‘ดิ เอ็คคอนอมิสต์’ ว่าไว้ตรงเผง ฮุนต้าประเทศไทยโกงเลือกตั้งมาได้ แต่ไม่เนียน ‘ineptly
rigged election’ ดังที่ อจ.โสรัจจ์ หงส์ลดารมย์ ชี้ “จะโกงเลือกตั้งทั้งที
ก็โกงแบบไร้ความสามารถ”
ทุกวันตั้งแต่ปิดหีบบัตรเมื่อเย็นวันที่ ๒๔
มีนา มีแต่กลิ่นเน่าหึ่งร้ายยิ่งกว่าควันพิษที่เชียงใหม่
เหมือนเปิดกระป๋องแล้วมีหนอนคลานกันออกมายั๊วเยี๊ย จึงควรที่วิญญูชนทั้งหลายโหมสนับสนุนการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อปลด
กกต.ชุดนี้กัน
เนื่องเพราะ
กกต.จะต้องอยู่ต่อไปอีกหลายปีหลังจากท้ายที่สุดแล้วได้รัฐบาลใหม่
แม้อาจจะเป็นนายกฯ คนเดิม และรัฐมนตรีหลายคนมาจากชุดที่ คสช.ตั้ง
แต่ความประพฤติแบบที่ กกต.ชุดนี้เป็นจะเรื้อรังไปถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย
การล่ารายชื่อของเหล่านักศึกษา (เช่นที่
ม.เชียงใหม่) เพื่อจะนำไปใช้ร้องเรียนหลังจากที่มีการตั้งรัฐบาลแล้ว จึงไม่มีผลกระทบให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
อันจะทำให้ คสช.สามารถอยู่ในอำนาจต่อไปเรื่อยๆ
นี่ก็ผ่านมาสองวันหลังจาก
กกต.ยอมเปิดผลการนับคะแนนครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ประชาชนได้พบกับตัวเลขไม่สมเหตุสมผล
จำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเพิ่มขึ้น (ได้อย่างไร)
คะแนนเสียงเพิ่มมากกับพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.
เพื่อที่จะใช้อ้างคะแนน ‘ป็อปปูลาร์โหวต’ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แข่งกับกลุ่มพรรคการมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ประกาศสัตยาบันมัดหวายรวมกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
แม้นว่า กกต.ยังคงเม้มผลการคำนวณที่นั่งของพรรคการเมืองต่างๆ ไว้
ทว่าคอยไล่แก้ตัวในความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นกับตัวเลขผลเลือกตั้ง
ดังเช่น กกต.ตอบข้อกังขาเรื่องจำนวนบัตรที่นำมานับคะแนนเกินกว่าจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ์ถึง
๔.๕ ล้านใบ ว่ามาจากการเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในและต่างประเทศ
แต่กระนั้นจำนวนบัตรเลือกตั้งในต่างประเทศที่
กกต.อ้าง ก็ยังเกินจำนวนจริงที่ กกต.ประกาศเองก่อนหน้านั้น ๔.๕ ล้านใบ กับ ๒.๗
ล้านใบ นั้นเท่ากับมีบัตรงอก ออกลูกออกหลานจากปาก กกต.เองถึง ๑.๘ ล้านใบ
ยังมีข้อมูลใหม่ๆ ที่เป็นการได้เปรียบของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล
คสช. เช่นการเกลี่ยเฉลี่ยจำนวน ส.ส.ให้แก่พรรคเล็กพรรคน้อย ‘อย่างไม่เที่ยงธรรม’ ในเมื่อมีพรรคการเมืองที่ได้
ส.ส.รายละ ๑ คนเกิดใหม่ถึง ๑๒ ที่นั่ง ทั้งที่คะแนนของแต่ละพรรคต่างกันลิบลับ
พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มนี้คือ ‘พลังปวงชนไทย’ ซึ่งไปร่วมลงนามสัตยาบันกับกลุ่มประชาธิปไตย
ได้ ๘๑,๗๓๓ คะแนน ขณะที่พรรคไทรักธรรมซึ่งได้คะแนนเพียง ๓๓,๗๔๘ ก็ได้ ส.ส. ๑
คนเท่ากัน
รวมทั้งพรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์
นิติตะวัน ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ
อีกครั้ง ก็ได้คะแนนเพียง ๔๕,๕๐๘ เกินครึ่งของพรรคคะแนนสูงสุดนิดเดียว
จึงทำให้ความเห็นของผู้ใช้นาม ‘Mr.Joe @djjoekiss’ น่ารับฟัง
ที่ว่าคะแนนควรต้องได้
๗ หมื่นขึ้นไป จึงจะได้ ส.ส. ๑ คน “การเกลี่ยคะแนนให้พรรคเล็กๆ ที่คะแนนไม่ถึง ๗
หมื่น เช่นได้หมื่นกว่า (หรือแค่ ๓ หมื่นกว่า) ก็ฟลุ๊คได้ ส.ส.
เป็นการขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ”
ขัดแต่ ‘เจตนา’ รธน.แค่นั้นไม่พอ
ขัดแข้งขัดขาพรรคการเมืองที่เขาได้รับคะแนนนิยมแท้จริงมากกว่านั่นสิ ชั่วช้าเกิน ‘วิชามาร’