วันอาทิตย์, สิงหาคม 31, 2557

อะไรคือจุดประสงค์ของการทำ Ice Bucket Challenge ในประเทศไทย?

จากบทความใน Facebook ส่วนตัวที่:  อะไรคือจุดประสงค์ของการทำ Ice Bucket Challenge ในประเทศไทย?

บทความเกี่ยวเนื่อง: บทความแปล: องค์กร ALS จะต้องทำอย่างไรกับเงินบริจาคจำนวน $94 ล้านเหรียญ


จุดประสงค์ในการปลุกกระแสเรื่องของ Ice Bucket Challenge ก็คือ ให้ผู้ถูกราดน้ำแข็๋ง เข้าใจถึงเรื่องโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นการทนทุกข์ทรมานนับปี จนกระทั่งผู้ป่วยต้องเสียชีวิต ความรู้สึกคือ เพียงเวลาชั่ววูบเท่านั้น กล้ามเนื้อของเราจะชาไปเพราะน้ำแข็งที่เย็นจัด ก็ลองเปรียบเทียบกันเองว่า ถ้าความชาแบบนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานนับปี ท่านจะรู้สึกว่ามันต้องทนทุกข์ทรมนานขนาดไหน และเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา

การบริจาคเงินให้กับองค์กร ALS นั้น เป็นวัตถุประสงค์หลัก อย่างเช่น ALS Association เพื่อนำเงินเหล่านั้น มาใช้จ่ายในการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับโรคร้ายนี้ การบริจาคต่างๆ สามารถถูกตรวจสอบได้ทั้งหมด และ สาธารณชนสามารถยื่นคำร้องขอตรวจความโปร่งใสในการใช้เงิ

องค์กร ALS จะถูกตรวจสอบ โดยองค์กรตรวจสอบมูลนิธิการกุศล, จากสรรพากร และจากหลายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ รวมถึงประชาชนผู้บริจาคด้วย

---------------------------------------------------------------------------

กระแสที่กำลังสร้างอยู่ในประเทศไทย อ้างถึงเรื่อง Ice Bucket Challenge ว่าเป็นการทำบุญ ทำกุศล แต่ที่สงสัยมากๆ คือ ทำไม สภากาชาดไทย ถึงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้? เท่าที่ทราบมาคือ การบริจาคเข้าสู่สภากาชาดไทยนั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่า เงินบริจาคเหล่านั้น นำไปทำอะไรบ้าง และมันจะถึงผู้ป่วยจริงๆ ได้อย่างไร? และที่สำคัญคือว่า มันเกี่ยวข้องกับ ALS อย่างไร

การทำ Ice Bucket Challenge ที่ถูกต้องจริงๆ คือ ต้องให้ถึงตัวผู้ป่วยเกี่ยวกับ ALS ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เอาน้ำแข็งหรือน้ำเย็นไปเทราดกันเพราะอะไร


ตามข่าวที่ลงไว้นั้น เห็นว่ามี "กองทุน ALS" ที่สถาบันประสาทวิทยา (อันนี้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของการราดน้ำแข็ง), ส่วนพระองค์ภา ก็ทรงไปบริจาคให้กับ มูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช และ คุณอภิสิทธิ์ ก็ไปบริจาคกับ สภากาชาดไทย

ตกลงกระแสในไทย ก็คือ การบริจาคให้กับมูลนิธิ โดยการราดน้ำเย็นบนหัวเท่านั้นเอง มีใครทราบหรือไม่ว่า จุดประสงค์มันคืออะไร เห็นมีแต่ "ท้าทาย" กันเป็นลูกโซ่

ส่วนทางสาธารณชนสามารถทราบได้่หรือเปล่าว่า เงินบริจาคเหล่านั้น นำไปช่วยการกุศลกันได้อย่างไร มีผู้แทนขององค์กรเหล่านี้ กล่าวให้กับทางสาธารณะได้ทราบบ้างหรือเปล่า ถึงวัตถุประสงค์? หรือว่า ต้องการแต่การพาดหัวข่าว สรรเสริญ ชื่นชมกันในการบริจาคเท่านั้น

---------------------------------------------------------------------------

ถ้าท่านมีเวลา กรุณาอ่านบทความเกี่ยวเนื่อง ที่ดิฉันแปลไว้ที่นี่ (
องค์กร ALS จะต้องทำอย่างไรกับเงินบริจาคจำนวน $94 ล้านเหรียญ)  มันเป็นบทความที่ แจ้งให้ทราบว่า องค์กรการกุศล ALS ใน USA นั้น เขามีความห่วงใยขนาดไหนกับเงินบริจาคที่ได้รับมา และต้องการเตรียมแผนการอย่างดี เพื่อให้ผู้บริจาคทราบว่า เงินเหล่านั้น จะต้องนำไปใช้อะไรบ้าง เพื่อตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค (และรับรองได้ว่า จะมีความโปร่งใสมากๆ ในเรื่องการใช้เงินเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโรค ALS กัน)

Bottom line คือ ตัวผู้ป่วยของโรค ALS แท้จริงในประเทศไทยนั้น จะได้อะไรจากเรื่อง Ice Bucket Challenge กันบ้าง?



