อ่านข่าวแล้ว ก็เศร้าใจและหวังว่า ชีวิตของน้องๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำ จะได้รับการช่วยเหลือในเวลาอีกไม่นาน
และก็ต้องเตรียมใจด้วย การคาดหวังเป็นเรื่องที่ดี แต่มันทรมานมากๆ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่า จะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายในเวลาต่อมาอีกด้วย
เราก็คงจะต้องสร้างที่พึ่งทางใจ หรือ กำแพงทางจิตใจ (Defense Mechanism) ขึ่นมากันพอประมาณ
---------------
การค้นหาและช่วยชีวิต (Search and Rescue) เป็นเรื่องแรกที่สุดที่จะต้องทำเพื่อการหาตัวบุคคลให้พบ เรากำลังเห็นอยู่ในช่วงนี้
แต่ถ้ามีการประกาศว่าเป็น การกู้ซากหรือกู้สภาพ (Recovery) แล้ว ก็แสดงว่า ยอมรับผลของการสูญเสีย และกำลังกอบกู้ว่าจะได้วัตถุหลักฐานอะไรเพิ่มเติมอีก
เราต้องเข้าใจขั้นตอนของเรื่องนี้กันด้วยว่า อยู่ในช่วงไหน
-----------------
ตอนที่ยังไม่ป่วยแบบนี้ ดิฉันก็ทำงานอยู่ใน Fields หรือภาคสนามเป็นเวลานานพอสมควร และขออธิบายให้ทราบเป็นสังเขปดังนี้:
1. อุณหภูมิภายในถ้ำต่างๆ จะอยู่ระหว่าง 10-20 เซลเซียส ขึ้นว่าอยู่แถบไหนของโลก
2. ถ้าท่านไม่เคยเดินทางเข้าถ้ำ ท่านจะต้องมีไฟฉาย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆ เพราะแสงสว่างธรรมดาจะเข้าไม่ถึงแน่นอน
3. ความมืดสนิทของถ้ำ เป็นแบบมืดสนิทจริงๆ เราไม่สามารถเห็นมือหรือนิ้วมือของเราได้เลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน การปรับตัวของสายตาให้ชินกับความมืด ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ถ้าไม่มีไฟฉาย เราจะไม่ทราบเลยว่า กำลังยืน หรือ เดิน หรือนั่งอยู่ที่ไหน (ถ้าคิดจะเดิน จะเดินไปแล้วศีรษะจะไปโขกกับหินต่างๆ ภายในถ้ำหรือเปล่า หรือ อาจจะสะดุดล้ม เจ็บตัวขึ้นมาอีก เพราะมองอะไรก็ไม่เห็น)
และสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร แม้แต่เพียงเซนติเมตรเดียว ก็มองไม่เห็น (เพียงแต่สัมผัสกับลมหายใจเท่านั้น ด้วยการเอานิ้วมือขึ้นมาอยู่ใกล้ๆ จมูก)
4. สัตว์อย่างค้างค่าวไม่ได้ใช้สายตาในการบินในถ้ำ แต่เป็นการใช้ระบบเหมือนกับเรดาห์ เวลาบินไปไหนมาไหน รวมทั้งมีประสาทหูที่ดีมาก
ส่วนมนุษย์เราไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้น การมองในที่มืดสนิทจริงๆ ก็ไม่ทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้น ต้องพึ่งประสาทจมูก หู และการสัมผัสเท่านั้น
5. ดิฉันไม่แน่ใจว่า ถ้ำแห่งนี้ เป็นถ้ำปิดและมีห้องมากมายขนาดไหน เพราะถ้ามีการตะโกนเข้าไปในถ้ำ คนที่อยู่ในที่มืด อาจจะได้ยิน แต่ไม่ทราบว่า เสียงมาทางไหน เพราะเสียงสะท้อน (Echos) จะดังมากๆ
และ ไม่ทราบทิศทางที่ถูกต้องได้ ต้องใช้ระบบแสงช่วยกัน และตัวเด็กๆ อาจจะไม่รู้จักวิธีการหาทิศทางจากเสียงที่ได้ยินด้วยว่า มาจากทิศไหน เพราะ มันจะเหมือนกับว่า มาจากข้างบน (ถึงแม้ว่า เสียงจะมาจากด้านข้างก็ตาม)
6. การใช้อากาศหายใจ การอยู่ในถ้้ำนานๆ จะมีการใช้ อ๊อกซิเจนสูงมาก และไม่แน่ใจว่า อากาศในถ้ำเป็นแบบไหน มีปล่องให้อากาศลงไปมากน้อยขนาดไหน คาร์บอนไดออกไซด์จะสูงมากๆ ยิ่งมีคนมากกว่า 10 คนติดอยู่ในนั้น
อากาศบริสุทธิ์ไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ เพราะถ้าเข้าไปได้ ก็ต้องมีปล่องลงไปแล้ว เพราะฉะนั้น อาจจะต้องมีการปั๊มอากาศเข้าไปในถ้ำให้มากที่สุดเช่นกัน
