วันศุกร์, มกราคม 31, 2563

#RIPPrayute หมายถึงรัฐบาลประยุทธ์นี้ เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทางการเมืองไทย ที่มีแต่บ่อนทำลายประเทศ


ไข้หวัดธรรมดาอย่างที่รองนายกฯ สุทิน (ชาญวีรกูล) ว่ามั้ง นายกฯ กลับมาทำงานแล้วแต่เช้า ประชุม ครม.เรื่องเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่ภาวะข้างหน้าจะแก้ปัญหาการท่องเที่ยวอย่างไรต่อ เมื่อจีนจะมาน้อยเพราะเจอะวิกฤตไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โคโรน่า

ที่พูดกันเอาจริงเป็นเรื่องเก่าผลงานที่ไม่ได้แก้ปัญหาปากท้องประชากรเท่านั้น แต่ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวการสำคัญทำให้เศรษฐกิจชาติย่ำแย่เข้าเรื่อยๆ ตลอด ๖ ปี หลังคณะประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง เอามาสวาปามกัน

เป็นการเตรียมสู้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ฝ่ายค้านเรียงหน้า ๖ รัฐมนตรี (ลดจาก ๙) ทั้งประยุทธ์ ประวิตร สมคิด วิษณุ โดนหมดรายการ ซักฟอกถ้าเปื้อนไม่มากซักแล้วอาจผ่องใส แต่หากมันเข้าอยู่ในเนื้อ ซักจนเปื่อยก็ไม่หายรอยราคิน
 
เมื่อวาน (๓๐ มกรา) ก็เลยลาป่วยเสียหนึ่งวัน อันเป็นที่สงสัยกันเยอะว่า “ป่วยซะงั้น แถวบ้านเรียก #ปอดแหก #ป่วยการเมืองทำเอาทวิตเตอร์ร้อนฉ่า เทร็นด์อันดับหนึ่งขึ้นแฮ้สแท็ก #PrayforPrayuth แรกเห็นใครๆ นึกว่า “หมายถึงประชาชนส่วนใหญ่รักและห่วงใยแกมาก”

หมีภูเขา @W76Tv0MHxRj52tp ทวี้ตตอบข่าว @VoiceTVOfficial ว่าที่ไหนได้เขาแห่กันทวี้ตซ้ำเพราะ “ตั้งข้อสังเกตมีอาการป่วย เนื่องจากเลี่ยงศึกซักฟอกหรือไม่” อีกรายใช้ชื่อ เป็นคนซื่อซื่อ @AkaGGn’ กลับบอกว่า “ทำไมที่เราเห็นคือ #RIPPrayute อะ”

ซึ่งจนบัดนี้ #RIPPrayute กลายเป็นแฮ้สแท้กอันดับ ๑ คงหมายถึงหมดสิ้นแล้ว ประยุทธ์จะด้านทนอย่างไร ไปไม่รอดแน่ เพราะการอภิปรายของฝ่ายค้านแม้จะไม่ทำให้รัฐบาลสดุ้งสะเทือน ด้วยจำนวน ส.ส.ร่วมรัฐบาลมีมากกว่า

ล่าสุดพรรคเศรษฐกิจใหม่ประกาศแยกตัวจากกลุ่มฝ่ายค้าน คาดว่าคงไปเข้าร่วมกับรัฐบาลประยุทธ์ในไม่ช้า แม้นว่าจะมีอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐแตกแถวออกมาบ้างรายสองราย

อย่างเช่น สัตวแพทย์ ธีทัชฐ์ เกียรติลดารมย์ ที่ไปคุกเข่ากราบ เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส “ขอให้ถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาท พร้อมประกาศลาออกจากพลังประชารัฐ เพราะทนร่วมอุดมการณ์ไม่ได้” นั้นพอทำเนา แต่นี่พรรคอนาคตใหม่ออกมาแฉอีก
 
“ส.ส.พปชร. เสียบบัตรแทน โหวต กม.สำคัญ” มีคลิปวิโอยืนยันการกระทำว่า เมื่อ ๘ สิงหา ๖๒ น.ส.ธณิกาญจน์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.ทำการโหวตร่าง พรบ.ฉบับหนึ่ง แต่เวลาเดียวกันปรากฏไปออกรายการ “แบ่งปันความรู้บทบาทแม่แห่งยุคดิจิทัล ที่สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ”

อีกรายเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไท นายโกวิทย์ พวงงาม ทำการเสียบบัตรโหวตถึงสามครั้ง ทั้งที่ “ในกรณีของพรรคพลังท้องถิ่นไทยนั้นมีจำนวนเก้าอี้ และเครื่องเสียบบัตรเพียงพอต่อจำนวน ส.ส.ของพรรค ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฝากบัตรลงคะแนนไว้กับ ส.ส.คนอื่นแต่อย่างใด”

ก่อนหน้านั้น “มีการเผยแพร่คลิปของสำนักข่าวเอ็นบีที กรมประชาสัมพันธ์ เป็นภาพนายถาวร เสนเสียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ใช้บัตรเสียบเข้าช่องลงคะแนน ๒ ครั้ง โดยเป็นการใช้บัตรคนละใบ เสียบติดต่อกัน”


แต่กระบวนการเบี่ยงเลี่ยง ไม่โปร่งใสเหล่านั้นเกิดในเหล่าฝักฝ่ายรัฐบาลประยุทธ์ชุดนี้ ทำให้คนทั่วไปไม่ว่าอยู่ในขั้วการเมืองใด หากยึดมั่นและต้องการให้การเลือกตั้งเป็นสรณะของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี้ ได้ตระหนักรู้เช่นเห็นชาติยิ่งขึ้นทุกที

ว่ารัฐบาล ที่สืบเนื่องอำนาจมาจากการรัฐประหาร ของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี้เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทางการเมืองไทย ที่มีแต่บ่อนทำลายประเทศอันเป็นเรือนร่างของชาติ ถ้าไม่สกัดกั้นออกไปจะก่อเกิดความปั่นป่วนมิคสัญญีในที่สุด

ตูบไข้ขึ้น หลังเดินโชว์สนามบิน สรุปรวมตัวเลขผู้เดินทางจากจีนเข้าไทย ในช่วง 28 วัน 930,965 คน ออกไปแล้ว 703,574 คน ยังไม่เดินทางออก 227,391 คน..... เฮ้อ.. กลัวจนไข้ขึ้น... ???



..



ไทยคู่ฟ้า
15 hrs · 

#ไทยคู่ฟ้า จากกรณีที่สื่อบางสำนักรายงานตัวเลขชาวอู่ฮั่น 5 ล้านคน เดินทางมายังประเทศไทย และล่าสุด China Media Group ของทางการจีน แจ้งผ่านนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่า ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน เพราะนายกเทศมนตรีเมืองอู่ฮั่น ไม่ได้พูดถึงเรื่องการเดินทางออกนอกเมืองของชาวอู่ฮั่นในช่วงตรุษจีนเลย และข้อมูลทางการจีนก็ไม่เคยระบุตัวเลขชาวอู่ฮั่น 5 ล้านคนแต่อย่างใด
.
เรื่องนี้มีข้อมูลยืนยันจากกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ชัดเจนว่า ตั้งแต่ 1 – 28 ม.ค. 63 มีผู้เดินทางจากเมืองอู่ฮั่นเข้าไทย 20,271 คน ออกไปแล้ว 17,541 คน ยังไม่เดินทางออก 2,730 คน จากเมืองกวางโจวเข้าไทย 95,582 คน ออกไปแล้ว 70,813 คน ยังไม่เดินทางออก 24,769 คน และจากเมืองอื่น ๆ ของจีนเข้าไทย 815,112 คน ออกไปแล้ว 615,220 คน ยังไม่เดินทางออก 199,892 คน
.
สรุปรวมตัวเลขผู้เดินทางจากจีนเข้าไทย ในช่วง 28 วัน 930,965 คน ออกไปแล้ว 703,574 คน ยังไม่เดินทางออก 227,391 คน.....ดังนั้นจึงไม่ใช่ตัวเลข 5 ล้านคน ตามที่ถูกกล่าวอ้าง
.
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ยังไม่เดินทางออกนั้นรัฐบาลได้ติดต่อและเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมีมาตรการรองรับหากพบอาการป่วยหรือติดเชื้อ รวมทั้งยังคงเดินหน้ามาตรการคัดกรองและป้องกันการแพร่เชื้อของผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
ooo



วิธีทำสื่อออนไลน์ ที่ง่าย และได้ผล ในยอดคนดูคือทำแบบนี้ครับ

ข่าวช่องวัน

นายกรัฐมนตรี ป่วยไข้หวัด ครั่นเนื้อครั่นตัว หมอให้พักอยู่บ้าน ต้องยกเลิกกำหนดการทั้งหมดในวันนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ไปตรวจจุดคัดกรอง #ไวรัสโคโรนา และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ #ข่าวช่องวัน
..........

