก
รวมแล้วมี ผอ.สำนัก 100 กว่าคน เงินเดือน+เงินประจำตำแหน่ง แสนกว่าบาท
พนักงาน กกต.ปริญญาตรีเริ่มต้น 19,500 บวกเงินเพิ่มเงินประจำตำแหน่ง เห็นในเว็บประกาศสอบบอกว่า 31,000
ถามจริง คนสมัครงาน กกต.เนี่ย อยากเห็นการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม หรือเห็นว่างานเบาเงินดีมีอำนาจ
สุดท้ายมันก็เป็นระบบราชการอีกแบบ องค์กรอิสระอื่นๆก็เหมือนกัน
งบ กกต.ปี 65 ได้ไปถึง 3,524 ล้าน
เป็นงบบุคลากร 2,151 ล้าน แยกเป็นเงินเดือน 1,743 ล้าน งบดำเนินงาน 407 ล้าน
โดยมีค่าใช้จ่ายจัดเลือกตั้งแค่ 496 ล้าน
:
สถานะขององค์กร กกต. เมื่อผ่านไป 21 ปี มันคือ "แมวอ้วน" นอนเกาพุง
โดยไม่เหลือประสิทธิภาพอะไรเลย ต่อให้คนที่หวังว่า กกต.จะจับโกงเยอะๆ
เลือกตั้ง 62 จับใบส้มได้ใบเดียว แพ้คดี
เลือกนายก อบจ. จับผิดจากหน้าเฟสบุ๊ก หรือคู่แข่งร้องเรียน
แต่อย่างนายกสมุทรสาคร "ปลัดแต" ศาลก็ยกคำร้อง
:
ตัว กกต. 7 คน ปัจจุบันเป็นเหมือนเจว็ดแค่นั้น
แล้วก็ใช้วิธีทำงานมุดหัว
เพราะ รธน. 60+กฎหมายลูก มันไม่ให้ กกต.แบ่งกันรับผิดขอบ 5 ฝ่าย (เช่นฝ่ายบริหารเลือกตั้ง,ฝ่ายสืบสวนสอบสวน,ฝ่ายมีส่วนร่วม) แบบเมื่อก่อน
ให้เป็นรูปคณะกรรมการ แล้วเลขาธิการควบคุมสำนักงาน
กกต.7 คนก็เลยใช้วิธีมุดหัวไม่แถลงข่าว ให้ประธานแถลงคนเดียว หรือไม่ก็ส่งไลน์ให้นักข่าว
จนป่านนี้ เราจึงไม่รู้เลยว่า กกต.แต่ละคนมีความรู้ความสามารถอะไรเหมาะสมกับตำแหน่งไหม
รู้จักแต่ กกต.ตู้แช่ไวน์ (คนนี้เป็นทนาย มาจากที่ปรึกษาอดีตประธานศาล รธน. นุรักษ์ มาประณีต)
การรับรองผลเลือกตั้งในระยะหลัง ก็เห็นได้ว่าแม่-ไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่ดึงไว้ 30 วัน 60 วัน แล้วก็ประกาศ
คือดึงไว้พอเป็นพิธี เดี๋ยวจะหาว่าไม่ทำงาน เดี๋ยวจะว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก
:
21 ปี กกต.
ยุบแม่-เท่านั้นแหละ
เบาแผ่นดินลดความสิ้นเปลืองภาษีไปเยอะเลย

“ผู้พิพากษาคดี 112 “ ทำลายอนาคต-ทำลายศรัทธากระบวนการยุติธรรมไทย.. ถ้าไม่เชื่อ อ่านข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ข้างล่าง


