วันเสาร์, สิงหาคม 31, 2562

สองบิีกยิ่งใหญ่ทำอย่างไรได้ทั้งนั้น 'ตู่' จัดถวายสัตย์ใหม่ 'แดง' ได้ทีสั่งรถถังเพิ่ม

การจัดพิธีถวายสัตย์ใหม่ของรัฐบาล คสช.๒ ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว และพระราชดำรัสที่ทรงให้กำลังใจต่อนายกรัฐมนตรีและ ครม. (๑๖ ก.ค.๖๒) เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหา โดยไม่ปรากฏข่าว ภาพ และรายละเอียดใดๆ ออกมาสู่สาธารณะเลยแม้แต่น้อย

ต่อการที่มีหนังสือเวียนในหมู่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ ๒ ให้ไปร่วมพิธี ณ ห้องรับรองชั้น ๕ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล เวลา ๙.๐๐ น. เมื่อพร้อมกันแล้ว

“นายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเชิญพระราชดำรัสวางบนพานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์”

“จากนั้น นายกรัฐมนตรีเข้ารับพระราชดำรัสและกลับมายืน ณ จุดเดิม คณะรัฐมนตรีเข้ารับพระราชดำรัสตามลำดับ และถวายความเคารพพร้อมกัน ก่อนจะเสร็จพิธี” เพียงเท่านี้ก็จะอ้างว่าได้ทำการถวายสัตย์อย่างเหมาะสมแล้ว
 

เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่แยแสและใยดีต่อรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ ที่ใช้อยู่ โดยอ้างพระราชดำรัสด้วยถ้อยคำกำกวมให้เข้าใจไปว่า คำปฏิญานจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย

ทั้งยังเป็นการกำหนดทางปฏิบัติแนวใหม่ของ คสช. ที่ไม่เพียงจะทำอย่างไรกับพิธีกรรมตามรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจสูงสุดแก่กฎหมายก็ได้เท่านั้น ยังแสดงว่ารัฐธรรมนูญที่พวกตนจัดการร่างขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการประชามติ ที่บังคับไม่ให้มีการตำหนิและคัดค้าน

แม้จะมีเนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากทำนองประชาธิปไตยในมาตรฐานสากล ด้วยการกำหนดอำนาจพิเศษในการสืบทอดเจตนาของคณะรัฐประหาร ๒๕๕๗ เอาไว้เป็นเวลาอย่างน้อยๆ อีก ๒๐ ปี ผ่านทางยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศแล้ว

ยังจงใจแสดงว่าต่อไปภายหน้าภายใต้รัฐบาลแบบ กึ่งอาณัติเลือกตั้งชุด คสช.๒ นี้ จะสามารถบิดพริ้วและดัดแปลงรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามความต้องการของพวกตนอย่างไรก็ได้

ในครั้งนี้ (การถวายสัตย์ขาดตก) ใช้การอิงแอบพระราชฐานันดรแห่งกษัตราธิราช ครั้งหน้าเมื่อคณะทหารผู้ปกครองกระชับอำนาจอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้นแล้ว อาจจะอ้างบุญญาบารมีอื่นใดอีกก็ได้

จะเห็นได้ว่าการจัดถวายสัตย์ต่อหนังสือพระราชดำรัสและลายพระหัตถ์นี้ ทำขึ้นเพื่อเลี่ยงบาลีต่อการที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนดอภิปรายทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีตองข้อซักถาม ว่าเหตุใดจึงกระทำดั่งจงใจละเมิดรัฐธรรมนูญเช่นนั้น

เป็นการบิดเบือนพิธีกรรม โดยนำเอาสถาบันประมุขมาบังหน้าการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญของพวกตน เป็นที่น่าเสียใจว่าสถาบันประมุขของไทยจักต้องมัวหมองในสายตานานาประเทศที่ยึดถือหลักการประชาธิปไตย ด้วยการลุแก่อำนาจของรัฐบาลที่สืบทอดมาจากคณะรัฐประหารนี้

ไม่เพียงเท่านั้น การแสดงกิริยาวางอำนาจบาตรใหญ่ทางการเมืองของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ซึ่งได้แสดงตนเป็นฐานอำนาจทางทหารให้กับรัฐบาลประยุทธ์เสมอมาตั้งแต่ชุด ๑ มายังชุด ๒ ดังที่ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวคนสำคัญในเรื่องของฝ่ายทหารรายงานไว้

จากการที่ พล.อ.อภิรัชต์เปิดเผยว่าตนเขียนบทความทางการเมือง (อ้างว่าใน เชิงวิทยานิพนธ์) เอาไว้ “เขียนเสร็จแล้ว เดี๋ยวเผยแพร่ เดี๋ยวจะมีคนเดือดร้อน” แม้นว่า บิ๊กแดง จะไม่ยอมระบุว่าเจาะจงที่ ฝ่ายการเมืองแต่การเขียนบทความการเมืองไม่น่าจะเป็นเรื่องธัมมะธัมโมอย่างแน่นอน
 
บิ๊กแดงผู้นี้ยังเพิ่งประกาศว่าจะใช้งบประมาณแผ่นดินซื้อรถถังแบบสไตร๊เกอร์จากสหรัฐเพิ่มอีก ๕๐ คันสำหนรับปีหน้า อันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ ๒๙ ส.ค.ได้มีการส่งมอบยานเกราะ Stryker M1126 สี่คันแรกให้แก่กองทัพไทย

ยานเกราะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่กองทัพจัดซื้อด้วยเงินงบประมาณปี ๒๕๖๒ จำนวน ๓๗ คัน ราคาราวคันละ ๘๐ ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าเงินงบประมาณที่มาจากการเก็บภาษีอากรปีนี้ต้องจ่ายประดับบารมีกองทัพบกไปแล้ว ๒,๙๖๐ ล้านบาท


ไม่ว่าบิ๊กแดงจะเอ่ยอ้างเรื่องรถถังชนิดนี้แม้จะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังใช้ประจำการของสหรัฐ (เรื่องซ่อมแซมและอะหลั่ยไม่ต้องห่วง) หรือว่าคราวนี้ซื้อ ๓๐ แถม ๒๐ คราวหน้าซื้อ ๕๐ แถม ๓๐ (ประเภท ถูกและดี) แต่ปีหน้าต้องจ่ายอีก ๔ พันล้านบาท ประชาชนได้อะไร

รถถังดังกล่าว “มีการติดเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๑๒๐ ม.ม.” ไม่รู้ว่าจะเอาไปรบทัพจับศึกกับใครเมื่อไหร่ แต่แน่ๆ เข็นออกมาทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน เมื่อใดที่บิ๊กแดงเห็นว่าถึงเวลา อย่างที่ประกาศไว้แล้ว

ข่าวนักศึกษาฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากการไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณ เราต้องการรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า การศึกษาควรเป็นสิทธิ





ข่าวนักศึกษาฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากการไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ทำผมเศร้าใจมาก

ผมเสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับนักศึกษาในหลักสูตรที่ผมสอนเมื่อนักศึกษามีปัญหาการจ่ายค่าเทอม

ผมถือหลักการสำคัญไม่ว่าจะอยู่หลักสูตรไหน ค่าเทอมแพงเท่าไร การศึกษาควรเป็นสิทธิ และยิ่งเข้ามาแล้วไม่ควรมีใครต้องเรียนไม่จบเพราะไม่มีเงิน โดยเฉพาะระดับปริญญาตรี

ที่จริงแล้วประเทศนี้ก็ออกแบบระบบให้ทุกคนได้เรียน ทรัพยากรมันเพียงพอ แต่ไอ้ระบบ กยศ.ที่เป็นอยู่มันทุเรศสิ้นดี เงื่อนไขซับซ้อน ต้องประจานความจน รับเงินกู้แล้วต้องทำความดี แถมคนที่ไม่ได้กู้มาก่อน พอมีปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาก็กู้ไม่ได้ ระบบที่ออกแบบโดยนักเศรษฐศาสตร์นายทุนที่งกเงินกระเป๋ารัฐทั้งๆที่เป็นภาษีพวกเรามองคนจนคิดแต่จะเบี้ยวหนี้ เห็นแล้วก็น่าละอาย

ดังนั้นเมื่อมีปัญหา ขั้นแรกขอผ่อนผันการจ่ายค่าเทอม ขั้นสองติดต่อทางหลักสูตร ขั้นสามถ้าสองขั้นไม่ลงตัว ติดต่ออาจารย์ผู้สอน หรืออย่างน้อยผมก็พอช่วยได้ ผ่อนหนักเป็นเบางานผู้ช่วยวิจัยหรืองานพิเศษด้านวิชาการ เงินอาจไม่เยอะแต่คงพอหายใจหายคอเป็นค่าเทอมส่วนหนึ่งได้ และไม่กระทบเวลาเรียนเท่าไร

และจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดพวกคุณ ไม่ใช่ความผิดพ่อแม่ผู้ปกครองที่จ่ายเงินไม่ได้ แต่คือความผิดของความเหลื่อมล้ำของประเทศนี้ที่ปล้นสิทธิของเราไปปรนเปรอนายทุนผูกขาด พวกนายทุนที่กดขี่เอาเปรียบพ่อแม่พวกเราที่ทำงานทั้งชีวิตเพื่อให้ไม่กี่กลุ่มคนร่ำรวยขึ้น

ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณแม้แต่น้อย

เราต้องการรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า

ภาพจากข่าวสด


Sustarum Thammaboosadee


ศูนย์ไซเบอร์ กองทัพบก เงินเดือนยังก่ะนายพล 🤔🤔🤔 (ล๊อคตำแหน่งไว้ให้ลูกๆแล้ว)





เงินเดือนยังก่ะนายพล 🤔🤔🤔

ศูนย์ไซเบอร์ กองทัพบก เปิดรับสมัคร

1. ตำแหน่ง นักตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ชั้นสูง จำนวน 1 อัตรา อัตราตอบแทน 68,350 บาท/เดือน

2. ตำแหน่ง นักวิเคราะห์หลักฐานดิจิทัลเชิงลึก จำนวน 1 อัตรา อัตราตอบแทน 68,350 บาท/เดือน

3. ตำแหน่ง นักสร้างรหัสคอมพิวเตอร์ชั้นสูง จำนวน 1 อัตรา อัตราตอบแทน 68,350 บาท/เดือน

ทั้งนี้ ยื่นใบสมัครด้วยตนเอง พร้อมเอกสารหลักฐานที่กำหนดในระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน 2562 ณ กองธุรการ ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก อาคาร 2 ชั้น 1 ในกองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กทม. โทร. 02-297-7018 ในวันและเวลาราชการ

ในรูปนั่นคือ พลตรี มานพ สัมมาขันธ์ (ตท.23/จปร.34 รุ่นเดียวกับพี่ไก่อูผู้สถาปนาผังล้มเจ้ามือ) ผอ.ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก


Alongkorn Cheurkit
..

