วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 31, 2561

เฮียเค้าว่าไม่เลื่อน แต่ทั่นรองฯ ฝ่ายบริกรกฎหมายพยักหน้า ยืดเลือกตั้งอีกอย่างน้อยสองเดือน


อ่า เฮียเค้าว่าไม่เลื่อนก็ไม่เลื่อน แต่การคำนวณมันไม่ลงตัวตามเป้าโร้ดแม็พของพวกเฮียๆ นี่สิ จะให้เชื่อได้อย่างไร

ในเมื่อไอ้ที่ชอบตะบันพูดอยู่นั่น ตามนั้นตามนี้แน่ๆ ไม่เคยเป็นได้สักที อะไรๆ จะเอาตามใจพี่ไปเสียทุกอย่าง มากว่าสี่ปีจนจะพังมิพังแหล่ อีกหรือ น่าจะพอกันเสียทีแล้วนะ

ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ทั่นหัวหน้ากลาโหมพี่ใหญ่ คสช.บอกว่าเลือกตั้งกุมภา ๖๒ แน่ๆ ถ้าทำได้อย่างนั้นย่อมดีกว่าไม่ทำแน่นอน แต่ที่พูดอย่างนี้มันเหมือนโกหก ในเมื่อทั่นรองฯ ฝ่ายบริกรกฎหมายแบไต๋แล้วว่า

“การหารือกับพรรคการเมืองจะต้องรอความชัดเจนหลังกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้ จะทำให้การหารือดังกล่าว อาจจะไม่ใช่ในเดือน มิ.ย....ก็ไม่ควรจะใช่”

หมายความว่าจะยังไม่ปลดล็อคพรรคการเมืองให้เริ่มหาเสียงกันเตรียมเลือกตั้งอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ ก็จะทำให้การเลือกตั้งต้องขยับออกไปเป็นเดือนเมษา ๖๒ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนเวลาที่บ่งไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบ รธน.
 
โอเค ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นที่ สนช. ส่งร่าง พรป. เลือกตั้ง ส.ส. แล้วว่า ผ่านทั้งประเด็นมาตรา ๓๕ การจำกัดสิทธิดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่น ถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และมาตรา ๙๒ ที่ให้เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งช่วยกาบัตรแทนคนพิการและทุพพลภาพได้

จากนี้ไปก็จะต้องมีการกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน ๙๐ วัน จากนั้นเมื่อพระราชทานกลับลงมาภายใน ๙๐ วันแล้ว จึงจะมีเลือกตั้งได้ภายในอีก ๑๕๐ วัน ก็เท่ากับการเลือกตั้งต้องเลื่อนไปจากกุมภา ๖๒ อีก ๒ เดือน


แล้วอย่างนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังบอกว่า “เอานะ เขาพยายามจะทำให้ทันก็แล้วกันน่า” ได้อย่างไร

ในเมื่อนักข่าวอุตส่าห์ถามเปิดช่องให้ว่าจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จมาตรา ๔๔ เมินระเบียบกฎหมายที่พวก คสช.อ้างนักอ้างหนาว่าศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เลือกตั้งได้ทันเดือนกุมภาใช่ไหม พล.อ.ประวิตรดันตอบว่า “ไม่ต้องใช้”


ตอบอย่างข้างๆ คูๆ ไม่สมเหตุสมผลอย่างนี้ สมแล้วที่คนรุ่นใหม่ นักศึกษาหัวก้าวหน้าเช่น เนติวิทย์ โชติพัฒน์ไพศาล ไปประจานที่กรุงออสโลว่า คสช.ได้แต่เที่ยวไล่จับ ไล่ดำเนินคดีกับคนที่เรียกร้องประชาธิปไตย
แถมปิดท้ายรายการ Oslo Freedom Forum ประจำปี 2018 ที่นอร์เวย์ เน่เน่ยังชวนผู้เข้าร่วมงานลุกขึ้นยืนชูสามนิ้ว เป็นสัญญลักษณ์สนับสนุนกระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยกันพรึ่บทั้งหอประชุม


แน่นอนว่าเสียงจากหอประชุมกรุงออสโลกระหึ่มไปทั่วโลก แต่ในประเทศไทยภายใต้เผด็จการทหารยังคงเฉยเมยเช่นเคย ขณะที่กระบวนการกดขี่บีบคั้นดำเนินต่อไป

เมื่อคณะทหารมอบหมาย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ แจ้งความดำเนินคดีต่อกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่ออกมาจัดทำกิจกรรมปฏิเสธรัฐประหาร เพิ่มอีกกว่า ๕๐ คน
 
ทั้งในข้อหาความผิดต่อความมั่นคงฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้ารัฐประหาร ๓/๒๕๕๘ และความผิดฐานก่อกวนยุยงให้เกิดความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่องต่อ คสช. ในหมู่ประชาชน มาตรา ๑๑๖


ดูจะมีแต่ประเทศไทยที่ได้ฉายา กะลาแลนด์ แห่งนี้ที่เดียวละมังที่อ้างเป็นประเทศประชาธิปไตย (แต่มีสร้อยห้อยท้ายยาวเหยียด เป็นข้อจำกัด) ทั้งที่รัฐบาลมาจากการยึดอำนาจ อ้างคำสั่งคณะรัฐประหารเป็นกฎหมาย สร้างรัฐธรรมนูญที่กำหนดสภาแต่งตั้ง (ส่วนใหญ่จากทหาร) จำนวนครึ่งหนึ่งของสภาเลือกตั้ง มาเบียดบังอำนาจของตัวแทนประชาชน

แม้กระทั่งออกคำสั่งมายกเลิกตัวบทกฎหมายบางอย่าง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตามครรลองนิติบัญญัติปกติ ดังที่ คสช. ออกคำสั่งที่ ๕๓/๒๕๖๐ แก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองที่ประกาศใช้แล้ว (มาตรา ๑๔๐ กับ ๑๔๑)

เป็นการเพิ่มภาระให้แก่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งมามั่นคง และบั่นทอนศักยภาพทางการเมืองของพรรคเก่า เปิดทางพรรคเล็กพรรคน้อยเพิ่งจัดตั้งใหม่ๆ เกิดได้โดยง่ายจำนวนมาก กลายเป็นเบี้ยหัวแตกในสภาที่ต้องผ่านการเลือกตั้ง

ทั้งที่พรรคการเมืองใหญ่สองพรรค (เพื่อไทยและประชาธิปัตย์) ต่างร้องเรียนว่าเป็นการใช้อำนาจเผด็จการครอบงำกระบวนการนิติบัญญัติ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินกลับชี้ว่าคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว (๕๓/๖๐) มีสถานะเป็น บทบัญญัติแห่งกฎหมาย

โดยพฤติกรรมการตัดสินปัญหาข้อกฎหมายที่ผ่านมาในยุค คสช.นี้ เป็นที่คาดหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงผลการวินิจฉัยว่าความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ในวันที่ ๕ มิถุนายนนี้เช่นกัน

มิฉะนั้นจะต้องรอส่งกลับไปให้ สนช.ปรับแก้ใหม่หากศาลไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่ง การเลือกตั้งคงต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อยๆ สองเดือนจนได้

คลิปเนติวิทย์ ตอกหน้ารัฐทหารและชนชั้นปกครองในไทย บนเวทีโลก มาแล้ว





https://www.facebook.com/jim.bandon.94/videos/222373991874607/

****"ประกาศด่วน" ****
คลิปเนติวิทย์ บนเวทีโลกมาแล้ว
กรุณาแชร์ไปให้สู่สาธารณะชนให้มากที่สุด เพราะเนเน่ใช้เวทีนี้ตอกหน้ารัฐทหารและชนชั้นปกครองในไทยได้อย่างเสียงดังและได้ผลมากที่สุด (หาดูไม่ได้จากฟรีทีวีกระแสหลัก)
รีบๆแชร์เลยครับ
.......