Jom Petchpradab
May 27

“ผู้พิพากษาคดี 112 “ ทำลายอนาคต-ทำลายศรัทธากระบวนการยุติธรรมไทย..หรือไม่?
แม้ว่า “น้องตะวัน” ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาแล้ว หลังจากอดอาหารมาเป็นเวลาเดือนกว่า เพื่อประท้วงที่ศาลไม่ยอมปล่อยตัวชั่วคราวในคดี 112
แต่ยังมีน้อง ๆ อีกหลายคนที่ยังถูกขุมขังในคดีเดียวกันโดยที่ศาลไม่ยอมปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อออกมาสู้คดี เป็นการคุมขังซึ่งเท่ากับได้ลงโทษไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิด แม้โดยหลักการในกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องเชื่อไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธ์หากศาลยังไม่ตัดสินจนถึงที่สุด
แต่กระนั้นผูพิพากษาในศาลหลายคนก็ไม่ใส่ใจต่อหลักการนี้ ยึดเพียงเป็นคดีสำคัญที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าคดีฆ่าคนตาย หรือแม้แต่การข่มขืนกระทำชำเลาหญิงเป็นสิบๆ คน ทั้งที่ ๆ ผลเสียหายหรือความเสียหายอย่างชัดเจนจริงในคดี 112 ไม่เห็นชัดด้วยซ้ำ ขณะที่ฆ่าคนตายหรือข่มขืนกระทำชำเรามีผู้เสียหายแล้วเป็นจำนวนมาก
นี่คือหลักแห่งความเบี่ยงเบนขององค์กรตุลาการ ข้าราชการตุลาการ ผู้พิพากษาที่ไม่ยึดมั่นอยู่ในหลักความยุติธรรมอย่างแท้จริง จนทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยไม่เชื่อมั่นศรัทธาของคนไทยและชาวโลกในขณะนี้
ผู้ต้องหาคดี 112 ส่วนใหญ่แล้วเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าศาลจะไม่อนุญาตให้ประกันตัว จนเกิดกระแสเรียกร้องกดดันไปยังองค์กรศาล หรือองค์กรตุลาการ โดยการเปิดเผยชื่อผู้พิพากษาในโลกโซเชี่ยล และมีการวิจารณ์รวมทั้งกล่าวโจมตีผู้พิพากษาเป็นรายบุคคล
ข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ในเอกสารของบางคดีที่เกี่ยวข้องกับ ม.112 ศาลเลือกที่จะไม่ระบุเชื่อผู้พิพากษาไว้ท้ายคำสั่ง เช่น กรณีศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว อานนท์ นำภา พริษฐ์ ชิวารักษ์ สมยศ พฤกษาเกษมสุข และหมอลำแบงค์ -ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 นั้นคำสั่งปรากฎเพียงลายเซ็น แต่ไม่ได้พิมพ์ชื่อตัวบรรจงผู้พิพากษาที่ลงคำสั่งกำกับไว้แต่อย่างใด
นอกจากนี้ 19 เมษายน 2565 พริษฐ์ ปิยะนราธร ผู้พิพากษาในคดีไต่สวนเพิกถอนสัญญาประกันตัวของ ลูกเกด-ชลธิชา แจ้งเร็ว ได้กล่าวถึงกรณีผู้พากษาถูกเผยแพร่ชื่อบนโลกออนไลน์ในช่วงท้ายการไต่สวนว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ผู้พิพากษาตกเป็นเป้าโจมตีของสาธารณชน พร้อมตักเตือนในกรณีที่นายความเป็นผู้โพสต์ จะทำเรื่องแจ้งสภาทนายความให้รับทราบ ส่วนกรณีที่ประชาชนเป็นผู้กระทำ จะมอบหมายไปยังสำนักงาของศาลให้ดำเนินคดีต่อไป
ประเด็นการไม่ลงชื่อผู้พิพากษาเคยถูกหยิบยกมาตั้งคำถามโดยภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านการส่งหนังสือถึงอธิบดีศาลอุทรณ์ โดยระบุถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว พริษฐ์ ชิวารักษ์ ฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งไม่ปรากฎชื่อผู้พิพากษาท้ายคำสั่งว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.10 ซึ่งเป็นหลักทั่วไปที่บัญญัติว่า ถ้อยคำสำนวนต้องระบุชื่อศาล สถานที่ และวันเดือนปีที่จด ถ้าศาลจดถ้อยคำ สำนวนตามคำสั่งหรือประเด็นของศาลอื่น ให้กล่าวเช่นนั้น และแสดงด้วยว่าได้ทำไปอย่างใด ผู้พิพากษาที่จดถ้อยคำสำนวนต้องลงลายมือชื่อของตนในถ้อยคำสำนวนนั้น
