วันพุธ, ธันวาคม 31, 2557

?โผม?ม่าย?มาว??...20 อาการบ่งบอกว่าคุณมาว...



1. คุณชอบมีปากเสียงกับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ป้ายรถเมล์ เสาไฟฟ้า ถังขยะ ฯลฯ

2. ผลการตรวจเลือดของคุณ แพทย์ระบุว่า พบปริมาณเลือดเจือจางในกระแสเหล้า

3. คุณเข้าใจผิดว่า อาหารห้าหมู่ประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และ เหล้า

4. คำพูดที่บ่อยที่สุดเวลานั่งคนเดียวคือ เบียร์อีกแก้ว หรือ เหล้าอีกแก้ว เบียร์อีกแก้ว เหล้าอีกแก้ว

5. คุณต้องเกาะสนามหญ้าไว้แน่นเพราะกลัวตกจากโลก

6. ศีรษะของคุณเป็นแผลบ่อยที่บริเวณท้ายทอยและหน้าผากโดยไม่ทราบสาเหตุ แพทย์สันนิษฐานว่ามันอาจกระแทกกับขอบโถส้วม

7. คุณมองเห็นภาพชัดกว่า ถ้าหลับตาข้างหนึ่ง และจะเห็นชัดมากขึ้นถ้าคุณ หลับตาทั้งสองข้าง

8. รูกุญแจสตาร์ตรถเคลื่อนที่ได้ แถมถนนสายนั้นแผ่ไปมาเหมือนงู ทำให้คุณขับรถด้วยความยากลำบาก

9. คุณมีปัญหาเพียงอย่างเดียวที่น่ากลัวที่สุดของการดื่มเหล้าคือ ไม่มีเหล้าดื่ม

10. ผู้หญิงทุกคนที่คุณเห็นจะมีฝาแฝดคู่เหมือนยืนอยู่ข้างๆ

11. คุณตั้งชื่อสุนัขสองตัวโปรดที่บ้านว่า ?วิสกี้? และ ?โซดา?

12. คุณค้นพบว่าเบียร์ 5 แก้ว ให้พลังงานคิดเป็นแคลอรี่เท่ากับข้าวแกงจานโต ดังนั้นเพื่อเห็นแก่สุขภาพ คุณจึงควรงดข้าวเย็น

13. ทุกครั้งที่คิดหาคำสนทนาที่เหมาะสมไม่ทัน คุณไม่คั่นจังหวะด้วย ?เอ่อ? แต่จะพูดว่า ?เอิ๊ก?

14. คุณมักหาปากไม่เจอ บ่อยครั้งที่ดื่มโดยใช้จมูก

15. ยุงที่กัดคุณเป็นต้องตีลังกาตกท่อทุกตัวไป

16. คุณเดินอย่างมีจังหวะจะโคน อันเป็นรูปแบบเฉพาะตัวคือ ก้าวไปซ้าย ย้ายไปขวา เดินไปหน้า และถอยหลัง

17. คุณเห็นเสื้อตัวเองถอดไว้ที่เตียง กางเกงอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่ปราการด่านสุดท้ายกลับตกอยู่นอกบ้าน

18. คุณพบว่าสาวงามที่คุณกอดไว้ในวงแขน และพากลับบ้าน ที่แท้คือ กรวยยางจราจร

19. เพื่อนคุณไล่คุณกลับบ้าน คุณจำเป็นต้องบอกให้เค้ารู้บ่อยๆว่า ?โผม?ม่าย?มาว??

20. คุณคิดว่า ?รัฐบาลทำทุกเรื่อง ดีที่สุดแล้ว?

ส. ผาน้ำย้อย

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับอรหันต์พุงกาง...พวกเขาต้องการให้ประชาชนท้อแท้ ยอมแพ้ ยอมให้ถูกปกครอง แล้วคนดีก็จะมาแจก มาบอกพร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง ยอมไม่ได้อย่างเดียว มึงอย่าเรียกร้อง "คนเท่ากัน"

ไทม์ไลน์ยกร่างรัฐธรรมนูญ  ภาพจาก กระปุกดอทคอม ครอบครัวข่าว 3

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับอรหันต์พุงกาง ต้องการตัดประเด็นเรียกร้อง "นายกพระราชทาน" ออกไป เพราะเอานายกฯ คนกลางมาไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ทั้งที่จริง ม.7 ไม่ใช่นายกพระราชทานแต่พวกตะแบงก็อยู่ในกรรมาธิการนั่นแหละ จึงฟังเหมือนคิดดี แต่ยิ่งทำให้ถอยหลังไปไกลกว่ายุคเปรมอีก เพราะยุคเปรม วุฒิสมาชิกแม้มาจากทหารแต่ยังไม่มีอำนาจมากขนาดนี้

รัฐธรรมนูญนี้เพื่อไทยไม่มีทางชนะเลือกตั้ง ต่อให้ชนะ ก็ถูกสกัดขัดขาทุกวิถีทางโดยไม่ต้องถึงศาลปกครอง ศาล รธน.ด้วยซ้ำ อย่าฝันว่าจะอยู่ถึงปี แค่ไม่กี่เดือนเอานิ้วจิ้มก็คว่ำ เพราะตั้งรัฐมนตรีไม่ได้ ย้ายข้าราชการไม่ได้ ถูกถอดถอนง่ายๆ


แค่การเลือกตั้งก็ไม่ชนะ ถามว่าทำไม อ้าวก็ยังจะมีใครกล้าลงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ในเมื่อเสี่ยงทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ใบแดงแต่ครั้งนี้โดนยัดตะราง ต่อให้ได้รับเลือกตั้งก็โดนเล่นทุกอย่าง

พวกเขาต้องการให้ประชาชนท้อแท้ ยอมแพ้ ยอมให้ถูกปกครอง แล้วคนดีก็จะมาแจกผ่าห่มกันหนาว แจกข้าวสาร บอกพร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง ยอมไม่ได้อย่างเดียว มึงอย่าเรียกร้อง "คนเท่ากัน"

Atukkit Sawangsuk


..



ภาพจาก กระปุกดอทคอม ครอบครัวข่าว 3
ที่มา ประชาไท
Tue, 2014-12-30 15:13
ใบตองแห้ง
29 ม.ค.57

นิด้าโพลสำรวจความเห็นประชาชนเห็นด้วยกับการมีนายกฯ คนกลางในภาวะวิกฤติ ทั้งที่ก่อนนี้ไม่กี่วัน ยังเห็นด้วยกับเลือกตั้งนายกฯ โดยตรงอยู่เลย

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็สนับสนุนว่าเขียนชัดๆ ภาวะปกติให้นายกฯ มาจากเลือกตั้ง แต่ถ้าเกิดวิกฤติ ให้มีนายกฯ คนกลางได้

แปลความอีกอย่าง ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง เราก็จะมีนายกฯ จากเลือกตั้งชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ก็จะถูกม็อบปิดกรุงต้านเรียกหานายกฯ คนกลาง

รัฐธรรมนูญฉบับอรหันต์พุงกาง เบี้ยประชุมวันละ 9,000 เบี้ยสวาปาม 23 ล้าน กำหนดให้ ส.ว.ลากตั้ง 200 คนมีอำนาจลงมติถอดถอนร่วมกับ ส.ส.โดยใช้เสียงเพียงกึ่งหนึ่ง พร้อมอำนาจตรวจสอบสกัดกั้นการแต่งตั้งรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูง

นี่คือการออกแบบให้รัฐบาลจากเลือกตั้งต้องอยู่ใต้กำกับดูแลของ ส.ว.ลากตั้ง ซึ่งตามที่มา 5 ประเภทของกรรมาธิการ ก็หนีไม่พ้นตัวแทนชนชั้นนำ รัฐราชการ และคนชั้นกลางเก่าเป่านกหวีด ในนามองค์กรวิชาชีพหรือภาคประชาสังคม