ภรภัทร จารุตานันทน์ ล๊อคตำแหน่งไว้ให้ลูกๆแล้ว

Kasit Pahtao Singkanvanich กำหนดวันแบบนี้คือ ล็อกตัวไว้แล้ว 4 วันทำการ ประกาศเหมือน กำหนดยื่นซองประมูลงานเวลาฮั้วประมูล

Dol Lek Kan มือโปรจริงราคานี้เค้าเมินนะ
...



น้องเกรต้าถึงเมกาเรียบร้อยแล้ว จับตาเธอในการประชุม UN 23 กันยายน ที่จะถึงนี้ "One person can change the world"





เกรต้าถึงนิวยอร์กเรียบร้อยแล้ว หลังการเดินทาง 15 วันข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ท่ามกลางการต้อนรับของสื่อมวลชนที่จับตาบทบาทของเธอในการเคลื่อนไหวรณรงค์ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดว่าด้วยการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สหประชาชาติในวันที่ 23 กันยายน ที่จะถึงนี้
.
คำถามที่นักข่าวสนใจมากที่สุดคืออยากจะบอกอะไรกับประธานาธิบดีทรัมป์ เกรต้าตอบว่า “หนูแปลกใจมาก ใครๆก็ถามว่าหนูอยากจะบอกอะไรกับเขา หนูคงบอกได้เพียงแค่ว่าขอให้เชื่อวิทยาศาสตร์ แต่ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่เคยฟัง หนูคงไม่สามารถเปลี่ยนอะไรเขาได้ และคิดว่ารณรงค์ให้คนทั่วไปมีความตระหนักถึงปัญหานี้มีประโยชน์มากกว่า”
.
อีกคนถามเธอว่า “หนูไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งบ้างเหรอ”
.
เกรต้าซึ่งเพิ่งเรียบจบ 9th Grade (ม.3) ตัดสินใจพักการเรียนหนึ่งปีเพื่อใช้เวลาในการทำงานรณรงค์อย่างเต็มที่ ตอบว่า
.
“หนูอยากมากเลย คงจะดีมากถ้าไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ และแค่ได้ไปโรงเรียนตามปกติ แต่ที่หนูอยากทำเพราะหนูต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง”
.
“คนรุ่นก่อนคือผู้สร้างปัญหานี้ พวกเขาไม่มีสิทธิมาบอกเราให้ทำตัวเป็นเด็กปกติธรรมดา เพราะพวกเขาเองที่เป็นสาเหตุ เราเพียงแค่พยายามตามล้างตามเช็ดปัญหาที่ถูกทิ้งไว้”

เธอบอกว่าจะขอพักฟื้นสักวันสองวัน และจะไปร่วมประท้วง Climate Strike วันศุกร์นี้ที่หน้าสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ...ยังคงเด็ดขาดและมุ่งมั่นเหมือนเช่นเคย ☺️☺️

ใครอยากรู้จักน้องเพิ่มเติม
➡️ เกรตา ธันเบิร์ก โฉมหน้าของนักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมยุคใหม่ https://www.the101.world/greta-thunberg/

#teamGreta #UnitebehindtheScience

=============================

“Don’t you just want to be a kid?” One reporter asks Greta when she arrives in New York City this morning
.
Greta says: “I would love not to have to do this and just go to school, but I want to do this because I want to make a difference.

“The older generation are the ones who are causing this problem [of the climate crisis] and they should not be saying to us ‘just be a normal kid’. Because they are the ones that caused this and we are just trying to clean up after them.”


ReReef

ooo

Greta Thunberg reaches NYC after sailing across the Atlantic



CBS News
Published on Aug 28, 2019

Swedish climate change activist Greta Thunberg arrived in New York City on Wednesday after traveling across the Atlantic Ocean in a zero-emission yacht. She is in New York to attend the United Nations climate change summit September 23. CBS News' Tom Hanson reports.
.

Greta Thunberg's speech at New York arrival



Expressen TV
Published on Aug 28, 2019

Greta Thunberg arrived in New York Wednesday.


ประท้วงฮ่องกง สายสัมพันธ์ขาดสะบั้น : เหตุใดเยาวชนรุ่นใหม่จึงกล้าลุกขึ้นงัดข้อกับทางการ

ooo




ผู้ประท้วงหลายคนยังเด็กเกินไปที่จะเข้าร่วมการ "ประท้วงร่มเหลือง" เมื่อปี 2014 ซึ่งชาวฮ่องกงจำนวนมากออกไปปักหลักชุมนุมบนท้องถนนนานหลายสัปดาห์เพื่อเรียกร้องสิทธิที่จะเลือกผู้นำด้วยตัวเองตามวิถีประชาธิปไตย


โดย เฮลิเออร์ เฉิง
บีบีซีนิวส์ ฮ่องกง
18 มิถุนายน 2019


ความกังวลต่ออนาคตใต้เงาจีน


การประท้วงเมื่อปี 2014 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "อ็อกคิวพาย เซ็นทรัล" (Occupy Central) จบลงโดยไม่ได้รับการยอมโอนอ่อนผ่อนตามใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาล

แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป

การประท้วงครั้งล่าสุด เป็นการคัดค้านร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่จะเปิดทางให้พลเมืองฮ่องกงถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างหนักจนทำให้ นางแครี่ แลม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงต้องประกาศระงับร่างกฎหมายฉบับนี้ลงชั่วคราว พร้อมกล่าวขอโทษที่รัฐบาลทำงานไม่ดีพอจนสร้างความผิดหวังและเสียใจให้ประชาชนจำนวนมาก

แล้วการประท้วงครั้งนี้ต่างออกไปอย่างไร และคนรุ่นใหม่เหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างไรบ้าง





หนุ่มสาวฮ่องกงเริ่มตระหนักและตื่นตัวเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยอัตราการลงทะเบียนเลือกตั้งของคนอายุ 18-35 ปี เพิ่มขึ้นจาก 58% ในปี 2000 มาอยู่ที่ 70% ในปี 2016

นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าอนาคตทางการเมืองของฮ่องกงกำลังเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง

ปัจจุบันฮ่องกงได้รับสิทธิพิเศษและเสรีภาพจากข้อตกลงที่อังกฤษทำกับจีนในการส่งมอบฮ่องกงคืนให้แก่จีน

แต่ในปี 2047 ข้อตกลงที่ให้สถานะพิเศษดังกล่าวแก่ฮ่องกงจะหมดอายุลง และไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น

สำหรับหนุ่มสาวยุคปัจจุบันแล้ว มองว่าปี 2047 คืออนาคตที่ไม่ห่างไกลเลย ดังนั้นการประท้วงของพวกเขาจึงถูกขับเคลื่อนด้วยความกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ไม่แน่นอน รวมทั้งความรู้สึกว่ารัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่กำลังเข้าใกล้พวกเขาขึ้นทุกขณะ



GETTY IMAGES
คำบรรยายภาพผู้จัดการประท้วงอ้างว่า มีผู้ชุมนุมมากถึง 2 ล้านคน เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.


ความไม่แน่ใจว่าระบบการปกครองจะคุ้มครองพวกเขาได้อีกต่อไปหรือไม่ หนุ่มสาวเหล่านี้จึงคิดหา ปรับเทคนิค และเรียนรู้ศิลปะการขัดขืนที่มีความซับซ้อน

ผู้ประท้วงทุกคนที่ดิฉันได้สัมภาษณ์ ซึ่งเข้าร่วมการประท้วงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการเมื่อ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา ต่างขอให้ฉันปกปิดชื่อและข้อมูลส่วนตัว เพราะเกรงว่าจะถูกจับกุม

"เราใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ร่วมการประท้วง และหลังจากนั้นเราจะลบประวัติการใช้งานในโทรศัพท์ไอโฟนของพวกเราและในกูเกิลแมพ" แดน นักศึกษาวัย 18 ปี ที่ช่วยผู้ประท้วงสร้างเครื่องกีดขวางจากรั้วเหล็ก บอกกับบีบีซี





บางคนใช้วิธีที่ซับซ้อนเพื่อเลี่ยงการถูกแกะรอยตามจับจากทางการ เช่นการซื้อตั๋วรถไฟแบบกระดาษ แทนที่จะใช้บัตรเดินทางแบบชำระเงินล่วงหน้าที่พวกเขาใช้เดินทางในชีวิตประจำวัน