และสำนวนที่ระชื่อผู้พิพากษา ระบุชื่อศาล สถานที่ วันเดือนปีที่จดดังกล่าวก็สามารถเผยแพร่ต่อสถาธารณชน และสามารถเผยแพร่ชื่อผู้พิพากษาแต่ละคนได้ด้วย
ดังนั้นจึงขอสรุปข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กรณี ผู้พิพากษาจำนวน 6 คนที่ลงนามคัดค้านการประกันตัว ไม่ให้ประกันตัว และถอนการประกันตัวผู้ต้องหาในคดี 112 ตั้งแต่ปี 2564 – 2565 ในแต่ละคดีมีดังต่อไปนี้
อรรถการ ฟูเจริญ.
1 ต.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัว 3 สมาชิกทะลุฟ้า
1 ต.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัว ไพทูรย์ - สุขสันต์
4 พ.ย. 64 ไม่ให้ประกันตัว 15 ผู้ต้องขังทางการเมือง
9 ธ.ค. 64 ไม่ให้ประกัน 4 ผู้ชุมนุม
22 ม.ค. 65 ถอนประกัน 6 สมาชิกทะลุฟ้า
22 ม.ค. 65 ไม่ให้ประกันตัวชายภูเก็ตข้อหา ม.112
22 ก.พ. 65 ไม่ให้ประกันตัว ไพทูรย์ - สุขสันต์
2 มี.ค. 65 ไม่ให้ประกันตัว จิตรกร
18 เม.ย. 65 ยกคำร้องขอปรันตัวเวหา
เทวัญ รอดเจริญ
9 ก.พ.64 ไม่ให้ประกันตัว 4 ราษฎร
24 มี.ค.64 ไม่ให้ประกันตัวเพนกวิน
29 เม.ย.64 ไม่ให้ประกันตัว 7 ราษฎร
31 ส.ค.64 ยกคำร้องขอย้ายตัวเพื่อรักษาอาการของเพนกวิน
สันติ ชูกิจทรัพย์โพศาล
15 พ.ย.64 ไม่ให้ประกันตัว ปนัสยา
15 มี.ค 65 ยกคำร้อง รวิสรา ที่ขอออกนอกประเทศไปเรียนต่อ
29 มี.ค.65 ยกคำร้องรวิสรา ขอออกนอประเทศไปเรียนต่อ
ชาญชัย ณ พิกุล
21 ต.ค.64 ไม่ให้ประกันตัว ยาใจ ทะลุฟ้า
14 ธ.ค.64 ไม่ให้ประกันตัว อาทิตย์ ทะลุฟ้า - จิตรกร
11 มี.ค.65 ไม่ให้ประกันตัว เวลา
พริษฐ์ ปิยะนราธร
8 ต.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัวขจรศักดิ์ คเชนทร์
19 ต.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัว อานนท์
22 พ.ย. 64 ถอนประกันตัว ปนัสยา
25 ธ.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัว 4 ราษฎร
20 เม.ย.65 ถอนประกันตัว ทานตะวัน
เนตรดาว มโนธรรมกิจ
29 ต.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัว เบนจา
8 พ.ย. 64 ไม่ให้ประกันตัว เบนจา
19 พ.ย. 64 ไม่ให้ประกันตัว พิชัย นฤเบศร์ ทะลุแก๊ซ
7 ธ.ค. 64 ไม่ให้ประกันตัวเบนจา 2 คดี
21 มี.ค.65 ยกคำร้อง รวิสรา ที่ขอออกนอกประเทศไปเรียนต่อ ( ท้ายสุดอนุญาตหลังจากขอไป 7 ครั้ง )
นี่ไม่ใช่การประนาม หรือการโจมตี แต่เป็นเพียงให้ผู้พิพากษาเหล่านี้มีความกล้าหาญยอมรับในสิ่งที่ได้กระทำลงไป หากท่านยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจที่อยู่บนหลักความยุติธรรมอย่างแท้จริงแก่ผู้ต้องหาก็กล้าพอที่จะเปิดเผยตัวตนให้สาธารณชนได้รับรู้ไม่ควรใช้กฎหมายมาข่มขู่ว่ากระทำไม่ได้ และขู่จะเอาผิดกับคนที่เผยแพร่ชื่อเหล่านี้
อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้พิพากษาทั้งหลายได้ทราบว่าทุกการกระทำของท่านเป็นไปเพื่อรักษาดำรงความยุติธรรมให้มั่นคงอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทยหรือไม่...ประชาชนไทยรู้ดี.