11 ชั่วโมง
ความคิดเห็น 6 หมื่น
แชร์ 5.7 หมื่น

https://www.facebook.com/…/a.11223069511…/2889971627757960/…


คืนกำไรให้สังคมยามวิกฤติ อาลีบาบาทุ่มพันล้าน ตั้งกองทุนเวชภัณฑ์ ทำประกันให้ทีมแพทย์ทั่วประเทศ




อาลีบาบาทุ่มพันล้าน ตั้งกองทุนเวชภัณฑ์ ทำประกันให้ทีมแพทย์ทั่วประเทศ
.
มูลนิธิแจ็ค หม่า (Jack Ma Foundation) ประกาศบริจาคเงิน 100 ล้านหยวน (ประมาณ 450 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
.
แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) และมูลนิธิแจ็ค หม่า กล่าวว่า "เรารู้ดีว่าตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการผลิตวัคซีนในปริมาณมากและการนำไปใช้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในห้วงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์ต้องทำงานแข่งกับเวลา"
.
หม่ากล่าวว่า มูลนิธิจะหาทางช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับการพัฒนาและรวบรวมกำลังด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อต่อสู้กับไวรัส
.
อาลีบาบา กรุ๊ปเห็นชอบให้บรรดาสถาบันวิจัยของรัฐ เข้าถึงทุกความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จำเป็นต่อการพัฒนาวัคซีนและยาตัวใหม่สำหรับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
.
นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่า 1 พันล้านหยวน (ประมาณ 4,500 ล้านบาท) สำหรับการสนับสนุนด้านเวชภัณฑ์ และการทำประกันสุขภาพวงเงินคุ้มครองสูงสุด 500,000 หยวน (ประมาณ 2 ล้านบาท) สำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ทำงานในแนวหน้าทั่วประเทศ
.
ติดตามข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : https://www.xinhuathai.com/


คลิป”อนุทิน”คุยกับคนไทยในอู่ฮั่น ยืนยัน ไม่ทิ้งคนไทย จะไปรับกลับโดยเร็วที่สุด คนไทยในอู่ฮั่นได้รับอาหารจากสถานทูตแล้ว




UPDATE:”อนุทิน”คุยกับคนไทยในอู่ฮั่น ยืนยัน ไม่ทิ้งคนไทย จะไปรับกลับโดยเร็วที่สุด โดยประสานทางกระทรวงการต่างประเทศในทันที

ล่าสุดติดต่อแจ้งนายสุริยันต์ เพื่อประสานจะให้การช่วยเหลือเรื่องอาหารอย่างเร่งด่วน และมีการสั่งออนไลน์ให้แล้ว

นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้พูดคุยกับนายสุริยันต์ อินทะนาม คนไทยที่ติดอยู่ในอู่ฮั่น ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขอความช่วยเหลือผ่านทาง The Reporters ในการขอกลับประเทศไทยด่วน เนื่องจากเริ่มขาดอาหาร มีเพียงบะหมี่ที่ทานได้ 2 วัน และน้ำดื่มครึ่งขวด ที่ทำได้แค่จิบ

โดยนายอนุทิน ได้ถามนายสุริยันต์ ถึงสถานการณ์ในเมืองอู่ฮั่นตอนนี้ รวมถึงความเป็นอยู่ของนายสุริยันต์ และเน้นย้ำว่าจะประสานให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปโดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้ให้นายสุริยันแจ้งกับทางสถานทูตในการขอความจำนงเดินทางกลับประเทศไทย รวมถึงขอความช่วยเหลือให้ทางสถานทูตนำอาหารไปส่งให้

ขณะที่นายสุริยันต์ ขอบคุณนายอนุทิน ที่จะช่วยประสานงาน ซึ่งเหตุที่ตนเองต้องขอความช่วยเหลือ เพราะอยู่ห่างจากกลุ่มคนไทยที่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จึงอาจตกหล่นไม่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องอาหาร และล่าสุดทางสถานกงสุลใหญ่ ณ.นครเฉินตู ได้ติดต่อมาแล้ว และจะหาทางที่จะนำอาหารมาให้นายสุริยันต์โดยเร็วที่สุด

นายอนุทิน ย้ำว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลไทยกำลังเตรียมการไปรับคนไทยที่อู่ฮั่น ทันทีที่ทางการจีนอนุมัติ จะไปรับคนไทยกลับบ้านให้เร็วที่สุด

นายอนุทินกล่าวเพิ่มเติมว่า ดีใจที่คนไทยทุกคนยังมีสุขภาพแข็งแรง และเป็นกำลังใจให้ อีกไม่กี่วันก็จะได้กลับบ้านแน่นอน รัฐบาลกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อช่วยเหลือคนไทย คือสิ่งสำคัญที่สุด

#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #คนไทยในอู่ฮั่น #ไวรัสโคโรนา
..

...



องค์การอนามัยโลกประกาศแล้วให้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเป็นภาวะฉุกเฉินของโลก




องค์การอนามัยโลกประกาศแล้วให้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเป็นภาวะฉุกเฉินของโลก

นายเทดรอส อาดานอม เกเบรเยซัส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงที่เจนีวา เมื่อคืนวันที่ 30 ม.ค ว่า สาเหตุหลักที่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้ “ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศจีน แต่เป็นเพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ“ เนื่องจากกังวลว่า การระบาดดังกล่าวจะแพร่ไปสู่ประเทศที่มีระบบสาธารณสุขไม่เข้มแข็ง

“ผมขอระบุให้ชัดว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้ ไม่ใช่การไม่ไว้วางใจประเทศจีน” ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าวในการแถลงข่าว และได้ยกย่อง มาตรการ "เยี่ยมยอดมากมาย" ที่ทางการจีนได้ดำเนินการเพื่อป้องกันการระบาด

องค์การอนามัยโลกระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตในจีนขณะนี้อยู่ที่ 170 คน และพบผู้ติดเชื้อแล้ว 98 ราย ในอีก 18 ประเทศ ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เดินทางมาจากนครอู่ฮั่น ต้นกำเนิดโรคระบาดนี้

ผู้สื่อข่าวบีบีซีอธิบายกว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ WHO สามารถเข้าไปให้การสนับสนุนเหล่าประเทศรายได้น้อย และรายได้ปานกลาง เสริมสร้างระบบการเฝ้าระวัง และเตรียมรับมือกับการเกิดโรคในประเทศ

อ่านเพิ่ม งานวิจัยชี้ กรุงเทพฯ เสี่ยงรับเชื้อไวรัสโคโรนาอันดับหนึ่งของโลก https://bbc.in/2vAWlCk
ภาพจาก เอเอฟพี
ooo




#coronavirus #WHO #WorldHealthOrganization

Coronavirus outbreak: WHO declares an international public health emergency
...

คนไทยในยุโรป จัดกิจกรรมให้กำลังใจพี่น้องในเมืองไทยที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสังคมที่เท่าเทียม "วิ่งไล่อยุติธรรม" 02-02-2020 ณ กรุงปารีส อย่าลืมไปช่วยกัน...