เนติวิทย์ร่วมประชุมที่นอร์เวย์ ชวนทั่วโลก 'ชูสามนิ้ว' ต้านรัฐบาลทห---------

'เนติวิทย' ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมนานาชาติว่าด้วยเสรีภาพที่นอร์เวย์ ระบุไทยต้องปฏิรูปการศึกษาให้คนมีความคิดเชิงวิพากษ์ และมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แทนที่จะสยบยอม ทั้งยังเรียกร้องให้นานาชาติกดดัน คสช.ให้จัดการเลือกตั้งปีนี้ด้วย
การประชุมนานาชาติว่าด้วยเสรีภาพ ครั้งที่ 10 จัดขึ้นที่กรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ 29-30 พ.ค. โดยองค์กรไม่แสวงผลกำไร 'ออสโล ฟรีดอม ฟอรัม' (OFF) ซึ่งในปีนี้ 'เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล' นักกิจกรรมชาวไทย อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเชิญไปขึ้นเวทีในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิและเสรีภาพคนหนึ่งของไทย

เนติวิทย์ได้ขึ้นพูดต่อผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งมีทั้งนักกิจกรรม เจ้าหน้าที่รัฐบาล นักวิชาการ รวมถึงสื่อมวลชนจากหลายประเทศ ในหัวข้อ "นักศึกษาและกองทัพ" (The Students and the Military) ซึ่งเป็นการพูดถึงบทบาทของกลุ่มนักกิจกรรมที่เป็นนิสิตนักศึกษาและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อปี 2557 เป็นต้นมา โดยเนติวิทย์กล่าวเขาคงจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นพูดบนเวทีที่ออสโล ถ้าหากว่าเขาถูกจับพร้อมเพื่อนๆ ที่ออกไปชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งจากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ช่วงวันครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557

"ผมคงไม่ได้มาที่นี่ถ้าผมถูกจับพร้อมเพื่อนที่ออกไปประท้วงในวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เพื่อทวงการเลือกตั้งจากรัฐบาลทหาร ผมอยากจะขอยกย่องความมุ่งมั่นในจิตวิญญาณประชาธิปไตยของพวกเพื่อนๆ ผม ที่พยายามจะนำมา (ซึ่งประชาธิปไตย) ให้กับพวกเรา"

"ชีวิตผมไม่ได้ต่างจากเด็กไทยทั่วๆ ไป ผมโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางของสังคมไทย ผมเป็นเด็กที่เรียนได้ในระดับพอใช้ ผมไม่สนใจเรื่องการเมือง ผมยอมตัดผมเกรียนและสวมเครื่องแบบนักเรียนโดยไม่ตั้งคำถาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ทำหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน และเขียนบทความตั้งคำถามว่าทำไมครูถึงต้องมายุ่งกับศีรษะนักเรียน ผมขอให้ครูที่ผมเชื่อใจช่วยอ่านบทความ และต่อจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงเรียกจากเครื่องกระจายเสียงของโรงเรียน ให้ผมเข้าไปพบที่ห้องพักครู ผมถูกกักบริเวณ 5 ชั่วโมง เพียงเพราะผมเขียนบทความ ถามคำถามง่ายๆ ว่าทำไมครูต้องมายุ่งกับศีรษะของนักเรียน"

ประสบการณ์นี้ทำให้ภาพของผมในสายตาของครูเปลี่ยนไป จากนักเรียนธรรมดา กลายเป็นนักเรียนที่เป็นภัยต่อโรงเรียน ซึ่งผมถือว่ามันเป็นคำชมที่เป็นเกียรติกับผมมาก จนกระทั่งปี 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกองทัพคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล และส่งทหารไปควบคุมทั่วประเทศ เพราะมีการเคลื่อนไหวประท้วงการก่อรัฐประหาร และพวกเขาก็ตอบโต้ด้วยการจับกุมผู้ประท้วง ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้มีอำนาจในประเทศไทยใช้กำลังปะทะกับผู้ชุมนุม เมื่อ 40 ปีก่อน นักศึกษาจำนวนมากก็ถูกสังหารหมู่ด้วยฝีมือของผู้มีอำนาจในระดับที่ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน

เมื่อปี 2559 ในฐานะที่เป็นนิสิตคนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถูกมองว่าเป็นสถาบันของพวกอนุรักษนิยม เพื่อนร่วมชั้นของผม และตัวผมเอง ได้ตัดสินใจเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญด้วยการพยายามจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ผมเชิญโจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยในฮ่องกงเพื่อเข้าร่วมเวทีพูดคุย เพื่อให้เขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนในไทย แต่ผมตกใจมากเมื่อผมไปรอเขาที่สนามบินอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง แต่เขาก็ไม่มา และตอนหลังผมเพิ่งรู้ว่า เขาถูกเจ้าหน้าที่ของทางการไทยควบคุมตัว และถูกส่งตัวกลับฮ่องกงในวันต่อมา นั่นเป็นครั้งแรก ภายใต้อรัฐบาลทหาร ที่ผมรู้สึกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเสรีภาพที่เราเคยมี และประเทศของผมตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีนเสียแล้ว

ปีถัดมา ผมได้รับเลือกเป็นประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมและเพื่อนร่วมสภาได้ตัดสินใจเดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนิสิตใหม่แรกเข้า ซึ่งนักศึกษาปี 1 ต้องหมอบกราบต่อหน้าพระรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผมเลือกที่จะยืนขึ้นแทน เพื่อรำลึกถึงพระดำริของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงประกาศเลิกทาส สิ่งที่ผมและเพื่อนทำลงไปกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงวิชาการ และอาจารย์จำนวนหนึ่งกล่าวหาว่าผมแสดงอาการก้าวร้าวแข็งข้อ และพยายามจัดฉาก และศิษย์เก่าหลายคนเรียกร้องให้ไล่ผมออก รวมถึงปลดผมออกจากการเป็นประธานสภานิสิต เช่นเดียวกับเพื่อนนิสิตคนอื่นๆ ที่เลือกจะยืน ถูกตัดคะแนนประพฤติทั้งหมด

พวกเราเจอลงโทษหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้พวกเราได้รับการสนับสนุนจากคนไทยจำนวนมาก รวมถึงนักวิชาการทั่วโลก ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 8 ราย และนักวิชาการอีกกว่า 100 ราย แสดงความกังวล และเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทบทวนการกระทำดังกล่าว เพราะพวกเราก็เป็นแค่นิสิตที่ต้องการแสดงความคิดเห็นของเราออกมา พวกเราไม่ได้มีอาวุธ แต่เรากลับถูกทำให้เงียบ

ล่าสุด ในประเทศไทย นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งเปิดโปงกระบวนการทุจริตครั้งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการฉ้อโกงเงินช่วยเหลือคนยากจน แต่อิทธิพลของกองทัพกำลังเข้าครอบงำสถาบันการศึกษาไทย พวกเขาได้เพิ่มหลักสูตรเกี่ยวกับหน้าที่พลเรือน ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เป็นการสอนให้คุณเป็นนักเรียนที่ดีที่เชื่อฟัง และผู้ดูแลการตรวจสอบขบวนการทุจริตที่ผมว่าก็เป็นรองนายกรัฐมนตรีซึ่งมีนาฬิกาหรูอยู่ในครอบครอง 25 เรือน และยังไม่มีใครแตะต้อง

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็เปิดทางให้รัฐบาลทหารกลับมามีอำนาจได้ใหม่ในอนาคต วุฒิสมาชิกจำนวนเกือบครึ่งจะถูกแต่งตั้ง แทนที่จะถูกเลือกตั้งมาโดยประชาชน สิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกนำไปเป็นข้ออ้างในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผู้ที่เห็นต่าง เช่น เพื่อนของผมซึ่งเป็นนักกิจกรรมคนหนึ่งชื่อว่า ไผ่ ดาวดิน แชร์บทความของสำนักข่าวบีบีซีไทยในเฟซบุ๊ก และเขาเป็นคนเดียวที่ถูกจับ แต่คนอีกกว่า 2,600 คนที่แชร์บทความเดียวกัน กลับไม่ได้ถูกจับแต่อย่างใด"

และในปีนี้ หลังจากที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง ทำให้ผมได้รับเกียรติอีกครั้ง ด้วยการถูก (ตำรวจ) ตั้งข้อหา เป็นแกนนำ ยุยงปลุกปั่น และก่อให้เกิดความไม่สงบ ละเมิดคำสั่ง คสช. ซึ่งถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริงก็อาจจะถูกลงโทษจำคุก 6-7 ปี และผมเพิ่งได้รับข่าวจากเพื่อนว่าผมอาจจะโดนเพิ่มอีกข้อหา แต่ผมก็ยังมีความหวังว่าไทยจะดีขึ้น ความหวังนั้นยังไม่หายไปไหน

เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เฟซบุ๊กเพจที่แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลทหาร ได้จัดทำโพลสอบถามความเห็นประชาชนผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าพวกเขายังคงสนับสนุนรัฐบาลทหารอยู่หรือเปล่า น่าประหลาดใจมากที่ร้อยละ 97 ของผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 300,000 คน ตอบว่า 'ไม่' แม้ว่าจะมีการประท้วงและล้มเหลว บางครั้งเราถูกจับ และบางครั้งทหารก็ตามไปถึงบ้านคนที่ออกมาประท้วง แต่คนไทยไม่ยอมแพ้ และเวลานั้นจะมาถึง เวลาที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นถูกต้อง"