ขณะที่อีกหลายคนเพิ่มความระวังเรื่องการพูดคุยเรื่องการประท้วงในโซเชียลมีเดียที่เปิดเป็นสาธารณะ โดยบางคนเลือกที่จะพูดคุยเฉพาะในแอปพลิเคชันสนทนาที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดและมีฟังก์ชันที่ข้อความสามารถทำลายตัวเองได้ เช่น เทเลแกรม

แจ็กกี ผู้นำนักศึกษาวัย 20 ปี บอกว่า "ช่วงการประท้วงอ็อกคิวพาย เราส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเรื่องการปกปิดตัวตนของเราเอง เราใช้เฟซบุ๊ก อิสตาแกรม และวอทส์แอพในการเผยแพร่ข้อมูล แต่ปีนี้เราได้เห็นเสรีภาพทางการพูดในฮ่องกงเลวร้ายลง"


แจ็กกี ต้องนอนที่มหาวิทยาลัย เพราะกลัวว่าจะถูกตำรวจจับหากกลับบ้าน


สายสัมพันธ์ขาดสะบั้น
ผู้ประท้วงหลายคน ซึ่งรวมถึงนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำถูกจับกุม และบางคนถูกจับที่โรงพยาบาลซึ่งพวกเขาเข้ารักษาอาการบาดเจ็บ

ผู้ประท้วงวัย 22 ปี คนหนึ่งซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้ดูแลกลุ่มเทเลแกรมที่เผยแพร่ข้อมูลการประท้วงก็ถูกจับกุมในข้อหา "ก่อกวนสร้างความวุ่นวายในที่สาธารณะ"

แจ็กกีเกรงว่า บรรดานักศึกษาที่เป็นแกนนำการประท้วงเมื่อ 12 มิ.ย.จะตกเป็นเป้าหมายของทางการเพราะพวกเขามีประวัติที่ดี

"ฉันนอนที่สำนักงานสหภาพนักศึกษาเพราะกลัวว่าจะถูกจับกุมถ้ากลับบ้าน" แจ็กกี กล่าว

สิ่งนี้สะท้อนถึงสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่ขาดสะบั้นลง เมื่อเทียบกับการประท้วงก่อนหน้านี้ นักเคลื่อนไหวหมดความไว้ใจต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์


REUTERS
คำบรรยายภาพตำรวจถูกวิจารณ์ว่าใช้ความรุนแรงเกินเหตุกับกลุ่มผู้ประท้วง


เมื่อ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าตำรวจเตรียมเข้าตรวจค้นหอพักนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง ซึ่งมีนักศึกษาในหอดังกล่าว 2 คนถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้

ท่ามกลางความความตื่นตระหนก บรรดานักศึกษาต่างโทรแจ้งสมาชิกของสภานิติบัญญัติท้องถิ่นและทนายความ ซึ่งเดินทางไปที่หอพักดังกล่าว ทำให้ท้ายที่สุดตำรวจไม่ได้บุกเข้าไปภายใน

แดน นักศึกษาวัย 18 ปี บอกว่า การกระทำของตำรวจช่วงการประท้วงร่มเหลือง ซึ่งมีตำรวจหลายนายถูกจำคุกฐานทำร้ายร่างกายผู้ประท้วงนั้น ได้ทำลายความเชื่อใจในตำรวจของเขา

"ก่อนหน้านั้น ผมเชื่อว่าตำรวจควรปฏิบัติตามกฎหมายและช่วยเหลือประชาชน...แต่ตอนนี้ตำรวจบางคนอาจปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวเป็นใหญ่"

นักศึกษาและคนทำงานหนุ่มสาวเหล่านี้ดูเหมือนจะกล้าท้าทายกฎหมายว่าด้วยการรักษาความสงบในที่สาธารณะ และกล้าเสี่ยงถูกจับกุมมากกว่าบรรดาผู้ประท้วงรุ่นก่อน

พวกเขาชี้ว่า พวกเขามีอะไรให้ต้องสู้มากกว่า เพราะได้เข้าสู่ยุคที่สภาพแวดล้อมทางการเมืองมีความไม่แน่นอนมากกว่า

ทอม วัย 20 ปี ซึ่งร่วมการประท้วงครั้งเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. บอกว่า เขากลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพราะได้รับอิทธิพลจาก "ยุคที่เขาเติบโตขึ้นมา"

คนรุ่นเขาโตขึ้นมากับภาพความขัดแย้งทางการเมือง เช่น เมื่อปี 2012 มีแผนการให้เด็กเรียนวิชา "ส่งเสริมความรักชาติจีน" ซึ่งหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าจะเป็นการล้างสมองเด็กและบิดเบือนการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่

"ผมได้เห็นนโยบายของรัฐบาลที่พยายามลิดรอนเสรีภาพที่เราโตมากับมัน และมันทำให้ผมมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าผมไม่ต้องการให้ฮ่องกงสูญเสียหลักนิติธรรมและเสรีภาพของเรา"


เบน และ ทอม นักศึกษาที่ช่วยผู้ประท้วงด้านกฎหมายและอุปกรณ์ต่าง ๆ


หนุ่มสาวหลายคน แสดงความไม่พอใจในนโยบายของรัฐบาล เช่น การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่ไม่เคารพเพลงชาติจีน การตัดสิทธิ์สมาชิกสภานิติบัญญัติฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย และจำคุกนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของฮ่องกง

ดังนั้น การประท้วงของขบวนการร่มเหลืองจึงทิ้งมรดกที่ชัดเจนแต่ขณะเดียวกันก็ซับซ้อนไว้ให้บรรดาผู้ประท้วงในปัจจุบัน

ผู้ประท้วงเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าร่วมการประท้วงของขบวนการร่มเหลืองเมื่อปี 2014 แต่พวกเขามองว่ามันเป็นแรงบันดาลใจและเป็นบทเรียนให้แก่พวกเขา

เบน วัย 20 ปี บอกว่า พ่อแม่ไม่ยอมให้เขาไปร่วมประท้วงอ็อกคิวพาย เมื่อ 5 ปีก่อน แต่ตอนนี้เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและรับหน้าที่ผู้นำจัดการประท้วง รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่นักศึกษาที่เสี่ยงถูกจับกุม

เขามองการประท้วงเมื่อปี 2014 ว่า "ล้มเหลว" เพราะกลุ่มผู้ประท้วงมีความแตกแยกในเป้าหมายการประท้วง ซึ่งรวมถึงเรื่องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปที่ผู้ประท้วงสามารถยอมรับได้

แต่ในครั้งนี้ มีความแตกต่างชัดเจนเพราะผู้ประท้วงไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ต่อสู่เพื่อรักษาสิทธิที่ฮ่องกงมีอยู่ในปัจจุบัน

เบน ชี้ว่าการประท้วงครั้งนี้มีปัจจัยกระตุ้นให้ผู้คนสามัคคีกันมากกว่าคราวที่แล้ว เพราะบรรดาผู้ประท้วงต่าง "ต่อสู้เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่สูญเสียเสรีภาพที่มีอยู่ไป"

กลุ่มผู้ประท้วงครั้งนี้ยังมีการเตรียมตัวอย่างดีสำหรับการเผชิญหน้ากับตำรวจปราบจลาจลด้วย

ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นักศึกษาได้เตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นต่าง ๆ เช่น ยาพ่นสูดสำหรับผู้ที่ถูกแก๊สน้ำตา และน้ำเกลือสำหรับชะล้างกรณีถูกสเปรย์พริกไทย




นักศึกษาเตรียมยาพ่นสูดสำหรับผู้ที่ถูกแก๊สน้ำตา




พวกเขายังเตรียมน้ำดื่มจำนวนมาก


การประท้วงใหญ่เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีประชาชนเข้าร่วมมหาศาล โดยแกนนำจัดการประท้วงระบุว่า มีประชาชนเข้าร่วมเกือบ 2 ล้านคน เพื่อเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติฮ่องกง "ล้มเลิก" การพิจารณาร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ระงับการพิจารณาไว้ชั่วคราว

การประท้วงครั้งนี้ ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของฮ่องกงในรอบ 30 ปี นับแต่สหราชอาณาจักรคืนฮ่องกงให้แก่จีน และแม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่ทอม วัย 20 ปี มองว่า มันเป็นความเคลื่อนไหวที่ "ฉีกธรรมเนียมการประท้วงของฮ่องกงตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา"0.

ขณะที่ อิงกริด ผู้ประท้วงวัย 21 ปี บอกว่า การประท้วงเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้เธอได้สัมผัสกับแก๊สน้ำตาเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้จะเป็นประสบการณ์ที่สร้างความทุกข์ทรมานให้เธอ แต่เธอยืนยันจะเดินหน้าประท้วงต่อไป

"ความกังวลว่าเมืองที่ฉันเรียกว่าบ้านแห่งนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร มีมากกว่าความเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง"

ชื่อผู้ประท้วงเป็นนามสมมุติ

อ่านบทความเต็มได้ที่
https://www.bbc.com/thai/international-48668551

อยู่ดี ไม่ว่าดี! วิกฤตการณ์ Brexit ทำให้ชาวอังกฤษไม่พอใจบทบาท Queen เมื่อ บอริส จอห์นสัน ขอให้ควีนเอลิซาเบธที่ II ใช้พระราชอำนาจในการระงับการประชุมสภา ที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า ผลคือ แฮชแท็ก #Abolishthemonarchy “ล้มเลิกระบอบกษัตริย์” ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์อย่างรวดเร็ว 😮😮



อยู่ดี ไม่ว่าดี!
>>>>>>>>

เครดิต มิตรสหายออนไลน์

วิกฤตการณ์ Brexit ที่ยืดเยื้อยาวนาน
ลามไปถึงความสั่นคลอนของราชวงศ์ซะแล้ว 👑

เมื่อ บอริส จอห์นสัน นายกอังกฤษคนปัจจุบัน
ต้องการเดินหน้า Hard Brexit 💥💥
ก็คือ . . ออกจากสหภาพยุโรปไปเลยอย่างสิ้นเชิง
ข้อตกลงอะไรที่เคยทำไว้ร่วมกันก็ต้องเริ่มใหม่หมด
อังกฤษต้องสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้า
รวมถึงการลงทุนต่างๆ ที่เคยมีกับสหภาพยุโรป
ชาวอังกฤษไม่สามารถเดินทางไปประเทศสมาชิกได้อย่างเสรีอีกต่อไป
.