การปกปิดความจริงไม่ให้เห็นจากขบวนเสด็จ ด้วยกำแพงตำรวจ ยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์เหินห่างประชาชน

 

..... 


Lertsak Kumkongsak
23h

การปกปิดความจริงในขบวนเสด็จยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์เหินห่างประชาชน
.
ความเร็วของรถในขบวนเสด็จที่วิ่งผ่านหน้าตึก UN ถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเป็นบริเวณที่พี่น้องประชาชนในนาม 'ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน' ทำการชุมนุมยืดเยื้อพักค้างแรมอยู่บนเกาะกลางถนนฝั่ง UN นั้น น่าจะใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที แล้วทำไมถึงต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณจากภาษีประชาชนให้สิ้นเปลืองเกินสมควรหรือไม่ได้สัดส่วนด้วยการเอาตำรวจมายืนเรียงแถวยาวตามแนวที่พี่น้องชุมนุมอยู่ เพื่อปิดกั้นไม่ให้ขบวนเสด็จเห็นภาพกิจกรรมในการชุมนุม (ดูด้วยสายตาแล้วก็น่าจะเกิน 300 คน หรือประมาณ 5 กองร้อยตามที่ตำรวจแจ้ง)
.
มีความพยายามเจรจามาตลอดให้ย้ายสถานที่ชุมนุมไปอยู่ที่ถนนรองข้าง ๆ UN แล้วค่อยกลับมาใหม่เมื่อขบวนเสด็จเสร็จสิ้นแล้วหลัง 1 ทุ่มของวันที่ 29 พฤษภา (เสด็จไปมอบปริญญาที่ ม.ธรรมศาสตร์ 3 วัน 27-29 พฤษภา วันละเที่ยว ขาไปช่วงเวลาประมาณ 16.00 ขากลับช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม) เมื่อเห็นการยืนยันอย่างชัดเจนของขบวนชุมนุมว่าจะไม่ยอมย้ายไปไหนก็เอาผลประโยชน์มาแลก ขบวนชุมนุมอยากได้อะไรจะจัดหามาให้หมด ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำห้องท่า น้ำดื่มน้ำใช้ ไฟฟ้า จะชุมนุมอยู่เป็นเดือนก็ได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานในการชุมนุมที่ตำรวจต้องดำเนินการหรืออำนวยความสะดวกทันทีหากมีการชุมนุมใด ๆ ของประชาชน ไม่ใช่เป็นผลประโยชน์ที่จะเอามาแลกหรือนำมาใช้ในการเจรจาต่อรองให้ย้ายหรือให้ยุติการชุมนุม แต่เมื่อขบวนชุมนุมยังยืนยันตามเดิมว่าจะไม่ยอมย้ายไปไหนก็พยายามกดดันถึงขั้นที่อยากจะสลายการชุมนุม
.
15-30 วินาที น่าจะเป็นช่วงเวลาที่รถในขบวนเสด็จใช้ในการวิ่งผ่านที่ชุมนุม แต่เกณฑ์ตำรวจมาไม่รู้กี่โรงพัก ทั้งเบี้ยเลี้ยง ข้าวกล่อง ค่าน้ำมันรถขนตำรวจมา วัสดุอุปกรณ์ ฯลฯ แทนที่ตำรวจจะใช้เวลาทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ให้แก่ประชาชนที่โรงพัก, ตรวจตราตามสถานที่และบนท้องถนน, ฯลฯ แต่กลับเสียเวลาอันมีค่าเหล่านั้นไป (ตำรวจต้องมาเตรียมการรับขบวนเสด็จตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป ต้องขนตำรวจมาตั้งแต่บ่ายสอง ยืนเรียงแถวตลอดแนวชุมนุมเพื่อปิดกั้นภาพการชุมนุมไม่ให้ขบวนเสด็จเห็นตั้งแต่บ่ายสาม ขนตำรวจกลับหลัง 1 ทุ่ม)
.
ถ้าการออกบวชจนนำไปสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นไปตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าพระพุทธเจ้าได้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย คนทุกข์ คนยาก จึงคิดได้ว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ จึงเพียรหาหนทางดับทุกข์ให้แก่ตัวเองและมนุษย์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดในสังคม และถ้าสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทยเราถือคติธรรมราชาตามที่ว่า ๆ กันหรือท่องจำตามกันมา ดังนั้นแล้ว การที่กษัตริย์ได้เสด็จดำเนินไปตามแห่งหนตำบลใดก็ควรที่กษัตริย์จะได้เห็นความเป็นจริงของชีวิต มิควรปกปิดชีวิตของประชาชนใด ๆ เพื่อจะได้เห็นถึงความทุกข์ยากลำบากของประชาชน สิ่งเหล่านี้ยิ่งจะช่วยส่งเสริมธรรมแก่กษัตริย์ แต่เมื่อทำตรงกันข้ามก็จะยิ่งทำให้กษัตริย์เหินห่างประชาชนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