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียงข้างมาก หากขัดหูขัดตาขัดผลประโยชน์สถาบันอนุรักษ์นิยม รัฐราชการ และคนชั้นกลางเก่า จะไม่สามารถบริหารประเทศได้เลย จะถูกสกัดขัดขวางทุกวิถีทาง ตั้งแต่แต่งตั้งรัฐมนตรี โยกย้ายข้าราชการ และถูกถอดถอนซึ่งถ้ามี ส.ส.450 คน ฝ่ายค้านเพียง 125 คนก็จับมือกับ ส.ว. 200 คนล้มรัฐบาลได้

โดยยังไม่ต้องพูดถึงองค์กรอิสระทั้งหลายกับสภาคุณธรรมอะไรนั่น ที่คงตั้งมาจากผู้ลากมากดี ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษคอยจับผิดผู้อื่น มีแต่ตัวเองถูกหมด

พูดให้เป็นรูปธรรม รัฐธรรมนูญนี้หากพรรคเพื่อไทยฝ่าอุปสรรคขัดขวางชนะเลือกตั้งเข้ามาได้ ก็บริหารประเทศไม่ได้ ไม่ต้องรอถึงศาลรัฐธรรมนูญอย่างรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ต้องรอให้ถึงศาลปกครอง เพราะย้ายเลขา สมช.ต้องผ่านวุฒิลากตั้งก่อน ถ้าจะไม่ถูกถอดถอนรัฐบาลต้องมี ส.ส.325 คนขึ้นไป

ตรงกันข้าม หากเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นใดที่รัฐราชการสนับสนุน ก็ผ่านฉลุย ทางสะดวก ลอยหน้าลอยตาสบาย

นี่ยังไม่พูดถึงโอกาสชนะเลือกตั้งซึ่งยากมาก เพราะการเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่แบ่งประเทศเป็น 8 เขตเท่ากับบล็อกคะแนนเพื่อไทยให้อยู่แต่ในภาคเหนือภาคอีสาน ซ้ำถูกแยกสลายบางจังหวัดให้ไปรวมกับภาคอื่น

ข้อสำคัญ อยากถามว่ายังมีใครลงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ในเมื่อเห็นอยู่ว่าจะถูกเล่นงานอย่างหนัก ไม่ใช่แค่โดนใบแดงแล้วตัดสิทธิตลอดชีวิต แต่การให้ศาลออกใบแดงแทน กกต.ก็มีแนวโน้มว่าจะตัดสินจำคุกพร้อมใบแดง ด้วยกระบวนการไต่สวนเพียง 2 ศาล

ฉบับ “เห็นคนไม่เท่ากัน”

รัฐธรรมนูญฉบับนี้แตกต่างจาก 2550 อย่างไรในสาระสำคัญ

ข้อแรก รัฐธรรมนูญฉบับนี้หวังถอดสลักมาตรา 7 ไม่ต้องขอ “นายกพระราชทาน” เพราะหากกลไกต่างๆ ยังจัดการรัฐบาลเลือกตั้งไม่ได้ หากไปถึงขั้นมีม็อบปิดเมือง มีการถอดถอนรัฐบาล ก็เขียนให้ “นายกฯ คนกลาง” มาได้เลย โดยไม่ต้องเรียกร้องให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาทแบบปี 49

ว่าไปเหมือนจะดี แต่ความจริง ม.7 ไม่ได้หมายถึงนายกพระราชทานอยู่แล้ว ในหลวงมีพระราชดำรัสชัดเจน พวกตะแบงตีความก็อยู่ในกรรมาธิการนั่นเอง ซี้ซั้วกันเอง แล้วแทนที่จะเดินหน้าเป็นประชาธิปไตย กลับถอยหลังไปยิ่งกว่ายุคพลเอกเปรม

ข้อสอง รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดช่องให้ศาลถอยไป หลังจากตุลาการกระโดดข้ามรั้วมาร่วมรัฐประหาร 49 และเข้าไปใช้อำนาจในองค์กรอิสระ ลากศาลเข้าไปถูกวิพากษ์วิจารณ์ “สองมาตรฐาน” จนเกิดกระแสต้องการปฏิรูปศาล

รัฐธรรมนูญนี้ลดภาระศาลและองค์กรอิสระ โยกอำนาจบางส่วนไปไว้กับ สว.ลากตั้ง ยกเลิกการให้ศาลสรรหา ส.ว. และมีแนวโน้มยกเลิกการให้ศาลสรรหาองค์กรอิสระ ถอยศาลขึ้นไปเป็น “อำนาจศักดิ์สิทธิ์” ที่จะลงดาบเฉพาะเรื่องสำคัญ ลดการใช้งานพร่ำเพรื่อจนดาบสึกกร่อน

ประเด็นนี้ให้สังเกตได้ว่าหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม ศาลยุติธรรมเข้ามามีบทบาทน้อยมาก

ข้อสาม รัฐธรรมนูญนี้พยายามปรับโครงสร้างอำนาจ เปิดพื้นที่ให้คนชั้นกลางเก่าเป่านกหวีด เข้ามา “มีส่วนร่วม” มากขึ้น ในการใช้อำนาจเผด็จการครึ่งใบข่มขี่เหนืออำนาจอธิปไตยของปวงชน สนองข้อเรียกร้องต้องการคนชั้นกลางชาวกรุง ดาราเซเลบส์ ลูกเศรษฐีมีการศึกษา ที่เห็นคนไม่เท่ากัน

เพราะใน 200 ส.ว.ตามที่มาของกรรมาธิการ จะมีตัวแทนสาขาอาชีพ องค์กรวิชาชีพ ภาคประชาสังคม องค์กรจัดตั้งเหล่านี้อยู่ในมือคนชั้นกลางเก่าทั้งสิ้น เป็นการนำเอาข้อเรียกร้องของพันธมิตรและม็อบนกหวีด ที่เคยเสนอการเมืองใหม่ 70-30 และสภาประชาชน มาปรับสัดส่วนผสมผสานกับตัวแทนรัฐราชการและสถาบันอนุรักษ์นิยม

เชื่อได้เลยว่าในวุฒิสภา ในสภาคุณธรรม จะเต็มไปด้วยพวกหมอ ครูอาจารย์ อธิการบดี คณบดี ขุนนาง NGO และอดีตองค์กรอิสระ (ยุคนี้สมัยนี้ถือเป็นวิชาชีพหนึ่ง พ้นวาระองค์กรนี้ก็ไปนั่งเก้าอี้องค์กรโน้น)

ถ้ารัฐธรรมนูญนี้ผ่าน ประชาธิปไตยจะถอยหลังไปอีกหลายสิบปี ถอยหลังยิ่งกว่ายุคพลเอกเปรม ซึ่งแม้นายกฯ ไม่มาจากเลือกตั้งแต่วุฒิสภาที่มาจากทหารก็ยังไม่มีอำนาจมากขนาดนี้ ไม่มีองค์กรอิสระ ไม่มีกลไกวิปริตวิตถารที่คอยสกัดกั้นอำนาจบริหาร อำนาจเลือกตั้ง มากมายถึงเพียงนี้

รัฐบาลจากรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งสมัยแรก สมัยสอง สมัยสาม ก็คงเป็นรัฐบาลที่รัฐราชการเปิดทางให้สืบทอดอำนาจ ถ้าตกลงกันได้ก็อาจเป็นประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่ต้องเข้ามาทำอะไรเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน นอกจากเป็นปลัดประเทศสร้างภาพ เนื่องจากนโยบายต่างๆ ต้องห้ามโดยสิ้นเชิง ขณะที่พรรคเพื่อไทยหากยังหือ ก็จะถูก “ประหาร” ซ้ำซ้อนด้วยกลไกต่างๆ ถูกตัดสิทธิติดคุกติดตะรางสะใจคนชั้นกลางคนดีมีศีลธรรม

สำหรับประชาชนคนชนบท คนเหนืออีสาน นะหรือ พวกเขาหวังว่าหลังพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ก็คงจะท้อแท้กันไปเอง และจะใช้โอกาสนี้แสดงน้ำใจอันดีงามของชนชั้นนำ คนชั้นกลาง แจกผ้าห่มกันหนาว แจกถุงยังชีพน้ำท่วม ฯลฯ ทำทุกอย่างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ยินดีให้พี่น้องร่วมชาติมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ห้ามอย่างเดียว อย่าบังอาจหือ เรียกร้องเสรีภาพและสิทธิเท่าเทียม
ooo


ไทม์ไลน์ยกร่างรัฐธรรมนูญ

ที่มา กระปุกดอทคอม

วันที่ 21 ตุลาคม 2557 มีการเปิดประชุม สปช. ครั้งแรก

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 จัดตั้ง/แต่งตั้งคณะกรรมมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

วันที่ 19 ธันวาคม 2557 สปช. เสนอความเห็นต่อ กมธ.