Doungchampa Spencer Isenberg



สืบเนื่องจาก...นศ.รุ่นพี่รับน้องดับคาชายหาด...ขอเชิญอ่าน/ชมอีกครั้ง...พิธีกรรมรับน้อง ผลิตซ้ำอำนาจนิยม?


***นศ.รุ่นพี่รับน้องดับคาชายหาดเขาเต่า หัวหิน***

นักศึกษารุ่นพี่รับน้องจับกรอกเหล้า บังคับคว่ำหน้าอัดพื้นทรายจนสำลักและอาเจียนออกมาเป็นเลือด ก่อนขาดใจตายคาชายหาดเขาเต่า หัวหิน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (30 ส.ค.) ร.ต.ท.จารึก คงกระเรียน ร้อยเวรสอบสวน สภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งจากโรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน เขตเทศบาลเมืองหัวหิน ว่ามีนักศึกษาจมน้ำทะเลเข้ามารักษาตัวแต่เสียชีวิต จึงรุดไปตรวจสอบพบศพนักศึกษา ปวช.ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยย่านปทุมธานี เสียชีวิตในสภาพร่างกายซีดเซียว เลือดออกปาก มีทรายติดเต็มตามลำตัว คาดเสียชีวิตมาแล้วราว 1 ชม. เบื้องต้นคาดว่าเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ก่อนนำศพส่งสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ให้แพทย์ผ่าพิสูจน์อีกครั้ง

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทราบว่า ก่อนหน้านั้นมีรถปิกอัพยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน มีวัยรุ่นชายหญิง 5-6 คน สวมเสื้อช็อป นำร่างคนเจ็บที่นอนไม่ได้สติมาด้านหลังกระบะบอกว่าจมน้ำทะเล ก่อนทั้งหมดขับรถหนีออกจากโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิต แต่พบว่าเสียชีวิตก่อนหน้าแล้ว

จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายเดินทางมารับน้องใหม่กับเพื่อนๆ นักศึกษา โดยไม่มีอาจารย์มาด้วย ที่หาดทรายน้อย หมู่บ้านเขาเต่า ต.หนองแก อ.หัวหิน และเข้าพักที่บ้านพักซึ่งอยู่ใกล้ทะเล จึงสอบถามทราบว่าผู้ตายมาเข้าพักกับเพื่อนนักศึกษารวมกว่า 20 คน เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังเปิดห้องพักทั้งหมดก็เดินถือเสบียงของกินไปที่บริเวณชายหาดทรายน้อย จนรุ่งเช้าจึงทราบว่ามีนักศึกษาเสียชีวิต

เบื้องต้นคาดว่าขณะนอนคว่ำหน้ากับพื้นทรายผู้ตายเกิดสำลักหายใจไม่ทัน ทำให้เสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่ตั้งข้อหาใคร ต้องรอเรียกนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์มาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งรอผลการชันสูตรศพจากแพทย์อีกครั้ง

ขณะที่บิดามารดาผู้ตายได้เดินทางมาดูศพลูกชายด้วยอาการเศร้าโศก ระบุว่า ตนมีลูกคนเดียว ก่อนเกิดเหตุลูกชายได้มาขอไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ที่วิทยาลัย ตนเห็นว่าลูกโตแล้วน่าจะรับผิดชอบตัวเองได้ จึงอนุญาต แต่ไม่นึกว่าจะมาเสียชีวิตแบบนี้ ทั้งนี้ ลูกชายเคยมีประวัติโรคประจำตัวคือ โรคลูคีเมีย แต่รักษาหายแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน.

-สำนักข่าวไทย
Phattita CherAiem
ooo

วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม


วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม 1/4 from Tom KaewpradiT on Vimeo.



วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม 2/4 from Tom KaewpradiT on Vimeo.



วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม 3/4 from Tom KaewpradiT on Vimeo.



วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม 4/4 from Tom KaewpradiT on Vimeo.
ooo

รับน้องถ้าดีจริง ต้องตรวจสอบได้ : เสวนา “วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม” (ตอนที่ 2)

ที่มา ประชาไท
Fri, 2011-07-01 00:27

เสวนา “วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม” ช่วงที่ 2 ตัวแทนนักศึกษาบอกเล่าเชื่อมโยงประวัติศาสตร์การรับโซตัสเข้ามาในประเทศไทย และเหตุใดมันถึงรับใช้อำนาจนิยม ด้านธเนศวร์ชี้ ระบบการเมืองไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยถึงยังมีระบบแบบอำนาจนิยมในมหาวิทยาลัย 

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2554 ได้มีการจัดเสวนาเรื่อง “วัยรุ่น วัฒนธรรม และอำนาจนิยม” ขึ้น ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารห้องสมุดคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยการเสวนาแบ่งเป็น 2 ช่วง ในช่วงแรกมีหัวข้อว่า “ชีวิต วัฒนธรรม และกิจกรรมนักศึกษา” มีวิทยากรคือ รศ.ดร. อำนาจ อยู่สุข รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษาและกิจกรรมพิเศษ, นายเมธิชัย โอบอ้อม นายกสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์, นายอานนท์ พลแหลม นายกสโมสรนักศึกษาคณะสังคมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย อ.ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว ซึ่งในตอนที่ 2 นี้จะกล่าวถึงช่วงที่ 2 ที่มีหัวข้อว่า “รับน้อง พิธีกรรม ผลิตซ้ำอำนาจนิยม?” มีวิทยากรคือ ศ.ดร. ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์, นางสาวรวีพร ดอกไม้ นักศึกษาคณะสังคมศาสตร์ และนายธนพงษ์ หมื่นแสน แนวร่วมนักเรียน นิสิต นักศึกษาเสรีชนล้านนา และกลุ่มนักศึกษาผู้ไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมความรุนแรง 

Order คือระบบชนชั้นตั้งแต่ยุคขุนนาง นางสาวรวีพร ดอกไม้ จากสาขาวิชาไทยศึกษา คณะสังคมศาสตร์ กล่าวถึงความเป็นมาของระบบโซตัสที่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ซึ่งจริงๆ เป็นระบบที่มีมาตั้งแต่ยุคจารีตประเพณีหรือยุคขุนนางศักดินา (Feudal) แล้ว อย่างตัวย่อของโซตัสเช่น S ที่มาจากคำว่า Seniority ก็เป็นเรื่องชนชั้นทางสังคม ส่วยคำว่า O ซึ่งมาจาก Order ไม่ได้แปลว่าคำสั่งอย่างที่หลายคนเชื่อกัน แต่มาจากคำว่า Social Order หรือมิติทางสังคมที่จะนำมาใช้กับระบบทางชนชั้น เพื่อสถาปนาอำนาจสร้างตัว T คือ Traditional ขึ้นมา โดยชนชั้นนำเชื่อว่าหากสร้างประเพณีได้แล้ว ก็จะสามารถสร้างความชอบธรรมและครอบงำชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าของตัวเองได้ เพื่อจะนำไปสู่ Unity หรือจุดร่วมเดียวกัน เนื่องจากประเพณีเองก็มีความหลากหลาย 

รวีพรกล่าวต่อว่า ระบบนี้เข้ามาทางสังคมไทยในช่วงทศวรรษ 2440 ช่วงนโยบายปฏิรูปการศึกษาของรัชกาลที่ 5 โดยใช้ในระบบข้าราชการ นำมาใช้กับโรงเรียนมหาดเล็ก ก่อนจะสถาปนาเป็นโซตัสในช่วงปี 2480 จนถึงช่วง 2490 เป็นช่วงยุคของจอมพล ป. เป็นยุคลัทธิอาณานิคมจากภายนอก ซึ่งก็มีลัทธิต้องเชื่อผู้นำ 

วสันต์ ผู้ดำเนินรายการกล่าวเสริมรวีพรว่า ระบบโซตัสเป็นเรื่องที่ผลิตซ้ำ ตอกย้ำ ระบบโครงสร้างอำนาจบางอย่าง แต่ว่าเมื่อมันถูกนำมาแปลงเข้าสู่ระบบของนักศึกษา ก็ถูกดัดแปลงจากคณะต่างๆ เอาไปใช้ไม่เหมือนกัน ความหลากหลายพวกนี้เรารับรู้กันอยู่ “แต่มันมีอะไรมากกว่านี้หรือไม่ในยุคสมัยใหม่ที่ข่าวสารแพร่ได้ง่ายขึ้น อยู่ในสังคมที่เรียกตัวเองว่าเป็นสังคมประชาธิปไตย” 