หุหุ เทศกาลเมืองคานส์ อุบลรัตน์ถือโอกาสมาเที่ยว ผู้บริหาร ททท.ถือโอกาสตามมาด้วย - อ.สมศักดิ์ รายงาน


Somsak Jeamteerasakul
14h ·

หุหุ เทศกาลเมืองคานส์ อุบลรัตน์ถือโอกาสมาเที่ยว (ผู้บริหาร ททท.ถือโอกาสเที่ยวด้วย)
อุบลรัตน์ที่คุณทักษิณชูให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ถือโอกาสมาเที่ยวฝรั่งเศสโดยอาศัยเงินของประชาชน
-อุบลรัตน์เดินทางมาถึงกรุงปารีสวันที่ 27 พ.ค. 2565 จนถึงวันที่ 1 มิ.ย. 2565 พักอยู่ที่โรงแรม Plaza Athénée (25 Av. Montaigne, 75008 Paris) ห้อง Presidential Suite (104) และ Prestige Suite (106) คนเดียว ใช้ 2 ห้องราคารวมกัน 25,000 ยูโรต่อคืนหรือ 950,000 บาทต่อคืน ดังนั้นนอน 6 คืนรวมเป็นเงิน 150,000 ยูโร หรือ 5,700,000 บาท
- อุบลรัตน์ไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับคนสนิทอีก 11-12 ทุกคนพักโรงแรม Plaza Athénée ใช้ 6 ห้อง ห้องละ ประมาณ 2,000 ยูโรต่อคืนหรือ76,000 บาทต่อคืนดังนั้น เมื่อมี 6 ห้องและนอน 6 คืน รวมเป็นเงิน 72,000 ยูโร หรือ 2,736,000 บาท
-ถ้าอุบลรัตน์มาเที่ยวเฉยๆตามคำเชิญของททท.ก็จะดูไม่ดี ผู้ว่าททท.จึงสั่งการให้ททท.จัดงาน Amazing Thailand Gala ขึ้นมา ในวันที่ 31 พ.ค. 2565 ณ โรงแรม Four Seasons (31 Av. George V, 75008 Paris) เพื่อให้ดูเหมือนกับว่าอุบลรัตน์เดินทางมาโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการจัดงานแพงมากประมาณ 40 ล้านบาทซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุนแม้แต่น้อยเพราะจัดในโรงแรมที่แพงที่สดุ เชิญแขกวีไอพี ร่วมงาน 100 คน ซี่งเป็นคนไทยและคนใกล้ชิดไปแล้ว 60 คน และมีแขกชาวฝรั่งเศสเป็นหน้าม้า (แบบไม่รู้ตัว) อีก 40 คน ททท. เชิญเชฟชุมพล (มิเชอลิน 2 ดาว) มาจากประเทศไทยเพื่อให้มาทาอาหารเลี้ยงแขกในงาน ค่า จ้างเชฟก็ปาเข้าไป 1.3 ล้านบาทแล้ว ค่าจัดทำวีดีโอเรื่องอาหารไทยเพื่อฉายในงานอีกกว่า 1 ล้านบาท ถือเป็น การจัดฉากหาเรื่องเที่ยวที่ใช้เงินและทรัพยากรบุคคลอย่างมหาศาล
-นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายจิปาถะและที่มองไม่เห็นอีกนับไม่ถ้วนเช่นค่าตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสและชั้นธุรกิจของการบินไทย (ซึ่งไม่ทราบว่าได้จ่ายการบินไทยหรือไม่)
-อุบลรัตน์มาปารีสผู้บริหารททท.ก็ต้องตามมาด้วยเพื่อมา“ให้กำลังใจ”
1. คณะของผู้ว่า ททท. 7 คน มี ผู้ว่า ททท. และภริยา ผู้บริหาร ททท. และ เลขา พักโรงแรม Balzac ห้อง Presidential Suite / Junior Suite / Deluxe เวลาขึ้นเครื่องบินก็บินชั้นเฟิร์สคลาสเท่านั้น
2. คณะ รมว. ท่องเที่ยว 4 คน พักโรงแรม Château Hôtel Mont Royal และ Intercontinental บินเฟิร์สคลาส 3. คณะรองผู้ว่า ททท. ด้านสื่อสาร 7 คน พักที่โรงแรม Lord Byron บินเฟิร์สคลาส
4. คณะบอร์ด ททท. + รองผู้ว่า ททท. ด้านบริหาร รวมกัน 27 คน โรงแรม Intercontinental บินเฟิร์สคลาส
- หลังจบงานของอุบลรัตน์แล้ว คณะ ผู้ว่า ททท. + คณะบอร์ด ทททซ. + คณะรองผู้ว่า ททท. ด้านบริหาร รวมกันกว่า 30 ชีวิต ก็จะถือโอกาสไปเที่ยวต่อ โดยจะไปเยือนปารีส หมู่บ้านกุหลาบ Gerberoy วิหารมงต์แซงต์มิเชล และจะลงใต้ไปแคว้นโพรว็องซ์ด้วย ราคาทัวร์คร่าวๆ อยู่ที่ 35,000 ยูโร หรือ 1.3 ล้านบาท ทั้งหมดทั้งมวลมาจากงบประมาณของ ททท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ใช้เงินที่มาจากภาษีประชาชน
- การจัดงานต่างประเทศเพื่อเอาใจเจ้า และการจัดทริป ”ดูงาน” ใน ตปท. ให้ผู้บริหารองค์กร (ซี่งไม่เคยทำงานจริงๆ) ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและคนส่วนใหญ่เลยแต่กลับใช้เงินที่มาจากภาษีประชาชนอย่างไร้ ยางอายวัฒนธรรมเช่นนี้สมควรถูกประจานและประณามเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นความไม่ชอบมาพากล และช่วยกันตรวจสอบบุคคลและองค์กรเหล่านี้