วันที่ 17 เมษายน 2558 ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว

วันที่ 27 เมษายน 2558 สปช. จะเสนอความเห็นที่รวบรวมมาจากฝ่ายต่าง ๆ ให้กรรมาธิการพิจารณา

วันที่ 26 พฤษภาคม 2558 ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ สปช. ครม. และ คสช. ให้ความเห็นชอบ หรือทำการแก้ไขเพิ่มเติม

วันที่ 28 กรกฎาคม 2558 คณะกรรมาธิการรวบรวมยกร่างรัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์ ส่งให้ สปช. ลงมติเห็นชอบ

วันที่ 11 สิงหาคม 2558 สปช. ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ

วันที่ 9 กันยายน 2558 ประธาน สปช. จะนำร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้าฯ

รวมระยะเวลาตามกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ ประมาณ 340 วัน


"คืนความสุข" จนพูดไม่ออก


โดยทีมเศรษฐกิจ
ไทยรัฐออนไลน์
31 ธ.ค. 2557

เมื่อรัฐบาล คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ที่นำโดย “ลุงนายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาสาเข้ามาบริหารประเทศ

นโยบายหลักสำคัญคือ ตั้งใจคืนความสุขให้คนในชาติ

โดยตลอดเวลานับแต่ คสช.จนมีรัฐบาล ดูเหมือนลุงตู่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

ดูเหมือนหลายเรื่องก็ทำได้ตามที่ประกาศไว้ นั่นคือ “คืนความสุข” ให้ประชาชน

แต่อีกหลายเรื่องดันกลับกลายเป็นการคืน “ความทุกข์” ไปเสียฉิบ!!!

ลอตเตอรี่ยังแพงเว่อร์

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ คสช.ตั้งใจย้ำคืนความสุข หวังโดนใจชาวประชา ก็คือ การจัดการปัญหาราคาขายปลีกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ลอตเตอรี่”

เพราะที่ผ่านมาขายกันแพงระห่ำเกินจริง นั่นคือราคาคู่ละ 80 บาท หรือฉบับละ 40 บาท แต่ที่ขายทั่วไปตกคู่ละ 110-120 บาท

ดังนั้นพอเกิด คสช.ขึ้นมา สิ่งแรกที่ท่านผู้นำมีนโยบายแน่ชัด ได้แก่จัดการปัญหาลอตเตอรี่แพง เพราะเห็นว่าคนไทยชอบเสี่ยงโชคกันทั้งประเทศ หากทำได้จริงจะได้คำชื่นชมกันเซ็งแซ่แน่

ถึงขนาดเปลี่ยนประธานบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลคนใหม่ ให้ “สมชัย สัจจพงษ์” อธิบดีกรมศุลกากรคนใหม่มานั่งแป้นแล้นตำแหน่งนี้

แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วย เพราะทำได้แค่วันแรกๆที่ คสช.ขู่ฟ่อ จากนั้นจนถึงวันนี้ลอตเตอรี่ก็ยังแพงเว่อร์คู่ละ 110-120 บาทเหมือนเดิม

กลายเป็นหนึ่งในผลงานหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของ คสช.!!

ไฟเขียวขึ้นค่าแท็กซี่

ทั้งที่หนึ่งในคำขวัญสำคัญของ คสช. คือ “คืนความสุขให้ประชาชน” ถึงขนาดท่านผู้นำลงทุนแต่งเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ซึ่งในเนื้อเพลงก็ย้ำนักย้ำหนาว่าจะ “คืนความสุขให้ประชาชน”

แต่สุดท้ายชาวประชาก็พากันอึ้งกิมกี่ เพราะรัฐบาลลุงนายกฯตู่กลับไฟเขียวขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่ไปซะงั้น

กลายเป็นรายการจัดโปรโมชั่น “ส่งความสุขให้แท็กซี่ คืนความทุกข์ให้ชาวบ้าน”

เพราะแทนที่จะจี้ไล่เฉ่งสารพันปัญหาแท็กซี่ที่สร้างความอึดอัดหาวเรอให้แก่ประชาชนไทย ทั้งเรื่องปัญหาความปลอดภัยของผู้โดยสาร และการไม่ยอมรับผู้โดยสาร ด้วยข้ออ้าง “แก๊สหมด” “ต้องรีบส่งกะ”

แต่จู่ๆรัฐบาล คสช.ก็ใจดีสุดกู่ รีบไฟเขียวขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่อีก กม.ละ 0.50-1.50 บาท (ยกเว้นระยะทาง 1 กม.แรกยังคงไว้เท่าเดิม 35 บาท) ส่วนช่วงรถติดเพิ่มเป็นนาทีละ 2 บาท

บร๊ะเจ้า!!

ขึ้นราคาโทลล์เวย์พรวด

ไม่รู้เป็นเพราะท่อนฮุกเพลง “คืนความสุขให้ประชาชน” หรือเปล่า ที่ว่า “...เราจะทำตามสัญญา...”

ทำให้รัฐบาล คสช.ใจดียอมให้บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด ผู้รับสัมปทานโครงการทางยกระดับอุตราภิมุข หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “โทลล์เวย์” ได้ขึ้นค่าผ่านทางอีก 5-15 บาท

เริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา

อ้างว่าต้องทำตามสัญญาที่ทำไว้นานแล้ว

ส่งผลให้ค่าผ่านทางโทลล์เวย์ที่แพงอยู่แล้ว ยิ่งแพงลิบลิ่วมากขึ้นไปอีก

โดยรถสี่ล้อต้องจ่ายเพิ่มจาก 85 บาท เป็น 100 บาท ขณะที่รถมากกว่าสี่ล้อ เดิมต้องจ่าย 125 บาท เป็น 140 บาททันที

ทำเอาคนไทยบ่นพึมว่านี่เป็นการ “คืนความจุก (อก)” มากกว่ามั้ง!!

สุดมึนรัฐขึ้นราคาก๊าซ

หลังจากซื้อเวลามาหลายรัฐบาล ในเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ในที่สุดรัฐบาลของลุงนายกฯตู่ได้ทลายกำแพงแห่งความกลัวม็อบ ด้วยการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในทุกกลุ่มผู้ใช้

ประกอบด้วย กลุ่มครัวเรือน กลุ่มขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม

โดยล่าสุดเมื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีลุงนายกฯตู่นั่งหัวโต๊ะ ก็ปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีทั้ง 3 กลุ่มขึ้นพร้อมๆกัน ภายใต้สูตรราคาเดียวกัน คือ 26.14 บาทต่อกิโลกรัม (กก.)