ก่อนจบคำกล่าวบนเวที เนติวิทย์ได้ขอความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมการประชุม OFF รวมถึงตัวแทนประเทศยุโรปและนักกิจกรรมทั่วโลกให้ลุกข้ึนยืนและชูสามนิ้วเพื่อเป็นสัญลักษณ์สนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย และช่วยกดดันรัฐบาลทหารให้จัดการเลือกตั้งโดยไม่เลื่อนกำหนดออกไปอีก ซึ่งผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้ลุกขึ้นยืนและชูสามนิ้วไปพร้อมกับเนติวิทย์ด้วย

ทั้งนี้ OFF มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ และเป็นการรวมตัวกันของเครือข่ายนักต่อสู้เพื่อสันติภาพ เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนจากทั่วโล และการประชุม OFF จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา โดยผู้พูดที่ร่วมเวทีเดียวกับเนติวิทย์ในปีนี้ รวมไปถึง 'วาเอล โกนิม' หัวหน้าฝ่ายการตลาดของกูเกิล ภาคพื้นตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกระแส 'อาหรับสปริงส์' ล้มล้างรัฐบาลเผด็จการ 'ฮอสนี มูบารัค' ของอียิปต์ และ 'อัสมา คาลิฟะ' นักกิจกรรมรุ่นใหม่ที่สนับสนุนสิทธิสตรีและสันติภาพจากประเทศลิเบีย



“ถ้ารัฐเป็นเจ้าของ ปตท.100%” เราจะได้ใช้น้ำมันราคาถูกจริงหรือ?





“ถ้ารัฐเป็นเจ้าของ ปตท.100%” เราจะได้ใช้น้ำมันราคาถูกจริงหรือ? อยากให้คนที่เสนอแบบนี้ ยกตัวอย่างมาสักประเทศซึ่งไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเองเพียงพอ ซื้อกิจการพลังงานกลับมาเป็นของรัฐ ให้ข้าราชการเข้าไปบริหารกิจการพลังงาน แล้วประชาชนได้ใช้น้ำมันราคาถูกจริง

“เวเนซูเอลา” เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกมาก ขนาดเป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันเป็นของตนเอง (มากสุดในโลกด้วย) การที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมกิจการพลังงานทั้งหมด หรือที่เรียกว่า “nationalization” เริ่มจากปี 2007 เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการไหลออกของประชากร (Bolivarian diaspora) จากประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากสุดในโลก หลายล้านคนในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้ UNHCR ต้องจัดงบประมาณและเจ้าหน้าที่เพื่อให้ความช่วยเหลือกับผู้ลี้ภัยจากเวเนซูเอลาในบราซิล โคลอมเบีย และอื่น ๆ (http://wapo.st/venezuelaexodus) ทำไม?

เพราะการเอา “รัฐราชการ” เข้าไปบริหารกิจการเหล่านี้ ทำให้ไม่เกิด “การแข่งขัน” โดยเฉพาะการลดต้นทุนการผลิต(https://econ.st/2ku1Yt8) “เช้าชามเย็นชาม” เราได้ยินกันบ่อย ๆ ข้าราชการไม่มีแรงจูงใจทางการเงินที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นานวันเข้า กิจการน้ำมันในเวเนซูเอลาจึงแข่งขันกับประเทศ/บริษัทอื่นไม่ได้ ผลิตได้น้อยกว่า เพราะเทคโนโลยีต่ำ ต้นทุนสูงกว่า จะไปสู้อะไรกับเขา

ขนาดประเทศที่ผลิตน้ำมันได้เอง ยังเจ๊งเพราะ nationalization ไทยซึ่งเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน (เรามีน้ำมันดิบในประเทศน้อยครับ ยอมรับความจริงเถอะ) จะประสบความสำเร็จได้หรือ? ต้องยอมรับว่าการต่อต้าน “privatization” เคยเป็นกระแสมาช่วงหนึ่ง แต่มันไม่น่าจะเป็น “คำตอบสำเร็จรูป” กับทุกภาคการผลิตและบริการในสังคม ควรแยกแยะครับ

ปล.นี่ยังไม่พูดถึงว่าการโอนกิจการพลังงานกลับมาเป็นของรัฐ ยังอาจนำไปสู่การคอร์รัปชันครั้งใหญ่ (ก็เราไว้ใจข้าราชการไทยได้หรือ โกงเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ข้าราชการที่เป็นพระก็ยังโกง) คอร์รัปชันกรณี Petrobras หรือ PDVSA น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีนะครับ


Pipob Udomittipong

...

เกรียงไกร ทีฆมงคล ยังจำภาพปั๊มสามทหารในอดีตได้

Sorapong Thana รัฐไทยที่เป็นทหาร ทำอะไรก็เละ

Kumron Chudecha น้ำมันแพง ก็เพราะโครงสร้างทางภาษี ที่รัฐ กำหนด ส่วน ปตท ก็ บริษัทของรัฐ อยู่แล้ว ผ่านการถือหุ้นของ คลัง 51% และกองทุนวายุภัต อีก สิบกว่า %

นิวัต พุทธประสาท เป็นของรัฐนึกแล้วสยอง เผลออาจจะต้องเอางบประมาณไปอุดหนุนอีกด้วย

Nattachai Svettanandana ความชิบหายวายป่วงจะเกิดทันทีที่เป็นจองรัฐร้อยเปอเซนต์

Sawat Nuntawichawutsan อย่าให้รัฐบาลบริหาร ปตท.เลย เดี๋ยวปตท.จากกำไรเป็นขาดทุนแบบขสมก. และการรถไฟที่ขาดทุนแบบชาตินี้ก็ใช้หนี้ไม่หมด

Awipat Pautaisiri ถ้าปตท.อยู่ในมือรัฐ100% ชิปหายหมดค่ะ

อ่านความเห็นเพิ่มที่...



‘บิ๊กป้อม’ เผยแล้ว ‘จับสุวิทย์ ผมไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รายงานมาที่ผม!’ (เป็นรองนายกฝ่ายความมั่นคง แต่ไม่มีใครรายงาน เป็นไปได้ไหม ????)





เมื่อเวลา09.30 น. วันที่ 30 พ.ค.ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการปลุกกระแสต่อต้านการกระทำเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บุกจับอดีตพระพุทธอิสระ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานตามวิธีการของเขา และเป็นไปตามระเบียบ กฎข้อบังคับ แต่การดำเนินการครั้งนี้ทำให้คนที่ศรัทธาต่ออดีตพระพุทธอิสระเกิดความไม่พอใจ ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ขอโทษในภาพรวมไปแล้ว และยอมรับว่าเรื่องนี้มีทั้งคนชอบ ไม่ชอบ แต่คิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีอะไร

เมื่อถามว่า โดยปกติการปฏิบัติของตำรวจจะเบากว่านี้ ได้ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ขณะนั้น ที่จะตกลงใจ

เมื่อถามอีกว่า การเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับอดีตพระพุทธอิสระ ท่านรู้ล่วงหน้า หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมไม่รู้มาก่อน เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ดำเนินการ เป็นเรื่องคดีความ และไม่ได้รายงานมาที่ผม”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ช่วงหลังมีการเผยแพร่ภาพ นายกฯ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์ ถ่ายภาพหมู่กับอดีตพระพุทธอิสระฯ หลังทำพิธี ปลุกเสกพระ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คิดว่าเป็นความพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ แต่ตนยืนยันว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตพระพุทธอิสระแต่อย่างใดอย่างไรก็ตามภาพที่มีการเผยแพร่นั้น เป็นพิธีที่มีการเชิญพระไป ซึ่งท่านนายกฯ ได้ชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่เจิมหน้าผาก เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้นั้น คิดว่าก็ท่านเป็นพระ

...

