วันศุกร์, สิงหาคม 31, 2561

กองทัพเดินด้วยเค้ก คลังยังกินขนมปัง ส่วน ‘ปลามัน’ "โน่นเฮียตู้บเค้า เอางบฯ กลาง ๔๗๑,๐๐๐ ล้านไว้ลงพื้นที่ตรวจน้ำลด ว่าจะมีตอผุดที่ไหนบ้าง"

อ้า มาแล้วเช็คเปล่าปี ๖๒ ให้ คสช.ถลุง ทั้งที่งบฯ สอง ป.(ป้อม-ป็อก) กลาโหมกับ มท.ไม่เพิ่ม ศึกษาและ คลังยังคงเดิม แอบไปเพิ่มของ ป.๑ ประเยด งบฯ กลาง พี่เค้าฟาดใกล้ๆ ๕ แสนล้าน

วานนี้ (๓๐ ส.ค.) ตอนบ่ายโมงครึ่ง ๒๐๖ สนช. ลิ่วล้อ คสช. ตีเช็คเปล่าให้นาย ๔๗๑,๐๐๐ ล้านบาท ไว้ซื้อทุเรียนกินกันปีหน้า เพราะคะแนนท่วมท้นไม่มีค้านไม่มีท้วงสักคน แค่ ๒ ไม่ออกเสียง จากงบประมาณปี ๒๕๖๒ ทั้งหมด ๒.๙ ล้านล้านกว่า

“ทั้งนี้มีสนช.สลับกันขึ้นมาอภิปรายแสดงความเห็นไม่ถึง ๕ คน” โดยเฉพาะนายธานี อ่อนละเอียด เป็นคนละเอียดมาก พ่อคุณ พ่อมหาจำเริญถามซอกแซกหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยว่า “ตัดงบประมาณลงบางส่วน” ทำไม

(https://www.matichon.co.th/politics/news_1109243 และดูรายละเอียด ใครได้เค้ก ใครได้ปลามันที่ https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551/10160926033405551/?type=3&theater)

แย้มนิด กองทัพเดินด้วยเค้ก ๒๒๗,๐๐๐ ล้าน คลังยังคงกินขนมปัง ๒๔๒,๐๐๐ ล้าน ศึกษาเศร้าหน่อยลดไปสองพันล้าน แต่ก็ยังทำให้ สนช.ดูดีที่จัดให้มากที่สุดกว่าใคร ๔๘๗,๐๐๐ ล้าน ส่วน ปลามันโน่นเฮียตู้บเค้า เอางบฯ กลาง ๔๗๑,๐๐๐ ล้านไว้ลงพื้นที่ตรวจน้ำลด ว่าจะมีตอผุดที่ไหนบ้าง

อ้อ แล้วงบฯ กลาโหมยังคงทำสถิติขึ้นต่อเนื่อง ๕ ปี ไม่ให้เสียหน้าคณะยึดอำนาจ ถึงจะไม่ลด ไม่เปลี่ยนวงเงิน ก็อาจน้อยไปนิดที่ต้องเจียดให้ จิตอาสา ๙๐๔ไปใช้สอนวิชาจงรักภักดีตามมหาวิทยาลัย น่าจะได้ผลเพราะวิธีการสอนล้ำมาก

แบบที่ Pravit Rojanaphruk @PravitR เล่าไว้บนทวิตเตอร์ Aug 28 “บรรยายเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์​กับ​ประเทศ​ไทย​โดยหน่วยจิตอาสา​ 904​ ที่ธรรมศาสตร์มีการขอให้ผู้ฟังปิดตาขวาเพื่อรับรู้ว่า​ ร.9​ ทรงงานเช่นไร​ ตอนถามตอบไม่มีใครถาม”

(และห้ามฮา) อย่างเดียวกับที่ องค์กรต้านคอรัปชั่น ACT สรุปผลงาน ๗ ปี ทีเด็ดทั้งนั้น เช่นว่าทำให้ประชาชน ๙๙ เปอร์เซ็นต์ “เห็นว่าคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัวและ ไม่ยอมรับรัฐบาลที่เก่งมีผลงานดีเด่น แต่ทุจริต”
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลชุดแย่งอำนาจตัวแทนประชาชนละก็ ดีเยี่ยม “ผมให้คะแนน 100% ในส่วนของความตั้งใจที่จะปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง” นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานใช้ลิ้นผสมน้ำลายปาดแผลบให้คะแนน

ทั้งที่ “ยังติดปัญหาด้านคนข้างกายของท่านนายกฯ และระบบของข้าราชการไทยที่มีการทำงานล่าช้า ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการปลดล็อคต่อไป” อีกทั้ง “เรื่องนาฬิกาหรู และแหวนเพชร​ ทางองค์กรฯ ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เลิกติดตามผลแล้วแต่อย่างใด

ซึ่งในตอนนี้ยังติดอยู่ที่เหตุผลบางประการจึงยังไม่เห็นความคืบหน้าในช่วงนี้” เอาไว้ครบรอบ ๑๔ ปีค่อยแย้มพรายก็ได้ ตามที่พี่ๆ รู้สึกสบายก็แล้วกัน


ไม่รู้จะเอาฮาไปถึงไหน และไม่รู้อีกเหมือนกันเวลาคิดอ่านทำการงานสาธารณะ พวกบริกรบริการของ คสช. เขาใช้อะไรคิด สมอง อารมณ์ หรือง่ายๆ ใช้หัวแม่เท้าตรองเอา

ขนาดประธานคณะกรรมการญาติวีรชน ๒๕๓๕ ยังอดไม่ได้ต้องแย้งว่า “ภาคประชาชนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และเห็นว่ารัฐบาลสอบตกเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น เพราะประชาชนยังคาใจปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลนี้ในหลายเรื่อง”
 
นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ พูดตรงๆ “ไม่อยากให้ใช้องค์กรต่อต้านคอรัปชั่นเป็นเครื่องฟอกขาวให้กับรัฐบาล เพราะในยุคข้อมูลข่าวสาร และโซเชียลมีเดีย ประชาชนทราบดีว่ารัฐบาลมีข้อสงสัยในเรื่องทุจริตอย่างไร และในเรื่องใดบ้าง”


พวกลิ่วล้อบริกรด้านกฎหมายกับบริการด้านสาธารณสุข ไม่ได้ห่างจากกันนักเลย อย่างเรื่องที่จะแก้ พรบ.ยาให้พยาบาลจ่ายยาเองได้ นี่สงสัยใช้ไส้ติ่งคิด ชนิดพวกหมอๆ ทั้งหลายออกมาท้วงกันจ้าละหวั่น

ยกตัวอย่างแพทย์ปฏิรูป (ก่อนเลือกตั้ง) นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา เขียนเฟชบุ๊คชี้ให้เห็นว่า การขายยาต้องบ่มไว้ด้วยหลักการคุ้มครองผู้บริโภค “และตรวจสอบกันเองระหว่างวิชาชีพ” 
กับต้องให้เภสัชกรเต็มเวลาเท่านั้นจ่ายยาให้ “คนอื่นวิชาชีพอื่นมาขายยาแทนไม่ได้ (พร้อมทั้ง) เภสัชกรจะจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น จะหยิบยาขายยาเองไม่ได้”

อันนี้ อจ.กานดา นาคน้อย @kandainthai ต่อยอดให้ว่า “จากการสำรวจล่าสุด ประเทศที่หมอและพยาบาลจ่ายยาไม่ได้มีดังนี้ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ (และ 18 hours ago “สำรวจเพิ่ม เยอรมันก็ไม่ให้หมอและพยาบาลจ่ายยา”)

หมอไทยนี่ทำหลายอย่างจัง หมอจ่ายยาก็ได้ วางแผนเศรษฐกิจแนะนำค่าแรงขั้นต่ำก็ได้ อบรมศีลธรรมแทนพระก็ได้ #มืออาชีพ” มิหนำซ้ำ ทั้งมวล ในประเทศ คสช. “ไม่มีใบขับขี่จะปรับเป็นหมื่น ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรจะให้จ่ายยาได้” (คอมเม้นต์ของ ชำนาญ จันทร์เรือง @chamnanxyz)
จึงสงสัยว่า “เพราะมีแนวโน้มที่แก้ พ.ร.บ.ยา เพื่อเอื้อเจ้าสัว คือให้วิชาชีพทางสุขภาพอื่นๆ สามารถจ่ายยาได้” หมอสุภัทรเปิดกล่องดวงใจ คสช. “นั่นหมายความว่า ในร้านสะดวกซื้อที่กำลังขยายให้มีมุมเภสัชกรขายยาทุกมุมเมือง จะสามารถเปิดกว้างให้เจ้าสัวจ้างแพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ จะลามถึงนักวิชาการสาธารณสุขด้วยไหมก็ไม่รู้”


นั่นสิ ถ้างั้น “อาจมีแนวโน้มอนุญาตให้ทหารจ่ายยาได้ในยามขาดแคลนบุคลากร #ทหารไทยทำได้ทุกอย่าง” อยู่แล้วนิ (วิดวะโยเย’ @Fanatic_Pat ส่งเสียงทวี้ต จี๊ดๆ)

ตู่บจะรอดมััยงานนี้ จะลงเจ้าภาพก็จองเพียบ จะอยู่ต่อขาที่จะยกนั่งร้านให้นั่งก็โยกเยก... มาถึงนาทีนี้ยังมีใครมั่นใจว่าจะมีพรรคพลังประชารัฐลงเลือกตั้ง 2562 หนุนตู่บ ?





มีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีพรรคพลังประชารัฐลงเลือกตั้ง2562

ถ้าดูความเคลื่อนไหวตั้งพรรคทหารที่มีหลายสูตร โดยเริ่มตั้งแต่หลังประชามติ ลายพราง 7 สิงหาคม 2559 จบลง

14 สิงหาคม 2559
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และอดีตกรรมาธิการ (กมธ.) เปิดตัว"พรรคประชาชนปฏิรูป"แต่ก็กลายเป็นตัวตลกที่ไม่มีราคา

'ไพบูลย์' ลุยตั้งพรรคฯ หนุน 'บิ๊กตู่' นั่งนายกฯ ต่อ อวยเป็นคนดี
https://www.thairath.co.th/content/690312

เมื่อปี่กลองการเมืองเริ่มเปิดจากการเปิดจองชื่อพรรคใหม่ในปี 2561

2 มีนาคม 2561

พรรคพลังประชารัฐ เป็นกลุ่มการเมืองที่ยื่นจดจองชื่อพรรคต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นลำดับที่ 3/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561 มีนาย ชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม เพื่อนสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และพันเอก สุชาติ จันทรโชติกุล อดีต ส.ส. สงขลา พรรคความหวังใหม่ และอดีตสมาชิก สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เป็นผู้จดจองชื่อพรรค
https://th.wikipedia.org/wiki/พรรคพลังประชารัฐ

พร้อม ๆ กับการมีชื่อประยุทธ์ เป็นประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อเตรียมเสนอชื่อเป้นนายก

ของจริงมาแล้ว! พรรคพลังประชารัฐเปิดตัว ดึง’บิ๊กตู่’นั่งปธ.ที่ปรึกษาพรรค ปูทางนายกอีกรอบ
https://tephangsap.com/15648

หลังจากนั้นก็มีกระแสการตั้งพรรคทหารดูดนักการเมืองที่กระหึ่มดังมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม "สมคิด - อุตตม- สนธิรัตน์"

9 เมษายน 2561
“สนธิรัตน์” รับสนใจการเมือง สานต่อนโยบายรัฐ หนุน“บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ไม่อยากให้ประเทศติดล็อก
https://www.prachachat.net/politics/news-142020

17 เมษายน 2561
"อุตตม" ยอมรับถก "สมคิด-สนธิรัตน์" แล้วแต่ยังไม่สรุปตั้งพรรค
https://www.posttoday.com/politic/news/548268

24 เมษายน 2561
ปชป.แฉคนมีอำนาจทุ่มสี่หมื่นล้านตั้งพรรคทหาร-ดูดส.ส.
http://www.komchadluek.net/news/politic/322740

5 พฤษภาคม 2561
‘ชวน ชูจันทร์’ แย้มมีทหาร-อดีต ขรก.ร่วมพรรคพลังประชารัฐ
https://www.matichon.co.th/politics/news_942954

28 มิถุนายน 2561
สามมิตรหนุนตู่ โวตั้งรัฐบาลhttps://www.thairath.co.th/content/1320007

"บิ๊กป้อม"ปลื้มกลุ่มสามมิตรหนุน“บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ
https://www.posttoday.com/politic/news/556015

26 กรกฏาคม 2561
https://www.dailynews.co.th/politics/657213

แต่ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2561 ก็มีช่าวความไม่แน่นอนว่าพรรคจะเกิดขึ้จริงหรือไม่

16 สิงหาคม 2561
“ชวน ชูจันทร์” ขอความชัดเจนคนในรัฐบาลร่วมพลังประชารัฐ
https://voicetv.co.th/watch/HyI3lZXLm

28 สิงหาคม 2561
'สนธิรัตน์' ปัดข่าวไขก๊อกร่วมพลังประชารัฐ ยันคุยกับทุกกลุ่มการเมือง
https://www.thairath.co.th/content/1363586

30 สิงหาคม 2561
“ชวน ชูจันทร์”ปัด ไม่เคยคุย”สนธิรัตน์-อุตตม”ร่วมงานพปชร.
https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_129972

พร้อม ๆ กับกระแสการถอดใจของ ประยุทธ์ และประวิตร ที่มีมาพร้อม ๆ กัน

24 สิงหาคม 2561
นายกฯประยุทธ์เผยปีหน้าคงไม่ได้พูดแล้วเพราะมีรัฐบาลใหม่!
https://www.khaosod.co.th/politics/news_1476542

17 สิงหาคม 2561
เปิดใจบิ๊กป้อม อนาคตการเมือง และ นาฬิกาเพื่อน ลั่น ‘โดนด่าเยอะ ไม่ได้อะไรเลย!’
https://www.khaosod.co.th/politics/news_1476542

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/1994900517243444?__xts__%5B0%5D=68.ARD5TOLNnjfkeGRre6MqKS6UhRvtt8EKshuvn8vmT2voi7utuJXCdUY84DAZUTKzwtmKOoBXG3-GcprOtDmG-xsiKPkuvybNo26sypBQCVEHRh-NIo8mZrLK1gWU3t4VO_a3V5g&__tn__=C-R

มาถึงนาทีนี้แล้วยังมีใครมั่นใจว่าจะมีพรรคพลังประชารัฐลงเลือกตั้ง 2562



Thanapol Eawsakul


Manita Chuen ตู่บจะรอดมััยงานนี้ จะลงเจ้าภาพก็จองเพียบ จะอยู่ต่อขาที่จะยกนั่งร้านให้นั่งก็โยกเยก อภิสิทธิ์ที่แข็งแรงหน่อยก็ประกาศไม่เอาด้วยถ้าได้เป็นแค่เด็กเสิร์พ ตู่บ คงต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็น ลี้ภัย แน่งานนี้ 😃

เลวร้ายมาก! ประเทศไทยกำลังละเมิดคำสัญญาที่ให้ต่อนานาชาติ กรณีเจ้าหน้าที่นนทบุรีบุกจับ 181 ผู้ลี้ภัยจากเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย 50 คน ถ้าไทยบังคับส่งตัวคนเหล่านี้กลับประเทศจะเป็นการละเมิดกติกาสากลอย่างร้ายแรง



ประเทศไทย: ปล่อยตัวผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่เป็นชนกลุ่มน้อย

ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะยุติการควบคุมตัวเด็กผู้เข้าเมือง




An elderly Montagnard woman sits at the door of a “house church” in Kret Krot village in Vietnam’s Central Highlands on September 26, 2013.
© 2013 AP Photo/Chris Brummitt


(กรุงเทพฯ 30 สิงหาคม 2561) ทางการไทยควรปล่อยตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่เป็นชนกลุ่มน้อย 181 คนอย่างเร่งด่วน พวกเขาได้รับสถานภาพผู้ลี้ภัยจากองค์การสหประชาชาติและถูกจับกุมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ ผู้ที่ถูกควบคุมตัวส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่ามองตานญาดในเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งถูกจับตัวเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 ในเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ

“ข้ออ้างของประเทศไทยที่เรามักได้ยินว่า มีการปฏิบัติด้านสิทธิของผู้ลี้ภัยดีขึ้น ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเมื่อเจ้าหน้าที่ยังคงควบคุมตัวหลายสิบครอบครัว ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ” แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “ชาวเขาเผ่ามองตานญาดเหล่านี้ต้องถูกประหัตประหาร หากมีการส่งตัวพวกเขากลับไปกัมพูชาและเวียดนาม ประเทศไทยไม่ควรดำเนินการเช่นนั้นไม่ว่าด้วยเงื่อนไขใด”

ตอนเช้ามืดของวันที่ 28 สิงหาคม นายอำเภอบางใหญ่พร้อมเจ้าหน้าที่อส.ของกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ทหาร ได้สนธิกำลังเพื่อจับกุมผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวเวียดนามและกัมพูชา 181 คน รวมทั้งที่เป็นเด็ก 50 คนจากบ้านของพวกเขาในจังหวัดนนทบุรี เจ้าหน้าที่อ้างว่า เป็นการปฏิบัติการตามคำร้องเรียนจากชาวบ้านที่เป็นคนไทยแถวนั้น

ชาวเขาเผ่ามองตานญาดจำนวนมากได้เดินทางจากเวียดนามเข้าสู่กัมพูชาและไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อหลบหนีการประหัตประหารด้วยเหตุผลด้านศาสนาและการเมือง ในขณะที่ชนเผ่าจาไรจากกัมพูชาซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ ถูกทางการเวนคืนที่ดิน และได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลมากขึ้น หลังจากชาวจาไรจากเวียดนามได้อพยพเข้าสู่จังหวัดรัตนคีรีของกัมพูชา

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมดูเหมือนจะมีความเข้าใจไม่มากนักเกี่ยวกับพันธกรณีของประเทศไทย ที่จะต้องปกป้องผู้ลี้ภัย โดยผู้ลี้ภัยคนหนึ่งบอกว่า “[เจ้าหน้าที่] หลายคนมาหาผมและถามว่ามาที่นี่ทำไม มาที่นี่ได้อย่างไร และจ่ายเงินไปเท่าไร พวกเขาถามว่า ใครเป็นคนช่วยจนได้รับบัตรจาก [หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ] และจ่ายเงินไปเท่าไรถึงได้บัตรนี้ พวกเขาถามหลายคนเกี่ยวกับการเดินทางมาถึงประเทศไทย...คนไทยคนหนึ่ง [ตำรวจนอกเครื่องแบบ] บอกว่า พวกเราอยู่ที่นี่อย่างผิดกฎหมาย และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย”

เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยเหล่านี้ไปยังที่ทำการอำเภอบางใหญ่ และดำเนินคดีฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายหรืออยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายตามมาตรา 11, 62 และ 81 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ตัวแทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Refugees - UNHCR) ในประเทศไทยได้เดินทางไปยังที่ทำการอำเภอ เพื่อหาทางให้ปล่อยตัว “บุคคลภายใต้ความห่วงใย” ซึ่งได้รับสถานะจาก UNHCR แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยที่ทำการอำเภอบางใหญ่ได้สอบถามผู้ลี้ภัย ทนายความ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานผู้ลี้ภัยว่าบัตรที่ UNHCR ออกให้เป็นของจริงหรือไม่ เจ้าหน้าที่แสดงออกว่ามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย สถานะของพวกเขา หรือพันธกรณีของรัฐบาลไทยในการคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ทั้งยังถามว่าเหตุใดคนที่ถูกจับกุมอ้างว่าเป็นผู้ลี้ภัย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสงครามในบ้านเกิดของตัวเองแล้ว

ตอนค่ำวันที่ 28 สิงหาคม รัฐบาลไทยได้ส่งตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย 34 คน สัญชาติกัมพูชาไปยังศูนย์กักตัวคนต่างด้าวซอยสวนพลูที่กรุงเทพฯ เพื่อรอการผลักดันออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ลี้ภัยจากเวียดนาม 38 คนไปยังศาลจังหวัดนนทบุรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อพวกเขา แต่เป็นกระบวนการที่บกพร่อง เนื่องจากทางการไทยไม่ดูแลให้มีล่ามที่สามารถแปลภาษาจาไรได้อย่างถูกต้อง เพื่อช่วยให้ผู้ลี้ภัยเข้าใจถึงเนื้อหาของสองข้อกล่าวหาต่อพวกเขาและกระบวนการในศาล

“การดำเนินคดีกับผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยเหล่านี้ในข้อหาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เกิดจากความเข้าใจผิดต่อเหตุผลที่พวกเขาเดินทางมาประเทศไทย” อดัมส์กล่าว “ทำให้เกิดข้อกังวลว่าพวกเขาอาจถูกส่งตัวกลับเพื่อไปเผชิญกับการประหัตประหาร”

ประเทศไทย มีนโยบายควบคุมตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยโดยไม่มีกำหนด โดยให้อยู่ในที่ควบคุมตัวที่เลวร้ายระหว่างรอการผลักดันออกนอกประเทศ คณะทำงานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการกำหนดให้นำตัวผู้แสวงหาที่ลี้ภัย “มาขึ้นศาลหรือหน่วยงานที่มีอำนาจอื่นโดยพลัน” ทั้งนี้เพื่อประเมินว่าการควบคุมตัวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ประเทศไทยมีหน้าที่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการไม่ส่งกลับ ซึ่งห้ามไม่ให้รัฐส่งตัวบุคคลไปยังประเทศ กรณีที่เสี่ยงว่าอาจเผชิญกับการทรมานหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงอื่น ๆ หลักการไม่ส่งกลับเป็นข้อบัญญัติที่ปรากฏอย่างชัดเจนตามข้อ 3 ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี และถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

ในปี 2559 ประเทศไทยประกาศพันธสัญญาที่จะยุติการควบคุมตัวเด็กผู้เข้าเมือง ในเดือนมกราคม 2560 รัฐบาลไทยมีมติคณะรัฐมนตรี ที่จะสนับสนุนการออกกฎหมายเพื่อจัดทำกลไกคัดกรองผู้แสวงหาที่ลี้ภัยระดับชาติ

อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กซึ่งประเทศไทยให้สัตยาบันรับรองเมื่อปี 2535 กำหนดว่า “การจับกุมกักขังหรือจำคุกเด็กจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และจะใช้เป็นมาตรการสุดท้ายเท่านั้น และให้มีระยะเวลาที่สั้นที่สุดอย่างเหมาะสม” อนุสัญญายังกำหนดอีกว่า “เด็กที่ร้องขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัย หรือที่ได้รับการพิจารณาเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายหรือกระบวนการภายในหรือ ระหว่างประเทศที่ใช้บังคับ ไม่ว่าจะมีบิดามารดาของเด็กหรือบุคคลอื่นติดตามมาด้วยหรือไม่ก็ตาม จะได้รับการคุ้มครองและความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่เหมาะสมในการได้รับสิทธิที่มีอยู่ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญานี้ และในตราสารระหว่างประเทศอื่นๆ อันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน....”

“ประเทศไทยกำลังละเมิดคำสัญญาที่ให้ต่อนานาชาติ ด้วยการควบคุมตัวเด็กผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยกว่า 50 คน” อดัมส์กล่าว “การที่พวกเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากองค์การสหประชาชาติ ควรเป็นหลักประกันว่าครอบครัวเหล่านี้ไม่ควรถูกควบคุมตัว ทางการไทยควรปล่อยตัวพวกเขาโดยทันที”

...



เด็ก ๆ 46 คนเหล่านี้เป็นลูกหลานชาวเผ่าจรายในจังหวัดรัตนคีรี กัมพูชา พวกเขามีวัฒนธรรมที่ต่างจากชาวพื้นราบ หลายคนนับถือคริสต์คล้าย ๆ พี่น้องบนพื้นที่สูงบ้านเรา แต่ที่ผ่านมาถูกทั้งรัฐและนายทุนรังแก แย่งยึดที่ดิน หรือบังคับซื้อไปในราคาถูก คนที่ต่อสู้ก็ถูกหมายหัว ต้องหลบหนีการปราบปรามมาบ้านเรา ทราบว่าตอนนี้ทางการไทยจับเด็กเหล่านี้แยกจากพ่อแม่ของตัวเอง ไม่ให้อยู่ด้วยกัน เหมือนกับนโยบายของทรัมป์ที่ #แยกเด็กจากพ่อแม่ที่เป็นคนเข้าเมือง

จากข้อมูลและรูปชอง Jonathan Head @pakhead พวกเขาบางส่วนได้รับบัตรผู้ลี้ภัยจาก UNHCR แล้ว ผ่านการตรวจสอบมาแล้วว่าเดือดร้อนมา อย่าสับสน พวกเขาไม่ใช่แรงงานอพยพ พวกเขามาที่นี่เพื่อหนีตาย ไม่ใช่มาทำงาน พลายคนหลบหนีมาอาศัยในไทยสามปีกว่าแล้ว รวมทั้งพวกชาวเขามองตานญาดจากเวียดนามที่หลบหนีการประหัตหระหารของทางการเวียดนามด้วย จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ชัดเจน รัฐบาลทหารจึงสั่งให้ผลักดันคนเหล่านี้ออกไป หรือจะเอาใจรัฐบาลกัมพูชาและเวียดนาม เหมือนที่เคยบังคับส่งกลับม้งลาวไปลาว ส่งนักกิจกรรมจีนกลับไปถูกเชือดที่เมืองจีน โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีข้อผูกพันกับเรา


เหรียญตรา ทรัมป์ vs แมคเคน




Morgan Ross 5 draft deferments vs 5.5 years in POW camp.

One is a soldier, then other a reality tv actor.

ใครหนอที่ชอบพูดว่าโครงการ 30 บาททำให้ประเทศเสียหาย ทำให้รัฐบาลขาดทุน??




เลือกตั้งครั้งหน้าเลือกง่าย ถ้าสนับสนุนการสืบทอดอำนาจต้องการได้รัฐบาล-ผู้นำคนเก่า เลือกพรรคไหนก็ได้ แต่ถ้าต้องการเลือกสิ่งใหม่ต้องเลือกฝ่ายประชาธิปไตย - เออจริงแฮะ





...


...


✿ นับเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ที่ "ทหาร" และผู้อยู่เบื้องหลังการป่วนทำลายชาติ ยัดเยียดให้เขามาเป็น นายกรัฐมนตรี" ในค่ายทหาร
--------------
เห็นท่าทางที่แสนจะภูมิใจเสียนักหนาที่ได้พูดคำหยาบแล้ว อดหมั่นไส้ไม่ได้



ตำนานค่าโง่




“ธนาธร” คิดการณ์ใหญ่ “เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนแปลงประเทศ”




12 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ประชาชนกับประชาชน คู่ขัดแย้งมีคู่เดียว คือ กลุ่มคนที่ต้องการฉุดรั้งประเทศไทยไว้แบบนี้ ไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะได้ประโยชน์กับมันมหาศาล ต้องการสังคมที่ไม่เป็นธรรม สังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องการแบ่งปันอำนาจและทรัพยากรให้กับประชาชน


“ธนาธร” คิดการณ์ใหญ่ “เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนแปลงประเทศ”


30 August 2018
ประชาชาติธุรกิจ


สัมภาษณ์พิเศษ

เป็นพรรคการเมืองใหม่ ที่โดดเด่นที่สุดในฝ่ายประชาธิปไตย มีอีเวนต์การเมืองครบทุกมิติ ทั้งเดินสายพบปะฐานเสียงตัวต่อตัวแบบ “โฟกัสกรุ๊ป” ปราศรัยผ่านช่องทางออนไลน์ “คืนวันสุข”

อันเป็นชนวนให้ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เข้าไปสู่ดินแดนของการเป็นผู้ได้รับ “หมายเรียก” ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา-ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เขาบอก “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จะต้องเล่นเกมใหม่ ที่เขาถนัดกว่า-ถูกต้องกว่า เพราะหากไปหลงเล่นเกมการเมืองแบบเดิม เขาต้องตกเป็นฝ่ายแพ้ตั้งแต่ออกตัวสตาร์ตในลู่สนามเลือกตั้ง