จากที่ก่อนหน้านี้ ประเทศไทยมีการแยกกลุ่มผู้ใช้เป็น 3 ราคา โดยภาคครัวเรือนมีราคาถูกที่สุด

รัฐบาลบอกว่าที่ทำเนี่ยก็เพื่อปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นไปตามความจริง

ดังนั้น นับแต่นี้จะไม่มีอีกแล้วที่ราคาก๊าซหุงต้มจะต่ำเตี้ยแบบสมัยก่อน

นี่ยังโชคดีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นขาลง

ไม่เช่นนั้นเราท่านคงได้เห็นราคาน้ำมันแพงกระชากใจในยุครัฐบาล คสช.!!!

เล็งขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 10%

อาจเป็นเพราะนามสกุลของ “ขุนคลัง” รัฐบาลลุงนายกฯตู่ คือ “ภาษี”

ทำให้คุณสมหมาย ภาษี รมว.คลัง จึงมีนโยบายแน่ชัดในเรื่องเกี่ยวกับภาษีหลากหลายรูปแบบ

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาทั่วไทย ก็คือ ทั่นรัฐมนตรีสมหมายประกาศจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ในอัตรา 7% ขึ้นไปเป็น 10% เพื่อนำรายได้จากการขึ้นภาษีแวตไปพัฒนาประเทศ

โดยเจ้าตัวบอกว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องขึ้นภาษีแวต เพราะทุกๆหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่ม

จะทำให้รายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท (1 แสนล้านบาท)

ดังนั้น หากขึ้นแวตจาก 7% เป็น 10% รายได้ของรัฐก็จะเพิ่มขึ้นทันที 300,000 ล้านบาท

แต่พอข่าวออกได้แค่วันเดียว รัฐมนตรีสมหมายก็ต้องหน้าจ๋อย

ลุงนายกฯตู่รีบสวนว่าเรื่องขึ้นภาษีแวตเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของขุนคลัง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

เพราะขืนรัฐบาลเผลอไฟเขียวตามข้อเสนอของ รมว.คลัง มีหวังพังกันเป็นแถบ!!!

เศรษฐีไทยใจว้าวุ่นภาษีมรดก

อีกหนึ่งภาษีที่ทั่นรัฐมนตรีสมหมาย ภาษี ตั้งใจเข็นเพื่อเป็นโบแดงของรัฐบาลนี้

ก็คือการจัดเก็บภาษีมรดก

เพื่อต้องการสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนในสังคม และยังหวังเป็นการลดช่องว่างระหว่างความรวยกับความจน ที่สำคัญยังจะทำให้รัฐได้รายได้เพิ่มขึ้นมาอีก

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่ว่ากี่รัฐบาลก็ไม่กล้าแตะเรื่องภาษีมรดก เพราะ “หยิกเล็บ ก็เจ็บเนื้อ” เนื่องจากเป็นภาษีที่จะสร้างผลกระทบให้แก่บรรดาคนรวยๆทั้งหลาย ซึ่งก็ล้วนแต่อยู่ในคณะรัฐบาลหรืออยู่เบื้องหลังของทุกคณะรัฐบาล

อย่างไรก็ดี ในทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล คสช. นโยบาย “ภาษีมรดก” ได้ถูกผลักดันอีกครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก แถมล่าสุดได้ผ่านวาระแรกของ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ)

หลับตาก็รู้ว่า พ.ร.บ.นี้ใช้เมื่อไร ก็กลายเป็นรายการ “คืนความทุกข์” ให้เหล่าเศรษฐีไทย!!

ภาษีที่ดินฝันร้ายราชาที่ดิน

ควบคู่ไปกับการเก็บภาษี “มรดก” ก็คือ การเก็บภาษี “ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง”

โดยนอกจากเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐแล้ว ยังเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม เพราะช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน

สำหรับเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ถือเป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันมายาวนานของทั่นรัฐมนตรี

สมหมาย ภาษี ที่ตั้งใจให้ประเทศไทยได้มีการบังคับใช้เรื่องนี้เสียที

แม้แรกๆจะถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย แต่ภายหลังกระทรวงการคลังยอมปรับอัตราจัดเก็บให้เบาขึ้น เรียกว่าจ่ายน้อยกว่าภาษีป้ายรถยนต์ประจำปีเสียอีก ทำให้แรงต้านกฎหมายนี้แผ่วลง

จนดูเหมือนว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างน่าจะประกาศใช้ได้ทันรัฐบาลนี้

สร้างฝันร้ายให้แก่บรรดาราชาที่ดิน!!

ลุยเก็บภาษีแม่ค้าออนไลน์

เพื่อขานรับกับนามสกุลของทั่นรัฐมนตรีกระทรวงคลัง และเพื่อเพิ่มรายได้ในการจัดเก็บภาษีมากขึ้น

“ประสงค์ พูนธเนศ” อธิบดีกรมสรรพากร จึงปิ๊งไอเดียเพิ่มช่องทางการจัดเก็บภาษีธุรกิจใหม่ที่กำลังมาแรงรับยุค 4 จี

นั่นคือ การจัดเก็บภาษีธุรกิจที่ซื้อขายกันในโลกออนไลน์ หรือ “อี-คอมเมิร์ซ”

กรมสรรพากรเห็นว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจการซื้อขายสินค้าบนเว็บไซต์ หรือที่เรียกกันติดปากว่าอี-คอมเมิร์ซ ได้รับความสนใจจากคนไทยเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากจะซื้อง่าย-ขายคล่องแล้ว

การนำสินค้าไปวางขายไว้บนหน้าจอเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม (ไอจี) ก็เท่ากับเป็นการเปิดโลกการตลาดที่สามารถสั่งซื้อขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตพุ่งกระชากใจ จนมูลค่าการซื้อขายจากเพียงไม่กี่ล้านบาทพุ่งทะลุเป็นเลขหลักแสนล้านบาท

กรมสรรพากรจึงได้ประกาศลุยเก็บภาษี “อี-คอมเมิร์ซ” ไม่ว่าจะรายเล็กหรือใหญ่ โดยตั้งใจจะกวาดให้เรียบ

งานนี้เล่นเอาบรรดาพ่อค้าแม่ค้าโลกออนไลน์พากันเซ็งเป็ด!!

4 จีเอไอเอสสะดุดกึก

ด้วยคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2557 ที่ให้ชะลอการประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคมออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี

กลายเป็นคำสั่งสร้างความอึดอัดหาวเรอให้แก่บริษัทโทรคมนาคมยักษ์เบอร์ 1 แห่งประเทศไทย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ไปแบบเต็มๆ

เนื่องจากเอไอเอสที่มีฐานลูกค้าอยู่ทั้งสิ้นเกือบ 44 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นสุดไตรมาส 3 ของปี 2557 และครองส่วนแบ่งรายได้สูงสุดที่ 53% กำลังมีปัญหากับปริมาณคลื่นความถี่ที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มใหญ่นี้

เพราะยิ่งลูกค้านิยมใช้อินเตอร์เน็ตส่งข้อมูลมากเท่าไร คลื่นความถี่ก็จะถูกใช้หนาแน่นมากขึ้น

สถานการณ์ของเอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการรายใหญ่แต่มีคลื่นความถี่จำนวนน้อยที่สุดย่อมกำลังเสียเปรียบคู่แข่งทุกประตู ที่สำคัญสัมปทานบนคลื่น 900 MHz ที่เอไอเอสได้สิทธิให้บริการ 2 จีอยู่ 17 MHz ก็กำลังจะสิ้นสุดสัญญาลงในเดือน ก.ย.2558 แทนที่จะได้คลื่นใหม่มาให้บริการกลับถูกเลื่อนออกไปอีก

กว่าจะได้เริ่มต้นประมูลกัน ก็ต้องรอครบ 1 ปี หรือเลย 17 ก.ค.2558 ไปแล้ว ทำเอาเอไอเอสมึนตึ้บ

ก็ไหนรัฐบาลบอกจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล!!