ทีนี้มันก็เกิดดราม่าใหญ่โตขึ้น
เมื่อ บอริส จอห์นสัน ขอให้ควีนเอลิซาเบธที่ II
ใช้พระราชอำนาจในการระงับการประชุมสภา
ที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า
เพื่อที่รัฐบาลจะได้ดำเนินเรื่อง
'การออกจากสหภาพยุโรปโดยไร้ข้อตกลง'

ซึ่งควีนก็เซ็นอนุมัติไปตามระเบียบ
.

เหตุุการณ์นี้บอกอะไร??

บอกว่ามันจะเกิด “วิกฤตทางรัฐธรรมนูญ” ยังไงล่ะ!
เนื่องจากอังกฤษปกครองด้วยระบอบ Constitutional Monarchy
ซึ่งหมายถึง กษัตริย์อยู่ ‘ใต้’ รัฐธรรมนูญ

ก็คือ . . กษัตริย์มีไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์
และองค์ประกอบทางพิธีการ เท่านั้น ✨

ตอนนี้ฝ่ายค้านก็เลยโจมตีรัฐบาลอย่างหนัก
แม้แต่ประธานสภาก็คัดค้านว่ามันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

กลายเป็นว่าตอนนี้ แฮชแท็ก #Abolishthemonarchy
“ล้มเลิกระบอบกษัตริย์” ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์อย่างรวดเร็ว 😮😮

🗣️ แนวคิดเรื่องการสืบทอดทายาทผ่านทางราชวงศ์
ช่างเป็นอะไรที่ผิดยุคผิดสมัย ไม่คู่ควรกับศตวรรษที่ 21

🗣️ ล้มล้างไปซะ ราชวงศ์คือสิ่งที่น่าอายของอังกฤษ
ยึดทรัพย์พวกเขาให้หมด
ทุก ๆ อย่างไม่ใช่ของพวกเขาตั้งแต่แรก
แต่เป็นของประชาชนต่างหาก

🗣️ คนที่ควรถูกกำจัดคือ Boris Johnson
ราชวงศ์ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ควีนก็อยู่ของพระองค์ดี ๆ ไม่ใช่เหรอ

🗣️ ประมุขที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ใช้อำนาจปิดสภาตามคำขอของนายกที่เราไม่ได้เลือก
ประชาธิปไตยเลยมั้ยล่ะ

🗣️ สำหรับคนที่พยายามแก้ต่างให้ควีน
โดยบอกว่า “พระองค์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามธรรมเนียม”
นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องล้มเลิกระบอบกษัตริย์
เพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ

🗣️ ตอนนี้ฝั่งซ้ายกำลังปั่นกระแสล้มล้างระบอบ
แค่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ฝั่งซ้ายนี่มันโคตรบ้าและโคตรอันตราย

🗣️ เจ้าชายแอนดรูว์หนีข่าวอื้อฉาวเรื่องเซ็กส์
ไปใช้ชีวิตหรูหราอู้ฟู่ในรีสอร์ทที่สเปน
ในขณะที่ประชาชนบางคนอาศัยอยู่ในบ้านรูหนู
ช่างน่าปลื้มปิติที่ได้เห็นว่า
ภาษีของพวกเราถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่าและมีประโยชน์ 🙄



ก็นะ . . ไม่รู้ว่าราชวงศ์จะผ่านวิกฤตนี้ยังไง
เพราะประชาชนวิพากย์วิจารณ์กันหนักมาก
บวกกับความนิยมที่เสื่อมลงเรื่อย ๆ
นับตั้งแต่การหย่าร้างของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์,
การสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่า
มิหนำซ้ำยังมีเรื่องคู่รัก เจ้าชายแฮรี่ ❤️ เมแกน
ที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของชาวอังกฤษเท่าไหร่นัก
แถมล่าสุด เจ้าชายแอนดรูว์
ก็ดันไปมีเอี่ยวกับการค้าประเวณีเด็กอีกแน่ะ!

มารอลุ้นกันดีกว่าว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไง 🤭🤭
.

👉🏻 อธิบาย Brexit
>> https://tinyurl.com/yytayvhw
.
.
👉🏻 ควีนเอลิซาเบธที่ II เสียภาษีไหม??
>> https://tinyurl.com/y3cy3c4m
.
.
👉🏻 เรื่องราวความรักของเจ้าหญิงไดอาน่า
>> https://tinyurl.com/yxgpf7fb
.
.
👉🏻 แฉ! คนดังที่เข้าไปพัวพันการค้าประเวณีเด็ก
>> https://tinyurl.com/yxbf78n5
.
เครดิต: มิตรสหายออนไลน์


พลเมืองไซเบอร์เสรี



คณะประชาชนปฏิรูปตำรวจ จี้ลงโทษตำรวจโผล่ในคลิป อส.ทุบคนไข้




คลิปฉาว อส.ทุบผู้ต้องหาในห้องฉุกเฉินรพ. | 28-08-62 | ข่าวเที่ยงไทยรัฐ

Thairath
Published on Aug 27, 2019

คลิปฉาว อส.ชลบุรี แค้นเด็กแว้นขี่จักรยานยนต์ชนเพื่อน ขาหัก 2ข้าง เจ็บสาหัส ขณะที่คนชนก็บาดเจ็บด้วยถูกนำส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อน อส.เลยตามมาระบายแค้นขณะที่คู่กรณีนอนเจ็บอยู่บนเตียงคนไข้ ซึ่งระหว่างนั้นตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองก็อยู่ด้วย
...

เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) ออกแถลงการณ์จี้นายกฯ และหน่วยงานสังกัดลงโทษวินัย-อาญากับตำรวจที่อยู่ในคลิป อส.ทุบผู้ป่วยบนเตียงในห้องฉุกเฉิน และยอมให้ผู้ป่วยที่ถูกทุบตีออกมาพูดความจริงแม้จะกระทำผิด ชี้การใช้ความรุนแรงต่อผู้ต้องหาถือเป็นอาชญากรรม

วันนี้ (30 ส.ค.2562) เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) ออกแถลงการณ์ ภายหลังเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่อาสาสมัครทุบคนไข้บนเตียงในห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี เพราะไม่พอใจที่คู่กรณีขับรถชน อส.จนบาดเจ็บสาหัส ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า “ตำรวจต้องไม่นิ่งเฉยกับการทำร้ายร่างกายในโรงพยาบาลและการใช้ความรุนแรงในทุกสถานที่ เลิกล้มการปฏิบัติและความเชื่อในเรื่องการซ้อมทรมานผู้ต้องหา

จากเหตุการณ์ที่ตำรวจไม่ห้ามปรามการกระทำความรุนแรงอยากอุกอาจของเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร (อส.) ที่ทุบตีผู้ป่วยบนเตียงในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2562 โดย อส.พร้อมทั้งคณะที่มีพนักงานตำรวจเข้ามาร่วมรับรู้เหตุการณ์ โดยไม่คาดคิดว่าจะมีการเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิดในห้องดังกล่าวไปทั่วประเทศ เหตุการณ์นี้สร้างความกังขาอย่างยิ่งในสังคมไทยหลายประเด็น โดยเฉพาะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ซึ่งไม่ใช่คู่กรณี กลับไม่ให้การคุ้มครองประชาชน ซึ่งเข้าใจกันดีว่าต้องรักษาความปลอดภัยให้ทุกฝ่าย ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้เสียหายก็ตาม เหตุการณ์นี้สร้างความไม่เชื่อมั่นในตัวพนักงานตำรวจและทำให้เกิดความหมดศรัทธาในหมู่ประชาชนไทยอีกกรณีหนึ่ง เพราะภาพพฤติกรรมที่ตำรวจยืนอยู่ในม่านและเดินดูลาดเลาอยู่นอกม่านของเตียงผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินดังกล่าว ทำให้ประชาชนอดคิดไม่ได้ว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับการกระทำของ อส.ด้วยหรือไม่


ภาพ : เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ


ทางเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) มีความห่วงใยอย่างยิ่งว่าหากปล่อยให้วัฒนธรรมการใช้ความรุนแรงที่เรียกกันว่า “ศาลเตี้ย” หรือเห็นดีเห็นงามกับการซ้อมทรมานของเจ้าหน้าที่ที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วไปจนเคยชิน และปล่อยให้ความรุนแรงลุกลามมาใช้ในสถานพยาบาลโดยไม่ทำอะไรนั้น จะยิ่งทำให้สังคมไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ได้อีกต่อไป และถือว่าพนักงานตำรวจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ที่ว่าด้วย “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 -10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” จึงเรียกร้องมายังนายกรัฐมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องดังนี้
  • ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการลงโทษพนักงานตำรวจทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งทางวินัยและทางอาญา เพื่อไม่ให้ตำรวจผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่างหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้อีกต่อไป
  • ทำความเข้าใจกับวิธีการลงโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานตำรวจทุกคนที่ยังเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมนั้น สามารถใช้ความรุนแรงได้ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของตนหรือไม่ก็ตาม เพราะการใช้ความรุนแรงต่อผู้ต้องหาถือเป็นอาชญากรรม
  • ยอมให้มีการเปิดเผยความจริงจากปากผู้ป่วยที่ถูกทุบตีและคำให้การของญาติได้อย่างอิสระ ตรงไปตรงมา รวมทั้งเปิดเผยภาพและเสียงจากกล้องวงจรปิดทุกตัว เพื่อดูพฤติกรรมของ อส.และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีการทำลายหลักฐาน ดังที่เคยเกิดขึ้นกับหลายกรณีที่ผ่านมา
  • ทำการยกเครื่องครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างตำรวจ กฎหมาย และข้อปฏิบัติของตำรวจไทยตามที่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 258 และเสนอร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับต่อสภาทั้ง 2 สภาเพื่อพิจารณาอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความสงบสุขให้กับคนไทยที่อดทนกับพฤติกรรมของพนักงานตำรวจมาเป็นเวลานาน