7. เท่าที่ทราบมา ภายในถ้ำ มีน้ำขังที่ลึกมากๆ ข้อสำคัญคือ ต่างก็หวังว่า น้องๆ เหล่านั้น จะขึ้นไปบน “หาดทราย” ในถ้ำกันได้ เพราะถ้าอยู่ในน้ำนานๆ และไม่สามารถเห็นอะไร้เลย เนื่องจากความมืดสนิทจริงๆ อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับ hypothermia หรือ ภาวะตัวเย็นเกินเกิดขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิที่เย็นกว่าข้างนอกมาก และร่างกายไม่สามารถสร้างความอุ่นได้
หวังว่า ไม่ได้ "แช่น้ำ" กันอยู่ ก็แล้วกัน
----------
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดู”โอกาส” ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ ดิฉันเห็นเป็นข้อๆ คือ:
1. เราเห็นความร่วมมือเพื่อการช่วยชีวิต จากความสัมพันธ์ที่มีกับประเทศต่างๆ ในแถบตะวันตก รวมทั้งของประเทศจีนอีกด้วย ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ได้มีโอกาสอ่านข่าวภาษาอังกฤษกัน จะเห็นได้เลยว่า ทางนี้เขาให้ความสำคัญและคุณค่ากับชีวิตมนุษย์มากขนาดไหน
2. เราจะเห็นเครื่องไม้เครื่องมือการช่วยชีวิตแบบ First Class จากหลายๆ ประเทศ ที่ทางรัฐบาลไทยเอง ไม่ได่ทำงบประมาณจัดสรรมาช่วยเรื่องแบบนี้กัน (อาจจะคิดว่า ไม่จำเป็นกับชีวิตผู้คนเท่าไรนัก)
3. ดิฉันเห็นภาพอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ จากทาง USA, อังกฤษ จีน พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญการกู้ภัยจากหลายๆ ประเทศ ทำให้คิดว่า นี่คือการสาธิตเรื่องการช่วยชีวิตผู้คนเป็นอย่างดีที่สุด จากเครื่องอุปกรณ์ชั้นเลิศที่สุด (อาจจะเป็นชั้นเลิศของโลกก็ได้)
และเหมือนกับให้คนไทยได้เห็นการสาธิตใช้งานของอุปกรณ์เหล่านี้ “ฟรีๆ” ว่า มันมีความสามารถขนาดไหน ทำงานได้อย่างไร ทำงานได้จริงหรือเปล่า รวมทั้งทำภาพสามมิติ หรือแม้แต่การตรวจความร้อนของร่างกายบุคคลได้
นี่คือตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นง่ายๆ ว่า เครื่องมือเหล่านี้ มัน “ทำงาน” และ "มีประสิทธิภาพ" ได้แน่นอน และดีกว่า GT200 เรือเหาะ หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ที่สั่งซื้อกันมาทุกๆ ปี เป็นจำนวนหลายพันล้านบาทกัน
หากการช่วยชีวิตบุคคลที่ติดอยู่ภายในถ้ำประสบความสำเร็จ นี่ก็เหมือนกับ “การโฆษณา” ให้เห็นว่า มันมีประโยชน์สำหรับการใช้กับชีวิตผู้คนได้จริงๆ
---------------
สิ่งที่เราจะเริ่มเห็นต่อไปคือ:
1. หากการช่วยชีวิตประสบความสำเร็จ เราควรจะดูว่า ทางทีมงานต่างประเทศเขาจะกล่าวอะไรบ้าง
อย่าลืมว่า ทางต่างประเทศ โดยเฉพาะโลกตะวันตก เขาจะให้เครดิตเป็น “ทีม” และเขาจะไม่สร้าง “Heroes” กันขึ้นมาแบบประเภท “ฉายเดี่ยว” เพราความสำเร็จต่างๆ มันมาจาก Teamwork ไม่ใช่โดยคนๆ เดียว
รวมทั้งเรื่อง "การฉวยเครดิท" หรือ "เอาหน้า" กัน จะไม่เห็นทางต่างประเทศเขาทำกัน
2. หากการช่วยชีวิตประสบความล้มเหลว ก็จะมีการรับผิดชอบกันเป็น ทีมเช่นกัน เพราะพวกเขาหรือเธอ ทำงานอย่างสุดความสามารถจริงๆ และเราก็จะต้อง “ปรบมือ” ยอมรับให้กับ การเสียสละของทุกๆ ฝ่ายเช่นกัน
และจะไม่เห็นเรื่องการ “จับแพะ” หรือ “หาแพะ” มารับโทษ เพราะเรื่องนี้ เขาถือว่าเป็นการช่วยชีวิตคน (Search and Rescue) และมี Good Samaritan Law หรือ กฎหมายเรื่องการละเว้นการถูกฟ้อง หากมีการเสียชีวิตเกิดขึ้นจากการเข้าไปช่วยชีวิตอยู่แล้ว
ทางฝั้งตะวันตก เขาจะนำเอาเคสเหล่านี้ ไปพิจารณา เพื่อป้องกันความล้มเหลวให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด หากพลาดอะไร พวกนี้จะ list เรื่องเป็นข้อๆ และนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปในอนาคต ภาษาอังกฤษเรียกว่า Lesson(s) Learned.
