วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 31, 2558

Jittra Cotchadet : น่าเสียดายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีความพยายามจะเอาผิดทหารและฆาตกรผ่านองค์กรสากล เช่นศาล ICC ให้ประยุทธนั่งลอยหน้าอยู่ข้างๆและพ่นวาทะกรรมสวยๆไม่แก้แค้น





น่าเสียดายที่ตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีความพยายามจะเอาผิดทหารและฆาตกรผ่านองค์กรสากล เช่นศาล ICC แถมยกโทษให้ทหาร ให้ประยุทธนั่งลอยหน้าอยู่ข้างๆและพ่นวาทะกรรมสวยๆไม่แก้แค้น


Jittra Cotchadet




ooo

เก็บตกจากอินเตอร์เน็ต

โพสต์ความรู้สึกต่อ
"รอดแล้ว!...ปปช. "ตีตก" คดีมาร์ค-เทือก สั่งสลายการชุมนุม ปี 53"...
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451387022
ที่แชร์กันในอินเตอร์เน็ต
...

ช่วยหาภาพประชาชนที่ถือปืน
ยิงต่อสู้กับทหำเหล่านี้หน่อยครับ.?
========================
ผมเขียนแต่ข้อความที่เป็นจริงเท่านั้น?
หากความคิดของทะเหี้ยที่ไม่ใช่นิสัยของทหาร
ทหารที่ดีมีหน้าที่ปกป้องประชาชน
ส่วนทะเหี้ยหันปากกระบอกปืนเข้าใส่ประชาชน
==========================
ข้างล่างนี้ก๊อปปี้เขามาครับ
=========================

"เมื่อได้อ่านสำนวนจาก "คำแถ-ลง"...
ของ "ไอ้คณะลิเกผสมละครสัตว์ปกป้องชั่ว" มันแล้ว!...
*****
"กู" พูดได้คำเดียวว่า!...
"เมื่อ "พวกมึง" ยัง "เบื่ยงเบนและบิดเบี้ยวข้อเท็จจริง"...
ในการ "เลือกสังหารผู้บริสุทธิ์มือเปล่า" เป็นระยะๆ...
ด้วยการ "เลือกยิงเอาทีละศพสองศพ"...
มาเรื่อยๆ จนในที่สุด!...
มีคนตายสะสมรวมกัน "ในหลายกรรม-หลายวาระ"...
"กู" ขอย้ำว่า "หลายกรรม-หลายวาระ" ถึง 99 ศพ!...
โดยใช้ระยะเวลา...
ในการ "ล้อมปราบและสังหารประชาชน" ในครั้งนั้น...
นานกว่า 1 เดือน (ตั้งแต่ 10 เม.ย. - 19 พ.ค. 53)...
มิได้เป็นการ "ยิงปะทะกันแบบตะลุมบอนในคราวเดียวกัน"...
และทหารที่มาทำการ "ล้อมปราบประชาชน" ก็มากันเป็นกองทัพ...
มีจำนวนมากถึงกว่า 50,000 นาย มีอาวุธนานาชนิดพร้อม!...
แล้วไอ้ในสำนวนของ "คำแถ-ลง" ของ "มึง" ที่ว่า...
ในกลุ่มของผู้ชุมนุม มี "กองกำลังติดอาวุธ"...
"มึง" มีหลักฐานอะไร?...
กองกำลังที่ว่า...มีจำนวนมากแค่ไหน?...
แล้วมันเทียบกันได้หรือไม่?...
กับ "ทหาร" ที่ "มีอาวุธสงครามนับพันๆกระบอก!...
มีทั้งปืนกล, ปืนลูกซอง แถมจำนวน "กระสุนจริง!"...
ที่ใช้ยิงไป ในการ "เข้าล้อมปราบประชาชน" ในครั้งนี้...
มีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงกว่า 120,000 นัด นั่น!...
ความจริงในเรื่องนี้ "มึง" จะอธิบายยังไง?...
ความจริงเหล่านี้!...
อยู่ตรงไหน? ใน "คำแถ-ลง" ของ "มึง" บ้างมิทราบ?...
มันเป็น "การปกป้องอันตราย" ของ "กองกำลังทหาร"...
ที่ "มีศักยภาพเหนือกว่าผู้มาชุมนุมในทุกๆด้าน"...
ตรงไหนมิทราบวะ?...
*****
ใน "ความเป็นจริง" นั้น!...
มันได้เป็นไปอย่างในสำนวน...
ที่"พวกมึง" ได้ "แถ-ลง" มานี่ ก็หาไม่เลยซัดนิด!...
*****
นี่แน่ะ!.
"ไอ้พวกลิ่วล้อฝุ่นใต้ส้นตีนอำมาตย์" ทั้งหลาย เอ๋ย...
ในเมื่อ "พวกมึง" บิดเบือนความจริง...
ได้อย่างอยุติธรรม ถึงขนาดนี้!...
*****
"กู" ก็จักขอบอก กับ "พวกมึง!" เอาไว้ตรงนี้เลยว่า!...
"พวกมึง" อย่าได้หวัง!...ว่า... "บ้านนี้เมืองนี้!...
มันจะเกิดความปรองดองของคนในชาติ" ขึ้นมาได้จริงๆ!!!"...
"มึงอย่าได้หวัง!!!...มึงอย่าได้หวัง!!!"...
*****
"รอดแล้ว!...ปปช. "ตีตก" คดีมาร์ค-เทือก สั่งสลายการชุมนุม ปี 53"...
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451387022
*****










Thai Voice Media: นักประวัติศาสตร์การเมือง เชื่อ รธน.ฉบับคสช.จะสร้าง"วิกฤติรัฐธรรมนูญ"รอบใหม่




https://www.youtube.com/watch?v=_9Gj0xSkTvI

นักประวัติศาสตร์การเมือง เชื่อ รธน.ฉบับคสช.จะสร้าง"วิกฤติรัฐธรรมนูญ"รอบใหม่

jom voice


Published on Dec 29, 2015
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์การเมืองไทย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 20 ของ รัฐบาลคสช.ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างฯอยู่ในขณะนี้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. จะไม่สามารถแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ แต่อาจจะนำไปสู่การก่อวิกฤติ รัฐธรรมนูญ รอบใหม่ในสังคมไทย เพราะมีแรงกดดันทั้งจากภายในและนอกประเทศ และไม่อาจจะทำให้ คสช.สามารถดึงเกมให้อยู่ในอำนาจได้นานเหมื­อนเผด็จการในอดีต. ร่างรัฐธรรมนูญ คสช. ที่บอกว่าจะทำให้ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น เป็นเพียงแค่คำหลอกลวงเท่านั้นเอง

สารคดี 'The Guardian' เกี่ยวกับตลาดค้าแรงงานทาสที่ ซื้อขายคน เอามาใช้งานเยี่ยงสัตว์ ในอุตสาหกรรมกุ้งของไทย




https://www.youtube.com/watch?v=hs2Kq-fV7cM

ตลาด ค้าแรงงาน ทาส ที่ ซื้อขาย คน เอามาใช้งาน เยี่ยง สัตว์... คนพวกนี้ ถูกบังคับ ใช้ ทำงาน

aquateal quoise

Published on Dec 20, 2015
ตลาด ค้าแรงงาน ทาส ที่ ซื้อขาย คน เอามาใช้งาน เยี่ยง สัตว์... คนพวกนี้ ถูกบังคับ ใช้ ทำงาน บนเรือ ทุกวันในทะเล...บางคนไม่ได้ เหยียบ ดิน ติดตือกันนาน ถึง 18 เดือน... ถ้าทำไม่ไหว บ้างก็ถูกยิงทิ้งในทะเล.
ข่าวสารคดี นี้ กำลัง แพร่ สพัดไปทั่วโลก...
สินค้า ประมง ไทย กำลัง จะถูก บอยข่อต. อย่างสิ้นเชิง เพราะ ไม่มีอาระยะ ประเทศ ที่ใหนในโลก ต้องการ เป็นส่วนร่วม ใน ความอัปรีย์ เดรฉาน ...

ปีแห่งการข่มขู่สื่อ จนสื่อไม่เคารพตัวเอง


http://news.voicetv.co.th/thailand/305481.html


ปีแห่งการข่มขู่สื่อ จนสื่อไม่เคารพตัวเอง

by ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
30 ธันวาคม 2558
Voice TV

ปี 2557 - 2558 เป็นปีที่การข่มขู่สื่อโดยผู้มีอำนาจมีมากและ หลายรูปแบบ ตั้งแต่พูดจากรรโชก ขู่จะฟ้องศาล เรียกบรรณาธิการเข้าพบ จับเข้าค่ายทหาร ปิดสถานี ฯลฯ จนสื่อต้องเอาตัวรอดด้วยวิธีที่น่าอับอาย ซ้ำสื่ออาวุโสก็มีตำแหน่งในแม่น้ำห้าสายจาก สปช.ถึงกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่พฤติกรรมนี้ เสี่ยงต่อการทำลายความเชื่อถือซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดของสื่อเอง



BBC Thai: ฟังเสียงประชาชนคนเดินถนน อยากได้อะไรเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลและนายกฯ


ฟังเสียงประชาชนคนเดินถนน อยากได้อะไรเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลและนายกฯ บีบีซีไทย สำรวจความต้องการของประชาชนในโอกาสขึ้น...
Posted by บีบีซีไทย - BBC Thai on Wednesday, December 30, 2015
https://www.facebook.com/BBCThai/videos/1724890044398695/


ฟังเสียงประชาชนคนเดินถนน อยากได้อะไรเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลและนายกฯ

บีบีซีไทย สำรวจความต้องการของประชาชนในโอกาสขึ้นปีใหม่ ว่าอยากได้อะไรจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้ให้สัมภาษณ์มีความต้องการแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่อยากให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือคนยากจนและดูแลเรื่องเศรษฐกิจให้ดีขึ้น บางคนต้องการให้นายกรัฐมนตรีตระหนักถึงประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมากขึ้น และต้องการให้มีการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ส่วนแฟนกีฬาฟุตบอลต้องการให้นายกรัฐมนตรีสนับสนุนทีมฟุตบอลทีมชาติไทยทุกชุด ด้านผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องการให้นายกรัฐมนตรีสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และบางคนขอให้ช่วยลดการจัดเก็บภาษีเงินได้ลง และส่วนหนึ่งขอให้นายกรัฐมนตรีมีสุขภาพแข็งแรงและอารมณ์ดี

Thai Voice Media: ยุคนี้"เพลงเพื่อชีวิต"สิ้นมนต์ขลังจริงหรือ?




https://www.youtube.com/watch?v=UdWDMxmaDZ4

ยุคนี้"เพลงเพื่อชีวิต"สิ้นมนต์ขลังจริงหรือ?


jom voice

Published on Dec 28, 2015
นายอดิศร เพียงเกษ อดีตรัฐมนตรี อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เกี่ยวกับบทบาทของเพลงเพื่อชีวิตในยุคสมัย­ใหม่ที่เริ่มคลายมนต์ขลังลงไปจริงหรือไม่ นายอดิศรกล่าวว่า เป็นเพราะศิลปินและผู้คนในวงการเพลงเพื่อช­ีวิตหรือ นักคิด นักเขียน กวี ที่เคยร่วมต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในอดีตกล­ับเดินกันคนละทางกับกลุ่มประชาชนที่ลุกขึ้­นมาเรียกร้องต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ และการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในยุคปัจจุบั­น คนกลุ่มนี้มีม่านบังตาเกลียดนักการเมืองโก­ง โดยเฉพาะเครือข่ายทักษิณ จนทำให้ต้องเดินแยกทางกับกลุ่มมวลชนที่ต่อ­สู้กับเผด็จการในยุคปัจจุบัน แต่เชื่อว่า วันหนึ่ง นักร้อง ศิลปิน นักคิด นักเขียน กวี ที่เคยร่วมต่อสู้กันมา จะกลับมาปรองดองกันได้เพื่อสร้างพลัง สร้างขบวนประชาธิปไตยให้เข้มแข็งขึ้นใหม่ไ­ด้ในอนาคต แม้จะเป็นฝันกลางวันแต่จะต้องพยายามให้เกิ­ดขึ้นให้ได้ เพราะแม้จะมีอุดมการณ์ต่างกันแต่ก็ไม่ควรจ­ะตัดเพื่อน ตัดญาติ ตัดเพลง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสหายที่เคยร­่วมเป็นร่วมตายกันมาในอดีตนั้นมันยิ่งใหญ่­มาก

วันพุธ, ธันวาคม 30, 2558

Pavin Chachavalpongpun :ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดคุณทักษิณ แต่คุณทักษิณคือนายกรัฐมนตรีที่ powerful ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2475.....



ที่มา FB



Pavin Chachavalpongpun


ต่อกันที่เรื่องน่าสนใจที่ผมได้พบเจอในปี 2558 อันดับที่ 2 ครับ...

การได้มีโอกาสพบ พูดคุยและสัมภาษณ์คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเกิดขึ้น ณ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ระหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม ผมใช้เวลาหลายปีในการขอสัมภาษณ์คุณทักษิณ แต่เข้าผิดช่องทางตลอด แต่ด้วยในปีนี้ ผมเดินทางไปเยอรมนีบ่อย และได้ไปอยู่ยาวเป็นเดือนที่เมือง Freiburg (มีกิ๊กเป็นโครตอภิมหาเศรษฐีชาวเยอรมันครับ lol) และได้พบกับบุคคลท่านหนึ่งที่สามารถนัดให้ผมพบกับคุณทักษิณได้...

ในที่สุดก็ได้พบกัน ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นทางการเมืองกับคุณทักษิณ หลายเรื่องมีระดับความ sensitive สูงมากที่ไม่อาจเล่าได้ที่นี่ แต่แม้คุณทักษิณจะถูกเขี่ยออกจากการเป็นนายกมาถึง 9 ปี แต่วิสัยทัศน์ยังแหลมคม ส่วนเรื่องเกมการเมืองของคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยนั้น ผมขอไม่พูดถึงครับ...

เรื่องปฏิสัมพันธ์ในระดับส่วนตัว คุณทักษิณเป็นคน charming and warm (เอ๊ะ หรือเป็นลักษณะของนักการเมืองทั่วไป?) ผมมีโอกาสเรียนรู้หลายเรื่อง แม้แต่เป็นเรื่องเล็กๆ จากคุณทักษิณ น่าสนใจครับ...

นอกจากนี้ คุณทักษิณยังเป็น fashion guru หันมาบอกกับผมว่า รู้ว่าผมเป็นคนชอบแต่งตัว และบอกว่า อย่างผมน่าจะเหมาะกับ dolce & gabbana 55555....



ผมยังไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องที่เราคุยกัน อยากเขียนเป็นเม็มมัว แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ครับ ยังไม่รู้จริงๆ... แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดคุณทักษิณ แต่คุณทักษิณคือนายกรัฐมนตรีที่ powerful ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2475.....




In Thailand, the "Good People" are never Guilty....




ค่ำนี้กรุงเทพฯคงหงอยลงไปไม่หน่อยนักละ คาดว่าคนจะไปแน่นตามสถานีขนส่ง เพื่อเดินทางออกต่างจังหวัดกัน

เสียท่า ผู้ว่าฯ จัดอุโมงค์ไฟแอลอีดีไว้อย่างมโหฬาร ให้ได้ “เห็นครั้งหนึ่งในชีวิต” ก็คงต้องอด

นัยว่าใช้หลอดไฟตั้ง ๕ ล้านดวง เฉือนขาดการประดับไฟของเบลเยี่ยมที่มีแค่ ๕ หมื่น ๕ พัน

“มันอาจคุ้มค่าเกินที่ตัวเงินจะบ่งบอกได้” หม่อมสุขุมพันธุ์ บริพัตร พูดจริงๆ นะ ไม่ได้คุย




ตัวเงินเบาะๆ ของทั่น ๓๙.๕ ล้านบาท ที่ กทม. ใจป้ำงัดมาจากงบประมาณฉุกเฉิน

เป็นค่าออกแบบ จัดการ จัดแสดง ประชาสัมพันธ์ และอะไรต่ออะไรจุกๆ จิกๆ รวมถึงค่าขนย้ายของออกเมื่อครบกำหนดแสดง ๑ เดือน รวมแล้วราวสิบล้าน




ส่วนค่าประกอบติดตั้งแผงไฟทั้งหลายทั้งปวง ให้เกิดไฟฉลองปีใหม่ state of the arts พระนครหลวงไทย เมืองฟ้าอมร ไม่ถูกนะ ๒๙.๕ ล้าน

“จะเห็นว่า ๓๙.๕ ล้าน ไม่ใช่ค่าซื้อไฟ แต่เป็นค่าออกแบบ ตกแต่ง ประดับ ติดตั้งแผงวงจร และอีเว้นท์ เสร็จโชว์แล้วก็มีค่ารื้อถอน เก็บคืน เป็นเหมือนการเช่ามาโชว์เท่านั้น” ผู้สื่อข่าวพีพีทีวีรายงาน

(http://hilight.kapook.com/view/130985)

ถึงตอนนี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทำการตรวจสอบความมิชอบ การใช้งบประมาณ ๓๙ ล้านบาท จัดแสดงนิทรรศการไฟ ‘กรุงเทพฯแสงสีแห่งความสุข’ พบว่า

มี “ข้อพิรุธ ๓ ประการ คือการใช้งบประมาณผิดวัตถุประสงค์ การเร่งรัดดำเนินโครงการผิดวิสัย และลักษณะสัญญาเป็นการเช่าโชว์ไม่ใช่การจัดซื้อ”

(http://news.voicetv.co.th/thailand/304941.html)

ไม่รู้นะ ใครจะว่าอย่างไร ถึงยังไงทั่นก็เป็นผู้ว่าฯ จากพรรค ปชป. ที่คนกรุงเทพฯ เลือกกันมาตั้งสองสมัย

สำหรับที่ กฤษฎา กอนซาเลส เปรยเอาไว้ ต้องเก็บไปคิดกันเอาเอง

ดูแต่อดีตนายกฯ ‘หล่อใหญ่’ จากพรรค ปชป. เหมือนกัน ใครจะว่ามือเปื้อนเลือดหรืออย่างใด จากการสั่งสลายชุมนุม นปช. เมื่อปี ๕๓ แต่คณะกรรมการ ปปช. อรหันต์ทั้งเจ็ดก็ยังฟันธงว่า “มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป”




เนื่องจาก “ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการในเรื่อง(สั่งสลายชุมนุม) ดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด”

(http://www.khaosodonline.com/view_newsonline.php…)

“ส่วนเรื่องที่มีมติส่งไปให้ดีเอสไอสอบสวนต่อนั้น คือกรณีที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในที่เกิดเหตุ เพื่อให้ดีเอสไอสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีที่ทำให้มีการตายเกิดขึ้น หรือการฆ่าคนตายที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ยิง

ถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้สั่งการแต่อย่างใด”

ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่า “เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้น ตามความจำเป็นและพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ

แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้”

สรุปว่างานนี้พวกคนสั่งการและบังคับบัญชา ‘ลอยตัว’ แล้วพวกพ่อยอดชาย ปปช. บอกให้ดีเอสไอไปไล่เบี้ยเอากับทหารผู้น้อยที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ใช้กระสุนจริงบ้าง สไน้เปอร์บ้าง จนบรรดาผู้ชุมนุมและอาสาสมัครพยาบาล เกิดการตื่นตระหนกสับสน วิ่งหัวชนกระสุนตายกันเป็นเบือ

ไอ้ที่มีคนพูดทีเล่นทีจริงไว้ว่า ปชป. กับ ปชช. ตัวย่อคล้ายกัน เมื่อเกิดเรื่องเสียหาย มีอันต้องหลุดทุกครั้งไป เห็นท่าจะจริงมากกว่าเล่น

เรื่องเสียหายล่าสุดของ ปชป. กรณีว่าที่ผู้สมัครของพรรคคนหนึ่ง ซึ่งเป็น ‘ตัวเอ้’ ของขบวนเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ กำจัดชินวัตร อีกหนึ่งคนดีที่ ‘ดีแตก’ กลายเป็นผู้ค้ายาบ้ารายใหญ่ไปเสียฉิบ




“รวบ ดร.พรรคดัง ซุกยาบ้า ๖ พันเม็ดในกล่องของขวัญ จ่อส่งลูกค้าขอนแก่น” ข่าวพาดหัวไทยรัฐเพิ่งออกมาเมื่อวันวาน แต่มีแพร่หลายออนไลน์สองสามวันแล้วเพราะเหตุเกิดวันที่ ๒๔ ธันวาคม

แล้วก็ไทยรัฐแค่บอก ‘พรรคดัง’ ด้วยความเกรงใจไม่เกรงกลัว มั้ง

เรื่องมีอยู่ว่าสาวใหญ่วัย ๕๑ นามพลอยเพ็ญ พิมพ์เกษ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี prefix หน้าชื่อว่า ดร. (ตัวย่อของ ดอกเต้อ) ขับรถซีอาร์วีสีขาวไปรับนายฉลอง ยอดขำ ที่สนามบินอุดรแล้วพากันไปยังหลักกิโลเมตรในพื้นที่บึงกาฬเพื่อเก็บห่อของขวัญที่ชาวลาวเอาไปวางไว้ใส่ท้ายรถ

จากนั้นรถซีอาร์วีมุ่งหน้าไปขอนแก่นแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดักสกัดกลางทาง เปิดกล่องของขวัญท้ายรถของดอกเต้อพลอยเพ็ญพบยาบ้าเกือบ ๖ พันเม็ด

“นายฉลองบอกว่ามีอาชีพขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ แต่นางพลอยเพ็ญโทรศัพท์เรียกให้มาช่วยขับรถส่งยาบ้า ๔ ครั้ง ได้ส่วนแบ่งครั้งละ ๑๕,๐๐๐ บาท เห็นว่ารายได้ดีกว่าขับรถจึงรับทำ”

“เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยได้แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ส่วนผู้ต้องหาทั้ง ๒ คนพนักงานสอบสวน ส่งฟ้องศาลเรียบร้อยแล้ว”

(http://www.thairath.co.th/content/555421)

ข่าวไม่ได้บอกดอกเต้อให้การอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่มีครหาผู้ต้องหารู้ช่องรอด เผื่อบางทีเธอหลุดคดีอีกคน เพราะกระบวนตุลาการไทยก็คนดีๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เหมือนดั่งที่ Kris Koles @KrisKoles Retweeted Piriyathep K อย่างนั้น

12m12 minutes ago
In Thailand, the "Good People" are never Guilty....that's why they are called "Good"..."Thainess 101"..



เมื่อสื่อไม่จัด พลเมืองขอทำหน้าที่แทน - ฉายานักการเมืองปี 2558




ที่มา พลเมืองโต้กลับ

1.
ตลกหลวง ลวงโลก
............
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้แก้ใจดีว่าการรัฐประหาร นั้นไม่แก้ปัญหาและไม่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ดังที่เคยกล่าวไว้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2556 ว่า “รัฐประหารเป็นการแก้ปัญหาผิดทาง ปัญหาอื่นๆ จะเกิดอีก" แต่แล้วพล.อ.ประยุทธ์ กลืนน้ำลายตัวเอง มาเป็นหัวหน้ารัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ภายหลังจากร่วมมือสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามกปปส. และบรรดาองค์กรอิสระต่าง ๆ ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงต้องอ้างคามชอบธรรมเดียวของตนคือการได้รับ พระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร และนายกรัฐมนตรี 

แต่ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและนานาอารยะประเทศ สำหรับในเมืองไทยการใช้อำนาจในการข่มขู่ คุกคามคนที่เห็นต่างแล้วอ้างเอาความนิยมจอมปลอมผ่านโพลต่าง ๆ เป็นจุดขาย ดังจะเห็นผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติว่าได้รับความนิยมถึง 99.5 % แต่สำหรับสายตาชาวโลกแล้ว ความนิยมเช่นนี้มีเพียงประเทศเกาหลีเหนือเท่านั้นที่ทำได้และยังทำอยู่ในปัจจุบัน

2.
เปรม : สี่เสากระเด้าลม
...................


พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้สนับสนุนหลักในการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ทั้งการนำคณะรัฐประหารเข้าเผ้าในหลวงในปี 2549 และการใช้สถานะประธานองคมนตรีมารับประกันสถานะของคณะรัฐบาคณะรัฐประหาร แต่กลายเป็นว่านานวันรัศมีของประธานองคมนตรีและบ้านสี่เสา ที่บรรดาชนชั้นนำมักตบเท้าเข้ามาอวยพรนั้นอับแสงลง พร้อม ๆ กับรัศมีของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เริ่มฉายแสดงดังจะเห็นจากการรับบทป๋าดันในวงการต่าง ๆ ดังนั้นฉายา สี่เสากระเด้าลม ของ พล.อ.เปรมจึงนับว่าเหมาะสม แต่ก็ใช่ว่าจะประมาท สมญานาม “นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” คนนี้ ที่มักจะมีเซอร์ไฟซ์ในการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยาวนาน

3.
ประวิตร : ป๋าดัน ตั๊นแห้ว
.......................


พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รมว. กลาโหม รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็น "พี่ใหญ่" ในกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ กลุ่มทหารที่ทำรัฐประหารต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 พลเอก ประวิตร เป็นผู้ที่มีคอนเนคชั่น กว้างขวาง ดังนั้นการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น ผบ.ทบ. ผบ.ตร. นายทหารระดับคุมกับกำลัง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ล้วนเป็นเด็ก บิ๊กป้อม รวมทั้งล่าสุด พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ก็เป็นเด็กในคาถา บิ๊กป้อม จนกล่าวได้ว่าพลเอก ประวิตร ยึดเครือข่ายข้าราชการะดับสูงได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ทว่า จิตภัสร์ กฤดากร หรือ ตั๊น อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. ที่ใกล้ชิดกับพลเอกประวิตรจนเรียกว่า "ลุงป้อม" กลับไม่ประสบผลสำเร็จในการผลักดันรับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแม้ในตำแหน่งรองสารวัตรประจำ กองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 ก็ตาม

4.
เงียบๆ ฟาดเรียบนะคะ
.......................



พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นพี่รองในกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ที่ส่วนสำคัญในการรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2557 ดังนั้นตำแหน่ง รมว มหาดไทย จึงเป็นการต่างตอบแทนที่เหมาะสม แม้จะไม่มีข่าวออกมาจากระทรวงมหาดไทยมากแต่พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ยึดกุมอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงอย่างเบ็ดเสร็จ ภายใต้คำสั่งของคณะรัฐประหารในการยกเลิกการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับก็ยิ่งทำให้พลเอกอนุพงษ์ และคณะรัฐประหารสามารถสร้างเครือข่ายในการสืบทอดอำนาจไปได้อีก นอกจากนั้น พลเอกอนุพงษ์ ที่เป็น ผบ.ทบ. (ตุลาคม 2550 – กันยายน 2553) ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ล้อมปราบ เมษา พฤษภา 2553 ซึ่งภารกิจหนึ่งของการรัฐประหารครั้งนี้คือการไม่เอาผิดทหารที่ในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเท่ากับว่าพลเอกอนุพงษ์ คือผู้ได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารครั้งนี้มากที่สุดคนหนึ่ง

5.
อุดมเดช : แก้มบุ๋มขยุ้มหัวคิว
.......................