สุดท้ายนี้ คป.ตร.หวังเป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี จะเร่งปฏิรูปตำรวจให้สำเร็จลุล่วงในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้ประชาชนที่เดือดร้อนจากพิษภัยของต้นธารกระบวนการยุติธรรม หลุดพ้นจากภาระที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นภัยจากการรับส่วยสินบนธุรกิจสีเทา การตั้งด่านผิดกฎหมาย การยัดยายัดคดีผู้บริสุทธิ์ การปล่อยให้ยาเสพติดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง การซ้อมทรมาน อุ้มหาย การไม่รับแจ้งความ และการบิดเบือนสำนวนคดี เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ราษฏรอยู่เย็นเป็นสุข สงบสันติ สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม และเคารพสิทธิมนุษยชน ดังที่มีการปฏิบัติกันในประเทศที่เจริญแล้ว”



ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผู้ว่าฯ ชลบุรี ตั้งกรรมการสอบ อส.ทุบคนไข้คาเตียงห้องฉุกเฉิน
ที่มา Thai PBS


วันศุกร์, สิงหาคม 30, 2562

อภิปรายประยุทธ์ปมถวายสัตย์อย่างเดียวไม่พอ ขอให้ว่าเรื่อง "บริหารงานแบบถ่มถากขากถุย" ด้วย


การเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๒ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอย่างถูกควรดังบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ประเด็น จงใจ ไม่กล่าวคำถวายสัตย์ให้ครบถ้วน อย่างเดียวไม่พอแล้วสิ

นอกจากดึงดันไม่รับว่าเป็นการผิดพลาด และแอบอ้างพระราชดำรัส เก่า ย้อนหลังว่าทรงให้กำลังใจแล้ว ยังเหลวไหลเรื่อยเปื่อย ไม่เป็นโล้เป็นพายในการบริหารราชการแผ่นดิน

อย่างเช่นเมื่อพูดถึงภัยแล้ง กลับบอกให้ชาวบ้านขุดบ่อรอไว้ ฝนกำลังจะมา ปุดโถนาโย้ก ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะมีปัญญาขุดบ่อเก็บน้ำได้ ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อพายุ โพดุลพาฝนมาถล่มนำร่องที่ภาคอีสาน จนจังหวัดร้อยเอ็ดถึงขนาดน้ำท่วมเมือง
 
ควรแล้วที่มีคนแนะให้พิเคราะห์ข้อเท็จจริง อย่าสักแต่พูด “ชาวนาชาวไร่จะเอาต้นทุนที่ไหนมาขุดบ่อ” @TL3cDWH1tx6JQ4R ชี้ โดยยกตัวอย่าง “พ่อผาย สร้อยสระกลาง ปราชญ์ชาวบ้านผู้ขยันเหนือมนุษย์ ใช้จอบเล่มเดียวขุดคนเดียว ขุดทั้งกลางวันยันกลางคืน” ต้องใช้เวลา ๘ เดือนจึงจะได้บ่อน้ำเพื่อการเกษตรมา ๑ บ่อ

ครั้นมีเสียงโอดครวญว่าการดำรงชีพฝืดเคือง แม้แต่ข้าวเหนียวก็ยังขึ้นราคา ประยุทธ์กลับบอกว่าได้สวดมนต์ให้แล้ว แถมแนะเสริมว่าต้องซื่อสัตย์สุจริต จะเอาอะไรกันนักหนา ดูอย่างนายเรืองฤทธิ์ นำโชคอนันต์ชัย พ่อค้าขายข้าวเหนียวเขี่ยวงูนึ่งที่ตลาดเก๊าจาว ลำปาง

พ่อค้าวัย ๖๐ ปีขายข้าวเหนียวนึ่งยันราคาโลละ ๔๐ บาทเอาไว้ ในขณะที่ร้านอื่นต้องขาย ๕๐-๖๐ บาทกันแล้วทั้งนั้น จากการที่ราคาข้าวเหนียวถีบขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงปรากฏว่าข้าวเหนียวเขี้ยวงูร้าน ลุงหนวด ขายดิบขายดีจนเป็นข่าว

แต่แล้ว “มีชาย ๓-๔ คน มาพบ แล้วบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสรรพากรพื้นที่ลำปาง เข้ามาจะขอเก็บภาษีย้อนหลัง ๔ ปี และภาษีป้าย” เสียอีก กรรมของคนทำมาหากิน ไหนจะเจอราคาก๊าซหุงต้ม ค่าเช่าที่ ซึ่งเป็นต้นทุนเสริมเข้าไป
 
เสร็จแล้วทางการของรัฐบาล คสช.๒ ว่าไง อธิบดีกรมการค้าภายในให้รอเดือนหน้าเมื่อผลผลิตใหม่ออกตลาด ยังไม่เห็นอะไรอื่นผิดปกติ ถ้าแบกราคาไม่ไหว “แนะนำให้เลี่ยงข้าวเหนียวและหันมาใช้ข้าวเจ้าแทนไปก่อนในช่วงนี้”


ตรงนี้จึงอยากเสนอฝ่ายค้านว่าไหนๆ จะได้เปิดอภิปรายทั่วไปนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจแล้ว น่าจะว่าถึงการบริหารงานแบบถ่มถากขากถุยของประยุทธ์ อย่าได้เอาแต่พูดอวดโอ้สั่งสอนประชาชนจนเคยตัว

ชี้ให้ส่องกระจกดูตนว่า ตลอด ๕ ปีที่เขาเป็นนายกฯ สมัยแรกจากการยึดอำนาจมานั้น ก็มักใช้การพูดแบบนี้เพื่อกลบเกลื่อนผลงานที่ไม่มี มาคราวนี้พยายามจะอ้างว่าตั้งรัฐบาลโดยผ่านการเลือกตั้ง ทั้งที่เต็มไปด้วยผลแห่งกลโกงและการดูด

ถึงอย่างนั้นการอ้าง เลือกตั้งก็ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตอบข้อซักถามในการอภิปรายของฝ่ายค้านอีกต่อไปได้นาน ประธานสภาผู้แทนฯ แจ้งแล้วว่า “จะต้องมีการอภิปรายก่อนปิดสมัยประชุมรัฐสภาหรือก่อนวันที่ ๑๘ กันยายน”

นายชวน หลีกภัย กล่าวถึงความคืบหน้าในการกำหนดวันอภิปรายทั่วไปว่า “สภาก็มีความพร้อมแล้ว แต่รัฐบาลในฐานะที่มีหน้าที่ต้องมาชี้แจงก็ต้องให้เกียรติกัน โดยขอให้รัฐบาลแจ้งวันมา...ทุกเรื่องต่อจากนี้ไปรัฐบาลจะต้องมาตอบ”

ที่ผ่านมามีการตั้งกระทู้สด แต่ประยุทธ์อ้างติดโน่นติดนี่ไม่ยอมไปตอบ จึงได้มีการตัดกระทู้ออกไปเพื่อให้กระทู้อื่นได้มีการอภิปรายไม่ต้องเสียเวลารอ “ต่อจากนี้ไปสภาจะใช้วิธีการประสานงานไป

และรัฐบาลต้องส่งตัวแทนมาตอบกระทู้...หากนายกฯ ไม่สามารถมาตอบด้วยตัวเอง แต่ในกรณีเปิดอภิปรายตามญัตติของฝ่ายค้าน เชื่อว่านายกฯ จะต้องมา เพราะนี่เป็นวิถีทางประชาธิปไตย ทุกคนต้องมาทำหน้าที่ของตัวเอง”

 
แหม่ ทั่นประธานฯ ก็ ถ้านายกฯ เค้าคิดเป็น คิดได้อย่างนั้นก็ดีสิ บ้านเมืองจะได้ก้าวหน้าทันสิงคโปร์ มาเลย์ เวียตนามเสียที ไม่ต้องเร่งสงวนอาชีพขอทาน จัดสอบคัดเลือกรับบัตรวณิพกกันเหมือนที่ชัยภูมิกำลังทำ

บางที..การให้ประยุทธ์อยู่ต่อนานๆ อาจทำให้กลุ่มคนที่โง่ดักดาน..ฉลาดขึ้น







เรื่องน่าเสียวไส้ชะมัดเลย...





เรื่องชักยาว

แม่ลูกจันทร์
29 ส.ค. 2562
ไทยรัฐออนไลน์


เสือป่าแมวเซาตาเหลือกหูตั้งไปตามๆกัน


หลังจากผู้ตรวจการแผ่นดินลงมติเอกฉันท์ว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีไม่ถูกต้องครบถ้วนตามบทบัญญัติมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ

จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเป็นคดีประวัติศาสตร์คดีแรกในรอบ 80 ปี

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าเหตุผลสำคัญที่ผู้ตรวจการแผ่นดินประเคนเผือกร้อนๆให้ศาลรัฐธรรมนูญรับไปอุ้มแทน

เนื่องจากมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดเงื่อนไขให้คณะรัฐมนตรีก่อนเข้ารับหน้าที่ ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ ครม.ชุดใหม่ “ต้อง” ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

และต้องกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตามถ้อยคำตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วนทุกถ้อยคำ

ขาดไม่ได้ เกินไม่ได้ ทุกกรณี!