ในสังคมที่เหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคเป็นธรรม คนเหมือนกันแต่คนไม่เท่ากัน รวยกระจุก - จนกระจาย ไร้หลักประกันสวัสดิการสังคมอย่างเท่าเทียมกัน ในสังคมที่เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา คนชายขอบ คนจนเมืองต้องเผชิญกับความปัญหาความยากจนเรื้อรังมายาวนาน ขาดโอกาสทางสังคมและไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่จําเป็นได้ ในสังคมที่ผู้นำประเทศไร้ความสามารถในการบริหารจัดการ แก้ปัญหาไม่ได้ ทำประเทศติดหล่ม ประชาชนอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังจนเกิดอาการเบื่อหน่ายนายกฯ มากขึ้นทุกวัน

หากไม่อยากทนอยู่กับความอยุติธรรมอีกต่อไป อยากให้กำลังใจพี่น้องในเมืองไทยที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสังคมที่เท่าเทียม หากรู้สึกอัดอั้นตันใจ หมดความอดทน เกิดอาการเบื่อรัฐบาลประยุทธ์อย่างขีดสุดและอยากส่งเสียงให้ดังถึงหูผู้มีอำนาจในเมืองไทย ออกมาพบกันวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 14-16 น. ที่ Place de la République กรุงปารีสนะคะ

ในกรณีไม่สะดวกเดินทางมาร่วมกิจกรรมด้วยกัน สามารถติดตามการถ่ายทอดสดตลอดการทำกิจกรรมวิ่งไล่อยุติธรรมได้ที่เฟซบุค KonthaiUK ค่ะ


วิ่งไล่อยุติธรรม

https://www.facebook.com/107633227456565/photos/a.107642804122274/114231996796688/?type=3&theater


เหตุผลที่ การสื่อสารของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ในภาวะที่ "ไวรัสโคโรนา" ระบาดหนัก "ล้มเหลว" - ประเทศไทยเสี่ยงติดเชื้อมากที่สุดนอกเหนือจากประเทศจีน ..




พล.อ.ประยุทธ์ กับสื่อสารในภาวะวิกฤตที่ "ล้มเหลว"

คุยกับอ.นันทนา นันทวโรกาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก มองว่า การสื่อสารของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ในภาวะที่ "ไวรัสโคโรนา" ระบาดหนัก เป็นการสื่อสารในภาวะวิกฤตที่ล้มเหลว ไม่เป็นระบบ เพราะ แม้จะให้กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวความคืบหน้าเป็นประจำทุกวัน แต่ก็เป็นเพียงการแถลงข่าวในมิติด้านสาธารณสุขอย่างเดียว

ตามหลักการสื่อสารทางการเมืองในภาวะวิกฤต รัฐบาลควรตั้ง "ศูนย์ปฎิบัติการข้อมูลข่าวสาร" เป็นศูนย์เฉพาะกิจ ที่ใช้สำหรับสื่อสารในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องไวรัสโคโรนา และ ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน รวมถึง ข้อมูลต้องไม่ขัดแย้งกันเอง และต้องอัพเดตสถานการณ์อยู่ตลอด

สาเหตุที่ทำให้ประชาชนกระหายข้อมูล จนทำให้มีการสร้างเฟกนิวส์ อ.นันทนา มองว่า เพราะ รัฐไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจน แนวทางที่กล่าวมาถึงจะช่วยป้องกันปัญหาเฟกนิวส์ได้

***ขอไฮไลท์ตรงนี้***

อ.นันทนา บอกว่า การสื่อสารของรัฐ สะท้อนว่า รัฐมองประชาชนแบบไหน...

ถ้ารัฐมองว่าประชาชน "ฉลาด" มีวิจารณญาณ แยกแยะ และคิดเองได้ ก็จะให้ข้อมูลแบบรอบด้าน

แต่หากมองประชาชน "โง่" ก็จะไม่ให้ข้อมูลมากเกินไป เพราะ กลัวว่าประชาชนรู้แล้วจะตื่นตระหนก

อ.นันทนา ยังบอกอีกว่า การมองประชาชน "ฉลาด" คิดแยกแยะเองได้ ถือเป็นประชาธิปไตย คือให้สิทธิการตัดสินใจเป็นของประชาชน แต่การมองประชาชน "โง่" เป็นวิถีทางของเผด็จการ ที่คิดว่าจะต้องตัดสินใจแทนทุกอย่าง

ถ้าถอดคำให้สัมภาษณ์ของ "พล.อ.ประยุทธ์" ก็จะพบว่า หลายครั้งเป็นการสื่อสารที่ล้มเหลว เช่น ล่าสุด ที่บอกว่า "คนไทยในอู่ฮั่นมีความสุขดี"

อ.นันทนา ถอดรหัสคำพูดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทำให้ประชาชนรู้สึกมีความหวัง หรือ ไม่ทำให้รู้สึกว่ารัฐพยายามช่วยเหลือ และ ไม่เป็นความจริง เพราะ คนที่อยู่ในอู่ฮั่นตอนนี้ไม่มีทางที่จะมีความสุขได้ และการพูดแบบนี้ทำให้คนไทยคนอื่นๆที่ติดตามข่าวสารโกรธเคือง

สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ควรพูดมากกว่าในมุมมองของอ.นันทนา คือ ควรแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่ง และ บอกแนวทางว่าแผนและขั้นตอนการช่วยเหลือจะเป็นอย่างไร ควรเน้นย้ำว่ารัฐจะช่วยเหลืออย่างสุเความสามารถ รวมถึงอาจสื่อสารกับญาติของคนไทยกลุ่มนี้ว่ารัฐกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการพาคนไทยในอู่ฮั่นกลับบ้าน

อีกส่วนหนึ่งที่อ.นันทนา วิเคราะห์สาเหตุที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดแบบนี้ ว่า เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีบุคคลิกที่ไม่ค่อยแสดงความเห็นอกเห็นใจคนอื่นโดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานการณ์ลำบาก และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นแบบนี้หลายครั้งแล้ว

ในภาวะวิกฤตถ้ารัฐบาลแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว แม้จะสื่อสารล้มเหลวก็อาจไม่ทำให้ประชาชนรู้สึกอะไร(มากนัก) แต่ถ้าต้องเผชิญภาวะวิกฤตต่อเนื่องยาวนาน การสื่อสารแบบนี้จะส่งผลถึง "คะแนนนิยม" ของรัฐบาล

ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับ สถานการณ์น้ำท่วมปี54

อาจจะไม่ได้ทำให้ความนิยมลดฮวบแต่ก็กัดกร่อนไปเรื่อยๆ บอกแล้ว สื่อสารล้มเหลวพังมานักต่อนัก

#เบื้องหลังข่าว #นักข่าวตัวกระจิ๊ด


Bussarin Worasamith

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2967582923264794&set=a.516657091690735&type=3&theater
...




Video Clip : The World Health Organization has declared a public health emergency of international concern following an outbreak of a new coronavirus from Wuhan, China




#coronavirus #WHO #WorldHealthOrganization

Coronavirus outbreak: WHO declares an international public health emergency

Streamed live 3 hours ago

Global News
1.01M subscribers

The World Health Organization has declared a public health emergency of international concern following an outbreak of a new coronavirus from Wuhan, China. 

WHO officials made the announcement Thursday following an emergency committee meeting of health experts on the virus. 

A WHO declaration of an international public health emergency is rare, with only five going into effect in the past decade. These include situations concerning the 2009 H1 virus that caused an influenza pandemic, West Africa's Ebola outbreak, polio in 2014, the Zika virus in 2016 and the ongoing Ebola outbreak in the Democratic Republic of Congo. 

For more info, please go to https://globalnews.ca/news/6484892/co...


Hello Friends - We Count on You to Fight the Virus - for Humanity !