Q : ถึงวันนี้ 4 เดือนนับตั้งแต่เปิดตัวมั่นใจว่าจะเป็นพรรคทางเลือกหลักอยู่หรือไม่

สิ่งที่พรรคเสนอเป็นทางเดียวที่ต้องเดินด้วยซ้ำ เพื่อสังคมไทยจะกลับมาสู่ความปกติ ความเป็นธรรมเท่าเทียม ยังไม่เห็นใครทำ ไม่มีพรรคของประชาชน ยืนเพื่อประชาชน พรรคเพื่อไทยอาจจะใกล้เคียง แต่พรรคที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงยังมองไม่เห็น

Q : เพราะโครงสร้างพรรคการเมืองต้องพึ่งนายทุน

สุดท้ายต้องกลับมาเรื่องเจตจำนงทางการเมืองที่หนักแน่นพอจะทำสิ่งที่ยาก คือ การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่ใช่เป็นผู้รอการอุปถัมภ์จากรัฐ การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องใช้เจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่และแข็งแกร่งอย่างมหาศาล ไม่ง่าย แต่เป็นไปได้ ถ้าเริ่มทำ เริ่มขยับ เริ่มเปิดประตูความเป็นไปได้ให้เปิดออก ลุกขึ้นมาสู้ ไม่ยอมรับความไม่ถูกต้อง

Q : ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ปัญหาเกิดจากโครงสร้างทั้งหมด การแก้ไขมีองค์ประกอบหลากหลาย ต้องใช้เวลา ไม่เกิดขึ้นภายในข้ามวันข้ามคืนแน่นอน ดังนั้นทำใจไว้เลย สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เป็นการเดินทางยาว เดินทางไกล มีแต่ทางชัน ขวากหนาม ไม่มีทางง่าย และพรรคการเมืองแทงกั๊กหมด ถ้าจะได้ 375 จาก 500 เสียง เพื่อล้างมรดก คสช.เป็นโจทย์ยาก

ดังนั้นอย่าโกหก อย่าบอกกับประชาชนว่า เลือกพรรคอนาคตใหม่แล้วจะได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาทันที อาจจะโกหกได้ 2-3 ครั้ง แต่จะโกหกตลอดไปไม่ได้

วิธีที่ดีที่สุดในการทำงานทางความคิดกับประชาชน คือ พูดความจริง ว่าหนทางข้างหน้ามันยาก เพราะมันมีทั้งรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี องค์กรอิสระ คุก ตะราง กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไว้ตบหน้าประชาชน เป็นเครื่องมือจัดการกับกลุ่มผลักดันประชาธิปไตย

Q : การถูกออกหมายเรียกเป็นบททดสอบแรก

อย่าไปตกใจมาก เราไม่ใช่คนแรกและคนเดียวที่โดน สิ่งที่อยากจะบอก คือ มีกฎเกณฑ์ กฎหมายต่าง ๆ ที่ออกมาในยุค คสช. เพื่อปิดปากประชาชนมากมาย เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.ไซเบอร์ซีเคียวริตี้

สิ่งที่เกิดขึ้นควรพูดให้ไกลกว่าธนาธรโดน พ.ร.บ.คอมพ์ เพราะปรากฏการณ์จากปัญหาเชิงโครงสร้าง การเอาเจตจำนงของ คสช.มาใส่ไว้ในกฎหมายเพื่อควบคุมประชาชน วิธีคิดแบบทหารเรื่องความมั่นคง ใช้ไม่ได้กับสังคมที่เชิดชูสิทธิเสรีภาพ

Q : เพราะโดดเด่นจึงถูกเพ่งเล็ง

แสดงให้เห็นว่า คสช.ยอมรับเราเป็นกลุ่มพลังของสังคมกลุ่มหนึ่งไปแล้ว และแสดงให้เห็นว่า คสช.อยู่ในสภาวะเปราะบางมาก เสียงสะท้อนของความนิยมที่ตกต่ำลง ไม่อยู่ในช่วงขาขึ้น จึงไม่พร้อมที่จะรับการวิพากษ์วิจารณ์ ประกอบกับผลสำรวจทุกสำนักเห็นตรงกันว่า ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 61 จนถึงวันนี้ ความนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

Q : ในสายตาของ คสช. พรรค อนค.อยู่ในสถานะใด

พูดแทน คสช.ไม่ได้ แต่การวางตำแหน่งแห่งที่ในสังคมไทยของ อนค.ชัดเจน ว่าเราเป็นศัตรูของอำนาจอนาธิปไตยตลกที่สุด คือ การห้ามหาเสียงผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นวิธีหาเสียงที่ใช้เงินน้อยที่สุด แต่อยากปลดล็อกการเมืองช้า ๆ จะได้มีเวลาและใช้เงินหาเสียงน้อยลง ไม่เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคใหญ่กับพรรคเล็ก

ถ้าพูดให้ตรง คือ ห้ามผมนี่แหละ บอกมาเลยว่า พรรค อนค.ลงพื้นที่ไม่ได้ ธนาธรห้ามไลฟ์สด ปิยบุตรห้ามเดินรณรงค์ เขียนกฎหมายออกมาเลยว่า ห้าม อนค.พรรคเดียว เพราะเราไม่มีหัวคะแนน ไม่มีฐานเสียง

Q : การเป็นเป้านิ่งมีอุปสรรคบ้างหรือไม่

หลายพื้นที่ หลายคนที่สนับสนุน อนค.ถูกข่มขู่คุกคาม ถูกกดดันรายตัวจากอำนาจรัฐ ฝ่ายความมั่นคงถ่ายรูปไว้หมด พรรคเสียเปรียบทุกประตู

Q : อนค.จะเดินไปถึงวันเลือกตั้งหรือไม่

เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด คนที่มีความฝันแล้วไม่เคยเดินตามเพราะกลัวข้อจำกัด คุณจะไม่ได้เดินไปไหนเลย ไม่มีทางได้ความฝันแต่ถ้าคิดถึงความเป็นไปได้ เดินไปข้างหน้าวันนี้ คือ ความเป็นไปได้ที่สูงขึ้น ทุกวันที่ทำงาน เห็นคนอยากมาร่วมมากขึ้น ทุกวันที่ได้เสียงมากขึ้น เห็นความเป็นไปได้มากขึ้น อย่าไปกลัว ยิ่งกลัวยิ่งเข้าทางเขา ยืนให้ตรง อย่ายอมจำนน การยืนตรงเพื่อต่อสู้ไล่ตามความฝัน โดยเฉพาะระบอบที่ไม่เป็นธรรม เผด็จการ นั่นคือการแสดงว่า ตัวตนเรายังมีชีวิต ยังเป็นคน

Q : การตัดสินใจเดินทางไกลกับ อนค. เป้าหมายคืออะไร

เลือกตั้งครั้งนี้ ภารกิจชัดเจน คือ หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ผลักดันสังคมกลับสู่ประชาธิปไตย 4 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเจ๊ง การปกครองแบบเผด็จการไม่มีองค์ประกอบของประชาชน ไม่มีช่องทางส่งเสียง การจัดสรรทรัพยากร ต่อรองผลประโยชน์อยู่เฉพาะกลุ่ม ยิ่งไม่มีประชาธิปไตย ความเท่าเทียมยิ่งน้อยลง ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น

การเลือกตั้งครั้งต่อไป ภารกิจใหม่ คือ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลเป็นทางผ่านเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน อย่างช้าที่สุด คือ การเลือกตั้งครั้งหน้า การร่วมรัฐบาลเป็นเพียงเงื่อนไขเดียว ทุก 1 คะแนนเสียงเป็นคะแนนใหม่ และสำคัญกับ อนค. ต้องเก็บให้ได้หมด การขายความใหม่อาจจะขายได้เพียงครั้งนี้ อนาคตระยะยาวของประเทศ ่ เราจะสู้ให้ถึงที่สุดในทุกสถานการณ์

Q : ขายความใหม่ ขายอนาคตอย่างเดียว อาจจะแพ้ระบบฐานเสียง-หัวคะแนน

การลงพื้นที่ 41 จังหวัดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา ใช้เวลาเยอะมาก เพื่อคุยกันคน 4-5 วง วงละ 20-30 คน รับฟังปัญหา คุยกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันก่อน เมื่อประชาชนในพื้นที่เข้มแข็งเมื่อใด ให้เขาเลือกผู้นำ ให้เขาเลือก ส.ส.