พลเอก อุดมเดช สีตบุตร ผู้มีบทบาทสำคัญในหน่วยคุมกำลังตั้งแต่รัฐประหาร 2549 จนถึงรัฐประหาร 2557 เมื่อรัฐประหารสำเร็จ พลเอก อุดมเดชดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และเข้ารับตำแหน่ง รมช.กลาโหมในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อพล.เอ.ประยุทธ์ เกษียณ พลเอกอุดมเดช ก็ดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ไม่ถึงเดือน พลเอก อุดมเดชก็ผลักดันโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพื่อให้เสร็จในอายุราชการของตนคือเดือนกันยายน 2558 โดยที่มีนายทหารคนสนิทคือ พลตรี สุชาติ พรมใหม่ "เสธ.โต" ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และ พ.อ. คชาชาต บุญดี “เสธ.โจ้” ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1 รอ.) ทั้งคู่ มีบทบาทสำคัญในการช่วย คสช. ดูแลความเคลื่อนไหวและควบคุมการชุมนุมด้านการเมือง เป็นผู้ดูแล จัดซื้อจัดจ้าง และรับบริจาค จนเมื่อปรากฎว่าราชภักดิ์แดงมีการทุจริตแทบทุกขั้นตอน และคนสนิท คือ พลตรี สุชาติ พรมใหม่ "เสธ.โต" และ พ.อ. คชาชาต บุญดี “เสธ.โจ้” ได้ถูกหมายจับคดี 112 และหลบหนีคดี ขณะที่พลเอก อุดมเดชยอมรับว่ามีการหักหัวคิวจริง แต่บริจาคกลับคืนมาแล้ว มาจนบัดนี้การคอรัปชั่นราชภักดิ์ ก็ยังคงอื้อฉาวและเขย่าบัลลังค์ คสช. อยู่จนปัจจุบัน

6.
(ล้อ) ต็อก จำอวด ลายพราง
..................




พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม,, หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. ผู้ที่พลาดหวังจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. แต่ได้เก้าอีก รมว. ยุติธรรมปลอบใจ สำหรับการร่วมมือการรัฐประหาร แทนที่จะมีนโยบายอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้น พลเอกไพบูลย์ กลับใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดยเฉพาะการ ไล่ล่าคนที่ลี้ภัยทางการเมือง นอกจากนั้นเพื่อสร้างภาพการต่อต้านคอรัปชั่น พลเอกไพบูลย์ ทำเหมือนกับว่าเอาจริงกับการปราบคอรัปชั่นแต่ปรากฏว่า ไมมีทหารที่เกี่ยวข้อกับคอรัปชั่นแม้แต่รายเดียว และเมื่อต้องตรวจสอบคอรัปชั่นอทุยานราชภักดิ์ของทหาร เริ่มต้นด้วยท่าทีขึงขัง แต่จบลงด้วยการซูเอี๋ยกันเอง ว่าไม่มีการทุจริต ไม่ต่างอะไรกับการเล่นจำอวด เพื่อหลอกคนดู โดยเฉพาะคนที่เชียร๋รัฐประหารด้วยกันเอง

7.
ดอน ปรมัตถ์วินัย
แผ่นเสียงวัยทอง ตกร่องรัฐประหาร
...............



รัฐบาลรัฐประหารเป็นที่รังเกียจไม่ยอมรับของนานาอารยะประเทศดังเห็นจากการระงับความร่วมมือในหลายระดับจนกว่าประเทศไทยจะกลับเข้าสุ่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลรัฐประหารกลับไม่สำเหนียก ดังนั้น พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สูงสุด ผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในการรัฐประหาร จึงเป็น รมว.ต่างประเทศคนแรก โดยที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย เป็น รมช. ต่างประเทศ แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมทรุดลงเรื่อย ๆ จึงมีการย้ายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็น รมว.ต่างประเทศแทนพลเอกธนะศักดิ์ บทบาทของดอน ไม่มีอะไรมากกว่าการทำหน้าที่แก้ต่างแทนคณะรัฐประหาร ทั้งเรื่องการเจรจาการค้าว่ายังคงเป็นไปตามปกติ รัฐบาลรัฐประหารไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ไม่ช่วยอะไร นอกจากเป็นแผ่นเสียงตกร่องที่ไม่มีใครฟัง

8.
บวรศักดิ์-มีชัย เนติบริกรลูกกรอก รธน.หลอกลวง
.................



ภายหลังรัฐประหาร 2557 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายของคณะรัฐประหาร รัฐธรรมนูญที่บวรศักดิ์ แม้จะคุยโวว่าจะให้ "พลเมืองเป้นใหญ่" แต่เนื้อหาแล้ว ออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจให้คณะรัฐประหารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนรัฐประหารยังรับไม่ได้ ทำให้ คณะรัฐประหารยอมที่จะ สั่งให้ สปช. โหวตล้มร่าง รธน. ตามมาด้วยการยุบ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและสปช. เพื่อลดกระแส แต่ก็แทนที่ด้วย แนติบริการรุ่นใหญ่กว่าคือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เนื้อหาการร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ก็ไม่แตกต่างจากนายบวรศักดิ์ ในการต่อท่ออำนาจให้คณะรัฐประหาร ดังนั้นบทบาทของทั้ง บวรศักดิ์-มีชัย จึงเป็น เนติบริกรลูกกรอก รธน.หลอกลวง

9.

ขุนคลังเซิ่นเจิ้น
.................




ภายหลังจากล้มเหลวกับ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คณะรัฐประหารก็เลือกใช้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเศรษฐกิจ แม้ว่าสมคิด จะเป็นส่วนหนึ่งในการรับใช้ "ระบอบทักษิณ" จนนาทีสุดท้ายก่อนรัฐประหาร 2549 ก็ตาม แต่สมคิดก็หาได้สำเหนียกไม่ว่าการมารับหน้าที่ดังกล่าวในระบอบรัฐประหารนั้นแตกต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะรัฐบาลนานาอารยประเทศได้งดเจรจาการค้าด้วย เมื่อเข้ามาบริหารเศรษฐกิจ สมคิดก็อาศัยความเคยชินเดิมคือนโยบาย "ประชานิยม" ในสมัยทักษิณ เพียงแต่ว่าได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "ประชารัฐ" แต่การดำเนินนโยบาย "ประชารัฐ" กลับใช้กลไกราชการโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยที่รวมศูนย์และคอรัปชั่นสูง กลายเป็นว่านโยบายหลักของสมคิดคือการลอกเลียนนโยบายเก่ามา แถมลอกเลียนในคุณภาพที่ต่ำกว่าเดิม นี่ยังไ่ม่รวมผลงานอีปลักาณ์ล่าสุดที่ไปลงนามทำรถไฟฟ้าจากจีนด้วยราตาที่แพงและคุณภาพที่ต่ำกว่าโครงการของรัฐบาลที่แล้วด้วย

10.
ลุงกำนัน ปั่นสลิ่ม
.................


พลันที่สุเทพ เทือกสุบรรณ นักการเมืองรุ่นลายครามจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เต็มด้วยบาดแผลคอรัปชั่นตั้งแต่ สปก. 4-01 ทุจริตถมหรายสนามบินสุวรรณภูมิ มาจนถึงการสร้างโรงพักร้างทั่วประเทศ ฯลฯ ได้แยกร่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ผันตัวเองมาเป็นผู้นำมวลชนในนาม กปปส. สุเทพได้อาศัยโวหารปลุกใจมวลชน เพื่อการต่อต้าน ร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะตกไป รัฐบาลยุบสภาแล้ว แต่สุเทพ ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังนำมวลชนมาล้มเลือกตั้ง โดยหวังจะเปิดทางให้เกิดรัฐประหาร แล้วตัวเองและพรรคพวกจะได้ประโยชน์ จนเมื่อเกิดรัฐประหารสมความตั้งใจ สุเทพกลับถูกเฉดหัวออกจากวงอำนาจจนต้องหนีไปบวช และหมดบทบาทลง แต่ทว่าผลพวงจากการปั่นผู้คนให้เห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหาร ก็ยังคงมีผลมาจนทุกวันนี้และเป็นฐานที่สำคัญในการสนับสนุนรัฐบาลรัฐประหารด้วยข้อแก้ดัวว่า "ถึงแม้รัฐบาลรัฐประหารจะคอรัปชั่นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่ารัฐบาลขายชาติ"


วาทะแห่งปี "โกงอย่างจงรัก หักหัวคิวอย่างภักดี"
.................


ข้ออ้างสำคัญของรัฐประหาร 2557 คือการมาแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการมีการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ทั้งทางลับและเปิดเผย ดังนั้นคณะรัฐประหารจึงใช้องค์กรต่าง ๆ ที่ตนเองตั้งขึ้นมาในการพิพากษาและยัดข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน เช่นเดียวกับเรื่องมาตรา 112 ที่ใช้ศาลทหารในการกล่าวหาและตัดสิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับปรากฎว่า ทหารเองนั้นที่มีปัญหาคอรัปชั่น องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เผยแพร่ “รายงานดัชนีป้องกันคอร์รัปชั่นในกองทัพ (Government defence Anti – Corruption Index - GI) ปรากฎว่ากองทัพไทยในระดับ E ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดคอร์รัปชั่น (ต่ำสุดคือ G) ดังนั้นความอื้อฉาวกรณีอุทยานราชภักดิ์ที่มีการคอรัปชั่นทุกขั้นตอนและมีผู้ที่เกียวข้องจำนวนมากโดน มาตรา 112 เล่นงานจึงสะท้อนให้เห็นว่าข้ออ้างต่าง ๆ ของการรัฐประหารนั้นไร้สาระเพียงใด

ดังนั้นวาทะ "โกงอย่างจงรัก หักหัวคิวอย่างภักดี " โดยขบวนการประชาธิปไตยใหม่ จึงสะท้อนการเมืองภายใต้ระบอบรัฐประหารได้ชัดเจน


เกรียงไกร คำน้อย: ตุ๊กตุ๊ก ความเป็นไทย กับความรับผิดชอบของผู้นำ




ข่าวหญิงไทยได้รับรางวัลชุดประจำชาติจากเวทีประกวด"นางงามจักรวาล"ท่วมทะลักจนไม่สนใจก็ไม่ได้
.
ต่อมาเช้านี้ มีข่าว ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารและนายกรัฐมนตรีขับรถตุ๊กตุ๊กให้สาวงามนั่ง ท่าทางมีความสุขทั้งโชเฟอร์ทั้งผู้โดยสาร
.



สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมคิดถึงเกรียงไกร คำน้อย ชายหนุ่มวัย 23 ชาวพนมไพร ร้อยเอ็ด อาชีพขับรถตุ๊กตุ๊ก พักอาศัยอยู่กับเพื่อนย่านสวนมะลิ
.
10 เมษายน 2553 ตอนสายๆ เกรียงไกรขับรถตุ๊กตุ๊กคู่ชีพมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบริเวณลานพระรูปฯ จุดนั้นมีการปะทะ ระหว่างคนเสื้อแดงกับทหาร ช่วงบ่ายเกรียงไกรถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ลำตัว บาดเจ็บและสุดท้ายก็ได้เสียชีวิตลง
.



ชายอีสานมือเปล่าถูกยิงเสียชีวิตกลางวันแสกๆ บนถนนราชดำเนิน
.
ผลพิสูจน์ชัดว่ากระสุนถูกยิงจากฝั่งทหาร ขอย้ำว่ากระสุนสงครามถูกยิงจากฝั่งทหารเข้าใส่ผู้ชุมนุมตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่ใช่ในช่วงกลางคืนอย่างที่ทางรัฐบาลและกองทัพแถลง

ผมมีโอกาสได้คุยกับพี่สาวของเกรียงไกร เธอเล่าว่าวันสงกรานต์ในปีนั้น ขบวนฟ้อนของชาวอีสานคืนถิ่นสนุกสนาน อึกทึก ที่หน้าบ้านของเกรียงไกร แต่แม่ของเกรียงไกรทำได้แค่เกาะรั้วมองพร้อมกับน้ำตาซึม
.
เกรียงไกร ไม่ได้กลับบ้านและจะไม่มีวันได้กลับบ้านอีกแล้ว
.
เห็นท่าทีปลื้มปริ่มของอดีต ผบ.ทบ.เมื่อปี 2553 เห็นความยินดีปรีดาของบรรดาผู้ติดตามสนับสนุนแล้วผมพูดไม่ออก
.
โดยส่วนตัวของผม ผมเชื่อว่าโชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กไม่ได้อานิสงส์จากการที่หญิงไทยคนหนึ่งได้รางวัลระดับโลกชุดรถตุ๊กตุ๊กแต่อย่างใด
.
ประชาชนไทยก็ไม่ได้อะไรเช่นกัน
.
ขณะเดียวกัน ชีวิตและความตายของคนขับตุ๊กตุ๊กชื่อ "เกรียงไกร คำน้อย" ก็ไม่ได้ถูกจารจารึกอยู่ในส่วนความจำของชายชื่อ "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผู้บังคับบัญชากองกำลังในขณะนั้นและผู้นำรัฐบาลในขณะนี้แต่อย่างใด
.
ไม่เป็นไร ยามใดที่คุณหมดอำนาจ ประชาชนจะช่วยเตือนความจำให้พวกคุณเอง


ที่มา FB
Sarayut Tangprasert

ooo




ไม่ผิดคาดหรอก ไม่ว่า ปปช.ชุดที่แล้วหรือชุดนี้ แต่ตลกว่ามามีมติตอนชุดนี้ที่ ปปช.5 คนมาจากการแต่งตั้งของรัฐประหาร ซึ่งกองทัพก็คือผู้ใช้กระสุนจริงเมื่อปี 53 ขณะที่พรรคแมลงสาบ+ไอ้เทือก คือผู้สร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหาร แล้วคอยดูต่อไปว่า พรรคแมลงสาบจะต่างตอบแทนรับร่างรัฐธรรมนูญไหม

แต่...ขอบอกว่าทางกฎหมายไม่จบหรอก แม้ศาลอาญาไม่รับฟ้องและส่งให้ ปปช. ก็ยังมีความเห็นแย้งของนายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาขณะนั้นว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจ ปปช. ฉะนั้นยังเอาผิดได้ในอายุความ 20 ปี

ประเด็นที่น่าสนใจคือทางการเมือง ยิ่งใกล้กำหนดที่จะคลอดร่าง รธน. รัฐทหารยิ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวไม่แยแสพลังประชาธิปไตย ไม่แยแสความคับแค้นของมวลชนแม้แต่น้อย ที่จริงไม่แยแสใครเลยด้วย มุ่งหน้ากำราบบังคับกดดันไม่ให้เคลื่อนไหว พร้อมกับบดขยี้พรรคเพื่อไทย (หลังปีใหม่คงเล่น พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิด)

นี่ไม่ใช่ท่าทีที่จะไปสู่การทำประชามติ การมีรัฐธรรมนูญ ตรงข้ามเป็นท่าทีอยู่นานเสียมากกว่า หรือไม่ก็คงคลอด รธน.เลวร้ายสุดๆ โดยมีพรรคแมลงสาบและ กปปส.หนุน

ที่แน่ๆ ท่าทีแบบนี้มันจะไปถึงจุด crash อย่างเลี่ยงไม่ได้

ป.ล.ฉวยโอกาสปีใหม่กันดีจัง พรุ่งนี้แถลงปิดคดีอุทยานราชภักดิ์อีกต่างหาก

http://www.khaosodonline.com/view_newsonline.php?newsid=1451389026
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd09USXhNakExTUE9PQ%3D%3D

...

"ประยุทธ์" แย้มมีทางออกหากถูกคว่ำประชามติ ไม่ปรับ ครม. หลังปีใหม่ ข้องใจ "ราชภักดิ์" ฉาวให้สอบต่อ

1.เมื่อไม่ปรับ ครม. ก็ทายได้เลยว่าผลสอบราชภักดิ์ที่จะแถลงพรุ่งนี้เป็นไง


2.หากถูกคว่ำประชามติ? ท่าทีแข็งกร้าวอย่างนี้ ยังจะทำประชามติ? อย่าเพิ่งพูดถึงคว่ำไม่คว่ำ คำถามแรกคือจะมีประชามติไหม คำถามถัดมา ประชามติแบบไหนกัน เผลอๆจะเป็น 99.5% แบบโมเมผลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ

ท่าที คสช.ชัดเจนว่า "ไม่ลงจากอำนาจ" เพียงแต่จะออกรูปแบบไหน แบบสมคบแมลงสาบทำประชามติข้างเดียวผ่านร่าง รธน.ที่ไม่มีประชาธิปไตยเลย หรือแบบคว่ำประชามติ หรือจะแก้ รธน.ชั่วคราวออกแนวทางอื่น (สมมติเช่น ให้เอาร่าง รธน.เข้า สนช.สปท.ถ้าไม่ผ่านก็ร่างใหม่อีกกกกกก)

http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…

Atukkit Sawangsuk





ชมรมแพทย์ชนบท : วิธีคิดที่มองคนทุกคนเท่าเทียมกัน



ที่มา FB
ชมรมแพทย์ชนบท

นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ย้ำจุดยืนชัดว่าจะปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ให้ระบบบัตรทองเป็นการบริการสุขภาพชั้นสองเหมือนสมัยโครงการผู้ป่วยรายได้น้อย พร้อมทั้งชี้ให้สังคมเข้าใจมิติวิธีคิดที่มองคนทุกคนเท่าเทียมกันคือ

1.คนไทยทุกคนมีสิทธิ์และศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะยากดีมีจน มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม

2.การบริการสุขภาพถือเป็นความจำเป็นพื้นฐานที่รัฐต้องดูแลในลำดับต้นๆ เพราะคนในประเทศเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อการคงอยู่ ต่อการพัฒนาประเทศ

3.คนไทยทุกคนเสียภาษีอย่างเท่าเทียมกันตามกฏหมายที่กำหนดมีมาก จ่ายมากเสียมาก มีน้อยจ่ายน้อยเสียน้อย งบประมาณของประเทศคือคนไทยทั้งประเทศเป็นเจ้าของอย่างเท่าเทียมกัน

4.คนไทยที่ใช้สิทธิ์การรักษาบัตรทอง ไม่ใช่ภาระของประเทศ ไม่ใช่พลเมืองชั้นสอง แต่คนเหล่านี้มีคุณค่าต่อการสร้างชาติพัฒนาประเทศทั้งสิ้น

5.ระบบบัตรทอง เป็นสวัสดิการสังคมพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัดให้ ป้องกันประชาชนล้มละลายเมื่อเจ็บป่วย ทุกคนจึงจ่ายเงินผ่านระบบภาษี ให้รัฐบาลไปดำเนินการ จึงต้องบอกรัฐมนตรีว่า งบประมาณของประเทศเป็นเงินของประชาชนทุกคน

6.งบประมาณที่เพิ่มขึ้นที่ผ่านมากว่า12ปีระบบหลักประกัน เป็นส่วนที่เพิ่มเงินเดือนข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขร้อยละ6ต่อปี เงินเฟ้อ และส่วนที่รัฐเพิ่มสิทธิประโยชน์มากขึ้นตามความจำเป็น ที่จะให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพ แต่การบริหารแยกผู้ให้ ผู้รับบริการ ทำให้สามารถบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้งบที่จำกัด

7.กองทุนประกันสังคม ข้าราชการ ก็ได้งบสนับสนุนจากงบประมาณของรัฐ คือภาษีอากรของประชาชนเช่นกัน

8.การให้บริการที่เกินกว่าความจำเป็นพื้นฐานประชาชนร่วมจ่ายอยู่แล้วเช่นค่าห้องพักพิเศษ บริการพิเศษ รักษามีบุตรยาก ความงาม การรักษาที่พิเศษอื่นๆ การใช้ยาที่ยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ค่าธรรมเนียมบริการเป็นต้น 