Corona Virus song | Fight The Virus | Wuhan Virus English song | 武汉病毒唱歌 | Pak-China Explorer |

Pak-China Explorer
273 subscribers

Corona Virus song | Fight The Virus | Wuhan Virus English song | 武汉病毒唱歌 | Pak-China Explorer |

วันพฤหัสบดี, มกราคม 30, 2563

คาดผิดกันไปตามๆ ศาล รธน.รับพิจารณาคำร้อง 'เสียบบัตรแทนกัน'


อ้าว ไหน สว.ตู่ตั้งบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยปม ส.ส.รัฐบาลตู่กำลังเป๋เสียบบัตรแทนกันไง วานนี้ (๒๙ มกรา) ศาล รธน.เปิดอ้ารับคำร้องของ ส.ส. (รัฐบาล ๑๐๙ คน ฝ่ายค้าน ๘๔ คน) แล้วนะ ในประเด็นการตราร่าง พรบ. งบประมาณปี ๖๓ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

ศาลมีคำสั่งให้ ส.ส. ๓ คน และเลขาธิการสภาผู้แทนฯ ยื่นหนังสือชี้แจงภายในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ (ส.ส.ทั้งสามคือนายฉลอง เทอดวีรพงศ์ กับนายสมบูรณ์ ซารัมย์ พรรคภูมิใจไทย และนางสาวภริม พูลเจริญ พรรคพลังประชารัฐ)

Jin Somroutai ผู้สื่อข่าวช่อง ๓ ตั้งข้อสังเกตุว่า “ที่แปลกใจคือไม่มีชื่อ ส.ส.นาที (รัชกิจประการ) ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่ง “เป็นอีกคนที่นิพิฏฐ์ (อินทรสมบัติ) ออกมาแฉว่ามีการโหวตขณะที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในห้องประชุม (เดินทางไปเมืองจีน)”

เธอเสริมด้วยว่า “ส.ส.นาที ก็เก็บตัวเงียบ ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ตั้งแต่วันที่นิพิฏฐ์ออกมาแฉ จำได้ปะคะ ก่อนหน้านี้ ส.ส.นาที เคยถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก ๑ เดือน รอลงอาญา ๑ ปี คดียื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ตอนนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์”
 
นั่นควรจะน่าสงสัยว่าทำไมหายไปได้ ในเมื่อศาลออกข่าวว่า ประธานฯ เป็นผู้ส่งคำร้องจาก ส.ส. ๓ กลุ่ม คือค่ายรัฐบาลโดยนายวิรัช รัตนเศรษฐ ฝ่ายค้านโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ฤาว่าทั้งสองกลุ่มนี้หลงลืมตรงกัน ไม่ได้ใส่ชื่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทยรายนี้

กลุ่มที่สามเป็นของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส โดยมี ส.ส.ร่วมเข้าชื่อ ๗๗ คน แต่ศาลบอกว่าใน ๗๗ คนมีซ้ำกับของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ๓๐ คน ทำให้จำนวนที่เหลือไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา คืออย่างน้อย ๗๕ คน

“กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๘ วรรค ๑ ประกอบกับ พรป.ศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗ (๑) จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย”


จะอย่างไรก็ดี ส.ส.นาทีหลุดได้นี่สะใจ สว.ตู่ตั้งตัวเอ้รายหนึ่ง เสรี สุวรรณภานนท์ เพิ่งออกมาโวยว่าปมการเสียบบัตรแทนกันนี้เป็นเรื่องของสภาต้องแก้กันเอง ศาลไม่เกี่ยว เขาใช้คำพูดอ้างน่าจำไว้ใช้กับเจ้าตัวเองคราวหน้าคราวหลัง

“การทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นเอกสิทธิของ ส.ส.และ ส.ว. ที่เป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ ดังนั้นไม่มีองค์กรใดจะก้าวก่ายแทรกแซงได้” จะส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อเป็นประเด็นที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ “หรือเป็นทางตันที่สภาฯ ไม่สามารถหาทางออกได้”


สว.ผู้ที่ผ่านมามักมีความเห็นเอื้ออำนวยต่อรัฐบาลชุดที่คนกุมอำนาจในนั้นตั้งตนเข้ามา อ้างว่าเรื่องเสียบบัตรนี่ทำนองเดียวกับองค์ประชุมไม่ครบ ต้องให้สภาเป็นผู้จัดการแก้ไขเอง แกคงเพ้อเจ้อไปนิด ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอาไปกระเดียด

เพราะประเด็นที่เขายื่นศาลพิจารณาเป็น ความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของร่าง พรบ.งบประมาณที่มีการกระทำผิดนั่นต่างหาก ไม่ควรรีบกระโจนเข้าไปขวางคลองก่อนศึกษาให้ถี่ถ้วน ควรเงี่ยฟังนักกฎหมายอื่นๆ ไว้บ้าง
 
อย่าง พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักกฎหมายมหาชนของจุฬาฯ บอกว่าการทำคำร้องของ ส.ส.กลุ่มรัฐบาล ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติมาตรา ๑๔๘ ที่ใช้อ้างนั้น นั่นคือไม่ใช่ทำคำร้องเพื่อ “สอบถามความเห็นทางกฎหมาย (Legal advisory opinion)

ในคำร้องดังกล่าวถามศาลว่า การตรา พรบ.โดยมีเสียบบัตรแทนกันนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า ถ้าขัดจะทำให้ร่าง พรบ.นั้นตกไปหรือไม่ และถ้าร่างตกไปจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หากจะสอบถามความเห็นอย่างนั้นต้องใช้ช่องทางอื่น

ทางด้าน ธีระ สุธีวรางกูร จากฟากธรรมศาสตร์ ชี้ว่าตามมาตรา ๑๔๘ วรรค ๑ “ผู้เสนอคำร้องจะต้องมีความเห็นก่อนว่า ร่างพระราชบัญญัตินั้นตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ” ดังนั้นการทำคำร้องแค่ ถาม เฉยๆ นี้ “ซึ่งหากไม่มีการแก้ไข ศาลก็ต้องไม่รับคำร้องนี้ไว้พิจารณา”

นักกฎหมายหนึ่งในคณะนิติราษฎร์ผู้นี้มีข้อสังเกตุด้วยว่า ฝ่ายรัฐบาลมีมือกฎหมายที่ฟู่ฟ่าอย่างรองนายกฯ (วิษณุ เครืองาม) ไม่น่าปล่อยให้ ส.ส.ข่ายตนทำอะไรผิดๆ อย่างนั้น หรือว่าเป็นการเสนอ “ให้ศาลยกคำร้อง แล้วเดินเกมการเมืองต่อไป”

เป็นอันว่าคาดผิดกันไปตามๆ ศาลรับพิจารณาคำร้องแล้ว ส่วนจะวินิจฉัยอย่างไร ตีตกภายหลังด้วยข้ออ้างใดก็ตามแต่ หรือว่าสั่งให้โหวตงบประมาณกันใหม่ ไม่รู้ได้ เสียดายว่ามีเรื่อง #ไวรัสโคโรน่า เข้ามาขัดตาทัพ แม้ว่าจะทำให้รัฐบาลบักโกรกไปหน่อย จากการรับมืออย่างสะเพร่า

นี่ถ้านักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนวัย ๓๒ ปี ที่เสียชีวิตในรีสอร์ท อ.แม่ริม ซึ่งเพิ่งบินจากกวางโจวเข้าเชียงใหม่เมื่อ ๒๘ มกรานี่เอง เกิดชันสูตรพบว่าตายด้วยไวรัสโคโรน่าละก็ฟุ้งใหญ่ รัฐบาลต้องโอดโอยเรียกร้องความสามัคคีต่อสู้โรคร้าย ลืมเรื่องทุจริตในแวดวงรัฐบาลไปได้เลย
ในเมื่อชาวอู๋ฮั่น ๕ ล้านคนที่ชิงออกนอกพื้นที่ได้ก่อนเกิดข่าวระบาดครึกโครม นอกจากที่ไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในจีนเอง ๔.๙ ล้านคนแล้ว ที่ออกไปต่างประเทศมีไทยละมากที่สุด ๒ หมื่นคนเสียด้วย

บทความ "โรคเบื่อหน่ายขยายตัวทุกหัวระแหง" ของประสงค์ สุ่นศิริ น่าสนใจ


 