3. ควรจะ "ลากตัว" คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยออกไปจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด รวมทั้งการวางแผนตั้ง War Room ควรจะมีการตัดสินใจจากคนที่อยู่ในพื้นที่ ไม่อย่างนั้น จะมีความสับสนกันว่า จะฟัง “คำสั่ง” ใคร?
ใน USA เอง เมื่อมีการประกาศพื้นที่ว่า เป็นสถานที่ประสบภัยหรือต้องให้เจ้าหน้าทีที่เกี่ยวข้องทำงานแล้ว คนที่เป็น Head ของ War Room จะเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจมากที่สุด
ไม่ใช่ ใครก็ไม่รู้ ไม่ทราบว่า เอาอำนาจอะไรมา ถามนู่น ถามนี่ ได้รับการอนุญาตหรือยัง (ดิฉันไม่ทราบว่า ใครเป็น Head of the War Room) เพราะการทำอย่างนี้ หมายความว่า คนที่รับ "คำสั่ง" จะสับสนมากๆ ว่า จะต้องปฎิบัติตาม "คำสั่งของใคร" แน่? ใครเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการปฎิบัติงานในพื้นที่
ขนาดตัว President of the United States (POTUS) เอง ยังไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายหน้าที่อะไรได้ เพราะเขาจะให้เกี่ยรติคนทำงานในพื้นที่เท่านั้น แต่ตัว POTUS จะไปช่วยเหลือในเรื่อง การของบประมาณกลางอย่างรีบด่วน หรือ การขอเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ จากสำนักงานของรัฐบาลกลาง เขาจะช่วย "วิ่ง" เรื่อง Logistics เหล่านี้ให้
-----------------------
ส่วนคนที่ชอบถามว่า ได้รับอนุญาตโน่นนี่หรือยัง ก็ควรจะเข้าไปทำความเข้าใจกับเรื่อง การประกาศพื้นที่การช่วยเหลือชีวิตผู้คนแบบนี้ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้อง Bypass เรื่องเหล่านี้ได้อยู่แล้ว กฎหมายที่เขาสร้างขึ้นมา เพราะเป็นการช่วยเหลือชีวิตคนให้มากที่สุด
รวมทั้งประกาศให้กองกำลัง National Guards เข้ามาป้องกันในพื้นที่ทันที ประชาชนธรรมดา แม้กระทั่งผู้ที่อยู่อาศัยในแถบนั้น จะต้องแสดงหลักฐานว่าเป็นเจ้าของบ้านจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้รับการอนุญาตเข้าไปได้
-------------------------
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถ้าเป็นรัฐบาลของ USA เราจะใช้งบกลางหรืองบฉุกเฉิน เพื่อการช่วยเหลือเรื่องการช่วยชีวิตผู้คนกัน
แต่ของไทยในเวลานี้ คิดว่า น่าจะใช้งบกลางเช่นกัน (แต่ไม่แน่ใจว่า จะไปประกาศ ขอรับ "บริจาค" กันอีกหรือเปล่า เพราะนี่ ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่จัดให้กับประชาชนผู้เสียภาษีภายในประเทศ)
-------------------------
สุดท้าย ก่อนจะจบ ก็คือ ควรจะลากตัวคนที่ถามว่า ได้รับอนุญาตโน่นนี่หรือยัง ออกไปจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด เพราะเป็น “ตัวถ่วง” ในการกู้ภัยและช่วยเหลือชีวิตผู้คนที่กำลังอยู่ในถ้ำตอนนี้...
หวังว่า เราคงจะได้รับข่าวที่ดีกันในอีกไม่นานก็แล้วกัน ขอคุณพระจงช่วยปกป้องชีวิตของน้องๆ ด้วยค่ะ
Doungchampa Spencer-Isenberg