...ซาลิม ลิ้มเหลืองสุบรรณ ถ้ามันไม่แกล้งหักหลังหรือไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ เงานหัวพวกมันก็เริ่มเลือนรางแล้ว ขอให้พวกมันตามอาจารย์มันไปอยู่ด้วย ปรี้ดๆ

Sirote Klampaiboon (ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์)
คุณประวิตรให้สัมภาษณ์สื่อว่าไม่รู้เรื่องจับพุทธะอิสระเพราะตำรวจไม่ได้รายงานมา ถ้าคำพูดนี้เป็นจริง เรื่องนี้คงต้องถามต่อว่าอะไรทำให้ตำรวจเห็นว่าการจับ "นายสุวิทย์" ต้องไม่ให้รองนายกนายพลรับรู้ แต่ก็น่าสงสัยอยู่ดีว่าจริงหรือที่ตำรวจจะทำอะไรแบบนี้โดยไม่รายงานให้รองหัวหน้าคสช.และรองนายกผู้คุมตำรวจรู้เรื่อง หรือว่าจริงๆ คุณประวิตรพูดแบบนี้เพื่อหลบความไม่พอใจจากสื่อและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองที่เป็นลูกศิษย์นายสุวิทย์หลายคน

ooo



ทำความรู้จักกับ "ผู้กำกับเอ็ม" พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้สยบโล้นอิสระ ! ....เล่าให้หนาว !





ผู้สยบโล้นอิสระ ! ....เล่าให้หนาว !

พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง "ผู้กำกับเอ็ม"
เป็นน้องชาย พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง

ตำแหน่ง ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.5 บก.ป.)
รับผิดชอบในเขตพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และ 8

ปีนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร. จัดแข่งขันยิงปืน
International Defensive Pistol Association
ชิงถ้วยรางวัลที่สนามศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3

ผลปรากฏว่า พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง
ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม
ทำคะแนนเป็นที่ 1 ในดิวิชั่น ESP ด้วยเวลา 198.65 วินาที

ที่ผ่านมา....
กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม

คือ หน่วยงานที่รวมสุดยอดตำรวจนักสืบ
สมองปราดเปรื่องเข้าไว้ด้วยกันหลายต่อหลายนาย
สาวปมลึกคดียิ่งใหญ่ซับซ้อนระดับประเทศ
สืบสวนสะสางหยิบยื่นความยุติธรรมให้ประชาชน

ลากตัวคนผิด มาชดใช้กรรมหลายคดีนับไม่ถ้วน !

ในหน่วยงานมีทั้ง บุคลากร รุ่นเก่า - รุ่นใหม่
มีเทคโนโลยีการสืบจับที่ทันสมัย

หน่วยงานนี้ ปราบปรามการก่อการร้าย
การก่อวินาศกรรม
จับกุมคนร้ายที่มีอาวุธร้ายแรงทั่วราชอาณาจักร
ปฏิบัติงานด้านรถสายตรวจ

มีหน้าที่ถวายความอารักขา
และรักษาความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี
พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์
พระราชอาคันตุกะ และบุคคลสำคัญ

ความสามารถของ
กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม นี้
ไม่ธรรมดาจริงๆ

ใครที่ปากพล่อย ปากหมา ไปว่าตำรวจที่เข้าจับกุมไอ้โล้นอิสระ
หุบปากไว้บ้างก็ดี เดี๋ยวจะหาว่า

กรูไม่เตือน 😂


บรรจบ ขุมทอง




...




 ใครที่ปากพล่อย ปากหมา ไปว่าตำรวจที่เข้าจับกุมไอ้โล้นอิสระ
หุบปากไว้บ้างก็ดี เดี๋ยวจะหาว่า

กรูไม่เตือน 😂


บรรจบ ขุมทอง


เรื่องดีๆ... วันนี้ข่าวมติชนระบุว่า แม้ว-ปู” โผล่อเมริกา เยี่ยมชมอนุสาวรีย์ลินคอล์น กรุงวอชิงตัน นายกฯ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ มีนัดหมายเข้าพบ ทรัมป์ไม๊? ห้ามกระพริบตา !!!





ตอนนายกฯยิ่งลักษณ์ มาญี่ปุ่น
คนที่ถ่ายรูปกับ นายกฯยิ่งลักษณ์ บอกเราว่า
นายกฯยิ่งลักษณ์ บอกเขา ว่าจะไปเยือน สหรัฐอเมริกา
พอเรารู้เราก็โพสต์ว่า ห้ามกระพริบตา Oops!
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2057802097880702&id=100009527940203

แล้ววันนี้ข่าวมติชนระบุว่า

แม้ว-ปู” โผล่อเมริกา
เยี่ยมชมอนุสาวรีย์ลินคอล์น กรุงวอชิงตัน

เอางี้นะ... เพื่อนรักนายกฯ ทักษิณ ที่อยู่จีน
ที่ชื่อ นายชาญชัย หรือ เหยียน ปิน เขาสนิทกับ ทรัมป์
เวลา เหยียน ปิน ไปสหรัฐฯ
เขาก็ไปหาทรัมป์ ที่ ทรัมป์ทาวเวอร์ ในแมนแฮตตัน, นครนิวยอร์ก

เหยียน ปิน พา นายกฯ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เข้าพบ ทรัมป์ ได้ไหม?

ถ้านัดหมาย ก็พบได้นะ

อย่างที่เคยบอกล่ะครับ ทั้งสองท่านไปสหรัฐฯครั้งนี้
ห้ามกระพริบตาจริงๆด้วย !!!!

พักนี้พวกเรามีแต่เรื่องดีๆนะ ว่ามั๊ย 😁

📰📰📰📰📰📰

ส่วนข่าวมติชน บอกว่า

แม้ว-ปู” โผล่อเมริกา
เยี่ยมชมอนุสาวรีย์ลินคอล์น กรุงวอชิงตัน

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ผู้สื่อรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้เดินทางไปยังอนุสรณ์สถานลินคอล์น และเข้าไปชมอนุสาวรีย์ลินคอล์น ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี อีกด้วย

ทั้งนี้ แหล่งระบุว่า ก่อนหน้านี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เดินทางมาแถบเอเชียช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จากนั้น นายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เดินทาง และพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษระยะหนึ่ง คาดว่าจะบินไปเพื่อดำเนินการเรื่องวีซ่าที่เป็นข่าว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ อดีตนายกฯทั้ง 2 คนได้เดินทางออกจากประเทศฝั่งยุโรป และเดินทางต่อไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่า 2 อดีตนายกฯ จะพักอยู่ที่แถบอเมริการะยะหนึ่ง ก่อนเดินเดินทางกลับมาโซนยุโรปอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน
https://www.matichon.co.th/politics/news_978060 .


บรรจบ ขุมทอง

ยุทธศาสตร์ คสช. ทำให้คนไทยจนลง?





คอลัมน์ โลกอสังหาฯ “ยุทธศาสตร์ คสช. ทำให้คนไทยจนลง? “


May 30, 2018
โดย โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 1-8 มิถุนายน 2561)


ในขณะที่เราเห็นรัฐบาลคล้ายกับขมีขมันในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ แต่เศรษฐกิจของชาติก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น ยกเว้นตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดูขัดกับความเป็นจริงเป็นอย่างยิ่ง เลยทำให้คิดได้ว่ารัฐบาล คสช. กำลังพยายามทำให้ไทยจนลงหรือเปล่า เพราะถ้ายิ่งจนก็ยิ่งต้องพึ่งพิงรัฐบาล ไม่กล้าออกมาเรียกร้องอะไรมากนัก หรือไม่ก็ไม่มีเวลาเรียกร้องแล้ว ประชาชนมัวแต่ “ปากกัดตีนถีบ” อยู่

เมื่อเร็วๆนี้นายกรัฐมนตรีออกมาโวว่า ตัวเลข GDP ขยายตัวเป็น 4.8% (https://bit.ly/2IXvXEj) นั่นเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะมาจากการลงทุนของรัฐด้านสาธารณูปโภคเป็นหลัก อีกด้านหนึ่งอัตราการเติบโตของ GDP ไทยต่ำที่สุดในอาเซียน ดีกว่าเฉพาะสิงคโปร์และบรูไนที่เป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวรวยกว่าไทยถึง 5-7 เท่า ตัวเลข 4.8% นั้น “จิ๊บจ๊อย” เมื่อเทียบกับสมัยยิ่งลักษณ์ที่ GDP เติบโตจาก 0.8% ในปี 2554 เป็น 7.2% ในปีถัดมา

ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ประชาชนผิดหวังที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ (https://bit.ly/2kf7S14) สิ่งบั่นทอนทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ยาบ้าก็ไม่ได้ปราบ ปล่อยให้หวยใต้ดินครองเมืองโดยไม่ยอมทำหวยบนดินให้ประชาชนอีก 400,000 คนมีงานทำ (https://bit.ly/2HqV2H2) ที่โฆษณาว่าช่วยชาวบ้าน เช่น แจกบัตรคนจน-คนชรา ก็ได้เงินกันเฉลี่ยคนละ 500 บาท ถ้าแจกสัก 12 ล้านคน ก็เป็นเงินแค่ 6,000 ล้านบาท ไม่พอซื้อเรือดำน้ำสักครึ่งลำด้วยซ้ำไป กองทุนหมู่บ้านก็เอาไปสร้างถนน เงินก็จม ไม่เกิดโภคผลต่อการหมุนเวียน ต่างจากยุคทักษิณที่ให้เบ็ด ไม่ได้ให้ปลาแบบนี้

ที่ผ่านมาไทยเอาแต่บำรุงเลี้ยงข้าราชการ

1.ราชการส่วนภูมิภาค หรือก็คือแขนขาของราชการส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่างๆนั้น มีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมากถึง 360,928 คน ตามข้อมูลคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นข้อมูลเผยแพร่ล่าสุด ข้าราชการส่วนภูมิภาคจำนวนนี้มีสัดส่วนถึง 17% ของข้าราชการทั้งหมด

2.ราชการส่วนท้องถิ่น มีกำลังคนเพียง 22% เท่านั้น ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในจังหวัดภูมิภาคหรือในชนบท กลับมีข้าราชการไป “รับใช้ประชาชน” น้อยมาก

3.ที่น่าสังเกตก็คือ ราชการส่วนกลางที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีข้าราชการรวมกันถึง 1,267,609 คน หรือราว 61% ของทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงองคาพยพที่ใหญ่โตมากของระบบราชการที่อาจมีกำลังคนเกินความจำเป็น (นอกจากนั้นข้อมูลข้างต้นยังรวมเฉพาะในส่วนของกำลังคนในฝ่ายพลเรือนเท่านั้น ยังไม่รวมรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการทหารที่มีอีก)

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน (ณ ปี 2558) ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากร รวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆ อย่าง ค่ารักษาพยาบาล และบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล เมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้นๆในเอเชีย รองจากบาห์เรนและมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ประมาณ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%) (http://bit.ly/1zgXzfh)

ในอดีตประเทศไทยมีแต่ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจดทะเบียนต่างๆต้องไปติดต่อที่อำเภอหรือจังหวัด แต่ในปัจจุบันเรามีราชการส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าบทบาทของอำเภอหรือจังหวัดมีน้อยลงมาก ยกเว้นอำนาจจากส่วนกลางที่พยายามจะรักษาไว้เพื่อการควบคุมส่วนท้องถิ่น

อันที่จริงควรมีการเลือกตั้งนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อการกระจายอำนาจ นี่จึงเป็นการปฏิรูประบบราชการที่แท้ และให้อำนาจตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูจากแนวโน้มประเทศไทย เราคงเดินไปในแนวทางที่จะให้อำนาจข้าราชการประจำมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมท้องถิ่นให้มีอำนาจจริง

นี่คือสาเหตุที่ไทยเรามีการสร้าง “ศูนย์ราชการ” ใหม่ๆทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมากมายแทบทุกจังหวัด ที่ทำการศาลใหม่ๆ สังเกตดูในลอนดอน ปารีส โรม ที่มีความเป็นเมืองมานับพันๆปี ไม่เคยต้องสร้างศูนย์ราชการใหม่ ทุกอย่างยังอยู่ใจกลางเมือง ทั้งนี้ เพราะเขาทำระบบราชการให้มีขนาดเล็ก ไม่อุ้ยอ้ายเช่นกรณีประเทศไทย

จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีนายพลมากกว่ากองทัพสหรัฐอเมริกาอันเกรียงไกรที่มีจำนวนประชากรมากกว่าเรา 5 เท่าเสียอีก (https://bit.ly/2xsMbnO) หรือการสร้างบ้านพักศาลก็ใช้เงินถึง 1,000 ล้านบาทสำหรับ 200 คนเท่านั้น (https://bit.ly/2qSPFcK)

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า “ในช่วงครึ่งปีหลัง (2561) อัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น การกระเตื้องขึ้นของการลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มคนเพียง 6 ตระกูลถือครองความมั่งคั่งเท่ากับคนเกือบ 50 ล้านคน และครอบครองทรัพย์สินมากกว่า 1 ใน 4 ของทั้งระบบ ผลประโยชน์ที่เติบโตขึ้นจะไปกระจุกตัวอยู่ในมือเจ้าของทุน คนรวยจะรวยยิ่งขึ้น คนจนจะไม่ดีขึ้นนัก แต่คนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยจะกลายเป็นคนยากจน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในระบบทุนนิยมโดยทั่วไป” (https://bit.ly/2H321F1)

ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่ายุทธศาสตร์ของรัฐบาล คสช. คือ

1.ให้ลาภแก่ข้าราชการและนายทุนใหญ่ให้รวยและสบายขึ้น

2.ประชาชนทั่วไป ปล่อยให้จนลงไปเรื่อยๆ จะได้ขาดอิสรภาพทางการเงิน และขึ้นต่อเงินช่วยเหลือของรัฐบาล

3.โปรแกรมการช่วยเหลือต่างๆที่โฆษณาชวนเชื่อไว้ล้วนใช้เงินน้อยนิด ไม่ได้มีโภคผลที่ดีต่อประชาชนนัก เช่น การช่วยคนชรา คนจน ที่จ่ายคนละ 300-1,000 บาท แม้จะจ่ายถึง 15 ล้านคน ก็เป็นเงินน้อยนิดเมื่อเทียบกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการกลุ่มต่างๆ หรือการจัดซื้ออาวุธ

4.ภัยร้ายต่อเศรษฐกิจ เช่น ยาบ้า หวยใต้ดิน ล็อตเตอรี่แพง ก็ไม่ได้ปราบ หรือปราบแต่ไม่ได้ผล เพราะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจมีอิทธิพลทางการเมือง

5.โครงการกองทุนระดับหมู่บ้านเป็นการ “ให้ปลา” มากกว่า “ให้เบ็ด” ทำให้ไม่อาจต่อยอดได้เท่าที่ควร

ยุทธศาสตร์แบบนี้ต่อไปจะยิ่งมีความเหลื่อมล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ประเทศก็จะขาดความมั่นคง ไม่เป็นปึกแผ่น ยิ่งแบ่งแยกยิ่งปกครองง่าย

The Student vs The Military: Netiwit Chotiphatphaisal addresses the Oslo Freedom Forum with a talk on student resistance to dictatorship in Thailand


...



https://www.facebook.com/zenjournalist/videos/10156048378701154/

...

เรื่องเกี่ยวข้อง...

'ชูสามนิ้ว' ไกลถึงนอร์เวย์ เนติวิทย์เล่าสถานการณ์ปัญหาพร้อมชวนต่างชาติร่วมกิจกรรม

(https://prachatai.com/journal/2018/05/77210)



"เราจะเจรจาเรื่องต่าง ๆ เมื่อไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วเท่านั้น" อียู ยืนยันไม่ได้ปรับท่าทีอ่อนลงต่อไทย กรณีประยุทธ์ "เยือนสหภาพยุโรป" (เมื่ออียูประกาศเช่นนี้แล้ว จะไปทำไมเสียดายภาษีประชาชน)



อ่านบทความเต็มที่...
https://www.bbc.com/thai/thailand-44164689


Queenie JS Supapattranon ชอบ EU จัง มีความชัดเจนยึดมั่นในหลักการดี เขายอมซื้อของแพง แต่เขาไม่ขอสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ พัฒนาได้แล้วนะ ทรัพยากรมีเยอะ จุดเด่นมีเยอะ แต่บริหารไม่เปน เสียดายป.ดีๆ

Chanchai Prathedrat เมื่ออียูประกาศเช่นนี้แล้ว จะไปทำไมเสียดายภาษีประชาชน

วันพุธ, พฤษภาคม 30, 2561

"ถ้าฉันเป็นลุงตู่" ไปดูเด็กประกาศจิตสำนึกกัน มันๆ

ไม่เข็ดจริงอย่างที่ Peace News เขาว่าแหละ เพจ ขอล้าน Like สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกจัดทำโพลอีก เสาะหา “ระดับความสุขของคนไทย ในโอกาสครบรอบ ๔ ปี ที่ คสช. เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ

ได้เรื่อง เจอเหาใส่หัว ผลการกดโหวตวันแรกเมื่อเวลา 15.00 น. มีการกด “Happy” แค่ 4% ส่วน “Unhappy” มีถึง 96%” พี้ชนิวส์เค้าตามติดสถานการณ์ต่อจากรายงานข่าวมติชนสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้หน่อย
 