วิธีการสร้างพรรคแตกต่างกันมาก พรรคแบบกลุ่มสามมิตรคุยกับหัวคะแนน 4-5 คน ที่มีฐานคะแนน 5 พัน 1 หมื่น แต่ อนค.คุยกับทุกคนถึงระดับรากหญ้า

แบบไหนถูก แบบไหนผิด เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แบบกลุ่มสามมิตรอาจจะถูกก็ได้ แต่ไม่แข็งแรง แต่แบบที่ อนค.ทำ เชื่อว่าแข็งแรง

บ้านจะมั่นคงและยืนอยู่ได้ระยะยาว คือ บ้านที่คนร้อยรัดกันด้วยศรัทธา ผมกำลังสร้างเครือข่ายใหม่ที่ยึดโยงกันด้วยความคิด ทำงานทางความคิดให้หนักแน่นและแข็งขัน

ผมไม่เล่นการเมืองในระบบหัวคะแนน ฐานเสียงแบบเดิม ๆ เพราะเล่นเกมนี้ ผมแพ้อยู่แล้ว ต้องเล่นเกมใหม่ เกมที่เราถนัดกว่า เกมที่ถูกต้องกว่า เกมที่ควรจะเป็นกว่า เป็นเกมที่ไม่ต้องใช้หัวคะแนน แต่ใช้เครือข่ายทางความคิด

ทำให้ในพื้นที่รัศมีที่คุณมีอิทธิพลขยายขึ้นทุกวัน ไกลขึ้นทุกวัน จัดการปัจจัยที่อยู่ในควบคุม ความเป็นไปได้ก็มากขึ้นทุกวัน คนมาทำงานกับเราส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ไม่มีต้นทุน คนที่ตื่นรู้ ต้องการเปลี่ยนแปลงเต็มไปหมด

ฉะนั้น เดินไปข้างหน้าทุกวัน จะเห็นโอกาสความเป็นไปได้ทุกวัน ผมอาจจะผิดแต่ลองเปิดให้เกิดการเลือกตั้งดูสิ เพราะเป็นวิธีที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุด

Q : 4 ปีที่ผ่านมา คสช.กับกลุ่มทุนใหญ่เกาะเกี่ยวกันขนาดใหญ่และยังมีนักการเมืองเก่ามาแตะมือ

ไม่มีทางไปทำอะไรได้ เพราะกฎหมาย คุก ตะราง องค์กรอิสระ มันนอนเตียงเดียวกันหมด ฉะนั้น ต้องขีดเส้นใหม่ระหว่างคู่ขัดแย้ง

12 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่ประชาชนกับประชาชน คู่ขัดแย้งมีคู่เดียว คือ กลุ่มคนที่ต้องการฉุดรั้งประเทศไทยไว้แบบนี้ ไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะได้ประโยชน์กับมันมหาศาล ต้องการสังคมที่ไม่เป็นธรรม สังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ต้องการแบ่งปันอำนาจและทรัพยากรให้กับประชาชน

Q : ถ้าย้อนกลับไปพูดถึง 12 ปีที่ผ่านมาจะวนกลับไปสู่ปมความขัดแย้ง

ความขัดแย้งเดียวที่ประเทศไทยมี คือ คนที่ขัดแย้งรู้ว่าล้มประชาธิปไตย ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ จึงผลักดันสังคมให้สุดทาง เพราะเตี๊ยมกับทหารไว้แล้วว่าจะออกมาทำรัฐประหาร

ข้อที่สอง ไม่พูดถึงความขัดแย้งจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไร เหตุการณ์พฤษภา 35 พ่อแม่บางคนยังไม่ได้รับศพคืน เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 คนที่มีส่วนสั่งการปราบปรามประชาชน ยังไม่เคยถูกนำตัวมารับผิด

การพูดถึงเรื่องอดีต ไม่ใช่การสร้างความขัดแย้ง แต่คือการเอาความเป็นธรรมคืนให้กับทุกฝ่าย ใครทำอะไรไว้ที่ไม่ถูกต้อง ต้องได้รับการลงโทษ

เป็นการต่อสู้ทางความคิด ซึ่งสำคัญกว่าการได้คะแนนเสียง ได้เสียงมา แต่ไม่ชนะทางความคิด ก็แพ้ เมื่อไรก็ตามที่สร้างสะพานเชื่อมให้ทั้งสองอย่างเป็นเรื่องเดียวกันได้ จะชนะ เพราะไม่มีความปรองดองบนความอยุติธรรม


วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 30, 2561

เหลือระอา ปปช. และลิ่วล้อบริกรกฎหมาย คสช.


เฮ้อ ฟังความเห็น ปปช.ต่อการไต่สวนหาข้อเท็จจริงในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที ๒๐๐ แล้วเหลือระอา มันสะท้อนพฤติกรรมบิดเบี้ยวและเล่นแร่แปรธาตุกับกฎหมายขององค์กรและผู้บังคับใช้ ที่แต่งตั้งกันเข้ามาโดยไม่ติดยึดประชาชน

นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร หนึ่งในกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชุดปัจจุบัน ถูกถามเรื่องการไต่สวนกรณี GT200 ไปถึงไหนแล้ว ผู้ค้า ผู้ผลิตในอังกฤษติดคุกกันไปนานนมโทษฐานหลอกลวงย้อมแมวขาย แต่ทางการไทยหนังเหนียวคดีเติ่งอยู่กับ ปปช.

“ยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่มีการปล่อยให้ขาดอายุความแน่นอน แต่การจะวินิจฉัยว่าถูกหรือผิดเป็นเรื่องที่ยาก” นายสุรศักดิ์อ้าง แหม ถ้ามันง่ายๆ จะต้องจ้าง ปปช. เงินเดือนคนละแสนสองแสนสามให้มาพิจารณาทำไม ให้ตำรวจร้อยเวรทำก็ได้

นายสุรศักดิ์ปล่อยทีเด็ดอีกว่า “บางครั้งไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่อง แต่เป็นเหมือนความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นำไปใช้ แล้วเขารู้สึกว่าคุ้มค่า” โอว พ่อเจ้าประคุณ ถ้าต้องซื้อแพงเพราะความขลัง ทีหลังเอาจตุคาม หรือปลัดขิกแทนได้ไหม


อีกกรณี ฝีมือ ปปช.เหมือนกัน คดีเก่าตั้งแต่ปี ๕๑ เมื่อ ปปช. ตั้งตัวเป็นผู้คุ้มครอง พันธมิตรฯ (พธม.) จัดการฟ้องรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โทษฐานสลายการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เกิดมี น้องโบว์ตายเพราะระเบิดซี่โครงแหลก

ถ้าจำกันได้ ยุคนั้นพวกม็อบผ้าพันคอสีฟ้าฟู่ฟ่ามากขนาดพยายามจะทำให้วันที่ ๗ ตุลา เป็นวันสำคัญของชาติเทียบเท่า ๑๔ ตุลา นั่นเลย จนกระทั่งปี ๒๕๖๐ เกือบทศวรรษถึงได้รู้แจ้งจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง นายสมชาย (นายกฯ) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ (รองนายกฯ) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว (ผบ.นครบาล)

ปปช.ตอนนั้นก็ไม่ย่นย่อ อุทธรณ์คำพิพากษา แต่ละเว้นจำเลยสามคน ตั้งแต่นายกฯ ถึง ผบ.ตร. หันมาฟัด ผบ.นครบาลคนเดียว พล.ต.ท.สุชาติพยายามต่อสู้ด้วยข้ออ้างทางเทคนิคเกี่ยวกับกฎหมาย ป.วิ อม. (วิธีพิจารณานักการเมือง) และรัฐธรรมนูญใหม่ ๒๕๖๐ แต่ไม่ได้ผล ศาลยืนยันรับพิจารณษคำอุทธรณ์ของ ปปช.
 
จนเมื่อ ๒๘ ส.ค. ๖๑ ศาลก็ตัดสินยกฟ้อง พล.ต.ท.สุชาติอีก ทำให้ได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง (คำของ สมศักดื เจียมฯ) ว่าน้องโบว์ไม่ได้ตายเพราะแก๊สน้ำตาของตำรวจ แต่จากระเบิดอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็น “ระเบิดแรงต่ำที่ระกอบขึ้นเอง เป็นระเบิดแสงเครื่องจากดินเทาดินดำ” หรือ “ระเบิดปิงปอง” ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายไหล่หนีบไว้ใต้รักแร้ ก็ได้

แน่ๆ ไม่มีทางใช่แก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ซึ่งทำในประเทศจีน และไม่มี “สารโพสแทสเซียมคอลเรตที่เป็นส่วนประกอบระเบิด” พบจาก “เศษเขม่าที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าน.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ

นอกนั้นยังเป็นการยืนยันว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ครั้งนั้นไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากความรุนแรง ตามนิยามแห่งรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เนื่องจาก “สถานการณ์เพิ่มความรุนแรงขึ้นในช่วงเย็น

โดยผู้ชุมนุมบางส่วนได้เคลื่อนไปกดดันที่ บช.น. ทำร้าย พล.ต.ต.โกสินทร์ บุญสร้าง รอง ผบช.ตชด. ที่ออกมาช่วยเจรจาให้ถอนพ้นแนวรั้วลวดหนาม ด้วยการขว้างท่อนเหล็กจนสลบไป


ตัดข้ามช็อตไปที่ คนละเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับการ เล่นแร่แปรธาตุของพวกนักออกกฎหมาย คสช. “เพื่อสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบ และทำให้วันเลือกตั้งไม่แน่นอน” ดังที่ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่บ่นไว้บนเฟชบุ๊ค

“ใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป จนยุ่งเหยิง อีรุงตุงนังไปหมด คนมีอำนาจกำหนดกติกาเหล่านี้เอง ยังงงเอง ออกแล้วแก้ ออกแล้วแก้ ตามมาแก้ปัญหาที่ตนเองก่อขึ้นไม่จบสิ้น”
 
ดร.ปิยบุตรพูดถึง พรป. เลือกตั้ง ส.ส. ที่พวกนิติบริการกำหนดไว้ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคเดียวติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๙๐ วันเมื่อถึงวันเลือกตั้ง ตาม ม.๔๑ (๓) แต่ “กว่าจะยื่นจดจัดตั้ง กว่า กกต. จะจดทะเบียน กว่าจะเริ่มนับอายุสมาชิก ก็อาจไม่ทัน ๙๐ วัน”