เศรษฐกิจตกสะเก็ด

ตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลลุงตู่เข้ามาบริหารประเทศ ภารกิจแรกๆที่ตั้งใจจะเร่งดำเนินการคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีนี้ ซึ่งซบเซามาต่อเนื่องในช่วงที่การเมืองมีความรุนแรงให้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง

เห็นได้จากการเร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าวที่ค้างอยู่ 1.3 แสนล้านบาทให้กับชาวนาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ยังตั้งรัฐบาลไม่เสร็จสิ้น

ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลลุงนายกฯตู่ ซึ่งนำโดย “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และขุนคลัง สมหมาย ภาษี ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจปีนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องโตได้ 2% ขึ้นไป

โดยได้ออกมาตรการสารพัดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหวังให้ “เงินใหม่” เข้าไปหมุนเศรษฐกิจไทยให้วิ่งจี๋

แต่ไปๆมาๆ ในทางปฏิบัติ ปรากฏว่าเงินรัฐกลับไหลไม่ออก เหมือนใครไปปิดก๊อกน้ำ ทำให้เงินงบประมาณที่ตั้งใจไว้ว่าจะเบิกจ่ายให้เร็วทั้งเงินโครงการไทยเข้มแข็งที่ค้างท่ออยู่ รวมทั้งการลงทุนโครงการใหม่ๆ กลับไม่ได้ตามเป้า

เมื่อ “เงินไม่หมุนไป” กิจกรรมเศรษฐกิจไทยก็แป้ก แถมยังมาเจอสติกเกอร์ คสช.ให้ปวดตับ

สุขใจจังเฮ้อ!!!


วันอังคาร, ธันวาคม 30, 2557

มาร์คไม่ว่างจริงๆ...



มันเจ็บไหมหนอ ??? // เฟซบุ๊กไม่ร่วมวง กสทช. เรียกถกปมโพสต์หมิ่น บอกสั้น ๆ ไม่ว่าง

ไร้เงาตัวแทนเฟซบุ๊ก ! หลัง กสทช. เชิญร่วมวงถกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับประเด็นหาตัวคนโพสต์หมิ่นสถาบัน

วันนี้ (29 ธันวาคม 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กสทช. ได้เชิญผู้แทนเฟซบุ๊กประเทศไทยเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต พร้อมหาแนวทางป้องกันและดำเนินการกับผู้โพสต์ข้อความหรือเนื้อหาที่เป็นการหมิ่นสถาบัน เนื่องจากเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยทาง กสทช. หวังให้ผู้แทนเฟซบุ๊กประเทศไทยหารือกับบริษัทแม่ เพื่อหาวิธีทราบตัวผู้ใช้ที่โพสต์ข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน

อย่างไรก็ดี ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. ที่เฟซบุ๊ก ภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส รายงานว่า ผู้ให้บริการเฟซบุ๊กไม่มาและไม่ได้ส่งตัวแทนมาด้วย โดยให้เหตุผลว่าไม่ว่าง ส่วนในการประชุมครั้งนี้ มีผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาร่วมประชุมด้วย ซึ่งจะแถลงการณ์ประชุมประมาณ 15.00 น.

มีคนโพสต์ อ.ส.ก.ข.
ต่อมา...

กสทช. ประกาศ ฟันเว็บ-เพจหมิ่นเบื้องสูง ให้หมดก่อน 31 ธ.ค.57 / ตำรวจ ยันตาม สะกดรอย 20 คนดัง โพสต์หมิ่น วอนปชช. ช่วยก๊อปปี้ส่งลิ้งค์เว็บ -เพจหมิ่นฯ ไปที่ report.nbtc@gmail.com เท่านั้น
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขา กสทช. เปิดเผย ภายหลังประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงาน กสทช., ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอินเทอร์เน็ต (ISP) รายใหญ่ และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล นำโดย พล.ต.ท. ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงาน กสทช. ได้สั่งการให้ ISP ทุกราย ดำเนินการตรวจสอบและทำการปิดหน้าเพจ และเว็บำซต์ ที่มีเนื้อที่เป็นภัยต่อความมั่นคง และ หมิ่นสถาบัน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112ทันทีโดยไม่ต้องขออนุมัติหมายศาล โดยให้แจ้ง กสทช ทันที
https://www.facebook.com/phattraporn.tpbs/posts/873489429338852



เครดิต Maysaanitto
...

รวมพลังเลิกใช้ FB



ผีดิบอาบยา...ออกหาอาหาร...เสียงสะพรึงอึงอล...หญิงชายสองคน...จำทนสารภาพ!!!




หัวเรื่อง เครดิต Somchai Jiu

2 จำเลยคดีเจ้าสาวหมาป่ารับสารภาพ ศาลนัดพิพากษา 23 ก.พ.ปีหน้า

Mon, 2014-12-29 16:07
ที่มา ประชาไท

คนร่วมฟังคดีกว่า 50 รวมเจ้าหน้าที่ยูเอ็นและอียู จนต้องนั่งพื้นห้องพิจารณาคดี 2 จำเลยรับสารภาพ ศาลสั่งสืบเสาะพฤติการณ์ประกอบการพิจารณา ก่อนจะนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 23 ก.พ.2558 เวลา 13.30 น.

29 ธ.ค.2557 ที่ศาลอาญา รัชดา ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน สอบคำให้การจำเลย ในคดีที่ภรณ์ทิพย์ และปติวัฒน์ ตกเป็นจำเลยในคดี 112 จากกรณีละครเจ้าสาวหมาป่า วันนี้มีผู้ให้ความสนใจเข้าฟังคดีกว่า 50 คนจนต้องนั่งกับพื้นห้องพิจารณาคดี ในจำนวนนี้มีตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) สหภาพยุโรป และแอมนาสตี้ เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลสั่งสืบเสาะพฤติการณ์ประกอบการพิจารณา ก่อนจะนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 23 ก.พ.2558 เวลา 13.30 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าจำเลยทั้งสองได้พบญาติพี่น้องและพากันร้องไห้

ด้านภาวิณี ชุมศรี ทนายจำเลยกล่าวว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพ ระบุขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน อายุยังน้อย และอยู่ระหว่างศึกษา การลงโทษด้วยการจำคุกนอกจากจะสร้างความเสียหายแล้วยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ จำเลยจึงขอให้ศาลให้โอกาสในการปรับตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมของสถาบันการศึกษาอีกครั้ง

คดีดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.3528/2557 คำฟ้องระบุว่าในวันที่ 13 ต.ค.2556 จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันแสดงละครเจ้าสาวหมาป่า ซึ่งมีบทละครอันเป็นมีข้อความอันเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท โดยในคำฟ้องได้หยิบยกข้อความมาทั้งสิ้น 9 ข้อความที่ระบุว่าเข้าข่ายความผิด และระบุด้วยว่าในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ หากจำเลยการยื่นคำร้องขอประกันตัวขอให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล

ปติวัฒน์ถูกจับเมื่อวันที่ 14 ส.ค.2557 ขณะที่ภรณ์ทิพย์ถูกจับเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2557 ทั้งคู่ถูกฝากขังยังเรือนจำตั้งแต่วันจับกุมจนปัจจุบัน ทนายความยื่นประกันตัวและคัดค้านการฝากขังหลายครั้งแต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

ปติวัฒน์ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขณะที่ภรณ์ทิพย์อายุ 26 ปี จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทั้งคู่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 112 จากกรณีมีส่วนร่วมในละครเวทีเรื่องเจ้าสาวหมาป่า ที่จัดแสดงในงานรำลึก 14 ตุลาเมื่อปีที่แล้ว ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.2556เครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบัน มีการจัดประชุมสมาชิกเครือข่าย โดยมีผู้เข้าร่วมราว 200-300 คน ได้ประชุมร่วมกันเพื่อแจกจ่ายคลิปดังกล่าวและนัดแนะให้เครือข่ายฯ เข้าแจ้งความตามมาตรา 112 ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ที่อยู่อาศัย ต่อมาวันที่ 2 พ.ย. 2556 เพจเครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบัน ได้สรุปกิจกรรมที่สมาชิกเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแสดงดังกล่าวที่สถานีตำรวจรวม 13 แห่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า คดีนี้ถูกจับตาและติดตามจาก คสช. โดยก่อนหน้านี้มีการเรียกบุคคลเข้ารายงานตัวเพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าวหลายคน

ภาพให้จำ 'Threesome'



สองผู้/พี่ใหญ่ กับหนึ่งน้อง (น่า) รัก

กับคำพูดต้องจาร ของผู้มากบารมี

"ถ้าพวกเราจำเหตุการณ์วันที่ ๒๒ พฤษภาคมได้ คงจะภูมิใจ คนในชาติภูมิใจมากที่นายกฯ ลุงตู่ยึดอำนาจการปกครองมาจากรัฐบาล...