“เมื่อเวลา 13.00 น. หลังจากเปิดให้โหวตประมาณ 1 ชั่วโมง มีคนมีกดโหวตลงคะแนน 558 โหวต รายงานเบื้องต้น คือ “Happy” มี 7 เปอร์เซ็นต์ ส่วน “Unhappy” มีถึง 93 เปอร์เซ็นต์”

จัดว่าไม่เลวเหมือนกัน โพลนี้ตีตื้นขึ้นมาได้ ๑ เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลาสองชั่วโมง แต่ไม่จำเป็นต้องตามลุ้นอีกต่อไป สงสัยจะปิดโพลหนีเหมือนครั้งที่แล้ว

ตอนที่ทำโพลหาคนสนับสนุน ลุงตูบ เป็นนายกฯ ต่อนั้น ซึ่งปรากฏคนเข้าไปโหวตกันครึ่งล้าน ๙๐ เปอร์เซ็นต์กาทิ้งไม่เอาแล้ว พอกันที บอก “ไม่สนับสนุน” คราวนี้บิดหัวข้อนิดหน่อย ให้เวลาโหวต ๖ วัน ตั้งแต่ ๒๙ พ.ค. เป็นต้นมา

ระหว่างรอผลนี่ลองไปดูผลสอบถามความเห็นกลุ่มเด็กๆ เป็นกระสายไปพลางๆ ก็ได้

เก็บมาจากหน้านี้ (ตอนนั้นแชร์กัน ๑๑๒ รายแล้วละ)
#ถ้าฉันเป็นลุงตู่ (กิจกรรมเมื่อวาน) ชอบการขยายความของน้องๆมากกกกกกกกก อยากให้ลุงมาฟังเองเลยอ่ะ 5555
ดูแล้วเห็นท่าว่าเขาจัดกิจกรรมให้เด็กออกความเห็นเป็นกลุ่มๆ โดยเขียนลงในกระดาษ ๑ แผ่น ๑ กลุ่ม (เราคัดมาพอสังเขป) ได้ความว่า 

กลุ่ม อุ๊ย! นก : ทำกร๊าฟฟิคน่าประทับใจ โดยมีข้อใหญ่ใจความให้ 'ลาออก' สถานเดียว นอกนั้นบอกว่า "ยกเลิก คสช." บ้าง "ขายเรือดำน้ำทิ้ง" และ "เลือกตั้งใหม่" ปิดท้ายของกลุ่มนี้ ว่าถ้าพวกเขาเป็นลุงตู่ จะ "เลิกงอแง"

กลุ่มต่อมาใช้ชื่อ โอ๊ย! นก : ค่อนข้างซีเรียส เช่น "จะรับฟังความคิดเห็นของเด็กและเยาวชน" และก็ "ขายเรือดำน้ำและนำเงินไปช่วยคนยากจน" แล้วยังจะ "ส่งเสริมอาชีพเสริมให้เยาวชน ให้เกิดรายได้ในเวลาเรียน" กับที่ขาดไม่ได้ "จะให้มีการเลือกตั้ง" รวมทั้ง "จะไม่ให้เสือดำตายฟรี"

อีกกลุ่ม นาม อู้ว้าว! หอย! : เค้ามีไอเดียดีๆ เชียวละ "สร้างรถไฟเชื่อมทุกจังหวัด" (หมายถึง BTS) เพราะเหตุว่า (รถติด) เอย "สร้างชั้นบรรยากาศรอบประเทศ + ติดแอร์ (ร้อน)" และ "เปลี่ยนระบบการศึกษา" (เพราะที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ "เรียนหนักจัด" เกิ๊น)

กับนอกจาก "สนับสนุนรถเมล์ฟรี (เนื่องจาก "คนจนเยอะ, เศรษฐกิจตกต่ำ") แล้วเค้าบอกว่า "ไม่ซื้อเรือดำน้ำ" (ได้มั้ย มันเปลือง) อีกทั้ง "ไม่ต้องมี คสช.ตอนเย็น" (ลุงแก "พูดแต่เรื่องเดิม" อะ) ถ้าจะให้ดีเขาว่า "ลดเงินเดือนตนเอง" (จะได้ "เป็นตัวอย่างเรื่องเสียสละ" ไง)

กลุ่มต่อไปเรียกตัวเองว่า เอ๊อะเบียด : กลุ่มนี้เปิดฉาก "ไล่บิ๊กตู่ออก" ประการแรก นอกนั้นก็ให้ "มีการเลือกตั้ง" "จับตัวคนฆ่าเสือดำ" "ลดราคาน้ำมัน" ตามควรแห่งประเด็นสาธารณะ 

หากแต่ที่จะจะ แจ้งแจ้งก็เรื่องส่วนตัว อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นบิ๊กตู่ หนูจะ "คิดก่อนทำ" และ "ใช้คำพูด + กิริยาที่มีความเป็นผู้นำประเทศมากกว่านี้" 

(หมายเหตุ กลุ่มนี้เขียนการ์ตูนลุงตู่ได้เจ๋ง)

สำหรับกลุ่ม อัยยะ! เข้ : ค่อนข้างเข้มข้น แต่ก็มี 'tone' น้ำเสียงสรรพยอกเล็กน้อย ไม่เพียง "เลือกตั้งใหม่...จะตามหาคนฆ่าเสือดำให้เจอ" จะเอา "เสาไฟฟ้าลงดิน" "ลดราคาน้ำมันให้พอประมาณกับรายได้ของคนไทย" "อยากให้มีทุนการศึกษาให้กับเด็กยากจน" และ "จะไม่ให้ #Dek 62 ใช้ระบบ TCAS" เท่านั้น

พวกเขาไม่ลืมที่จะบอกให้ "ไม่หงุดหงิดเวลานักข่าวถาม" กับ "จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ถึงแม้จะถูกโดนประชาชนตำหนิ"

ปิดท้ายด้วยกลุ่มที่ตั้งชื่อน่าเกรงว่า ตายแล้ว!! นก : พูดถึงประเด็นที่คนรุ่นลุงตู่ไม่ค่อยจะ 'อิน' กันนักละ ประเภท "ลดการใช้น้ำมันและแก๊สธรรมชาติในรถ เปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า" "เพิ่มทุนเรียนฟรีมากกว่าเดิม" และ "ไวไฟฟรีทั้งประเทศ" 

แล้วยังพูดถึงสิ่งที่กำลังแซร่ซร้องร้องหากัน ได้แก่ "จับคนฆ่าเสือดำ รับฟังความเห็นประชาชน เลือกตั้งหาผู้บริหารประเทศ NEW!" 

ข้อสังเกตุ ขาดไปอย่างประเด็นฮิตเรื่องนาฬิกาหะรูหลายสิบเรือน ฤๅว่านั่นเป็นเรื่องของผู้สูงอายุอยากอยู่นาน พวกเขาเลยผ่านเลยไป สมัยนี้มีแต่เศรษฐี ไฮโซ ที่ใช้นาฬิกา เด็กรุ่นใหม่ชาวบ้านธรรมดาใช้สม้าร์ทโฟนเห็นเวลาเกือบทุกวินาฑี

มติที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกาแผนกคดีพระ เนื่องในโอกาส"วันวิสาขบูชา" เสนอคำถวายหมายจับพระ - ขุนจัน พันนา ผู้คัดลอก





มติที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกาแผนกคดีพระ
เนื่องในโอกาส"วันวิสาขบูชา"
........................................
การออก"หมายอาญา"ที่เป็นหมายจับ "พระ" ให้ระบุดังนี้
ข้าแด่พระสงฆ์ผู้เจริญ
ข้าพเจ้าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ทั้งหลาย
ขอถวายหมายจับ พร้อมข้อหาทั้งหลายเหล่านี้
แด่พระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้า จงรับข้อกล่าวหา พร้อมทั้งพันธนาการทั้งหลายด้วย เพื่อความปลอดภัยต่อตำแหน่งหน้าที่ของพวกข้าพเจ้าทั้งหลายและความสงบสุขจงเป็นของท่านพระคุณเจ้าไปจนกาลนานด้วยเทอญ

ขุนจัน พันนา
ผู้คัดลอก

ooo

ทนายเผย “อดีตพระพุทธะอิสระ” อาการป่วยหมอนรองกระดูกอักเสบไม่ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องดูแลเป็นพิเศษ



https://www.facebook.com/thairath/videos/10156962671602439/


“ขอฉีกด้วยคน” รัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกโฆษณาว่า “ปราบโกง” แต่ผ่านประชามติแบบ “โคตรโกง” - วัฒนา เมืองสุข