เสร็จแล้วก็มีการเสริมเติมใน ม.๑๗๒ ให้ชัดเจน จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบพรรคตั้งใหม่ (นัยว่ามีพรรคที่ประกาศสนับสนุนบิ๊กตู่บเป็นนายกฯ ตั้งใหม่หลายพรรค) ว่า “ให้ถือว่าผู้ที่เข้าชื่อร่วมกันนั้นเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นมาตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง”

ครั้นเกิดกระแส เลื่อนเลือกตั้ง ขึ้นมา สนช. ลิ่วล้อ คสช.ทั้งหลายก็เลยแก้ร่างกฎหมายเลือกตั้งนี้เสียอีก ให้ขยายเวลาการมีผลบังคับใช้ออกไป (ม.๒) เป็นหลังจากมีประกาศในราชกิจจาฯ แล้ว ๙๐ วัน เป็นอันว่า ม. ๑๗๒ ที่ให้มีสมาชิกภาพได้เมื่อยื่นจดทะเบียนนั้นต้องรออีก ๙๐ วันเหมือนกัน

ดร.ปิยบุตรบอกว่านี่แหละ มายากลทางกฎหมาย ของพวกบริกรลิ่วล้อ คสช. ทำยึกยักมากเรื่องเสียจนพวกตนยัง งง

ไอ้สันดาน เสือกออกมาเลียให้คนด่าทำไมวะ - องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ให้คะแนนปราบโกง 'ประยุทธ์' เต็มร้อย (ใครเชื่อออกลูกเป็นลิง 555)





เมื่อถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบนาฬิกาหรูของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีความล่าช้านายประมนต์ กล่าวว่า ได้พยายามเร่งรัดและหาทางดำเนินการกับ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยตรง จึงขอสื่อมวลชนช่วยติดตามเรื่องกับทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าเหตุใดจึงมีความล่าช้า โดยทางองค์กรได้ส่งหนังสือทวงถามไปแล้วหนึ่งครั้งและระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนของการติดตามผล

"ส่วนนาฬิการหรูจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลหรือไม่นั้น ผมเห็นว่าสังคมได้สะท้อนความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว ขณะนี้ทำได้เพียงรอผลอย่างเป็นทางการจากทางป.ป.ช. ซึ่งป.ป.ช.ยังไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัด"นายประมนต์ กล่าว


ชยพงศ์ สุวพานนท์ ไอ้สันดานพวกมึงก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันมีโกงทุกหย่อมหญ้าทุกระดับชั้นใหญ่โกงใหญ่เล็กโกงเล็กยังเสือกออกมาเลียมันให้คนด่าทำไมวะ

จะปิดทองหลัง องค์พระปฏิมา มายืนกันทำส้นตีนอะไรกันว่ะไอ้สาดทำมาแอ็คอาร์ต ต่อต้านโกง!!! ถุยยยย


ทีสมัยฝ่ายตรงข้ามครองอำนาจ มันบอกนักการเมืองโกงกันเก่งที่สุดในโลก เอาผิดอะไรไม่ได้เลย มันต้องมีกฎหมายโน่นนี่นั่น สื่อจัญไรก็ประโคมว่าจะสิ้นชาติแล้ว พอถึงยุคเผด็จการเบ็ดเสร็จ นักการเมืองไร้อำนาจ มีทั้งสภาฯ มีทั้งกองทัพ มึงก็ยังจับโกงไม่ได้ - ป.ป.ช.เผยคดีจีที 200 วินิจฉัยยาก


...


ทุจริต จีที 200 ใครจะทำตามสัญญา






Fดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์
ผู้สื่อข่าวพิเศษ บีบีซีไทย
16 ตุลาคม 2017


ผ่านไปกว่า 4 ปี หลังศาลอังกฤษตัดสินจำคุก 3 หัวโจก แกงค์ต้มตุ๋นหลอกขาย "ไม้ล้างป่าช้า" เป็นเวลา 3 ½ ปี ถึง 10 ปี และสั่งยึดทรัพย์สินเกือบ 400 ล้านบาท เมื่อ 2559 แต่ หน่วยงานปรามทุจริตหลักของไทย บอกว่ายังแปลคำพิพากษาเพื่อใช้เอาผิดคน ในเหล่าทัพไทยที่ซื้อ จีที 200 และอัลฟา 6 เครื่องตรวจระเบิดลวงโลกนี้มาใช้ไม่แล้วเสร็จ
เป็นเวลาเกือบครึ่งทางของโทษจำคุก 10 ปี ที่นายเจมส์ แมคคอร์มิค นักธุรกิจชาวอังกฤษ จำเลยในคดีจำหน่ายและผลิตเครื่องตรวจจับ วัตถุระเบิดปลอม เอดีอี-651 จำนวน 7,000 เครื่อง ถูกศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเมื่อ พ.ค. 2556 ส่วนนายแกรี่ โบลตัน ผู้ก่อตั้งบริษัท โกลบอล เทคนิคัล ที่จำหน่าย จีที 200 ก็ถูกศาลอังกฤษ สั่งจำคุก 7 ปี ในเดือน ส.ค. ปีเดียวกัน ในข้อหาฉ้อโกง ให้แก่ลูกค้าทั่วโลก

ด้าน นายแซมวล ทรี ผู้ผลิตและขายอัลฟา 6 ให้แก่อียิปต์ ไทย และเม็กซิโก ก็ถูกตัดสินจำคุก 3 ½ ปี ส่วนภรรยา ถูกศาลสั่งให้ทำงานบริการสาธารณะ 300 ชั่วโมง

มาถึง มิ.ย. ปีที่แล้ว ผู้พิพากษาประจำศาลโอลด์ เบลีย์ ของอังกฤษ ตัดสินยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 7.9 ล้านปอนด์ (ราว 395 ล้านบาท) จากนายแมคคอร์มิค ที่ประกอบไปด้วย เงินสด อสังหาริมทรัพย์ และเรือสำราญ เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของนายแมคคอร์มิคและพรรคพวกซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าว





ผู้สื่อข่าวบีบีซีในอังกฤษซึ่งเป็นผู้เปิดโปงเรื่องต้มตุ๋นบันลือโลก รายงานเมื่อปีที่แล้ว ว่ารัฐบาลอิรักซึ่งเป็นอดีตลูกค้า เอดีอี-651 รายใหญ่ของนายแมคคอร์มิค จะได้รับค่าชดเชยราว 2.3 ล้านปอนด์ (ราว 115 ล้านบาท) ขณะที่หน่วยงานรัฐบาลของบาห์เรน เลบานอน ไนเจอร์ และจอร์เจีย จะได้รับเงินชดเชยเช่นกัน แต่ยังไม่มีการระบุตัวเลขที่ชัดเจน โดยที่ผ่านมา นายแมคคอร์มิคมีรายได้มากกว่า 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,500 ล้านบาท) จากการจำหน่ายเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดปลอม ซึ่งดัดแปลงจากอุปกรณ์ค้นหาลูกกอล์ฟ ต้นทุนประมาณ 14 ปอนด์ต่อเครื่อง (ราว 700 บาท) แต่นายแมคคอร์มิคจำหน่ายเครื่องดังกล่าวให้แก่ทหาร ตำรวจ หน่วยตระเวนชายแดน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในประเทศต่างๆ ทั่วโลกในราคาเครื่องละประมาณ 3,500 ปอนด์ (ราว 1.75 แสนบาท)

แต่ในไทย ประเทศที่หน่วยงานความมั่นคงต่างๆซื้ออุปกรณ์ลวงโลกมาใช้รวมเกือบ 1,400 เครื่อง (แต่ไม่มี เอดีอี-651) ความเคลื่อนไหวในการจัดการกับผู้เกี่ยวข้องกับการซื้อ "ไม้ล้างป่าช้า" ในราคาเกือบ หนึ่งล้านบาทต่อชิ้น เป็นไปอย่างล่าช้า ท่ามกลางคำสัญญาของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และ นายกรัฐมนตรี ในการปราบปรามกวาดล้างการทุจริตโดยไม่ไว้หน้าใคร

เมื่อกลาง ก.ย. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยพิจารณาเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ที่ประชุมยังเห็นว่า มีประเด็นที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม รวมทั้งต้องขอเอกสารหลักฐานจากต่างประเทศ ขณะนี้ ป.ป.ช. ได้รับคำพิพากษาจากศาลประเทศอังกฤษแล้ว อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบพยานหลักฐาน และการแปลคำพิพากษา



GETTY IMAGES
คำบรรยายภาพนายเจมส์ แมคคอร์มิค นักธุรกิจชาวอังกฤษ ถูกศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเมื่อ พ.ค. 2556


คดีจีที 200 อาจเป็นคดีสำคัญท้ายๆ ที่มีผู้กล่าวหาเป็นคนระดับสูงในเหล่าทัพ ซึ่งเหลืออยู่ในมือของ ป.ป.ช. หลังจากมีมติ "ยกคำร้อง" ในคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553, คดีจัดซื้อเรือเหาะ และคดีอุทยานราชภักดิ์ ป.ป.ช. ไปหมดแล้ว

แต่ยิ่งการทำคดีนี้ล่าช้าเพียงใด คำถามที่ถูกโยนกลับมาไม่ได้มีแค่กับ ป.ป.ช. แต่ยังรวมถึงรัฐบาลทหาร ที่อาสาตัวเข้ามาปฏิรูปประเทศผ่านการรัฐประหารในปี 2557 เพื่อปัดกวาดสิ่งชั่วร้ายที่เหล่านักการเมืองทิ้งเอาไว้ โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น