แม้ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีหนังสือชี้แจงผู้ตรวจการแผ่นดินว่าได้กระทำครบถ้วนแล้วทุกขั้นตอน

พร้อมยืนยันว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ได้เสร็จสมบูรณ์ ทั้ง“นิตินัยและพฤตินัย”แล้วก็ตาม

แต่ปรากฏหลักฐานข้อเท็จจริงว่า “พล.อ.ประยุทธ์” กล่าวคำปฏิญาณไม่ครบข้อความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 161 รัฐธรรมนูญ

ยังขาดถ้อยคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

คือขาดไป 1 ประโยคเต็มๆ

ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน เป็นการกระทำขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย

ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี อาจมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ภาษาบ้านๆคือเป็นโมฆะนั่นแหละ โยม

โดยเฉพาะมติ ครม.ที่รัฐบาลได้ดำเนินการ (หลังจากการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ) อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน

จึงมีมติเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้อง พร้อมความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล

“แม่ลูกจันทร์” ไม่กล้าฟันธงล่วงหน้าว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับ? หรือไม่รับ? คำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน

แต่เชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะ “รับคำร้อง” ไว้วินิจฉัยโดยไม่บ่ายเบี่ยงกระบิด-กระบวน

เพราะประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญโดยตรง

มีพยานหลักฐานยืนยันแจ่มแจ้งชัดเจน

อยู่ในเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ 100 เปอร์เซ็นต์

แต่ที่น่าลุ้นกว่าคือ ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดคดีนี้ออกมาอย่างไร??

หวยแจ็กพอตศาลรัฐธรรมนูญจะออกช้า? หรือออกเร็ว?

ถ้าศาลชี้ว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณของ “พล.อ.ประยุทธ์” และ ครม.ทั้ง 35 คน ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งพฤตินัยและนิตินัย

นายกฯลุงตู่ก็หลุดพ้นบ่วงวิบากกรรม

แต่ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญจริง

นายกฯลุงตู่จะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร??

ครม.ใหม่ทั้ง 35 คนจะพลอยถูกหางเลขไปด้วยหรือไม่?

น่าเสียวไส้ชะมัดเลย.

“แม่ลูกจันทร์”

ไม่รู้จะพูดยังไงกับคดีเกาะเต่านี้ จำเลยถูกซ้อมเพื่อให้รับสารภาพ แถมการจัดเก็บดีเอ็นเอที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต





ประกาศปิดเพจ Headache Stencil (ครับผม...There is always hope... Hope for a better day, hope for a new dawn! After all... tomorrow is another day)





ประกาศปิดเพจ Headache Stencil


29 สิงหาคม 2562
Bright TV


“มือพ่นนาฬิกา” ประกาศปิดเพจ ท้อแท้กฎหมายเป็นเรื่องของคนชั้นบน


เมื่อวันที่ 29 ส.ค. เพจเฟซบุ๊ก Headache Stencil ซึ่งเป็นศิลปินกราฟิตี้ชื่อดัง เป็นที่รู้จักจากการพ่นภาพ “นาฬิกา” เสียดสีทางการเมืองบริเวณสะพานลอยย่านสุขุมวิท ประกาศขอปิดเพจ ไม่ขอแสดงความเห็นทางการเมืองต่อ โดยระบุว่า “ประเทศมาถึงจุดนี้แล้วล่ะ สุดท้ายแล้วจริงๆ ผมก็เป็นแค่คนธรรมดาๆคนนึง ที่คิดว่าอะไรไม่ดี อะไรไม่น่าช่วยให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้ง่ายๆ ก็บ่นไปตามที่เป็น ที่คิด ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอด วันนี้ผมรู้แล้ว ว่าเราไม่มีทางสู้เลย ถูกกลายเป็นผิด และผิดกลายเป็นถูกได้อย่างง่ายดาย กฎหมายคือเรื่องของชนชั้นบน…

ไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ขออนุญาตปิดเพจตั้งแต่เที่ยงคืนคืนนี้เป็นต้นไปครับ

ปล.ไม่ขอรับการสัมภาษณ์จากสื่อใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ”

นอกจากนี้ เพจ Headache Stencil ยังตอบกลับผู้เข้ามาคอมเม้นท์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งมีเป้นจำนวนมากด้วยว่า “ไว้ถ้าสถานการณ์ไม่สุ่มเสี่ยงแล้วจะกลับมาเปิดใหม่นะครับ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้แน่ ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตคนธรรมดากันให้มีความสุขนะครับ ถึงแม้มันจะมีน้อยนิดลงทุกวันๆ เราต้องอยู่กันแบบนี้ให้ได้ครับ”





5 ควรทำ + 5 ไม่ควรทำ สำหรับ “ศูนย์ต้านข่าวปลอม” เพื่อป้องกันไม่ให้ กลายเป็นเครื่องมือเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล และเป็นข้ออ้างคุกคามผู้เห็นต่าง



5 ควรทำ

ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่คิดหาวิธีรับมือกับข่าวปลอม สื่อค่ายต่างๆ และองค์กรอื่นทั่วโลกที่เน้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายค่าย มารวมตัวกันเป็น “เครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงนานาชาติ” (International Fact-Checking Network – IFCN) ริเริ่มโดย Poynter องค์กรสื่อชื่อดังในอเมริกา เครือข่ายนี้เขียนและเผยแพร่ “ชุดหลักการ” (code of principles) ของเครือข่าย เพื่อใช้ตรวจรับรององค์กรต่างๆ ที่มาสมัครเป็นสมาชิก องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงในต่างประเทศทุกแห่งที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นล้วนเป็นสมาชิกของ IFCN และผ่านการรับรองว่าปฏิบัติตามหลักการทั้งห้าข้อ

ผู้เขียนเห็นว่าชุดหลักการของ IFCN สามารถนำใช้เป็นรายการ “5 สิ่งที่ควรทำ” สำหรับศูนย์ต้านข่าวปลอมของไทยได้เป็นอย่างดี หลักการเหล่านี้ได้แก่

1. ยึดมั่นในความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และความเป็นธรรม

ศูนย์ต้านข่าวปลอมควรตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยใช้มาตรฐานเดียวกันสำหรับการตรวจทุกกรณี ไม่เน้นตรวจเฉพาะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้น (เช่น ตรวจสอบเฉพาะข่าวปลอมที่เป็นผลลบต่อรัฐบาล) ใช้กระบวนการเดียวกันและสรุปจากข้อมูลหลักฐานที่พบ ไม่มีจุดยืนทางการเมืองใดๆ ต่อประเด็นที่ตรวจสอบ

2. ยึดมั่นในความโปร่งใสของแหล่งข่าวและแหล่งข้อมูล

ศูนย์ต้านข่าวปลอมควรทำให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบข้อค้นพบของศูนย์ได้ด้วยตัวเอง ด้วยการเปิดเผยแหล่งข้อมูลทั้งหมดที่ใช้อย่างละเอียดเพียงพอที่ผู้อ่านจะไปค้นตามได้ ยกเว้นว่าการเปิดเผยอาจทำให้แหล่งข่าวไม่ปลอดภัย ในกรณีนั้นก็ควรเปิดเผยรายละเอียดให้มากเท่าที่จะมากได้

3. ยึดมั่นในความโปร่งใสของแหล่งทุนและโครงสร้างองค์กร

ศูนย์ต้านข่าวปลอมควรมีความโปร่งใสเกี่ยวกับแหล่งทุนที่ใช้ ถ้ารับทุนจากองค์กรอื่น ก็ควรจะมีกลไกที่จะทำให้เชื่อมั่นได้ว่าแหล่งทุนนั้นๆ จะไม่มีอิทธิพลต่อข้อสรุปของการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าศูนย์ต้านข่าวปลอมจะใช้เงินทุนในการดำเนินงานทั้งหมดจากงบประมาณในส่วนของกระทรวงดีอี โครงสร้างการบริหารจัดการศูนย์นี้ก็จะต้องมีความชัดเจนว่าจะป้องกันไม่ให้กระทรวงดีอีมาแทรกแซงได้อย่างไร นอกจากนี้ ศูนย์ต้านข่าวปลอมควรเปิดเผยประวัติของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานในตำแหน่งสำคัญๆ ขององค์กร รวมถึงโครงสร้างองค์กรและสถานะทางกฎหมาย รวมถึงมีช่องทางสื่อสารที่ชัดเจนกับผู้อ่าน

4. ยึดมั่นในความโปร่งใสของระเบียบวิธี

ศูนย์ต้านข่าวปลอมควรอธิบายระเบียบวิธีที่ใช้ในการคัดเลือก วิจัย เขียน เรียบเรียง ตีพิมพ์ และแก้ไขการตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกกรณี นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้ผู้อ่านส่งเนื้อหา (ที่คิดว่าน่าจะเป็น “ข่าวปลอม”) ให้ตรวจสอบ และเปิดเผยอย่างโปร่งใสทุกกรณีว่าทำไมถึงตรวจสอบเรื่องนั้นๆ และมีขั้นตอนตรวจสอบอย่างไร

5. ยึดมั่นในนโยบายแก้ไขข้อผิดพลาดที่เปิดเผยและซื่อสัตย์

ศูนย์ต้านข่าวปลอมควรเผยแพร่นโยบายแก้ไข (corrections policy – สำคัญมากเนื่องจากอาจเกิดข้อผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดได้เสมอในการตรวจสอบข้อเท็จจริง บางครั้งตีพิมพ์ไปแล้วมีเหตุให้ต้องแก้) และทำตามนโยบายของตัวเองอย่างเคร่งครัด แก้ไขเนื้อหาของตัวเองอย่างชัดเจนและโปร่งใสตามนโยบาย ทำให้ผู้อ่านมองเห็นเนื้อหาที่ถูกแก้ไขใหม่