ความน่าสนใจของบทความไม่ใช่เนื้อหา ที่เราหาอ่านได้ทั่วไปจากคนที่ต่อต้านรัฐประหาร หรือนอกวงกลุ่มชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์
.
ประสงรู้ดีว่าในสมัยเปรม กระแส "เบื่อป๋า เซ็งเปรม" นั้นจำกัดงอยุ่ที่ตัวเปรม ไม่ลุกลามไปถึงองคพยพอื่นของ ชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์
แต่สำหรับรัฐบาลประยุทธ์นั้นไม่ใช่
กระแสนี้ไม่หยุดแค่เบื่อหน่ายประยุทธ์เท่านั้น
แต่จะพาลไปถึง ชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์
และอาจจะถึงเวลา สละประยุทธ์เพื่อรักษาชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์ เอาไว้เช่นกัน
Thanapol Eawsakul
ooo



"ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารบ้านเมืองทุกคน จะต้องไม่เป็นผู้ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายจากประชาชน ต้องไม่ทะยานอยากอย่างไร้ขอบเขต ต้องไม่มึนเมาในอำนาจ เพราะความมึนเมาในอำนาจทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างได้ สั่งให้ทุกคนต้องทำตาม ทุกคนต้องเชื่อฟัง"

โรคเบื่อหน่ายขยายตัวทุกหัวระแหง

8 มกราคม พ.ศ. 2563
ที่มา แนวหน้าออนไลน์

มองไปทางไหนในบ้านเมืองของเราขณะนี้ จะพบแต่ผู้คนส่ายหน้าไปมาเหมือนพัดลม เบื่อหน่ายหงุดหงิด ไม่สนุกเหมือนก่อน ซังกะตายอยู่ไปวันๆ ชีวิตหมดรสชาติเหมือนน้ำแกงไม่ได้ปรุงรส หลายคนมีอาการเครียด ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน

จับกลุ่มปรับทุกข์กัน หาทางช่วยตัวเอง

ที่เคยตั้งความหวังไว้กับพวกถือปืนเข้ามาบริหารจัดการบ้านเมือง ว่าจะช่วยให้หายทุกข์ ลืมตาอ้าปากได้นั้น มีแค่ป้อนลมให้กินด้วยคำพูด

โรคเบื่อหน่ายขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้โรคที่เกิดจากพิษฝุ่นในอากาศขณะนี้ แม้การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจะผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม ผู้คนทั้งหลายก็ยังคงส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย ชุลมุนชุลเกไม่แน่นอน

ฟ้องร้องกันให้ยุ่งไปหมดในขณะนี้

ความเบื่อหน่ายยิ่งทับถมเข้ามาอีก

ถ้าจะแยกแยะลักษณะอาการของความเบื่อหน่ายของผู้คนในบ้านเมืองขณะนี้ให้เห็นชัดๆแล้ว จะพบว่ามีอาการหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน ดังต่อไปนี้

1. เบื่อหน่ายเพราะไม่มีอะไรจะทำ

ไม่รู้ว่าจะไปหางานการอะไรทำแม้คนที่มีงานทำอยู่แล้วก็ยังตกงาน เพราะถูกเลิกจ้างหรืองานที่ทำอยู่นั้นเจ้าของงานปิดงานไปต่อไม่ไหว ควักเงินในกระเป๋าก็ว่างเปล่า หรือมีแต่เศษเหรียญไม่กี่อัน ทำให้ “ข้าว บ่มีใส่หม้อ”

2. เบื่อหน่ายเพราะต้องทำเรื่องที่ไม่อยากทำ

อาการอย่างนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งของคนมีอำนาจที่ชอบสั่งให้ทำในเรื่องที่ผู้มีอำนาจต้องการ สั่งจำกัดโน่นจำกัดนี่ว่าทำได้หรือไม่ได้เป็นการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เคยมีมาแต่ก่อน

3. เบื่อหน่ายเพราะเห็นเรื่องไม่เข้าท่า

โดยเฉพาะในเรื่องการลุแก่อำนาจ ลืมตนหลงตนว่าจะทำอะไรก็ได้ ไม่ชอบใครก็ออกฤทธิ์ออกเดช ข่มขู่ เล่นวาทะไปเรื่อยๆ ในการบริหารงาน

4. เบื่อหน่ายเพราะต้องอยู่กับความซ้ำซากจำเจ

ต้องฟังเสียงอวดนั่นอวดนี่ทางโทรทัศน์และวิทยุที่ต้องถ่ายทอดทั่วถึงกันทุกคลื่นในเวลาดังกล่าว หรือเห็นท่าทางต่างๆ เวลาเดินเวลาพูดที่ไม่เข้าท่า

5. เบื่อหน่ายเพราะรู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยหน่าย

ก่อให้เกิดความหงุดหงิด ไม่อยากทำโน่นทำนี่ หรือไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น หรือเกิดอาการสังหรณ์ว่าจะมีภัยใกล้ตัว

ความเบื่อหน่ายต่างๆ ดังกล่าวทั้ง 5 ประการดังกล่าว นำมาซึ่งความเกลียดชัง ความไม่ชอบใจให้เกิดขึ้นกับผู้คนทั้งหลายในบ้านเมือง

ภายใต้ภาวการณ์อย่างนี้จึงยากที่จะปฏิเสธว่าทุกสิ่งทุกอย่างตกต่ำ ทรุดลง ไปแทบทุกด้านใครก็ตามที่ได้อำนาจมาใช้ ไม่ว่าจะมาตามกระบวนการตามกติกาที่กำหนดไว้ หรือถือปืนเข้ามายึดอำนาจ จึงยากที่จะปฏิเสธว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนทำจะมีแต่ทรุดลง หรือตกต่ำลงในความรู้สึกของประชาชน

เพราะประชาชนได้เห็นแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการนั้นยังโงหัวขึ้นไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคมที่ยังมืดมัวมองไม่เห็นทิศทางที่พอจะทำให้ผู้คนในบ้านเมืองมั่นใจ พอมีพอกิน พออยู่พอใช้ ไม่มีความแตกแยกวุ่นวาย

โดยเฉพาะในเรื่องความทุจริตคดโกง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในหมู่พวกของตนเองขณะนี้ ซึ่งได้ถูกเปิดเผยออกมาให้สังคมรู้อยู่เรื่อยๆ ขณะนี้

บ้านเมืองในยามนี้ต้องการความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ห่างพ้นจากความเบื่อหน่ายของประชาชน 5 ประการดังกล่าวข้างต้น ผู้คนในบ้านเมืองไม่ต้องการเห็นผู้บริหารบ้านเมืองไม่ว่าจะมาตามกระบวนการกติกาที่ถูกต้อง หรือมาอย่างไม่ถูกต้องตามกระบวนการ มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

“เกลียดคนตรง หลงคนคดงอ ชอบคำป้อยอ มีพวกสอพลอรอบตัว”

สิ่งดีงามทั้งหลายที่เคยมีอยู่ เคยสั่งสมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษที่ใช้อำนาจอย่างถูกต้อง เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง ซึ่งกำลังได้รับความกระเทือนอย่างหนักในขณะนี้นั้น ถ้าไม่สามารถพลิกฟื้นคืนกลับได้ ก็ต้องรอวันล่มสลายที่จะมาถึงประเทศ

ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารบ้านเมืองทุกคน จะต้องไม่เป็นผู้ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายจากประชาชน ต้องไม่ทะยานอยากอย่างไร้ขอบเขต ต้องไม่มึนเมาในอำนาจ เพราะความมึนเมาในอำนาจทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างได้ สั่งให้ทุกคนต้องทำตาม ทุกคนต้องเชื่อฟัง

เพราะทั้งหลายทั้งปวงนำมาซึ่งความเบื่อหน่ายของประชาชน อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในขณะนี้

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
...