แสดงให้เห็นว่าทหาร กองทัพ รวมทั้งของเจี๊ยบด้วย ของป้อมด้วย ว่าเมื่อถึงคราวที่จำเป็น เราก็ต้องออกไปทำ..."

ก็คงหมายได้ว่าต่างร่วมกันทำ และต่อนี้ไปไม่ต้องแอบทำ
...

เสียงจากเวป...

ปี 49 สุรยุทธ์ เหมือนเชอร์ชิล
ปี 51 ประเทศไทยโชคดีมีอภิสิทธิ์เป็นนายก
ปี 57 นี่ไม่ต้องคิดมากนะครับ

อย่าแพ้เล่ห์กลป๋าเป็นใช้ได้











ชัดขึ้น "อำนาจของใคร".. ??



“..ผมได้พูดกับนายกฯลุงตู่ เป็นการส่วนตัวว่า เราออกมาแล้ว เราคงจะถอยไม่ได้จะต้อง เดินหน้าไป อย่างองอาจ และกล้าหาญ เดินหน้าไปอย่างสุภาพบุรุษ และเดินไปข้างหน้า อย่างที่เป็นคนไทยโดยสายเลือด และต้องเดินหน้าไปเพื่อลูกหลานของเรา

อีกทั้งเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะแสดงให้เห็นว่า พวกเราจะไม่ทอดทิ้งพี่น้องของเราให้ทุกยากลำบากได้ ผมรู้ว่าทุกคนเหนื่อย และเหนื่อยด้วยกันทั้งนั้น แต่ทุกคนเหนื่อยเพื่อชาติ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคนไทยทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้เราหายเหนื่อย และมีกำลังใจที่จะต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมใคร่ขอให้พี่น้องทหารเหล่าทัพต่างๆ ช่วยเป็นกำลังใจกับท่านนายกฯ และคณะรัฐบาล ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ฉะนั้นเราจึงเป็นมิตรกัน และเป็นเพื่อนร่วมตายกัน ก็ต้องช่วยดูแลซึ่งกันและกัน..”

พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
รัฐบุรุษ และ ปธ.องคนมตรี
กล่าวอวยพร หัวหน้า คสช. และครม.
บ้านสี่เสา เทเวศร์
29 ธ.ค.57

...


.. นายกฯไม่ต้องเป็นส.ส.ก็ได้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคก็ได้ ส.ว.มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เราลองผิดลองถูกมาหลายรอบจนน่าจะรู้ดีรู้ชอบ สุดท้าย ฯพณฯ ผู้มีอำนาจ ก็กลับไป ลองผิด อีกรอบ...

22 ปีก่อนคนไทยเอาเลือดเนื้อชีวิตเข้าแลก เพื่อขับไล่นายกฯที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน บทเรียนครั้งนั้นแทบจะมั่นใจได้เลยว่า ปิดตายนายกฯคนนอก แต่ที่ย้อนยุคถอยหลัง วันนี้ นึกถึงดวงวิญญาณ วีรชนพฤษภา"35 กันบ้างไหม...

สภาผู้แทนฯเคยเหม็นคาวกับส.ส.อิสระ รับเงินทองในห้องน้ำก่อนลงมติ ใครเป็นใครรับรู้ รับทราบกันทั่ว ทำไมรัฐธรรมนูญใหม่ยังอยากย้อนยุค กลับไปหา ส.ส.ขายตัว ที่พร้อมโหวตตามเงินทอง ผลประโยชน์ บางยุคบางสมัยจำยอมต้องลงมติตาม กระบอกปืน...

ส.ว. จากลากตั้ง ยืนยันในตัวเองว่า ไม่ได้มาจากประชาชน แต่มาจากอำนาจพิเศษ ที่พิเศษเฉพาะกลุ่มเฉพาะพวก ยิ่งรัฐธรรมนูญใหม่กางแบเพิ่มอำนาจส.ว.มากกว่าเดิม อำนาจพิเศษ ก็ยิ่งเหนือหัวประชาชน

สรุปแล้ว รัฐประหารไม่เสียของ ส่วนจะ ของใคร คงไม่ต้องอธิบายความ...

by..@สันตะวา

...



ชัดขึ้น "อำนาจของใคร".. ??

โครงสร้างอำนาจการเมืองที่ต้องออกแบบกันใหม่หลังความวุ่นวายจนจบที่กองทัพทำรัฐประหารเริ่มเห็นรูปเห็นร่างในส่วนที่สำคัญแล้ว

หนึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมาจากการเลือกตั้ง

สอง ที่มาของ ส.ส.คือ หนึ่งเขตพื้นที่ 250 คน ปาร์ตี้ลิสต์หรือสัดส่วน 200 คน เกิดจากหลักคิดที่ต้องการทำให้พรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดไม่สามารถครองอำนาจอย่างเด็ดขาดได้

สาม ที่มาของส.ว.ทั้งหมดไม่มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง กำหนดให้เป็นการสรรหาจาก 5 กลุ่ม แม้จะไม่ตัดขาดจากประชาชนส่วนใหญ่เสียทั้งหมด เพราะมีบางส่วนที่เชื่อมโยงอยู่กับการสรรหาของกลุ่มอาชีพ แต่หมายความว่าไม่เกิน 200 คนที่จะมาเป็นวุฒิสภานี้ หากจะใช้อำนาจเข้ากำหนดตัวบุคคลก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ไม่ยาก

ที่สำคัญคืออำนาจของ ส.ว.ลงลึกไปถึงจุดที่ชี้เป็นชี้ตายต่อนักการเมืองได้ทุกระดับ หากเอาความแตกต่างทางความคิดที่ว่าประชาธิปไตยควรจะยืนอยู่ในจุดใดมาเป็นตัววิเคราะห์ ความคิดหนึ่งเห็นว่าอำนาจของประชาชนเป็นใหญ่ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน

กับอีกความคิดหนึ่งว่าประชาชนไทยยังไม่พร้อมที่จะมีสิทธิที่เท่าเทียมกันเพราะจะทำให้เกิดการเมืองที่ไม่มีคุณภาพคนกลุ่มหนึ่งอาศัยการใช้สิทธิที่ไม่ฉลาดและเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ของประชาชน เข้ามามีอำนาจและแสวงหาประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อส่วนรวมได้ จึงต้องเปิดทางให้คนกลุ่มที่มีคุณภาพมีสิทธิที่จะจัดการกับอำนาจรัฐได้มากกว่า

ผลการวิเคราะห์คงจะออกมาในทางแนวความคิดที่สองประสบความสำเร็จในการชักนำกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญให้คล้อยตามได้มากกว่า

เราจะมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งก็ได้ขณะที่ส.ส.ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนถูกทำให้กระจัดกระจาย ไม่มีเอกภาพ ทว่าอีกทางหนึ่งให้อำนาจอย่างเต็มที่กับ ส.ว. ที่แม้จะใช้ศัพท์มาจากการสรรหา แต่เอาเข้าจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับ "มาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ"

นั่นหมายความว่า โครงสร้างอำนาจรัฐแบบใหม่ที่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญสรุปออกมานี้ เป็นโครงสร้างที่เข้ามามีอำนาจโยงใยกับประชาชนน้อยขึ้นจากเดิมมาก อำนาจของผู้ที่ไม่ได้มาจากการเชื่อมโยงกับประชาชนมีมากขึ้น

เป็นอำนาจที่ถูกกำหนดโดยกลุ่มคนที่สถาปนาตัวเองเป็นคนมีคุณภาพคุณธรรมคนดี มีความรู้ความสามารถเหนือกว่าคนอื่น ว่าไปแล้วไม่ต่างอะไรกับ "ประชาธิปไตยครึ่งใบในอดีต" กับการพัฒนาประชาธิปไตยไทยที่ทำกันมายาวนาน 80 ปี ที่สุดวันนี้สภาพการเมืองการปกครองไม่ใช่แค่ไปไม่ถึงไหน แต่เป็นการถอยหลังกลับ

เหมือนกับจะต้องยอมรับกันว่า ประชาชนไทยยังไม่มีสำนึกประชาธิปไตยที่จะมอบอำนาจให้ปกครองกันเอง เหล่านี้คือเรื่องราวที่กำลังจะเป็นไป

ความน่าสนใจอยู่ที่นักการเมืองที่อวดอ้างความเป็นนักประชาธิปไตยทั้งหลายจะเลือกทำอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นยอมรับและใช้การพลิกแพลงเพื่ออยู่ในโครงสร้างอำนาจแบบนี้หรือเป็นปากเป็นเสียงเพื่อรักษาสิทธิที่เท่าเทียมให้กับประชาชนส่วนใหญ่

เช่นเดียวกับประชาชน จะยอมรับความด้อยคุณภาพ ไร้สำนึกประชาธิปไตยของตัวเองจนต้องถูกรอนสิทธิไปให้คนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิมีเสียงในการกำหนดอำนาจรัฐได้มากกว่าหรือไม่

ยังไม่มีใครสรุปได้ว่านักการเมืองและประชาชนส่วนใหญ่คิดอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ และที่สำคัญคือเมื่อคิดแล้ว จะพูดจะทำอะไร อย่างไร

ความแตกต่างทางความคิดในเรื่องสิทธิการมีส่วนร่วมในอำนาจจัดการประเทศ วันนี้ได้ข้อสรุปในขั้นกรรมาธิการแล้วว่า คุณภาพของคนกลุ่มหนึ่งเหนือกว่าจนต้องกำหนดให้มีสิทธิมากกว่าคนส่วนใหญ่

จะยอมรับโครงสร้างอำนาจเช่นนี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ชวนติดตามด้วยความระทึก!!

by..@สุชาติ ศรีสุวรรณ
...

ที่มา จเด็ด สิบทิศ


ขุดสนามหลวง แปลงเป็นไน้ท์บาร์ซ่า :ไอเดียจ๊าบ ดร.โสภณ


เสนอขุดสนามหลวง แปลงเป็นไนท์บาร์ซาร์ 

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส

             เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2558 นายกรัฐมนตรีได้ไปเปิดเส้นทางจักรยานเกาะรัตนโกสินทร์ 'โสภณ' มั่นใจว่าโครงการจักรยานและการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์เป็นแค่ปาหี่ ไม่มีผลดีต่อส่วนรวม พร้อมเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เห็นต่างจากแนวทางการพัฒนากรุงเทพมหานครที่กรุงเทพมหานครโดยพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการอยู่ โดยเห็นว่าการทำเลนจักรยานจะไม่ได้ผลหากคนส่วนใหญ่ยังใช้รถยนต์  ควรขุดสนามหลวงทำที่จอดรถใต้ดิน พร้อมกับแปลงสนามหลวงให้เป็นไนท์ปาร์ซาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้เป็นที่เลื่องลือ

โครงการจักรยานแบบปาหี่

            ทุกวันนี้โครงการจักรยานของกรุงเทพมหานครเป็นแค่ปาหี่ที่ไม่คุ้มค่า มีผู้ใช้จำกัด แน่นอนว่าย่อมมีผู้ใช้ที่ชอบอยู่จำนวนหนึ่ง แต่น้อยมาก  สิ่งที่ทำมาจึงได้ไม่คุ้มเสีย เกะกะ และไม่ได้มีผลในทางปฏิบัติจริง เป็นแค่โครงการแบบผักชีโรยหน้า ทำให้ผ่านๆ ไป โดยจะสร้างผลเสียในระยะยาว เช่น ค่าบำรุงรักษา และกลายเป็นสิ่งเกะกะบนบาทวิถี

            ยิ่งโครงการจักรยานบนเกาะรัตนโกสินทร์ ก็คงจะมีนักท่องเที่ยวใช้ได้แค่จำนวนหนึ่ง  การลงทุนไปมากมาย (แต่ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ซึ่งกรุงเทพมหานครคงไม่อยากจะเปิดเผยถึงต้นทุนการดำเนินการ เพราะเป็นความสูญเปล่า) อาจไม่คุ้มค่า เพราะโครงการจักรยานที่แท้ จะต้องรณรงค์ให้ประชาชนในท้องถิ่นร่ว่มใจกันขี่จักรยาน และมีระบบการป้องกันภัยที่ดี
Prime Minister Prayut Chan-o-cha, front left, avoids a fallen cyclist as he takes a trip through Koh Rattanakosin in inner Bangkok to mark the reopening of bike lanes after their recent repairs. (Photo by Pornprom Satrabhaya, the Bangkok Post)
โครงการจักรยานที่ 'โสภณ' เสนอ

            แต่ท่านเชื่อไหมการแปลงกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองจักรยานทำได้ทันที คุ้มค่า มีความเป็นไปได้ทางการเงิน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ฯลฯ แต่ที่ผ่านมาไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง เริ่มต้นเพียงทำจักรยานให้เช่าให้แพร่หลาย และสนับสนุนการใช้สอยจริงในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน ไม่ใช่เน้นเพื่อนักท่องเที่ยว โดยการให้มีจุดเช่า/คืนประมาณ 1,000 จุดทั่วเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน-กลาง และส่งเสริมให้มีการใช้จักรยานอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้การใช้จักรยานเป็นจริงได้

            หากแต่ละจุดมีจักรยานให้เช่า 40 คัน รวม 40,000 คัน ถ้าซื้อมาคัน ละ 3,000 บาท (ราคาซื้อเป็นจำนวนมาก) ก็เป็นเงินเพียง 160 ล้านบาท ค่าสถานที่และจัดการอีกประมาณ 1 เท่าตัว จะเห็นได้ว่าโครงการนี้สำเร็จได้ด้วยเงินเพียงไม่เกิน 400 ล้านบาท ยิ่งหากมีการส่งเสริมการใช้จักรยานให้เช่าขี่ไปทำงานหรือไปติดต่อธุระใด ๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรจักรยานบนท้องถนนได้ ก็จะทำให้การขี่จักรยานยิ่งปลอดภัยขึ้น

            ในทางการเงิน ค่าเช่าจักรยานในแต่ละวัน (วันหนึ่งได้หลายเที่ยว) อาจเป็นเงินเพียง 20 บาท โดยมีกำไรสุทธิ 20% หรือเพียง 4 บาท เมื่อโครงการอยู่ตัวแล้วในแต่ละวันอาจมีผู้เช่าเพียง 30% ของรถทั้งหมด คือมีผู้เช่า 12,000 คันจากทั้งหมด 40,000 คัน ในปีหนึ่งก็จะมีรายได้สุทธิ  17.52 ล้านบาท หรือมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 4.4% ซึ่งแม้จะไม่สูงนัก แต่ก็ไม่ขาดทุน