นอกจากจะมีห้าเรื่องที่ควรทำแล้ว ผู้เขียนอยากเสนอห้าเรื่องที่ศูนย์ต้านข่าวปลอมไม่ควรทำเช่นกัน เนื่องจากกรณีเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และถ้าเกิดต่อไปในนามของศูนย์ฯ ก็อาจสร้างความเสียหายและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของศูนย์ฯ ในสายตาประชาชน

5 ไม่ควรทำ

1. ไม่ควรแปะป้าย “ข่าวปลอม” กับเนื้อหาที่เป็นเพียงการให้ข้อมูลอีกด้านหรือรายละเอียด

ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่โฆษกรัฐบาลชี้แจงกลางเดือนสิงหาคม 2562 หลังมีข่าวว่า รัฐบาลตัดงบโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (“บัตรทอง”) ไป 676 ล้านบาท เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแทน ด้วยการบอกว่าเป็น “fake news” หรือข่าวปลอม เนื่องจากในความเป็นจริง คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณกองทุนบัตรทองของปีงบประมาณ 2563 เป็นเงิน 1.91 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากปี 2562 ไปกว่า 6,500 ล้านบาท

ฟังอย่างผิวเผิน ข่าวตัดงบ 676 ล้านบาท ก็ฟังเหมือน “ข่าวปลอม” เพราะโฆษกรัฐบาลชี้แจงว่างบประมาณรวมของกองทุนบัตรทองเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง กลุ่ม “คนรักหลักประกันสุขภาพ” ที่เปิดประเด็นนี้อย่าง นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ก็ออกมายืนยันว่ามีการ “ตัดจริง” ในส่วนของกองทุนนอกงบเหมาจ่ายรายหัว เช่น กองทุนโรคไตที่งบหายไป 300 ล้านบาท หรือกองทุนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่งบหายไปราว 50 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็เปิดช่องให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เจรจากับสำนักงบประมาณ ซึ่งสำนักงบฯ ก็ยังคงยืนยันตัวเลขที่จะตัดงบนอกงบเหมาจ่ายรายหัวลงไป รวม 676 ล้านบาท


ฟังอย่างผิวเผิน ข่าวตัดงบบัตรทองฯ 676 ล้านบาท ก็ฟังเหมือนเป็นข่าวปลอม เพราะโฆษกรัฐบาลชี้แจงว่างบประมาณรวมของกองทุนบัตรทองเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง ก็มีการตัดงบประมาณจริง ในส่วนของกองทุนนอกงบเหมาจ่ายรายหัว เช่น กองทุนโรคไตที่งบหายไป 300 ล้านบาท หรือกองทุนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่งบหายไปราว 50 ล้านบาท

พูดง่ายๆ ก็คือ งบประมาณรวมของกองทุนบัตรทองเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ในไส้ใน งบบางส่วนก็ถูกลดลงจริง ฉะนั้นโฆษกรัฐบาลกับกลุ่ม “คนรักหลักประกันสุขภาพ” จึงพูดถูกทั้งคู่ เพียงแต่พูดกันคนละเรื่อง คนหนึ่งพูดตัวเลขรวม อีกคนหนึ่งพูดตัวเลขไส้ใน

โฆษกรัฐบาลจึงไม่ควรใช้คำว่า “ข่าวปลอม” แปะป้ายคำพูดของผู้ทักท้วง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมซึ่งจะเป็นของรัฐก็ต้องระวังเรื่องนี้ให้มากเช่นกัน

2. ไม่ควรแปะป้าย “ข่าวปลอม” กับเนื้อหาที่ไม่ชัดว่าผู้สร้างมีเจตนาหลอกลวง (ให้เชื่อว่าเป็นข่าวจริง)

“ข่าวปลอม” หรือ fake news ไม่ใช่คำที่จะหมายถึงอะไรก็ได้ แต่ควรใช้ในความหมายแคบๆ “เนื้อหาเท็จที่ผู้สร้างเจตนาหลอกให้คนหลงเชื่อว่าเป็น “ข่าว” จากสำนักข่าวจริง” เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าโลกออนไลน์เปรียบเสมือน “ป่าดงดิบ” ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางความคิดและวิธีแสดงออก เราทุกคนบางครั้งอาจโพสหรือแชร์เนื้อหาที่มีส่วนเท็จ เป็นข่าวเก่า เพียงเพราะเราเองเข้าใจไม่หมด เข้าใจผิด ไม่ทันสังเกตข้อมูลเวลา (timestamp) ของเนื้อหาว่ามันเก่าแล้ว หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น มีข้อมูลใหม่ที่เที่ยงตรงกว่าไหลมาเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีคนทวีตข้อความ “เกิดไฟไหม้ในซอยสุขุมวิท 31” ด้วยความตื่นเต้นที่เจอเหตุโกลาหล จากนั้นสักพักมีคนแจ้งว่า “จริงๆ ไฟไหม้ในซอยสุขุมวิท 33” ข้อความแรกที่ทวีตไปก็ไม่น่าจะใช่ “ข่าวปลอม” ถึงแม้มันจะไม่จริง เพราะมันเป็นเพียงการพูดคุย การอยากสื่อสารว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทวีต “มีเจตนาหลอกให้คนหลงเชื่อว่าเป็น “ข่าว” จากสำนักข่าวจริง” แต่อย่างใด

เนื้อหาที่ทำขึ้นเพราะชัดเจนว่ามีเจตนาล้อเลียน หรือข่าวเก่าที่เอามาแชร์ใหม่ก็เช่นกัน ทั้งสองกรณีนี้ไม่ใช่ “ข่าวปลอม” เพราะการล้อเลียนย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก (แต่คนที่ทำเนื้อหาล้อเลียนก็ต้องระวังเช่นกัน ไม่ทำเนื้อหาที่ “เนียน” เกินไปจนคนไม่รู้ว่าล้อเลียน หลงผิดคิดว่าเป็นข่าวจริง) ส่วนข่าวเก่าที่เอามาแชร์ใหม่ก็ไม่ใช่เนื้อหาเท็จ เพียงแต่เป็นข่าวเก่าเท่านั้น แต่คนแชร์อาจเข้าใจผิด ผู้เขียนเองก็เคยแชร์ข่าวเก่าเพราะคิดว่าเป็นข่าวใหม่เหมือนกัน ใครๆ ก็พลาดได้ ดังนั้นถ้าไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ไม่ควรเรียกมันว่าเป็นข่าวปลอม แจ้งประชาชนว่าเป็น ‘ข่าวเก่า’ ก็พอ

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ “ธรรมชาติ” ของการพูดคุยในโลกออนไลน์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่งานของศูนย์จะกลายเป็นการปิดกั้นการแสดงออกธรรมดาๆ ของประชาชน

3. ไม่ควรตรวจสอบเฉพาะข่าวปลอมที่เป็นผลลบต่อรัฐบาล

ประเด็นนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชนย่อมอยู่ได้ในระยะยาวด้วยการยอมรับจากประชาชน ถ้าหากประชาชนไม่เชื่อถือ เนื้อหาอะไรก็ตามที่ออกมาจากศูนย์ฯ นี้ก็จะถูกมองอย่างคลางแคลงใจตามไปด้วย ยิ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในไทยเป็นโครงการของรัฐ กระทรวงดีอี กรรมการศูนย์ และทุกคนที่เกี่ยวข้องยิ่งต้องพยายามยึดมั่นในชุดหลักการของ IFCN ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยเฉพาะข้อแรกที่ว่าด้วยความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

4. ไม่ควรขยายขอบเขตงานของศูนย์ฯ ไปรวมการจับกุมด้วย

ลำพังการสร้างและเผยแพร่ “ข่าวปลอม” อาจไม่ใช่ความผิดตามกฎหมาย ต้องไปดูต่อว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ (ซึ่งตัวบทและการตีความก็มีปัญหามากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา) หรือกฎหมายอื่นใดหรือไม่ เช่น ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกในวงกว้าง เป็นภัยต่อความมั่นคง ฯลฯ ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของตำรวจ

ผู้เขียนเห็นว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมควรเน้นเฉพาะการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหมือนกับองค์กรลักษณะเดียวกันในต่างประเทศ การขยายขอบเขตงานไปเรื่องการจับกุมนอกจากจะไม่ใช่หน้าที่แล้ว ยังอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่ว่า ‘ข่าวปลอม’ แปลว่าผิดกฎหมายทุกกรณี

5. ไม่ควรเปิดเผยตัวตนของผู้ให้เบาะแสหรือข้อมูล

เรื่องนี้เป็นหลักการทั่วไปที่ควรทำอยู่แล้วเพื่อคุ้มครองผู้ให้เบาะแสหรือข้อมูล

ผู้เขียนเห็นว่า การใส่ใจอย่างจริงจังใน “5 ควรทำ + 5 ไม่ควรทำ” ข้างต้นนั้น จะช่วยให้ศูนย์ต้านข่าวปลอมสามารถทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ เป็นที่พึ่งของประชาชน และช่วยติดอาวุธทางปัญญาได้อย่างแท้จริง

มิฉะนั้นศูนย์ฯ อาจกลายเป็นเครื่องมือเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่ออีกช่องทางของรัฐ เครื่องมือใช้ ‘ข่าวปลอม’ เป็นข้ออ้างในการคุกคามผู้เห็นต่าง หรือเครื่องมือบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการล้อเลียนของประชาชน