(ที่มาภาพ https://www.facebook.com/…/a.51206861222…/1095036410598264/…)


iLaw สรุปประเด็น 'ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน'




สรุปประเด็น 'ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน'
.
1. วันนี้ (29 มกราคม 2563) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้อง กรณี ส.ส. สังกัดรัฐบาลและฝ่ายค้าน ยื่นเรื่องผ่านประธานสภาเพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกระบวนการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563
.
2. การยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญสืบเนื่องมาจาก มี 'ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน' หรือใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติทั้งที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ 2563 ในวาระ 2 และ 3
.
3. ประเด็นที่วิปรัฐบาลร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยมี 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่
.
๐ กระบวนการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 120 หรือไม่
.
๐ หากมีปัญหา จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ตกไปทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตราที่มีปัญหา และกรณีนี้จะถือว่าสภาพิจารณาร่างกฎหมายนี้ไม่เสร็จภายใน 105 วัน ตามมาตรา 143 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญหรือไม่
.
๐ จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร
.
4. กรณีดังกล่าว มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 น่าจะตกทั้งฉบับ โดยเปรียบเทียบกับกรณีเสียบบัตรแทนกันตอนพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2557 โดยในตอนนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การลงมติแทนกันนั้นขัดต่อหลักการออกเสียงคะแนนตามรัฐธรรมนูญที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียงในการลงคะแนน (รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 126 วรรคสาม) ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติเดียวกันกับ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 120 ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้วินิจฉัยล่าสุด
.
5. วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และกุนซือกฎหมายของรัฐบาล ให้สัมภาษณ์วันนี้ ว่า พ.ร.บ.งบประมาณอาจจะไม่ตกทั้งฉบับ อาจจะเสียไปเฉพาะมติที่ลงคะแนนแทนกัน หรือ เสียไปเฉพาะคะแนนที่เสียบบัตรแทนกัน
.
6. ในกรณีที่ พ.ร.บ. ไม่ตกทั้งฉบับ จุดน่าสนใจจะอยู่ที่การวินิจว่าสภาพิจารณาร่างกฎหมายนี้ไม่เสร็จภายใน 105 วัน ตามมาตรา 143 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจาก ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ส.ส.พิจารณาไม่ทันตามกรอบเวลา เท่ากับ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอร่างแรก (ก่อนแปรญัตติเพิ่มหรือตัดงบประมาณ) จะผ่านการเห็นชอบจากสภาไปโดยปริยาย
.
7. ผู้ที่เสียบบัตรแทนกันอาจจะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2561 และเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นผลให้ถูกศาลสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง และมีโอกาสต้องโทษจำคุก หรือโทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
อ่านแบบละเอียดได้ที่ https://ilaw.or.th/node/5538

iLaw

https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551/10163137135860551/?type=3&theater


"คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" พูดเรื่องเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ด้วยความห่วงใย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ และมีคำถามถึงรัฐบาล




#ชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด

ดิฉันขอพูดด้วยความห่วงใย ในฐานะ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ


ผู้ที่เคยรับผิดชอบ ควบคุมโรคระบาดของโรคซาร์ส และหวัดนก ได้สำเร็จมาแล้ว จนประเทศไทยได้เป็นผู้นำจัดประชุมผู้นำอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาโรคซาร์สมาแล้ว

ขณะนี้สถานการณ์การระบาดของ #ไวรัสโคโรนา มีผู้ติดเชื้อกว่า 5,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตในจีนกว่า 100 รายแล้ว ถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

รวมทั้งในไทยเองก็พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 14 รายแล้ว (ณ วันที่ 28 มกราคม)

นายกฯ จึงควรยกระดับการดูแลปัญหาเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาได้แล้ว

โดยเฉพาะข้อเรียกร้องที่ดิฉันเสนอให้ตั้ง #คณะกรรมการระดับชาติ ที่นายกฯลงมาดูแลปัญหานี้ด้วยตนเอง อย่างที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และผู้นำประเทศอื่นๆเขาทำกัน การระบาดขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะคะ

ดิฉันมีข้อกังวลและห่วงใย ที่อยากจะเสนอต่อรัฐบาลโดยมีหลักคิดพื้นฐานว่า

“ชีวิตของประชาชนคนไทย มีความสำคัญที่สุด”
จุดสำคัญที่รัฐบาลต้องดูแล คือ

“คนจีน” จากพื้นที่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในขณะนี้ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทยอีกกว่า 10,000 คน ซึ่งปัญหาใหญ่ก็คือคนที่ได้รับเชื้อโคโรนา แม้ยังไม่ปรากฏอาการ ก็สามารถเป็นผู้เผยแพร่เชื้อติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้

#คำถามที่ต้องถามรัฐบาลคือ

1) เราได้ทราบหรือไม่? ว่าคนจีนที่ตกค้างกว่า 10,000 คนนี้อยู่ที่ไหนบ้าง อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัททัวร์ไหน จำนวนเท่าไหร่ และขณะนี้อยู่ที่ไหน มีการสัมผัสกับคนไทยมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งนักท่องเที่ยวแบบ F.I.Tด้วย

นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รัฐบาลต้องให้ทุกหน่วยงานเข้าไปดูแลใกล้ชิด ทั้งการเฝ้าสังเกตอาการ ป้องกันการแพร่ระบาด รวมทั้งดูแลความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เนื่องจากเขาไม่สามารถกลับประเทศจีนได้ในขณะนี้ เพราะประเทศจีนยังไม่อนุญาตให้เดินทางกลับ

เหตุผลเพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถแพร่ระบาดเชื้อไวรัสได้ แม้ขณะจะยังไม่ได้แสดงอาการเจ็บป่วย

2) การคุมเข้มที่ด่านเข้าเมืองต่างๆทั้งทางเครื่องบินทุกสนามบิน และทุกเที่ยวบินที่มีเครื่องบินลงจากประเทศที่มีการระบาดของโรค รวมทั้งด่านทางบก ที่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาดเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต้องตรวจทุกคน
รัฐบาลได้ทำครบถ้วนรอบคอบแล้วหรือยัง?

ในสมัยที่ดิฉันเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข
เราจะสกรีนผู้โดยสารจากเครื่องเทอร์โมสแกน และจัดเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล สัมภาษณ์ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศเขตระบาดทุกคน

โดยที่ดิฉันและผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข จะเดินทางไปตรวจสถานการณ์ และไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกด่าน ทุกวัน

เรียกว่า ถึงแม้เราไม่ปิดประเทศ แต่เรา ”คัดกรองคนเข้าประเทศอย่างเข้มข้น“ ไม่ให้มีคนติดเชื้อเล็ดลอดเข้าประเทศได้เลย และในช่วงเวลานั้นเราก็ทำสำเร็จ จนได้รับยกย่องจาก WHO และทำให้นักเดินทางทั่วโลก เชื่อมั่นในมาตราการของไทย การท่องเที่ยวฟื้นได้เร็วมาก เพราะมาตราการที่เข้มข้นของ “รัฐบาลนายกฯทักษิณ” ทำให้คนทั่วโลกที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีความเชื่อมั่น

3) สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ ที่รักษาตัวอยู่ในไทย เราได้มีการติดตามผู้ที่เขาสัมผัส ทั่งคนไทย คนจีน ตามระบบระบาดวิทยา ดีแล้วหรือไม่? มีการ Quarantine ผู้ที่ผู้ป่วยสัมผัสครบถ้วนหรือไม่

ขอฝาก 3 คำถามถึงรัฐบาล ด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยของคนไทย
ไม่อยากให้ประชาชนบ่นว่า #รัฐบาลเฮงซวย หรือ #นายกเฮงซวย เลยค่ะ

เพราะ #ชีวิตคนไทยสำคัญที่สุด





"ไม่รู้รัฐบาลเขารออะไรอยู่ เด็กจะไม่มีกินแล้ว" ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ 29 ม.ค.63 ตอบคอมเมนต์ขอให้ช่วยเด็กไทยติดในอู่ฮั่น



...