“ผมขอฉีกด้วยคน”

คงไม่สายไปถ้าผมจะขอแสดงความยินดีกับพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งทุกท่านที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการบริหารพรรค ผมขอเป็นแนวร่วมในอุดมการณ์ที่จะต่อสู้กับเผด็จการเพื่อคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน

ผมเห็นด้วยกับนโยบายที่จะสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนอกจากจะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังใช้กลโกงทุกวิถีทางเพื่อให้ผ่านประชามติ ประชาชนจำนวนมากรวมทั้งตัวผมเองเคยถูก คสช. ใช้กำลังอุ้มตัวไปควบคุมในค่ายทหารและปัจจุบันยังถูกดำเนินคดีในศาลทหารเพราะการประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่หัวหน้า คสช. ออกมาประกาศจะจับทุกคนที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ แต่กลับส่งทหารออกไปเผยแพร่ข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญได้ จึงเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกโฆษณาว่า “ปราบโกง” แต่ผ่านประชามติแบบ “โคตรโกง”

กระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนนั้น จะต้องเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยโดยผ่านประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเอาตัวเผด็จการทั้งหลายมาลงโทษ หลายคนถามผมว่าเผด็จการมีมาตรา 44 นิรโทษตัวเองไว้ยังสามารถเอาตัวมาลงโทษได้หรือ ผมขอเรียนยืนยันอีกครั้งว่า การนิรโทษกรรมคุ้มครองเฉพาะการกระทำที่สุจริตและเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น การลุแก่อำนาจ การละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน หรือการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องไม่อาจถือได้ว่าสุจริตหรือทำไปเพื่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ จึงเป็นการกระทำที่กฎหมายไม่คุ้มครอง เมื่ออำนาจกลับมาเป็นของประชาชนเมื่อไรคนพวกนี้ติดคุกได้แน่นอนครับ

วัฒนา เมืองสุข
29 พฤษภาคม 2561


Watana Muangsook

...





สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคสมัย

%%%%%

เราฉีกได้ใครอื่นอย่าขืนฉีก
เราเช็ดเสร็จจงหลีกห้ามฉีกต่อ
ม้วนเราศักดิ์สิทธิ์แน่แค่นี้พอ
ทิชชู่ขอยั่งยืนหมื่นหมื่นปี


Kasian Tejapira


การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เราเห็นพรรคการเมืองใหม่ เราเห็นพรรคการเมืองเก่าที่พยายามปรับตัวให้ทันสถานการณ์และความต้องการของประชาชน เราเห็นคนหน้าใหม่ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศ การเลือกตั้งครั้งหน้าคือความหวัง จบแล้ว คสช.!





จบแล้ว คสช.! การเลือกตั้งเปิดพื้นที่ให้คนใหม่ คนเก่าปรับตัว ประชาชนมีตัวเลือก


29 พ.ค. 2561 
โดย iLaw


ต้นเดือนมีนาคม 2561 บรรยากาศการเมืองไทยกลับมาคึกคักและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดให้ประชาชนตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป สามารถรวมตัวกันยื่นคำขอจดจองชื่อเพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพียงแค่วันแรกก็มีจำนวนผู้ต้องการยื่นคำร้องเพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ถึง 42 พรรค แม้การดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ของ (ว่าที่) พรรคการเมืองจะยังถูกจำกัดและต้องขออนุญาตจาก คสช. แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาขวางกั้นเหล่านักการเมืองหน้าใหม่ให้นิ่งเฉยทำตามคำสั่ง คสช. เท่านั้น

ขณะที่พรรคการเมืองเดิม แม้จะถูกหัวหน้า คสช. ออกคำสั่ง ม.44 ตัดตอนลดจำนวนสมาชิกพรรคเป็นจำนวนมาก และก็อยู่ในข้อจำกัดเดียวกับว่าที่พรรคการเมืองใหม่ แต่ด้วยบรรยากาศทางการเมืองที่เริ่มเปิดขึ้นทำให้พรรคการเมืองต่างๆ เริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. มากขึ้น และยังเสนอความคิดและนโยบายที่แตกต่างจากสี่ปีที่ผ่านของ คสช. ขณะที่หน้าข่าวก็เริ่มปรากฎคำพูดและบทบาทของนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ มากขึ้นกว่าสี่ปีที่ผ่านมา บรรยากาศคึกคักเช่นนี้เป็นสัญญาณว่าการเลือกตั้งใกล้จะมาถึงแล้ว

คนหน้าใหม่ ความคิดใหม่เข้าสู่การเมืองอย่างคึกคัก

นับถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 เป็นเวลาเกือบสามเดือนที่มีเปิดให้มีการยื่นคำขอจดจองชื่อเพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ข้อมูลจาก กกต. ระบุว่ามีผู้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่จำนวน 101 พรรค จำนวนผู้ต้องการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง หรือถ้ามีชื่อเสียงหน่อยก็ยังเป็นคนหน้าใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในสนามการเมืองมาก่อน พรรคการเมืองใหม่จำนวนมากได้ช่วยสร้างบรรยากาศที่คึกคักให้การเมืองไทยกลับมาอีกครั้ง และพรรคการเมืองใหม่อีกจำนวนหนึ่งได้สร้างความหวังและเป็นทางเลือกใหม่ให้ประเทศไทยอีกครั้ง เช่น

- พรรคอนาคตใหม่ นำโดยธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับปิยบุตร แสงกนกกุล ชูความเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่จะนำประเทศไทยก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองในรอบ 12 ปีที่ผ่าน เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ เช่น การปลดล็อดกฎระเบียบที่เอื้อให้ทุนผูกขาด การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด สร้างอุตสาหกรรมใหม่อย่างเกมส์หรือหารทำระบบรางภายในประเทศ การแก้ไขทุจริตด้วย Open Data ข้อมูลภาครัฐต้องเปิดข้อมูลทุกอย่างบนเว็บไซต์ ฯลฯ

- พรรคกลาง นำโดย ชุมพล ครุฑแก้ว นักวิ่งมาราธอนชื่อดัง และอดีตผู้บริหารของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.หรือ NECTEC) และสุขทวี สุวรรณชัยรบ ที่ผ่านงานในองค์กรพัฒนานานาชาติหลายแห่ง แม้ชื่อพรรคจะยังไม่คุ้นหูมากนักแต่ก็ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอยู่บ้าง พรรคกลางเสนอแนวคิดยุคใหม่โดยใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีจะทำให้ประชาชนมีส่วนในการปกครองประเทศโดยตรง และจะทำให้เกิดความโปร่งใสช่วยลดการทุจริต

- พรรคเกรียน นำโดยสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ “บก.ลายจุด” แม้ผู้ก่อตั้งพรรคจะชื่อคุ้นหูสำหรับคนที่ติดตามการเมือง แต่แนวคิดการทำพรรคนับว่าล้ำหน้าและแหวกขนบเดิมของการเล่นการเมือง พรรคเกรียนขายสโลแกนพรรคว่า “เราเป็นจะเป็นผู้นำความบันเทิงสู่การเมืองไทย” และ “ไม่หาเสียง แต่หาเรื่อง” โดยการหาเรื่องคือการให้สมาชิกระดมสมองช่วยกันคิดค้นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และนำเสนอออกสู่สังคม พรรคจะเป็นเหมือนคลังปัญญา (Think Tank) นำความคิดและนโยบายมาไว้ตรงกลางเปิดให้พรรคการเมืองอื่นนำสามารถไปใช้ประโยชน์ได้ แม้ชื่อพรรคเกรียนจะถูกปฏิเสธจาก กกต. แต่ถ้าพรรคนี้จะตั้งสำเร็จด้วยชื่อใดก็ตามการเมืองไทยก็จะสร้างสรรค์มากขึ้น

- พรรคสามัญชน เป็นการรวมตัวของนักกิจกรรมและเอ็นจีโอที่ทำงานคลุกคลีกับชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ แม้พรรคนี้จะยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่บรรดาผู้ก่อตั้งพรรคล้วนเป็นผู้รณรงค์และทำงานเกี่ยวกับปัญหาสังคมในประเด็นต่างๆ หลักการสำคัญของพรรคนี้คือประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอรูปธรรม เช่น การให้มีระบบสวัสดิการถ้วนหน้า การเปิดกัญชาเสรี และความเท่าเทียมทางเพศ