9.การร่วมจ่ายเมื่อเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ควรทำ แต่ร่วมจ่ายก่อนป่วยสามารถทำได้หากรัฐจำเป็นจะต้องขยายบริการพื้นฐานเพิ่มขึ้นให้ประชาชน

10.รัฐบาลควรบริหารจัดการทั้งสามกองทุนให้มีมาตรฐาน ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ลดความเหลื่อมล้ำ

11.รมต.ไม่ควรเอาข้อมูลสัดส่วนงบบัตรทองที่ผิดๆมาโยนบาปให้งบบัตรทองและต้องให้ท่านเข้าใจเสียใหม่ว่างบบัตรทองคือเงินภาษีจากประชาชน

ธนาพล อิ๋วสกุล : คำพิพากษาศาลฎีกากับบทเรียนของคุณอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัว





คำพิพากษาศาลฎีกากับบทเรียนของคุณอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัว
............
ผมเชื่อว่าคำพิพากษาของ ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยในคดีกรณีคุณสมชาย นีละไพจิตร นั้นคงสร้างความทุกข์ระทมแก่คุณอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัวเป็นอย่างมาก
ดู

อังคณาชี้ ศาลฎีกาขีดบรรทัดฐานใหม่ ครอบครัวคนหายไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วม ลั่นทวงความจริงต่อ
http://prachatai.org/journal/2015/12/63220

แต่ถ้าเราจะลองทบทวนกันว่า กว่าที่จะมาถึง11 ปี ของคำพิพากษานั้นมีอะไรผ่านมาบ้างอาจจะเป็นบทเรียนในอนาคต

ผมเชื่อว่าคุณอังคณา นีละไพจิตร และเพื่อนพ้องจำนวนหนึ่งเชื่อโดยสนิทใจว่าการสูญหายของคุณสมชาย นีละไพจิตร นั้นเป็น คำสั่ง นโยบาย หรือการรับรู้ของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าวดูจะสมเหตุสมผล เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณ รวมทั้งท่าที่ทีแย่ของคุณทักษิณในการตอบคำถาม

แน่นอนว่ากรณีการหายตัวของคุณสมชาย นีละไพจิตร นั้นเป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความชอบธรรมในการไล่รัฐบาลทักษิณและการรัฐประหาร19 กันยายน 2549

ผมไม่ทราบว่าเมื่อเกิดรัฐประหารหาคุณอังคณา นีละไพจิตร ดีใจ โล่งใจกับการรัฐประหารครั้งนั้นหรือไม่

แต่ท่าทีรัฐบาลคณะรัฐประหารในการเอาผิดรัฐบาลทักษิณ ในกรณีฆ่าตัดตอน โดยการตั้ง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบศึกษาและวิเคราะห์นโยบายปราบปรามยาเสพติด และ การนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง และทรัพย์สินต่อประชาชน ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิต 2,500 ศพ ในการทำสงครามปราบปรามยาเสพ ติด(ฆ่าตัดตอน) ในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน นั้งคงสร้างความมั่นใจให้กับคุณอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัวเป็นอย่างมาก

ยังไม่รวมถึงการตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ออกไปเผยแพร่ ความโหดร้ายของ "ระบอบทักษิณ" ไปในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก

ไม่เพียงเท่านั้นคุณอังคณา นีละไพจิตร ยังได้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนจากคณะรัฐประหาร2549 ในตำแหน่ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550 และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดที่อัปลักษณ์ที่สุดชุดหนึ่งของการเมืองไทยด้วย

https://th.wikipedia.org/wiki/สภาร่างรัฐธรรมนูญไทย_พ.ศ._2550#.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B8.84.E0.B8.93.E0.B8.B0.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.98.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.A2.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.87

แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา 11 ปี กับคำตัดสินที่อัปลักษณ์และขาดตรรกะที่สุดครั้งหนึ่งของศาลไทยในการยกฟ้องจำเลยในคดีคุณสมชาย นีละไพจิตร

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1026269730773199&set=a.188049254595255.50981.100001705461683&type=3&theater

นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่พรากชีวิตของคุณสมชายนั้นหาได้เป็นแค่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้รับผิดชอบในการบริหารนโยบายเท่านั้น แต่หมายรวมถึงหน่วยความมั่นคงทั้งหมดของรัฐไทย ที่สมรู้ร่วมคิดในการกำจัดคุณสมชาย นีละไพจิตร ออกจากสังคมไทยด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกองทัพ ที่คุณสมชายต้องเผชิญหน้าโดยตรงในการทำคดีสุดท้ายในชีวิตคือคดีปล้นปืน

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากคำตัดสินนี้แล้วจะทำให้คุณอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัว จะได้เห็นอีกด้านของความอัปลักษณ์ของกระบนการยุติธรรมไทยที่ไม่ได้มีแค่ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับการหวังว่ากองทักจะมาเป็นแนวร่วมในการทวงคืนความยุติธรรมให้คุณอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัว

ก็เป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ

Thanapol Eawsakul



“ไม่ผิดทำไมต้องขอโทษ” ‘เยาวชนนักข่าวพลเมือง’ กับคำถามกรณีให้ขอโทษแลกการถอนฟ้อง




“ไม่ผิดทำไมต้องขอโทษ” คุยกับ ‘เยาวชนนักข่าวพลเมือง’ กับคำถามกรณีให้ขอโทษแลกการถอนฟ้อง

รายงานโดย c-reporters
เมื่อ 29 Dec 2015


“ไม่ผิดทำไมต้องขอโทษ” คำพูดของเยาวชนนักข่าวพลเมือง ที่มาพร้อมกับคำถามถึงสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกในสิ่งที่คิดและเชื่อ ซึ่งเราคงละเว้นการให้ความสนใจไปไม่ได้

ท่ามกลางกระแสข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง นับจากข่าวเยาวชนชั้น ม. 4 ถูกบริษัททุ่งคำ จำกัด ดำเนินการทางคดีอาญาฐานหมิ่นประมาท 2 ชั้นซ้อน ทั้งการขออนุญาตฟ้องคดีผ่านสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลย และการแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี ซึ่งให้ไปรายงานตัวในวันที่ 30 ธ.ค.นี้

ด้วยมูลเหตุจากการรายงานข่าวบอกเล่าถึงสิ่งแวดล้อมในชุมชนพื้นที่ อ.วังสะพุง จ.เลย ผ่านรายการนักข่าวพลเมือง ของสถานีโทรทัศน์ TPBS

ถึงกรณีที่ปรึกษากฎหมายในฐานะตัวแทนของบริษัทเหมืองทองเข้าพูดคุยนัดหมายกับ ผอ.โรงเรียนศรีสงครามวิทยาให้พาเยาวชนนักข่าวพลเมืองไปเจรจาร่วมกันที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลยในวันพรุ่งนี้ (29 ธ.ค.2558) เพื่อให้ขอโทษแลกการถอนฟ้อง

แม้ข้อมูลล่าสุดจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดจะระบุว่า ผอ.สถานพินิจฯ ได้โทรแจ้งแม่ของเยาวชนนักข่าวพลเมืองแล้วว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปที่สถานพินิจ โดยสถานพินิจฯ ได้นัดหมายพูดคุยเพียงบริษัทเหมืองทองในเวลา 9.00 น.

คำว่า “ให้ขอโทษเพื่อให้เรื่องนี้จบๆ ไป” ของผู้ใหญ่ สำหรับเยาวชนชั้น ม.4 มันไม่ได้จบเรื่องราวความขัดแย้งที่มีในพื้นที่

แต่คำถามของเธอคือคำว่าจบนั้นมันจะจบอย่างไร?

“ที่จะให้ขอโทษ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันเป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของเราเลย ขอโทษเพื่ออะไร ขอโทษก็แสดงว่าเราโกหก” เยาวชนนักข่าวพลเมืองกล่าว

เยาวชนนักข่าวพลเมืองเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ (28 ธ.ค) ให้ฟังว่า เวลาประมาณ 12.50 น.ได้รับโทรศัพท์จาก ผอ.โรงเรียนศรีสงครามวิทยาบอกว่าอยากให้ไปคุยเรื่องที่ถูกฟ้องร้องที่สถานพินิจฯ เพราะวันนี้ตัวแทนเหมืองเข้ามาคุยกับผู้อำนวยการฯ

สิ่งที่ผู้อำนวยการฯ ต้องการคือ “ให้ไปขอโทษ ให้เรื่องมันจบๆ เพื่อไม่ให้เหมืองมาวุ่นวายอีก”

“อยากจบแบบให้เหมืองทองปิด เราจะได้ไม่ยุ่งยาก ให้เป็นตัวอย่างไปเลย” เยาวชนนักข่าวพลเมืองกล่าวถึงความมุ่งหมายของเธอ และบอกด้วยว่า “อยากให้ส่วนรวมมาก่อนส่วนตัว”

ความกังวลของเธอคือการพูดว่า “จบๆ ไป” นั้นมันไม่ได้จบ เพราะเธอได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวคัดค้านเหมืองในพื้นที่แล้ว หากต้องทำตามที่ ผอ.โรงเรียนฯ บอก เธอตั้งคำถามว่าเธอจะถูกคนมองอย่างไร ทั้งกลุ่มชาวบ้านฯ ที่ร่วมสู้กันมา ทั้งคนอื่นๆ ที่จะมองว่าสิ่งที่เธอพูดไปนั้นคือสิ่งที่ผิด และที่สำคัญผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ก็จะยังไม่ถูกแก้ไข