ที่มา The Momentum

อ่านบทความเต็มได้ที่



การยุบพรรคประชาชนปฏิรูป มี หลายประเด็น กกต. ต้องมีคำตอบ





ประเด็น การยุบพรรคประชาชนปฏิรูป ของคุณไพบูลย์ นิติตะวัน น่าจะเป็นประเด็นที่ กกต. ต้องมีคำตอบให้ชัดเจนหลายเรื่อง

1. การสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคใหม่ จะเริ่มกระทำได้เมื่อใด ในเมื่อ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สถานะการเป็นหัวหน้าพรรคยังคงอยู่ และต้องมีภาระในการชำระบัญชีของพรรคการเมืองที่ถูกยุบให้เสร็จสิ้น

2. การเข้าไปอยู่ในพรรคใหม่ มีสถานะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะอยู่ในอันดับใดของ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคใหม่ เนื่องจากสถานะของ ส.ส.บัญชีรายชื่อจะกระทบทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง ส.ส.เขตใหม่ใน 1 ปีหลังวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

3. การวินิจฉัยของ กกต. จะเป็นคำตอบให้เกิดความชัดเจนในสังคม แต่ยังไม่เป็นบรรทัดฐาน เนื่องจากอาจมีผู้มีส่วนได้เสียร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวิจฉัยในเรืองดังกล่าว จึงถือเป็นที่สุด

ข้อสังเกตทางวิชาการ อย่าฟ้องล่ะ


สมชัย ศรีสุทธิยากร

ข่าวไทยในสื่อนอก ฝนแล้ง ชาวนาเศร้า




Thailand's farmers struggle against the worst drought in years

CNA
Published on Aug 28, 2019

With Thailand's rainfall at its lowest in the past decade, the lack of rain has left a visible mark on the land and raised uncertainty among people. CNA’s Jack Board reports. Full story: https://cna.asia/2Pe3lOH



คำชี้แจงต่อสาธารณชน การก่อตัวของการรณรงค์และเคลื่อนไหวการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน





คำชี้แจงต่อสาธารณชน
การก่อตัวของการรณรงค์และเคลื่อนไหวการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน

29 ส.ค. 2562

ผมขอสร้างความเข้าใจเพิ่มเติมจากการชี้แจงของ รศ. สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต ที่ได้โพสต์ข้อความลงใน facebook พูดถึง การหารือของภาคประชาสังคม นักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมือง ซึ่งท่านอาจารย์สมชัย และ ผมได้ร่วมหารืออยู่ด้วย และที่ประชุมได้มอบหมายให้ผมเป็นประธานคณะทำงานเตรียมการเพื่อจัดตั้ง “เครือข่ายภาคีเพื่อการรณรงค์และเคลื่อนไหวการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน” การชี้แจงของผมต่อสาธารณชนครั้งนี้เป็นไปเพื่อแสวงหาความร่วมมือประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายจะได้ร่วมกันผลักดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตและปากท้องที่ดีขึ้นของประชาชนผ่านการร่วมกันสร้างกติกาสูงสุดใหม่หรือรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

แนวทางการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องสร้างฉันทามติในสังคมร่วมกันในการเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับการสร้างฉันทามติในการทำให้เกิดรัฐธรรมนูญปี 2540 (ฉบับประชาชน) เมื่อ 22 ปีที่แล้ว ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจึงต้องไม่วางเฉยต่อภาวะหรือการกระทำใดๆที่ทำให้ประเทศไทยต้องถอยหลังทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งคุณธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรมอันดีงาม การร่วมกันรณรงค์และเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นภารกิจสำคัญต่ออนาคตของประเทศและลูกหลานของเราทุกคน และ จำเป็นต้องอาศัยความเสียสละ อาศัยทัศนะเชิงสร้างสรรค์และปรองดองสมานฉันท์ อาศัยความเปิดกว้าง ของทุกภาคส่วน

องค์กรภาคีเครือข่ายพร้อมหารือกับคณะผู้บริหารประเทศและสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านอิสระ ฝ่ายรัฐบาลอิสระ เพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ในการเปิดช่องทางในการแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ทำให้อำนาจเป็นของประชาชน ทำให้เสียงของประชาชนมีความหมาย

การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขด้วยกรอบคิดทางด้านรัฐศาสตร์ ไม่ติดกรอบทางด้านนิติศาสตร์หรือกับดักที่ คณะ คสช ได้วางแผนการสืบทอดอำนาจเอาไว้ ในเบื้องต้นได้มีการหารือในที่ประชุมภาคประชาสังคม นักวิชาการ องค์กรประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมืองจากหลากหลายพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา และมีข้อสรุปเบื้องต้น คือ

เสนอให้จัดตั้งองค์กรประสานงานทุกภาคส่วนในรูปแบบองค์กรภาคีเครือข่ายเพื่อให้ทำงานร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูปจากระบอบกึ่งประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่จะได้ช่วยกันร่างขึ้น โดยในเบื้องต้น ที่ประชุมได้เสนอให้ รศ. ดร. โคทม อารียา เป็นประธานองค์กรภาคีเครือข่ายที่จะจัดตั้งขึ้น โดยให้ผมเป็น ประธานคณะทำงานเพื่อเตรียมการจัดตั้งองค์กรภาคีเครือข่ายและกำหนดกิจกรรมรณรงค์ในช่วงแรก

ประสานความร่วมมือมายังองค์กรและเครือข่ายต่างๆที่มีจุดยืนร่วมกันเพื่อประชาธิปไตยและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สื่อสารเพื่อให้สังคมเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆและปัญหาเศรษฐกิจ

ประสานองค์กรตามกฎหมายให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศ Roadmap ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ประกาศเอาไว้ในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา

คณะกรรมการชุดนี้จะรณรงค์ว่า ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนเนื้อหาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญส่วนไหนค่อยหารือกันภายหลังหลังจากมีการเปิดช่องและเปิดกว้างให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว และ การแก้ไขมาตราต่างๆของรัฐธรรมนูญเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่

ผลักดันให้เกิดการลงประชามติ (หรือ มติประชาชน) ในการแก้ไขมาตรการที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ใช้รูปแบบ สสร ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 (แต่ครั้งนี้หลายภาคส่วนเสนอว่าให้ สสร มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน) โดยให้มีการกำหนดกรอบเวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้นอย่างชัดเจน

กิจกรรมการรณรงค์ทั้งหลายก็เพื่อให้กำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนตามสัญญาประชาคมและรัฐบาลจะแก้ปากท้องไม่ได้ การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจจึงต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะติดขัดจากความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลจากระบบการเลือกตั้งที่บิดเบือนเจตนารมณ์ประชาชน

จึงขอชี้แจงต่อสาธารณชนเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน

ด้วยความเชื่อมั่นต่อหลักการประชาธิปไตยและเคารพต่ออำนาจของประชาชน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ

ประธานคณะทำงานเตรียมการเพื่อจัดตั้ง “เครือข่ายภาคีเพื่อการรณรงค์และเคลื่อนไหวการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน”
...

เรื่องเกี่ยวข้อง จาก FB


Somchai Srisutthiyakorn

ภาคประชาสังคมจับมือ สร้างภาคีเครือข่ายแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่าเมื่อวันที 27 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา มีการจัดประชุมตัวแทนภาคประชาสังคม นักวิชาการ และแกนนำพรรคการเมือง โดยผู้เข้าร่วมประชุม อาทิ ดร.โคทม อารียา นายกษิต ภิรมย์ รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ดร.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ น.ส.สมศรี หาญอนันทสุข ศูนย์สันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย เครือข่ายการเลือกตั้งเสรีแห่งเอเชีย (อันเฟรล) เครือข่าย we watch เครือข่ายองค์กรชุมชนต่างๆ โดยมีตัวแทนจากพรรคการเมืองหลายพรรคเข้าร่วมให้ข้อคิดเห็น อาทิ คุณนิกร จำนง จากพรรคชาติไทยพัฒนา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย ตัวแทนจากพรรคเสรีรวมไทย พรรคอนาคตใหม่ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง

ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นปัญหาต่อประเทศ เป็นการร่างขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้กลุ่มอำนาจฝ่ายหนึ่งสืบทอดอำนาจต่อไป และจะไม่สามารถสร้างระบบการเมืองที่ดีเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ดังนั้นปัญหาความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องของประชาชน จึงมีรากฐานที่มาจากการออกแบบในรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

ผู้มีอำนาจยังปิดตายวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ต้องมี ส.ว.ที่ตัวเองแต่งตั้งมากับมือ จำนวน 1 ใน 3 ของ ส.ว.ทั้งหมด หรือ 84 คน ต้องให้ความเห็นชอบในวาระหนึ่งและวาระสามของการประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ยังต้องผ่านการลงประชามติ หากต้องการแก้เกี่ยวกับวิธีการแก้หรือส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระอีก

การผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือผลักดันอย่างจริงจัง โดยจะดำเนินการทั้งในช่องทางรัฐสภาและการผลักดันผ่านความคิดเห็นจากภาคประชาชนภายนอก โดยได้เริ่มต้นจากการตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางของการเคลื่อนไหว และมีคณะกรรมการชุดเล็กเพื่อไปกำหนดรายละเอียดวิธีการทำงาน การขยายภาคีเครือข่าย การแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายการเมือง และภาคเอกชน โดยให้ ดร.โคทม อารียา เป็นประธานคณะกรรมการชุดใหญ่ และ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เป็น หัวหน้าคณะทำงานชุดเล็ก โดยจะมีการนัดหมายเพื่อกำหนดรายละเอียดของแผนงานที่เป็นรูปธรรมในเดือนกันยายน 2562 นี้