            อันที่จริงกรุงเทพมหานครน่าขี่จักรยานที่สุดเพราะไม่มีเนินเขา ถ้าเรารณรงค์ให้เขตชั้นในๆ เป็นเขตส่งเสริมการใช้จักรยาน  การใช้จักรยานก็จะยิ่งเป็นจริงเพราะระยะทางแต่ละจุดไม่ไกลเกินไป ยิ่งเราส่งเสริมให้คนใช้จักรยานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนขี่มาก ในเวลาไม่ช้าจะมีจักรยานในเขตใจกลางเมืองทั้ง 6 เขตนี้มากกว่ารถจักรยานหรือรถอื่นๆ เสียอีก  เมื่อถึงเวลานั้นฝุ่นควันในเมืองก็จะลดลงจนไม่เป็นปัญหาในการขี่จักรยานอีกต่อไป

            ยิ่งหากเรากระตุ้นด้วยการขอความร่วมมือจากดารา 'เซเลป' ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ฯลฯ ออกมาช่วยกันขี่จักรยานจากอาคารชุดหรือบ้านอยู่อาศัยใจกลางเมืองไปทำงานด้วยแล้ว จะยิ่งกระตุ้นให้คนขี่จักรยานมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเสริมด้วยการสร้างอาคารจอดรถในเขตรอบนอกเพื่อส่งเสริมให้คนจอดรถไว้นอกเมือง แล้วนั่งรถไฟฟ้าและเช่าจักรยานขี่ในเมืองมากยิ่ง และเมื่อโครงการสำเร็จ เราก็จะสามารถขยายเขตขี่จักรยานครอบคลุมได้มากยิ่งขึ้นอีก
จักรยานให้เช่าในโครงการ CitiBike ของมหานครนิวยอร์ค

การขุดสนามหลวง

            สนามหลวงควรได้รับการพัฒนาใต้ดินโดยก่อสร้างเป็นอาคารจอดรถขนาดใหญ่สำหรับรถโดยสารปรับอากาศที่เดินทางมาท่องเที่ยว  และสำหรับผู้มาติดต่อราชการต่าง ๆ ตลอดจนวิสาหกิจเอกชนในพื้นที่  นอกจากนั้นยังสามารถสร้างเป็นแหล่งเชื่อมต่อสำคัญของสายรถประจำทาง สถานีขนส่งสายใต้ และอาจเป็นศูนย์รวมระบบขนส่งมวลชนระบบรางในอนาคตอีกด้วย

            การพัฒนาเช่นนี้สามารถทำได้ง่ายและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยมาก 

สนามหลวงมีขนาดประมาณ 70 ไร่ หรือ 112,000 ตารางเมตร  หากใช้พื้นที่ก่อสร้างเพียง 60% โดยสร้างเป็นอาคาขนาด 4 ชั้น ก็จะมีพื้นที่รวมประมาณ 268,800 ตารางเมตร  ยิ่งหากทำอุโมงค์เชื่อมต่อกับทางยกระดับในบริเวณใกล้เคียง ก็ยิ่งจะทำให้สนามหลวงกลับมา "รับใช้ประชาชน" เป็นศูนย์กลางการเดินทาง และทำให้พื้นที่ใจกลางเมืองฟื้นคืนกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง

การแปลงสนามหลวงเป็นไนท์บาร์ซาร์

            เราควรเริ่มต้นให้ใช้พื้นที่บริเวณสนามหลวง และรอบกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีพื้นที่รวมกันประมาณประมาณ 60,000 ตารางเมตร ซึ่งคิดเฉพาะพื้นที่ในบริเวณทางเดินรอบสนามหลวงและพื้นที่บนทางเท้ารอบอาคารศาลยุติธรรม ตลอดจนถนนราชินีและถนนหน้าหับเผยข้างอาคารศาลฯ  หากนำพื้นที่ 50% มาใช้เพื่อกิจกรรมสันทนาการและไนท์บาซาร์ ก็จะกินพื้นที่ประมาณ 30,000 ตารางเมตร

            กรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของพื้นที่สามารถจัดกิจกรรมตลาดได้ทุกวัน นำรายได้เข้ามาบำรุงเกาะรัตนโกสินทร์ได้เพิ่มเติม เช่น คืนหนึ่งหากมีพื้นที่เช่าประมาณ 20,000 ตารางเมตรในระยะเวลาเริ่มต้น คิดเป็นเงินตารางเมตรละ 100 บาทต่อคืน ก็จะได้เงินประมาณปีละ 720 ล้านบาท หากหักค่าใช้จ่ายเหลือเงินกำไรสุทธิ 20% เพื่อนำมาพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ให้มีความสง่างามเพิ่มเติม ก็จะได้เงินประมาณ 144 ล้านบาทต่อปี  ยิ่งหากการพัฒนานี้ขยายตัว ก็ยิ่งจะได้รายได้มาพัฒนากรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น  และด้วยการจัดการที่ดี มีการบำรุงรักษาสถานที่หลังจากการใช้สอย ก็จะทำให้ภูมิทัศน์ของเกาะรัตนโกสินทร์ ยังคงความสง่างามและจะยิ่งสง่างามยิ่งขึ้น หากมีได้เงินกำไรมาพัฒนาเพิ่มเติม

            กิจกรรมไนท์บาซาร์นี้ควรเปิดบริการในระหว่างเวลา 18:0024:00 น.  และควรมีกิจกรรมเสริมเช่น การล่องเรือรอบคลองหลอด  ลานการแสดงออกสำหรับคนหนุ่มสาวและศิลปิน เป็นต้น  และในอนาคตยังสามารถขยายไปยังถนนมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ และอื่น ๆ ในเกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งถนนราชดำเนินในและถนนราชดำเนินกลาง จนกลายเป็นตลาดไนท์บาซาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

            
ประโยชน์จากการนี้เปิดตลาดไนท์บาซาร์ ณ เกาะรัตนโกสินทร์ ได้แก่

1.      เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ให้ประชาชนได้ชื่นชมอาคารสถานที่สำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์ในห้วงเวลาที่ไม่ร้อนเช่นเวลากลางวัน ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความหวงแหนในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย

2.      เป็นการเปิดโอกาสให้วัยรุ่น เยาวชน คนหนุ่มสาว ศิลปิน ได้มีพื้นที่แสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่ไนท์บาซาร์แห่งนี้ ซึ่งไม่ได้เน้นเพื่อการขายสินค้าแต่อย่างใด

3.      เป็นการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีพื้นที่ทำการค้าในราคาที่ยุติธรรมพร้อมการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐาน

4.      เป็นสถานที่ทางเลือกเพื่อการพักผ่อนที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนในยามค่ำคืน ซึ่งจะทำให้พื้นที่นี้มีชีวิตชีวา ปลอดจากมิจฉาชีพ โดยทั้งนี้จะมีการจัดวางกำลังรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี  บุตรหลานสามารถเดินทางมาได้อย่างปลอดภัย

5.      เป็นการทำให้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งนอกจากจะควรได้รับการยกย่องเชิดชูแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั้งที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ประชาชนไทยโดยทั่วไปและนักท่องเที่ยว

6.      เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สะอาด ปลอดมลพิษ มีคุณภาพ ให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์ในเชิงสากล โดยไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวประเภทการให้บริการทางเพศหรืออื่นใดที่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศชาติมัวหมอง

         การที่จะพัฒนาเมือง พัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ หรือในพื้นที่เจาะจงเช่นสนามหลวงนั้น จะต้องมีแผนแม่บทที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่ใช่ทำโครงการแบบ "ผักชีโดยหน้า" ที่ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" ไปวันๆ