“หนูไม่ผิด ถ้าขอโทษก็แสดงว่าสิ่งที่หนูพูดมันผิด” นอกจากนี้เธอยังคงยืนยันถึงสภาพปัญหาของลำน้ำซึ่งทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ไม่กล้าใช้ดื่มใช้กิน ซึ่งเป็นความจริงที่เธอและเพื่อนต่างก็รับรู้มานาน
พร้อมๆ กันกับความรู้สึกที่ว่า ตัวเองกำลังถูกละเมิดสิทธิ์

เธอก็กลัวว่าจะสู้หน้า ผอ.โรงเรียนฯ ไม่ได้ ที่ทำให้ต้องลำบาก อีกทั้งในความคิดของเธอแล้ว ผอ.โรงเรียนฯ เป็นผู้ใหญ่ที่สามารถเอาเธอออกจากโรงเรียนเมื่อไหร่ก็ได้

แต่สุดท้ายเธอเลือกแนวทางที่จะไม่ขอโทษ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องราวยุ่งยากทางคดีความ

“รู้สึกว่าต้องพร้อม ต้องต่อสู้ไปกับพวกแม่ๆ เพราะสู้กันมาถึงขั้นนี้แล้ว”

ท่ามกลางสภาพกดดันและความคาดหวังที่รายรอบตัว ความเข้มแข็งในความคิดความเชื่อของตัวเองดูเหมือนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเยาวชนอายุ 15 ปีคนหนึ่ง

“ถ้าให้เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง หนูไม่เอา เอาส่วนรวมไว้ก่อนหนูเป็นคนแบบนั้น หนูไม่ใช่คนแบบเห็นแก่ตัว” เยาวชน ชั้น ม.4 จากวังสะพุง กล่าว

เยาวชนนักข่าวพลเมืองบอกด้วยว่าครั้งแรกที่รู้ว่าโดนฟ้องก็รู้สึกตกใจ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาถึงต้องฟ้องคดี แต่ตอนหลังได้พูดคุยกับคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่ให้กำลังใจ ส่วนคุณครูก็เข้าใจว่าจริงๆ เธอทำก็เพื่อหมู่บ้านของตัวเอง

เธอเล่าว่า เพื่อนในห้องและคนทั้งโรงเรียนรู้เรื่องนี้หมดแล้ว ก็มีคนเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องที่ต้องไป สน.มีนบุรีคุณครูก็เป็นห่วง อยากให้เรื่องมันจบเร็วๆ
“เป็นใครก็ต้องกลัวเรื่องโดนฟ้อง เรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล”

เมื่อถามถึงสิ่งที่เป็นพลังใจให้เธอ เยาวชนนักข่าวพลเมืองเล่าว่า ก่อนหน้านี้มีพี่ๆ นักกิจกรรมทำเพจ
รวบรวมชื่อให้เหมืองทองถอนฟ้องคดีที่ตอนนี้มีคนลงชื่อกว่า 2,000 คนแล้ว (ล่าสุดเข้าสู่วันที่ 4 แคมเปญ change.org มีผู้สนับสนุน 9,287 คน) ในเฟซบุ๊กเองก็มีทั้งพี่ๆ และน้องๆ เขียนขอความให้กำลังใจ ทั้งยังได้เห็นว่ามีคนแต่งเพลงให้ และเขียนการ์ตูนเรื่องราวของเธอด้วย ทำให้เธอมีพลังใจ

“ขอบคุณทุกๆ คนที่ให้กำลังใจมา” เธอฝากข้อความถึงทุกพลังที่ส่งให้

“หนูยังมีกำลังใจดีค่ะ”

ระวัง!!! สักวันหนึ่งระบบยุติธรรมของประเทศไทยจะต้องถูกรื้อและสร้างใหม่




(จากซ้ายไปขวา) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : http://img.tnews.co.th/tnews_1409202134_3185.jpg

เกาะติดกระแสป.ป.ช.
ป.ป.ช. ยกคำร้อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์” คดีสลายการชุมนุม นปช. ปี 2553 ชี้ยิงคนตายเป็น “ความผิดเฉพาะตัว” โยน DSI หาตัวผู้กระทำผิด

ที่มา Thai Publica
Date: 29 ธันวาคม 2015

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหา

– นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

– นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

– พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

โดยเรื่องนี้จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553

อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็น “ความรับผิดเฉพาะตัว” เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ DSI ดำเนินการต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2

สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ และ พล.อ. อนุพงษ์ กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป

“ดังนั้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน” เอกสารประชาสัมพันธ์ของ ป.ป.ช. ระบุ


บานปลายไม่เกินคาด เรื่องอึงอื้อที่มีคนว่าศาลสั่งฆ่าแพะ จากการตัดสินประหารสองหม่องแรงงานข้ามชาติเกาะเต่า




บานปลายไม่เกินคาด เรื่องอึงอื้อที่มีคนว่าศาลสั่งฆ่าแพะ จากการตัดสินประหารสองหม่องแรงงานข้ามชาติเกาะเต่า

พระสงฆ์พม่าในศรีลังกาพากันไปยกป้ายประท้วงหน้าสถานทูตไทยในกรุงโคลอมโบ อาจก่อปฏิกิริยาลูกโซ่ถึงสถานที่อื่นๆ ทั่วโลกได้

ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครยอมรับคำชี้แจงของทางการรัฐบาลทหารไทยแค่ไหน ที่ว่ายังมีขั้นตอนอุทธรณ์และฎีกา ในการโต้แย้งคำพิพากษาอยู่

เพราะกระบวนการยุติธรรมตามมาตรฐานสากลมิได้ให้ ‘ผ่านๆ ไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง’ ดั่งเช่นมาตรฐานการเมืองไทย ที่เดี๋ยวนี้ใช้เป็นมาตรฐานตุลาการด้วยอีกแขนง

ความยุติธรรมถึงที่สุดย่อมต้องกระทำในการตัดสินครั้งแรกและครั้งเดียวก่อนเสมอ “ฆ่าคนบริสุทธิ์หนึ่งคนเลวร้ายกว่าปล่อยผู้กระทำผิดเป็นร้อย” นี่คือหลักการสำคัญกว่าอื่นใดในการที่จะตัดสินปลิดชีวิตใคร

สั่งฆ่าคนโดยมักง่ายไม่อยู่ในสารบบของทศพิศราชธรรม อันสอดรับกับหลักมนุษยธรรมทั่วไป

คลิปที่แพร่กระจายบนโซเชียลมีเดีย โดยหญิงชาวพม่าพูดไทยไม่คล่องนัก วิงวอนพระมหากษัตริย์และเจ้าหญิงไทยได้โปรดผ่อนโทษสองหม่องอย่าให้ถึงตาย ทั้งที่พวกเธอชาวพม่าเชื่อว่าเขาทั้งสองต้องเป็นแพะรับบาป บ่งบอกอะไรบางอย่างต่อการระมัดระวังในการใช้พระปรมาภิไธย




คำตัดสิน ๖๓ หน้าของสามผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุย (หนึ่งนาย สองนางสาว) ซึ่งอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธยโดยตรง จะกัดกร่อนความศักดิ์สิทธิ์ออกไปตราบเท่าที่กระบวนการพิจารณาคดียังบกพร่อง

Pipob Udomittipong ตั้งคำถามว่า “กระบวนการจับกุมและควบคุมตัวของเราได้มาตรฐานหรือไม่? Istanbul Protocol เอามาใช้มั้ย? มีการบันทึกการจับกุม ลงทะเบียนผู้ต้องขัง ตรวจร่างกายและที่สำคัญให้ญาติและทนายเข้าเยี่ยมโดยไม่ปิดกั้นหรือไม่? ตราบใดที่กระบวนการเหล่านี้ไม่เคลียร์ หรือไม่มี ความคาใจกับกระบวนการยุติธรรมมันไม่หายไปไหน ไม่ว่าผู้เสียหายจะเป็นไทย พม่า มลายู ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังหรอก”

การละเลยข้อเท็จจริงบางอย่างโดยเห็นว่าหลักฐานปรักปรำแข็งขันพอแล้ว ไม่ใช่ความถูกต้องทางยุติธรรมหากการปรับใช้กฎหมายเกิดการลักลั่น

ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าดีเอ็นเอของผู้ต้องหาตรงกับที่พบในร่างหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย โดยไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยบนจอบที่ใช้เป็นอาวุธสังหารผู้ตาย ไม่สามารถสรุปเป็นที่สุดได้ว่าผู้ที่ร่วมเพศกับเหยื่อฆาตกรรมเป็นคนเดียวกับที่ลงมือฆ่า

มิใยที่ข้อโต้แย้งของจำเลยว่าถูกซ้อมบังคับให้รับสารภาพ จะถูกปัดออกไปเพียงเพราะไม่มีหลักฐานยืนยันจากราชทัณฑ์ นั้นในระบบวัฒนธรรมสากลอาจถูกก่นด่าว่า ‘เหลวไหล’ เป็นอย่างเบา และถ้าหนักกว่านี้ก็จะเป็นเจตนาชั่วร้ายบิดเบี้ยวความจริง

วิธีการบิดเบือนอีกอย่างที่รัฐบาล คสช. มักทำอยู่เสมอยามที่เกิดคดีความอันเป็นที่จับจ้องของต่างประเทศ ก็คือกล่าวหากลุ่มคนที่ออกมาติติง ทักท้วง และประท้วงว่ารับงาน และ/หรือถูกปลุกปั่นโดยฝ่ายการเมืองที่ถูกรัฐประหารไป