อังกฤษเริ่มกระบวนการช่วยเหลือพลเมืองที่ติดในอู่ฮั่นกลับประเทศ และให้งดการเดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่หากไม่จำเป็น

กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร ขอให้พลเมืองของตนที่มีความประสงค์จะเดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่นแจ้งชื่อก่อนวันที่ 29 ม.ค. และเตือนว่าการเคลื่อนย้ายอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกะทันหัน

เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ระบุในโซเชียลมีเดีย “วีแชท” ว่าผู้ที่ลงชื่อต้องการเดินทางกลับประเทศจะได้รับแจ้งถึงแผนการ เมื่อแผนดังกล่าวได้รับการยืนยันแล้ว

ขณะนี้หลายประเทศ เช่น เยอรมนี และอินเดีย ได้จัดเตรียมเที่ยวบินไว้รับพลเมืองของตนกลับประเทศ โดยเช้านี้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ได้รับพลเมืองของตนบินออกจากอู่ฮั่นแล้ว แม้ว่ารัฐบาลจีนและองค์การอนามัยโลกจะระบุว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ตาม

ส่วนยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีนอยู่ที่อย่างน้อย 106 คน และมีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อแล้วกว่า 4,500 คน

จนถึงบัดนี้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้แพร่ระบาดไปในอย่างน้อย 15 ประเทศแล้ว โดยพบผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนอย่างน้อย 50 คน แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

14 ราย – ไทย
5 ราย – สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, ไต้หวัน
4 ราย – มาเลเซีย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น
3 ราย – ฝรั่งเศส
2 ราย – เวียดนาม
1 ราย – เนปาล, แคนาดา, กัมพูชา, ศรีลังกา, เยอรมนี

โดยในญี่ปุ่นนั้น กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า คนขับรถบัส ที่ไม่เคยเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น ได้ติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เชื่อว่าชายวัย 60 ปี จากจังหวัดนารา ผู้นี้เป็นผู้ป่วยรายแรกของญี่ปุ่นที่ติดเชื้อโดยที่ไม่ได้เดินทางไปประเทศจีน แต่เขาขับรถบัสให้บริการกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองอู่ฮั่นในเดือน ม.ค.นี้ ก่อนที่จะล้มป่วยและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา


"จักรภพ เพ็ญแข" โพสต์แชร์ บทเรียนสมัยไข้หวัดนกและซาร์สระบาดยุคนายกทักษิณ ว่าได้รับบทเรียนอะไรบ้าง




เรื่องโรคระบาดขณะนี้เป็นเรื่องใหญ่ เวลาทุกวินาทีมีค่าและมีความหมาย สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ จึงไม่มีเจตนาจะโจมตีกันทางการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่อยากให้รีบช่วยชาติก่อน

ช่วงไข้หวัดนกและซาร์สระบาด ผมเป็นโฆษกรัฐบาลของนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เราได้รับบทเรียนดังนี้

1. อย่ากลัวที่จะยอมรับต่อหน้าประชาชน สื่อมวลชน และต่างชาติว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง ตอนนั้นผมใช้คำว่า เรา "screwd up" ซึ่งแปลว่าพลาดไป พูดต่อหน้าสื่อเต็มห้องที่ศูนย์แถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศ เพราะระบบราชการเราขณะนั้นไม่ได้เตรียมพร้อมเกี่ยวกับโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ๆ เก่งแต่โรคเก่าที่เคยมีมาแล้ว ผมนึกว่าผมอาจจะถูกท่านนายกฯ ปลด เพราะพูดให้รัฐบาลเสียหาย แต่นอกจากจะไม่ปลดแล้ว ท่านยังอาศัยท่าทีที่ยอมรับความจริงของไทยแบบนี้ เดินหน้าต่อไปจนถึงจุดที่เราแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ บทเรียนในเรื่องนี้คือ อย่าโกหก อย่าเห็นแก่หน้า จงยอมรับความจริง และมุ่งหน้าบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

2. ไม่มีกี่คนที่จะรู้ว่า นายกฯ ทักษิณ เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่กระจายอำนาจอย่างที่สุด ท่านไว้ใจรองนายกฯ ของท่านทุกคน และมอบอำนาจ (delegate) ให้คนอื่นจนแทบหมดตัว ท่านทำอย่างนี้เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมีเวลาคิดอ่านในเรื่องสร้างชาติบ้านเมือง และมีเวลาแก้ไขปัญหา วันหนึ่งท่านใช้เวลาในราว 15 นาทีลงนามมอบงานให้รองนายกฯ และเอาเวลามาคิดงานใหญ่ๆ แทน การทำเช่นนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้นายกฯ ทักษิณ แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ทำได้เยอะ และมีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นตอนโรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก คลื่นยักษ์สึนามิ และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ลงเอยดีหมด บทเรียนข้อนี้โดยสรุปคือ นายกรัฐมนตรีต้องทำตัวว่างสำหรับบริหารงานบ้านเมือง ไม่ใช่เซ็นหนังสือมากแล้วโม้ว่าทำงานมาก แบบนี้อายเขา เพราะเท่ากับสารภาพว่าทำงานไม่เป็น ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ

3. ในสมัยเราเป็นรัฐบาล มีการประชุมประจำระหว่างนายกฯ ทักษิณ กับปลัดกระทรวงและเทียบเท่า (ซี 11) ทุกกระทรวง กลไกนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีสามารถปรึกษาหารือและสั่งงานข้ามกระทรวงในเรื่องที่จำเป็นได้ สามารถนำมาแก้ไขปัญหาอย่างไวรัสโคโรน่าได้อย่างเหมาะเจาะมาก มัวแต่รอประสานงานแบบเก่า ประชาชนก็ตายก่อน

4. นายกรัฐมนตรีต้องใช้ ส.ส. เป็นตัวแทนทำประชุมย่อย (workshop) ในระดับเขตพื้นที่ เพื่อเอาข้อมูลมาถ่วงดุลและคานกับข้อมูลจากแห่งอื่นๆ ข้อมูลมีผิดมีพลาดได้ ล้าสมัยได้ เชื่ออะไรแหล่งเดียวก็เจ๊ง ถ้าไม่ใช้แล้วจะมีระบบตัวแทนประชาชนไว้ทำอะไร

5. ยอมรับกันสักทีว่า ระบอบเผด็จการหรือประชาธิปไตยปลอมๆ อย่างเดี๋ยวนี้ มันคือต้นแบบของระบบบริหารที่ไม่กล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องไหน รัฐบาลนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องสอพลอตอแหลและอวดเบ่งกันเหมือนแมงป่องชูหาง อย่าลืมนะครับว่าเมืองไทยเป็น 1 ใน 5 ของประเทศต้นทางในเรื่องโรคร้ายนี้ โลกทั้งโลกเขากำลังจ้องมองเรา โดยนำเราไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นอยู่ อย่าทำกระจอกโชว์ใดๆ ให้ลูกหลานมันต้องอายนักเลย

อย่างไรก็ตาม ขอให้แก้ไขให้สำเร็จครับ แล้วค่อยมาฟาดกันต่อทางการเมือง!

จักรภพ เพ็ญแข
28 มกราคม พ.ศ.2563


สรุปเคส คนขับรถทัวร์ญี่ปุ่น ติดเชื้อไวรัส จากทัวร์จีน ทัวร์จีนจากอู่ฮั่นมุ่งมาประเทศไทยมากที่สุด แล้วคนขับรถทัวร์ไทยตอนนี้ป่วยกี่คน?



ลงทุนแมน
Yesterday at 5:09 AM ·

สรุปเคส คนขับรถทัวร์ญี่ปุ่น ติดเชื้อไวรัส จากทัวร์จีน
แล้วคนขับรถทัวร์ไทยตอนนี้ป่วยกี่คน?

1-ผู้ติดเชื้อเป็นคนขับรถทัวร์ในญี่ปุ่น

2-เป็นเคสแรกที่พบการติดเชื้อจากคนสู่คน ในญี่ปุ่น

3-คนขับรถทัวร์มีอายุ 60 ปี อยู่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น

4-ผู้ติดเชื้อเคยขับรถรับส่งนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาจากอู่ฮั่น 2 กลุ่มในเดือนนี้

5-คนขับรถเริ่มมีอาการไข้หวัดตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. และถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลวันที่ 25 ม.ค. และยืนว่าติดเชื้อวันที่ 28 ม.ค.