เหตุใด อุปกรณ์ลวงโลกที่ชื่อว่า จีที 200 ถึงกลายมาเป็นสิ่งที่ท้าทายความชอบธรรมของผู้มีอำนาจยุคปัจจุบันที่ชูธง "ความโปร่งใส" คงต้องย้อนกลับอดีตกลับไปดูความเป็นมาของคดีนี้



ไม้กายสิทธิ์ หรือ ไม้ล้างป่าช้า

นับแต่กองทัพอากาศ เริ่มจัดซื้อจีที 200 ในปี 2548 ก็มีหน่วยงานราชการต่างๆ ของไทย จัดซื้ออุปกรณ์นี้ รวมถึงอุปกรณ์ที่มีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกันอย่าง "อัลฟ่า 6" รวม 15 หน่วยงาน แต่ถ้านับเฉพาะจีที 200 หน่วยงานที่จัดซื้อมากที่สุด ถึง 90% ของทั้งหมด ก็คือ กองทัพบก

นายโบลตัน เริ่มต้นขายจีที 200 ให้แก่ลูกค้า ทั้งเอกชนและรัฐทั่วโลก ตั้งแต่เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน โดยอ้างว่ามีสรรพคุณ ในการตรวจจับสสารได้หลากหลาย ไม่ใช่แค่วัตถุระเบิด ยังรวมถึงกระสุน ยาเสพติด ทองคำ งาช้าง ธนบัตร ยาสูบ ไปจนถึงร่างกายมนุษย์ และสามารถใช้งานได้ทั้งบกบก บนฟ้า ใต้น้ำ หรือกระทั่งใต้ดิน จนคล้ายกับเป็น "ไม้กายสิทธิ์"





อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองในห้องวิจัยในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2545 ระบุว่า อุปกรณ์นี้ใช้งานไม่ได้จริง แต่กว่าที่เรื่องจะฉาวโฉ่ไปทั่วโลก ก็ต้องรอจนถึงปี 2553 ที่ผู้สื่อข่าวบีบีซีนำอุปกรณ์นี้ไปผ่าพิสูจน์ แล้วไม่พบว่ามีวงจรไฟฟ้า หรือเซ็นเซอร์ใดๆ

ขณะที่ในเมืองไทย การตรวจสอบจีที 200 ก็ถูกจุดกระแสขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน หลังพบว่าทำงานผิดพลาดในภาคใต้ ก่อนจะพบว่า คุณสมบัติในการตรวจจับสสารของมันไม่ต่างจากการเดาสุ่ม มีความแม่นยำเพียง 20% เป็นเพียง "ไม้ล้างป่าช้า" ตามศัพท์ที่ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้เรียกขาน





แรงต้านจากกองทัพ

เมื่อครั้งมีเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบประสิทธิภาพของ จีที 200 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อุปสรรคสำคัญก็คือแรงต้านจากเหล่าทัพ ที่ยืนยันว่า อุปกรณ์ซึ่งซื้อมาใช้ในภารกิจคลี่คลายปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้ ยังใช้งานได้ดี

กระทั่ง แม้ภายหลัง นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์แถลงผลการทดสอบว่า จีที 200 มีความแม่นยำในการหาวัตถุระเบิดเพียง 4 ครั้ง จากทั้งหมด 20 ครั้ง ซึ่งไม่ต่างจากการเดาสุ่ม พร้อมกับมีมติคณะรัฐมนตรีให้ยุติการจัดซื้ออุปรณ์นี้โดยทันที

ทว่าในวันถัดมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ขณะนั้น กลับนำผู้เกี่ยวข้องมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวสวน แสดงความเชื่อมั่นในจีที 200 โดยอ้าง "ประสบการณ์" ของเจ้าหน้าที่ พร้อมให้สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ถ่ายทอดสดตลอดการแถลงข่าว

เบื้องหลังท่าทีขึงขังของ พล.อ.อนุพงษ์ครั้งนั้น อาจมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า การจัดซื้อจีที 200 ของกองทัพบก ระหว่างปี 2550-2552 มีจำนวนทั้งสิ้น 757 เครื่อง รวมเป็นเงินกว่า 682 ล้านบาท โดย 755 เครื่อง หรือคิดเป็น 99.7% จัดซื้อสมัยที่ พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ส่วนที่เหลืออีก 2 เครื่อง คิดเป็น 0.3% จัดซื้อสมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็น ผบ.ทบ.

แต่ก็เป็นกองทัพบก ยุค พล.อ.อนุพงษ์ นี่เอง ที่ปลดประการจำ จีที 200 และนำสุนัขทหารมาตรวจสอบวัตถุระเบิดแทน จนมาถึงยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่มีการจัดซื้อเพิ่มเติมแล้ว





จีที 200 vs จำนำข้าวยิ่งลักษณ์

คดีจีที 200 ถูกยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบพร้อมกับคดีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในปี 2555 แต่ความคืบหน้าในการทำคดีทั้งสองกลับต่างกันมหาศาล เพราะในขณะที่คดีหนึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาไปแล้ว ให้จำคุกอดีตรัฐมนตรีถึง 2 คน และมีผลไปยังอีกคดี ทำให้อดีตนายกฯ ถูกตัดสินจำคุกเช่นกัน อีกคดีกลับยังอยู่เพียงขั้นตอน "รวบรวมพยานหลักฐาน" โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.

ทั้งๆ ที่ คดีนี้ มีผู้ถูกกล่าวหากว่า 40 คน ตำแหน่งสูงสุดเป็นเพียง "เจ้ากรม" ไม่มี "ผู้บัญชาการเหล่าทัพ" แม้แต่คนเดียว

ประเด็นสำคัญที่คนสงสัยว่าอาจจะมีการทุจริต ก็คือราคาจัดซื้อจีที 200 หรืออัลฟ่า 6 ที่แตกต่างกันจนน่าฉงน เพราะมีตั้งแต่เครื่องละ 4.2 แสนบาท ไปจนถึง 1.3 ล้านบาท หรือต่างกันสามเท่าตัว โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดราคาถึงแตกต่างกันมาก โดยบางหน่วยงานใช้วิธีพิเศษในการจัดซื้อ กลับแพงกว่าบางหน่วยงานที่ใช้วิธีประกวดราคา





แต่ไม่ว่าจะจัดซื้อมาในราคาเท่าไร สุดท้ายเครื่องมือลวงโลก ที่จัดซื้อมาทั้งหมด 1,398 เครื่อง รวมเป็นเงินกว่า 1,134 ล้านบาท ก็ต้องสูญเปล่า จนหลายคนเรียกว่าเป็น "ค่าโง่" แม้ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ในรัฐบาลปัจจุบัน จะพยายามเปลี่ยนให้ไปใช้คำว่า "ค่าซื้อความรู้ที่แพงไปหน่อย" แทนก็ตาม

ใครจะทำตามสัญญา?

หลังจากนี้ สังคมไทยก็คงต้องช่วยกันทวงถามหาความยุติธรรมจาก ป.ป.ช.และรัฐบาล กันต่อไป เพราะทุกบาทที่เสียไปก็คือเงินภาษีของพวกเราทุกคน หากไม่ต้องการให้สูญไปโดยที่ไร้คนรับผิดชอบ

น่าสนใจว่า ระหว่างผู้ขายจีที 200 รับโทษจนครบ พ้นคุกออกมา กับ ป.ป.ช. ไต่สวนคดีนี้แล้วเสร็จ อะไรจะเกิดขึ้นก่อนกัน

ooo




สำนักโพลสลิ่มเหรอ จัดลำดับ 12 รายชื่อติดโผ”คนไทยเกลียด”มากที่สุด (อิอิ) อย่าได้คิดจะกลับมาเหยียบประเทศไทย






12. นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ




11. น.ส.สุดา รังกุพันธุ์ หรือ อาจารย์หวาน




10.นายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ




9. ป้าวันเพ็ญ




8.นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน หรือ ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ




7. นายใจลส์ ใจ อึ้งภากรณ์




6. นายจักรภพ เพ็ญแข




5. จรัล ดิษฐาอภิชัย




4. นายศรันย์ ฉุยฉาย (ฉายา อั้ม เนโกะ)




3. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล




2. น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ (อีโรส)




1.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์



ที่มา
http://energy-today.net/31874/


แม่ทหารเกณฑ์ร้องลูกชายดับปริศนา ไม่ขอรับค่าทำขวัญ 2 แสน จุดประเด็นเลิกทหารเกณฑ์



https://www.youtube.com/watch?v=OMSgMlMAnHo


แม่พลทหาร ร้องลูกดับปริศนา ไม่ค่าทำขวัญ 2 แสน จุดประเด็นเลิกทหารเกณฑ์

matichon tv
Published on Aug 29, 2018


Official Matichon TV วันนี้ (29 สค ) กองบังคับการปราบปราม นางรัชนก แซ่ลิ่ม มารดาของพลทหารบุญฤทธิ์ เอี่ยมสิริลักษณ์ หรือเก่ง ทหารเกณฑ์สังกัดกองทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วย นายวรินทร์ อัฐนาค ประธานชมรมโดมเพื่อคุณธรรม เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม กรณีที่พลทหารบุญฤทธิ์ ถูกเพื่อนทหารเกณฑ์ด้วยกัน ชวนไปสังสรรค์ที่ร้านอาหาร แห่งหนึ่ง ย่าน ปิ่นเกล้า ก่อนจะเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา

จากคดีน้องเมยที่เสียชีวิตจากการถูกธำรงวินัย ถึงคดีพลทหารคชา ที่บาดเจ็บสาหัส ญาติยังเชื่อทหารจะไม่เข้าข้างคนผิด (ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน แค่นี้ยังไม่เชื่ออีกรึ ว่าพวกเดียวกันย่อมเข้าข้างกันเอง)





ที่มา บีบีซีไทย


ผ่านมาแล้วกว่า 10 เดือนที่น้องเมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตระหว่างอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร หลังถูกธำรงวินัย ปรากฏว่ามีความคืบหน้าของคดีในขั้นที่ขึ้นสู่ชั้นศาลเพียง 1 คดี จาก 4 คดี อีกทั้งอวัยวะที่จะพิสูจน์การเสียชีวิตก็เสียหายจากการเก็บรักษาของสถาบันทางการแพทย์แห่งแรกที่นำไปตรวจสอบ


เป็น 10 เดือนของครอบครัวตัญกาญจน์ที่ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของน้องเมย บอกกับบีบีซีไทยว่า "ยากลำบากตั้งแต่การตื่นนอนมาใช้ชีวิต" ทั้งจากการสูญเสียน้องชาย การต้องวิ่งรอกติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่สถานีตำรวจ โรงเรียนเตรียมทหาร โรงพยาบาล สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และตอบคำถามสื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

บีบีซีไทย ย้อนเหตุการณ์ที่ญาติต้องเรียกร้องความยุติธรรมจากกรณีการเสียชีวิตภายในหน่วยงานของสถาบันกองทัพ





คดีน้องเมยไม่คืบ อวัยวะถูกดองจนเสียหาย


"น้องยังไม่ได้รับความยุติธรรมอะไรเลย เขาจะเสียโดยที่ยังไม่ปรากฏความจริงไม่ได้ อีกอย่างคือ คนที่กระทำความผิด มีอนาคตของตัวเอง แต่อนาคตน้องหนูมันจบที่โลงศพ" สุพิชา กล่าวกับบีบีซีไทย ถึงความรู้สึกของเธอหลังจากทวงถามความยุติธรรมในคดีการเสียชีวิตของน้องชายมากว่า 10 เดือน แต่ยังไม่คืบหน้า

ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ครอบครัวตัญกาญจน์ ต้องเดินทางไปมาระหว่าง จ.ชลบุรี นครนายก และกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามคดี ขอเอกสารเพื่อนำมาเป็นหลักฐานจากหลายหน่วยงาน แม้ว่าในทางหนึ่งพนักงานสอบสวนจะมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน แต่สุพิชาบอกว่า ครอบครัวต้องการความมั่นใจว่าหลักฐานที่เป็นประเด็นสำคัญทั้งหมดจะถึงมือตำรวจ

ย้อนกลับไปในเดือน ต.ค. 2560 นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตระหว่างอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร หลังกลับเข้าโรงเรียนเพียงวันเดียว ในใบมรณะบัตรระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

ทว่า ภายหลังครอบครัวได้นำศพนายภคพงศ์ไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง กลับพบว่า อวัยวะภายใน ได้แก่ สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร หายไป โดยก่อนหน้านี้ไม่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แต่อย่างใด





ผ่านไป 10 เดือน คดีนี้ยังไม่มีความคืบหน้า และอวัยวะภายในของนายภคพงศ์ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญนั้น ได้รับความเสียหายจากการดอง ในขณะที่ถูกเก็บอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


หลานสาวพลทหารวิเชียร ถูกฟ้อง พ.ร.บ.คอมฯ หลังโพสต์เรียกร้องความเป็นธรรม

น.ส.นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวพลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งเสียชีวิตระหว่างฝึกซ้อมทหารใหม่ในค่ายทหาร ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อปี 2554 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลมักกะสันจับกุมในวันที่ 26 ก.ค.2559 หลังจากออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการซ้อมทรมานพลทหารวิเชียรลงในโซเชียลมีเดีย




พลทหารวิเชียร เผือกสม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2554 โดยแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลัน จากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ อย่างรุนแรง

ในคืนนั้น เธอถูกส่งตัวไปยัง จ.นราธิวาส เพื่อให้สถานีตำรวจในท้องที่สอบปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน และกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการออกมาโพสต์เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้าชาย

ความคืบหน้าล่าสุด น.ส.นริศราวัลถ์ เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า อัยการสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาดไม่สั่งฟ้องทั้ง 2 ข้อหา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังจากรองอธิบดีอัยการภาค 9 และอัยการ จ.นราธิวาส มีความเห็นไม่สั่งฟ้องตั้งแต่ ตั้งแต่ปี 2560 แต่ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ รักษาการราชการแทนผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเห็นแย้งให้สั่งฟ้อง จึงต้องส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาด

ในส่วนของคดีแพ่ง ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้กองทัพบกยอมจ่ายเงินค่าเสียหายจำนวน 6.5 ล้านบาท ตามคำฟ้องของนางประเทือง เผือกสม มารดาของพลทหารวิเชียร เป็นโจทก์ โดยมีกระทรวงกลาโหม, กองทัพบก , และสำนักงานนายกรัฐมนตรี (ต้นสังกัด กอ.รมน.) เป็นจำเลยอันดับ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ซึ่งทางกองทัพบกเป็นผู้จ่ายเงินครบตามจำนวนแล้ว

ส่วนความคืบหน้าในคดีอาญา อัยการศาลทหาร มีคำสั่งไม่ฟ้องทหาร 8 นาย และสั่งฟ้องนายทหารสองนาย ได้แก่ ร.ท. ภูริ เพิกโสภณ (ยศในขณะเกิดเหตุการณ์) ผู้สั่งทำโทษพลทหารวิเชียรจนเสียชีวิต และทหารยศสิบเอก ขณะนี้อยู่ที่ขั้นตอนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กำลังวินิจฉัยว่า จะมีความเห็นแย้งหรือไม่

"ที่ล่าช้า ส่วนหนึ่งเราก็เป็นตัวร่วมที่จะไม่ให้ฟ้องด้วย ถ้าล่าช้าแล้วไม่เกิดแพะ เราโอเคมากกว่าการสั่งฟ้องทั้งสิบนาย" น.ส.นริศราวัลถ์ กล่าวกับบีบีซีไทย "เราทำในมิติของความถูกต้อง ยุติธรรมจริง ๆ ไม่ได้ต้องการแก้แค้น หรือผลประโยชน์จากคดี คดีนี้จึงไม่ควรมีแพะ"


คดีล่าสุดในค่ายทหาร พลทหารคชา ถูกทหารรุ่นพี่ซ้อมอาการสาหัส

กรณีการบาดเจ็บสาหัสของพลทหารคชา พะชะ อายุ 22 ปี ทหารเกณฑ์สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จ.ลพบุรี ซึ่งถูกทำร้ายร่างกายภายในค่ายทหาร เป็นความรุนแรงครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในรั้วของกองทัพ

หลังจากเกิดเหตุในกลางดึกวันที่ 21 ส.ค. ผู้บังคับบัญชาของพลทหาร ได้ยอมรับกับญาติว่า พลทหารคชาถูกทำร้ายร่างกายโดยทหารรุ่นพี่ 3 คน และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการกองทัพบก ออกมาบอกว่า การบาดเจ็บของพลทหารคชา "ไม่ใช่เป็นการซ่อม" แต่เป็นการวิวาทระหว่างพลทหารด้วยกันและบาดเจ็บ





น.ส.กาญจนภรณ์ สีหะวงค์ น้าสาวของพลทหารคชา กล่าวกับบีบีบีซีไทยว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ว่าได้นำหลักฐานอาการของพลทหารคชาจากแพทย์ไปให้ตำรวจเพิ่มเติม เพื่อให้มีการแจ้งข้อหาพยายามฆ่า แต่ตำรวจแจ้งว่า ขณะนี้หลักฐานยังไม่เพียงพอ ต้องทำสำนวนเพิ่มเติมและสอบพยานเพิ่มเติม ขณะนี้ ผู้ต้องหาทั้งสามคน ถูกนำตัวไปขังคุกทหาร

"วันนั้นเราจะไปแจ้งข้อหาพยายามฆ่า แต่ตำรวจเขาว่าตอนนี้หลักฐานยังไม่เพียงพอ เลยให้เป็นข้อหาทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสก่อน"

น้าสาวของพลทหารคชา บอกว่า ทางครอบครัวยังมีความหวังว่าบุคคลที่ทำร้ายร่างกายหลานชายจะได้ถูกดำเนินคดีอย่างเหมาะสม เธอยังได้กล่าวขอความเห็นใจทางหทาร เพราะแม้ตำรวจเองบอกเธอว่าคดีนี้ "เหมือน" อยู่ในอำนาจของทหาร

"เราเชื่อว่าทหารจะไม่เข้าข้างคนผิด และจะให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนเต็มที่ หวังว่าเขาน่าจะให้ความเป็นธรรม ประชาชนจะได้ไม่ครหาว่าทหารปกป้องกันเอง" น้าสาวของพลทหารคชากล่าว "เราเชื่อว่าแบบนั้น และอยากให้ท่านเป็นเหมือนที่เราเชื่อ"
10 ปี มีทหารเสียชีวิตในค่ายอย่างน้อย 8 ราย





อ่านบทความเต็มจากบีบีซีไทยได้ที่...
https://www.bbc.com/thai/thailand-45342916


...

Praphai Khandee ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน
แค่นี้ยังไม่เชื่ออีกรึ ว่าพวกเดียวกันย่อม่เข้าข้างกันเอง