คดีเกาะเต่านี้ก็ไม่พ้นตามเคย

“ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าใครที่ไปยุยงปลุกปั่นให้คนออกมาชุมนุมต่อต้าน โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในประเทศไทย” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คนสำคัญ คสช. ระดับรุ่นพี่ของหัวหน้ากล่าวกับผู้สื่อข่าว

“เชื่อว่าพวกเขาไม่ต้องการให้รัฐบาลทำงานได้ด้วยความเรียบร้อยจึงยุงยงปลุกปั่นขึ้นมา แต่กำลังสืบสวนอยู่”

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451291853)

หวังว่าฝ่ายสืบสวนของทั่นจะไม่ใช่แค่รับข้อมูลจากแหล่งนั่งเทียนอย่าง ‘เจ้าพระยานิวส์’ ที่กุเป็นตุเป็นตะว่าหนุ่มพม่าที่เป็นแกนนำการประท้วงหน้าสถานทูตไทยนั้นเกี่ยวโยงกับกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ และใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตร

แหล่งข่าวเจ้าพระยาอ้างโพสต์เฟชบุ๊คของนายกิตติทัช ชัยประสิทธิ์ (หน้าเพจเข้าไม่ได้แล้ว แต่เขาใช้ชื่อนี้ Kittitouch Chaiprasith) ที่เขียนว่า

“แกนนำม็อบประท้วงศาลไทยตัดสินประหารสองหม่องนั่นชื่อ SiThu Maung ‘ซึ่งเป็นคนที่นิยมกลุ่มการเมืองตระกูลชินวัตร’ เพราะ “เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เค้าลงรูปให้ดอกไม้กับนาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วยมือตนเองเลย”




เอาละ นายสิตู เมือง ชาวพม่าคนนี้อาจจะรักและศรัทธา น.ส.ยิ่งลักษณ์ (เดาเอาว่า เนื่องจากชาติก่อนเธอเป็นแม่นางตองยีน่ะนะ) ถึงได้เอากุหลาบไปมอบให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นสมัครพรรคพวกชินวัตรเหมือนที่คุณกิตติทัชเป็นลิ่วล้อ คสช.

มิหนำซ้ำข่าวเจ้าพระยาบอกว่า นาย Shaung Wai แกนนำผู้ประท้วงชาวพม่าอีกคน เคยโพสต์บนเฟชบุ๊ครูปชูสามนิ้วของกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ นี่ก็อีกแหละ เขาอาจศรัทธาและมี conviction กับหลักการ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ เหมือนพวกนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่

เขาจะกลายเป็นผู้สนับสนุนตระกูลชินวัตรอย่างที่นายกิตติทัชกล่าวอ้างได้อย่างไร เช่นเดียวกับพวก Anonymous ที่เข้าไปแฮ็คเว็บทางการไทยเพื่อคัดค้านการก่อตั้ง Single Gateway ไม่ใช่พวกสลิ่มไทยโหนเจ้าแต่ดันสวมหน้ากาก Guy Fawkes

มันไม่อาจมุสาได้พอๆ กับบอกว่าสำนักข่าวเจ้าพระยาเป็นส่วนจัดตั้งของตระกูล ‘รักในหลวง’ ที่ทำการบ่อนทำลายประชาธิปไตยในประเทศไทย

เหล่านั้นเป็นวิธีการเด็กเล่นแบบ bully ที่หวังผลในการ ‘หาแพะ’ มาปิดบังกระบวนการครองอำนาจอย่างเผด็จการของกลุ่มขุนศึก-ศักดินาไทย

ทว่ายังมีกระบวนการหลงผิดในระบบตุลาการไทย ที่คิดว่าตนเป็นชนชั้นเหนือกว่าประชาชนทั่วไป ส่วนหนึ่งจะอ้างความเป็น ‘ร่างทรง’ แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกส่วนหนึ่งเพ้อพกว่าพวกตนกำอำนาจชี้เป็นชี้ตายในแผ่นดินไว้แล้ว ใครอื่นอย่าแหยม

นั่นทำให้อดีตผู้พิพากษาคนหนึ่งสำแดงอาการ ‘ข่มท่าน’ ออกมาว่า “ขอบอกให้ทราบว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วการที่ท่านกล่าวหาหรือด่าศาลโดยไม่ได้เป็นไปตามควรแก่กรณีและโดยไม่มีเหตุผลย่อมมีความผิดฐานดูหมิ่นศาล”

(https://www.facebook.com/chuchart.srisaeng)


เนื่องจากทั่นเป็นข้าราชการเกษียณ ย่อมใกล้ฝั่งมากกว่านักกฎหมายรุ่นหลัง ตามทฤษฎีสังคมวิทยาเกี่ยวกับการพัฒนาของสมอง ทั่นมีโอกาสหลงลืมหรือเลอะเลือนได้มากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า แต่เราก็ละไว้ว่าทั่นอาจไม่เป็นเช่นนั้น

ถึงอย่างไรยังต้องฟังความจากคนรุ่นใหม่ด้วย อย่างทนายอานนท์ นำภา บอกว่า “จงวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ตามหลักเหตุผลเถิด อย่าได้ยกเอาชุดครุยมาข่มชาวบ้านเลย”

ทนายอานนท์ให้เหตุผลหนุนคำเตือนของตนว่า

“๑) การวิจารณ์คำพิพากษาศาลไม่เป็นความผิดต่อกฎหมาย เช่น บอกว่าคดีนี้ศาลตัดสินโดยไม่รับฟังพยานจำเลย หรือยกเหตุผลแห่งความไม่มีเหตุผลของศาล แบบนี้ไม่ผิด ยิ่งเป็นสิ่งที่ควรทำด้วย แต่ถ้าไปกล่าวหาศาลก็เป็นความผิดเช่น ไปบอกว่าศาลรับเงินรับทอง ศาลทำตามใบสั่ง เป็นต้น

๒) ผู้พิพากษาที่เขียนบทความนี้ไม่ควรไปกล่าวหาว่าการชุมนุมของประชาชนพม่าว่าน่าจะเกิดจากการยุยง ไม่ได้เกิดขึ้นเอง การไปกล่าวเช่นนั้นแสดงว่าไม่คิดว่าคนเราสามารถตัดสินใจเองได้เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรม เป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของเพื่อนบ้าน ยิ่งเหมือนไปเติมเชื้อไฟ

๓) เป็นพิพากษาที่ใช้ตรรกกะวิปริต เพราะไปใช้ตรรกกะว่า ‘รู้ได้อย่างไรว่าเขาบริสุทธิ คุณเป็นคนร้ายเองหรือไง’

นายชูชาติ ศรีแสง เขียนว่า "ขอถามบุคคลที่ออกมาให้ความเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดแต่เป็นผู้บริสุทธิ์ว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กระทำความผิดในคดีนี้หรือ จึงรู้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำผิด”

ทนายอานนท์เขาก็ตอบว่า “ไปใช้ตรรกกะแบบนั้นเดี๋ยวชาวบ้านเขาก็สวนมาหรอกว่า ‘แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้กระทำผิด ท่านเป็นผู้ร่วมกระทำผิดหรือไง’

ทีนี้ลองมาดูข้อคิดจากของเก่าที่ผู้ชอบศึกษาระดับปัญญาชนสยามว่าไว้บ้าง Sulak Sivaraksa เขียนถึงการหมิ่นศาลในคดีสวรรคต พร้อมยกตัวอย่างว่า

“คุณฟัก ณ สงขลา เป็นทนายความมีชื่อเสียงมากเรื่องกรณีสวรรคต ท่านพูดกับศาลว่าพยานโจทก์ให้การอย่างไร ศาลจด แต่พยานจำเลยให้การ ศาลไม่จด คุณฟักบอกว่า "ใต้เท้าครับ ใต้เท้าจดคำให้การเฉพาะของฝ่ายโจทก์ ผมซักค้านก็ไม่จด" ศาลบอกว่า "คุณฟัก ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ" คุณฟักบอกว่า "ไม่ถอนครับ เป็นความจริงครับ ก็ใต้เท้าไม่จดจริงๆนี่ครับ"
ทีนี้หยุดพักกลางวัน พอหลังเที่ยงศาลนั่งบัลลังก์ ตำรวจเต็มเลย ถามว่า "คุณฟัก จะถอนคำพูดเมื่อสักครู่หรือไม่" คุณฟักบอกว่า "ไม่ถอนครับ" ศาลบอกว่าหมิ่นประมาทศาล ขังคุก ๒ เดือน นี่คือการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ก็ไม่จดจริงๆ นี่ครับ”

ส. ศิวรักษ์ จึงให้ synopsis ของเหตุการณ์นั้นว่า

“การใช้อำนาจบาตรใหญ่มันไม่ดี มันเป็นมาร มันมีธรรมที่เหนืออำนาจ ศาลฏีกาก็เหมือนกัน ศาลฏีกาคือศาลฏีกา อย่านึกว่าวิเศษ ทุกคนต้องเคารพคนอื่น ที่สำคัญคือต้องเคารพคนเล็กคนน้อย สำคัญกว่านั้นคือเคารพธรรมะ เคารพสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อย่าตะแบงเป็นอันขาด”

(คนเก่าเล่าเรื่อง น.๑๖๔-๑๖๕)

ก็หวังอีกว่า คนที่เป็นผู้พิพากษาจะตระหนักเรื่องการใช้อำนาจบาตรใหญ่ไว้บ้างก็แล้วกัน