- พรรคพลังคนรุ่นใหม่ไทย นำโดยกันธิชา ฉิมศิริ นักธุรกิจ นักแข่งรถ และอดีตมิสซิสยูนิเวิร์สปี 2016 จากประวัติคร่าวๆ ของผู้นำหญิงพรรคนี้ เรียกว่าเธอข้ามจากสายบันเทิงมาสู่การเมือง โดยพรรคนี้มีข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น การสร้างสวรรค์นักช้อปโดยจะจัดพื้นที่ปลอดภาษีกระจายไปยังหัวเมืองตามภาคต่างๆ เพื่อดึงรายได้จากนักท่องเที่ยว การสนับสนุนสาวประเภทสองสามารถเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อได้ และการจัดกิจกรรมเกย์ เฟสติวัล เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว รวมถึงการออกกฎเกณฑ์ให้สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ต้องมีพื้นที่สำหรับคนพิการโดยเฉพาะ

- พรรคไทยศิวิไลซ์ นำโดย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ และณัชพล สุขพัฒนะ หรือ “มาร์ค พิทบูล” หากใครติดตามพรรคนี้ในโลกออนไลน์ก็จะเห็นแกนนำผู้จัดตั้งเดินสายไปทั่วไปพบปะผู้คนและเดินหน้าตรวจสอบทุจริตตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งการปราบปรามการทุจริตคือแนวทางที่สำคัญของพรรคนี้นอกจากนี้การปฏิรูประบบยุติธรรมให้ประชาชนทุกฐานะเข้าถึงอย่างเท่าเทียมเป็นอีกแนวทางที่สำคัญของพรรคนี้

การไม่มีการจัดการเลือกตั้งยาวนานถึงเจ็ดปีและการลดบทบาทของพรรคการเมืองมาสี่ปีทำให้สังคมไทยขาดความเป็นไปได้และขาดตัวเลือกใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนประเทศ สี่ปีที่ผ่านการเมืองไทยไม่มีตัวเลือกอะไรนอกจากจำใจต้องยอมรับสองนายพลวัยเกษียณอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ครั้นจะมองกลับไปสู่การเลือกตั้งก็เห็นแต่พรรคการเมืองและนักการเมืองหน้าเดิมที่พาประเทศไทยวนเวียนอยู่ในความขัดแย้งตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้การเปิดให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่และเปิดให้คนหน้าใหม่จึงทำให้การเมืองไทยดูมีความหวังขึ้นมาเล็กๆ

พลังออนไลน์สร้างปรากฎการณ์ธนาธร


เพียงหนึ่งอาทิตย์ก่อน คสช. จะอนุญาตให้มีการจองชื่อพรรคการเมือง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจเจ้าของฉายา “ไพร่หมื่นล้าน” ประกาศตัวว่าจะตั้งพรรคการเมือง การประกาศตัวของเขาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้ที่สนใจการเมืองอย่างมาก ด้วยวัยเพียง 39 ปี ประกอบบุคคลที่โดดเด่น และความคิดที่ทันสมัย ทำให้ตัวเขาได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกออนไลน์ ความนิยมของธนาธรปรากฎชัดเมื่อ 5 มีนาคม2561 ผ่านจำนวนยอดผู้ชมกว่าสองแสนคนที่ดูการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการครั้งแรกของเขาผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ The101.world แม้ในขณะนั้นเขาจะยังไม่มีชื่อพรรค แต่เพียงหนึ่งวันต่อมาในโลกออน์ไลน์ก็เกิดกระแสตั้งแฮชแท็ก #ช่วยธนาธรตั้งชื่อพรรค โดยแฮชแท็กนี้ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของทวิตเตอร์ประเทศไทยในวันนั้น

วันที่ 15 มีนาคม 2561 ธนาธรเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นทางการพร้อมกับทีมงานผู้ร่วมก่อตั้งพรรคจำนวน 26 คน กระแสของพวกเขาไม่ได้ขึ้นแต่ในโลกออนไลน์ เพราะหลังจากเปิดตัวพรรคไม่ถึงเดือนชื่อของธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ก็ก้าวขึ้นมามีคะแนนนิยมผ่านโพลต่างๆ เช่น วันที่ 18 มีนาคม นิด้าโพลล์ เผยผลสำรวจ “ประชาชนอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี” จากผลสำรวจ ธนาธร ได้รับคะแนนนิยมเป็นลำดับที่สี่เป็นรองเพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ขณะที่ วันที่ 25 มีนาคม กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจ “หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้งจะเลือกพรรคการเมืองใด” จากผลสำรวจพรรคอนาคตใหม่ ได้รับความนิยมเป็นลำดับที่สามเป็นรองเพียงพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

กระแส “คนรุ่นใหม่” พรรคเก่าปรับตัว

หลังจากสี่ปีที่ผ่านการเมืองไทยอยู่ภายใต้การนำของคนรุ่นเก่า การเปิดตัวของพรรคอนาคตใหม่ด้วยทีมงานผู้ร่วมก่อตั้งที่มีอายุเฉลี่ยอยู่เพียง 31 ปี จึงปลุกกระแสคนรุ่นใหม่ในสนามการเมืองและเป็นแรงกระตุ้นให้พรรคการเมืองเก่าแต่ละพรรคต้องนำเสนอคนรุ่นใหม่เพื่อแข่งขันกันแย่งคะแนนนิยมเพื่อเป็นตัวเลือกให้ประชาชน นี่เป็นครั้งแรกในยุค คสช. ที่นักการเมืองรุ่นใหม่ (ที่บางคนก็หน้าใหม่บางคนก็หน้าเก่า) เริ่มมีปากมีเสียงและปรากฎตัวต่อสาธารณะมากขึ้นผ่านทีวี สิ่งพิมพ์ ออนไลน์ หรืองานเสวนาสาธารณะต่างๆ

ถ้าไม่นับพรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคการเมืองแรกที่เปิดตัวคนรุ่นใหม่อย่าง พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” เขาเดินทางไปในทุกเวทีในนามของประชาธิปัตย์ยุคใหม่ พร้อมกับเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศ เช่น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ให้แต่ละจังหวัดเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อบริหารจัดการตัวเอง หรือเรื่องเศรษฐกิจ ที่ต้องเปลี่ยนตัวชี้วัดใหม่ทางเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพราะที่ผ่านการใช้จีดีพีไม่ได้ทำคนผู้มีรายได้น้อยรู้สึกเศรษฐกิจดีขึ้น ฯลฯ

ขณะพรรคเพื่อไทย แม้จะยังไม่มีบุคคลที่จะนำในด้านนี้แต่แนวคิดของพรรคก็ได้ปรากฎผ่าน ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีต ส.ส.จังหวัดขอนแก่น เขากล่าวว่า ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลก ซึ่งการศึกษาเป็นพื้นฐานของการสร้างเศรษฐกิจ ประเทศไทยควรเริ่มจากการกระจายอำนาจบริหารการศึกษาสู่ท้องถิ่น การเพิ่มโรงเรียนสองภาษา และใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มากขึ้น ฯลฯ

รายงานสถิติจำนวนประชากรประจำปี 2560 แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 5,616,261 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 52,457,576 คน จำนวนตัวเลขผู้สิทธิเลืือกตั้งหน้าใหม่ขนาดนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่แต่ละพรรคการเมืองจะไม่ยอมตกกระแสคนรุ่นใหม่

นอกจากนี้ความล้มเหลวตลอดสี่ปีที่ผ่านมา คสช. จะทำให้พรรคการเมืองการเมืองแต่ละพรรคจะต้องคิดค้นนโยบายและแข่งขันกันเพื่อซื้อใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ แน่นอนว่านโยบายเหล่านี้จะไม่มาจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแผนปฏิรูปประเทศของ คสช. แต่เกิดจากความต้องการของคนแต่รุ่นแต่วัยที่ต้องเผชิญกับปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกัน

การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เราเห็นพรรคการเมืองใหม่เสนอการเป็นตัวเลือกที่แตกต่างจากอดีตที่ผ่่าน เราเห็นพรรคการเมืองเก่าที่พยายามปรับตัวให้ทันสถานการณ์และความต้องการของประชาชน เราเห็นคนหน้าใหม่ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศ การเลือกตั้งครั้งหน้าคือความหวังเราจะมีตัวเลือกและเลือกได้กว่าสี่ปีที่ผ่านมา

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
พรรคการเมืองประสานเสียง ล้างมรดกเผด็จการ-ไม่เอานายกฯ คนนอก
เครื่องมือตามรัฐธรรมนูญใหม่ รู้ไว้เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ (กับประชาชน)