6-ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนนิยมไปอันดับ 2 รองจากประเทศไทย

7-จากเคสนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า มีคนขับรถทัวร์ไทยที่เคยรับส่งนักท่องเที่ยวจีน จำนวนกี่คน ที่กำลังป่วยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม

8-อาจรวมไปถึงอาชีพอื่นที่ใกล้เคียงกัน เช่น แท็กซี่ที่รับส่ง ไกด์ทัวร์ที่นำเที่ยว พนักงานโรงแรมที่ต้อนรับ

9-ข่าวนี้ ไม่ต้องการให้ผู้อ่านตื่นตระหนก แต่ให้ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ และอาจเกิดขึ้นกับประเทศเรา
--------
Blockdit แอปอ่านข่าวอันดับ 1
blockdit.com/download
-------

ที่มา
1-เพจ SaraUpdate ใน Blockdit https://www.blockdit.com/articles/5e300840fa9bd3181bd49091
2-https://english.kyodonews.net/…/e8f47252a245-urgent-japan-s…
3-https://www.channelnewsasia.com/…/wuhan-virus-japan-have-no…

วันพุธ, มกราคม 29, 2563

ไปแล้วกู่ไม่กลับ สวรรค์ถอนสัมปทาน “กบฏจะเกิดขึ้นเพื่อที่ได้มีคนใหม่เข้ามารับช่วงลิขิตต่อ”


“This government is lost.” ไปแล้วละ กู่ไม่กลับ บทความของบล็อกเกอร์ผู้หนึ่งจั่วหัว เขาอ้างความเชื่อจีนโบราณว่าจักรพรรดิได้ลิขิตจากสวรรค์ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุอาเพศอันใดไม่สามารถแก้ไขและเยียวยาได้ นั่นแสดงว่าสวรรค์กริ้วเพราะทำงานไม่ได้เรื่อง

Ken Lohatepanont เป็นนักศึกษาที่ยูซีเบิร์คลี่ย์ เขาเขียนบล็อกอยู่เนืองๆ โดยงานชิ้นล่าสุดตีพิมพ์บนเว็บ @ThaiEnquirer เกี่ยวกับปรัชญาการเมืองที่ว่า ถ้าอนุรักษ์นิยมสามารถตีจากอำนาจนิยมได้ จะเป็นคุณูปการแก่ประชาธิปไตย

แต่บทความของเขาที่อ้างถึงนี้ จี้จุดตรงเรื่อง “รัฐบาลเจอปัญหาท่วมหัว อากาศเป็นพิษที่ผ่านมาอย่างไม่ใส่ใจ ภัยโรคระบาดทำให้พลเมืองตระหนกอกสั่น โดยรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นขึ้นได้ วิกฤตงบประมาณอันเกิดจาก ส.ส.ขาดประสิทธิภาพ”

แล้วยัง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน ประจวบกับอันดับความโปร่งใสในการบริหารประเทศต่ำเตี้ยลงไปอีก รวมทั้งความเหลื่อมล้ำ ไร้เสมอภาคที่ดูเหมือนจะมีแต่แย่ลง ทั้งหมดนี้มีฉากหลังทมึนของเศรษฐกิจตกต่ำล้าหลังเพื่อนบ้าน”
 
ข้อสำคัญ “สถานการณ์อย่างนี้ยังมีโอกาสฟื้นฟูได้ถ้าคณะรัฐมนตรีจะรู้จักสื่อสารกับประชาชนให้เข้าท่าสักนิด แต่ว่าคนไทยเจอแต่การเลคเชอร์ที่กวนประสาท นายกฯ ชอบทำตัวเป็นไอ้ฉุน (คำของผู้แปล ได้อารมณ์เดียวกับ ‘angry self’) สม่ำเสมอ

กระทั่งรัฐมนตรีสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังบอกกับคนไทยว่า “ใช้สมองหน่อยสิ คิดสักนิดก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ (รัฐบาล)” ซึ่งเมื่อ ๖ ปีที่แล้วตอนยึดอำนาจใหม่ๆ แถลงว่า “เราจะคืนความสุขให้ประชาชนแต่น้อยคนนักเวลานี้ได้เห็น...”

“ท่ามกลางหมอกฝุ่นพิษครอบคลุมกรุงเทพฯ” เค็น โลหะเทพานนท์ ชี้ว่าไม่มี ประเทศที่สวยงามตามโฆษณาชวนเชื่อของคณะยึดอำนาจ เขาจี้ใจกลางประเด็นด้วยว่า “มันเป็นโศกนาฏกรรมที่การปกครองเดินไปอย่างผิดทาง

หนักยิ่งกว่านั้นประชาชนไม่สามารถโหวตรัฐบาลออกได้” ในเมื่อรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารจัดให้ร่าง เป็นดั่งพันธนาการทางการเมืองให้ต้องฝืนทน ปิดทางแก้ สภาพจมปลักอย่างนี้นี่แหละบ่งว่า ลิขิตสวรรค์กำลังถอนตัวออกจากจักรพรรดิแล้ว

หากไม่มีการปรับวิสัยทัศน์ของผู้ปกครอง ด้วยการรับฟังเสียงจากประชาชน และดำเนินการมุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจังแล้วละก็ “กบฏจะเกิดขึ้นเพื่อที่ได้มีคนใหม่เข้ามารับช่วงลิขิตต่อ” เพราะขณะนี้ความมีน้ำอดน้ำทนของประชาชนเจือจางเต็มทนแล้ว

 
‘Case in point.’ ที่เกี่ยวเนื่องเรื่อง #ไวรัสโคโรน่า วันนี้ ญี่ปุ่นนำคนของตนกลับจากอู่ฮั่น ๒๐๖ คน เครื่องลงที่โตเกียวแล้ว (Bloomberg @business) ยอดผู้ตายในจีน ๑๓๒ คน ผู้ป่วยในไทยเพิ่มเป็น ๑๔ คน (ยังครองอันดับสองของโลก) และ

WHO เพิ่งออกมาแก้การประเมินความเสี่ยงของ #ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากปานกลางเป็นสูงมาก” (จากทวี้ตของ Chaturon/จาตุรนต์) ขณะที่ข้อความสนทนาทางสื่อสังคมเผยคลิป กลุ่มนักเรียนไทยกลับจากจีน เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจีน พบว่าไม่มีการตรวจอุณหภูมิร่างกายที่สุวรรณภูมิ

ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นแสดงว่ารัฐบาลไทยก็โกหกประชาชนแบบเดียวกับรัฐบาลจีนเมื่อเกิดตื่นตระหนก #ไวรัสโคโรน่าใหม่ๆ คำของนายกฯ และ รมว.สาธารณสุขที่ว่า “ปัญหาไม่ใหญ่และควบคุมได้ ๑๐๐%” นั้น ‘BS’ (แปลเป็นไทยตรงตัวว่า ขี้วัว แต่ความหมายไกลกว่านั้นเยอะ)
 
ยิ่งเมื่อ “นายกไทยตอบคำถามนักข่าวในภาวะวิกฤต ด้วยเนื้อหาและลีลาเหมือนลุงแถวบ้านตัดรำคาญเมีย” ดังที่ Bow Nuttaa Mahattana โพสต์คอมเม้นต์เมื่อเห็นคลิปข่าว ยิ่งแสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ของไทยหาทางไปไม่ถูกแน่นอน

โบว์สาวความต่อด้วยว่า “นั้นเหตุผลเดียวคือ เพราะเขาไม่เคยต้องแคร์ฐานเสียงในการขึ้นสู่อำนาจ อีก ๓ ปีข้างหน้า สว.๒๕๐ คนที่แต่งตั้งไว้ก็จะโหวตให้เขาเป็นนายกต่ออีก” อย่างนี้นี่เอง ประยุทธ์ถึงได้เคลม ยุคนี้เป็น “ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบแล้ว”

วาสนา นาน่วม ช่วยประโคม “เราเป็นประเทศที่มีการเลือกตั้ง สื่อต่างประเทศก็ยอมรับปรับลำดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยขึ้นมาถึง ๓๘ ลำดับ” แต่อะแฮ่ม เยอรมนียุคนาซีก็มีการเลือกตั้งนะเธอว์