วสันต์ตั้งคำถาม รวีพรกล่าวถึงกรณีของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ถูกโยนบกและการฆ่าตัวตายของนิสิตนักศึกษาทำให้สถาบันอุดมศึกษาสั่งยกเลิกกิจกรรมการรับน้องไป โดยบอกว่ามันได้แสดงให้เห็นว่าเป็นประเพณีที่สอดแทรกความรุนแรงเอาไว้ คล้ายเป็นมรดกตกทอดที่ยังคงหลงเหลือไว้ในระบบการศึกษาของประเทศไทย ห้ามรู้ ห้ามคิด ห้ามถาม เป็นรั้วทึบใหญ่ของการศึกษาไทย 

ธนพงษ์ หมื่นแสน แนวร่วมนักเรียน นิสิต นักศึกษาเสรีชนล้านนา และกลุ่มนักศึกษาผู้ไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมความรุนแรง เริ่มต้นโดยกล่าวว่าการที่พวกเรามารวมกันในวันนี้เกิดจากความคิดที่หลากหลาย มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยที่อ้างนักอ้างหนาว่าเป็นวิถีประชาธิปไตยจ๋า ทุกอย่างในสังคมเป็นเบ้าหลอม ที่หล่อหลอมให้สังคมเกิดการถ่ายทอดอุดมการณ์ ความคิด วิธีคิดทางสังคม ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องการศึกษาให้เชื่อมโยงกับการเมือง เพราะการผลิตซ้ำแนวคิดทางสังคมยังมีการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการส่งผ่านอุดมการณ์ 

ธนพงษ์ กล่าวต่อว่า เสรีภาพเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการนำไปสู่เรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างไม่มีการกำหนดขอบเขต “ผมเชื่อในหลักธรรมิกสังคมนิยมของท่านพุทธทาส (พุทธทาสภิกขุ)” ธนพงษ์กล่าว “การที่มาบอกว่าห้ามรู้ ห้ามคิด ห้ามถาม ห้ามกระทั่งตั้งข้อสงสัย นั่นคือการขีดกรอบทางสังคมเป็นรั้วทึบใหญ่ๆ ให้การศึกษาในสังคมไทยไร้เสรีภาพอย่างแท้จริง” หลักสูตรแฝงจากพิธีกรรมแสดงความเป็นเจ้าของสถาบันการศึกษา ธนพงษ์บอกอีกว่า วัฒนธรรมการรับน้องแบบไทยนั้น มันเป็นฐานรากของสังคมเผด็จการอำนาจนิยมยุคใหม่ ที่ยังซ่อนอยู่ในระบบการศึกษาไทยแม้ว่าการรับน้องจะไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาไทย แต่ในทางทฤษฎีนั้นเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นหลักสูตรแฝง “มันแฝงมาในทุกๆ ปริมณฑลชีวิตของการเป็นนักศึกษา มันแฝงมาในทุกๆ กิจกรรม” ธนพงษ์กล่าว 

จากนั้นธนพงษ์ก็ได้กล่าวถึงการรับน้องแบบไทยๆ ที่มีการยึดถือความเป็นสถาบันการศึกษาซึ่งผูกขาดความเป็นเจ้าของ และการที่รุ่นน้องจะเข้าร่วมเป็นเจ้าของได้ต้องผ่านพีธีกรรมบางอย่าง “แล้วเจ้าของคือใครล่ะ คือผู้ที่เข้ามาอยู่ในสาระบบนั้นก่อนใช่หรือไม่ เจ้าของคือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับระบบนั้นหรือไม่ แล้วคำถามที่ตามมาก็คือรุ่นน้องเป็นเจ้าของสถาบันนั้นหรือไม่” ธนพงษ์ตั้งคำถาม “หรือการที่รุ่นน้องจะเข้าไปเป็นเจ้าของในสถาบันนั้นจำต้องผ่านระบบพิธีกรรมการสถาปนา แล้วคุณถึงจะเข้าไปมีสิทธิเต็มที่ 

ภาษาแบบพวกเราก็คือได้รุ่น ได้พรรค ได้พวก แต่ถ้าคนที่อยู่นอกสาระบบนั้นคือหมดสิทธิ์” ธนพงษ์กล่าว เปลือกอันว่างเปล่าของสถาบันการศึกษา ธนพงษ์ มองว่าสถาบันการศึกษามันไม่ได้มีชีวิตในตัวของมันเอง แต่ที่แท้จริงแล้วมันถูกสร้างมาเพื่อการรับใช้อะไรบางอย่าง และตั้งคำถามว่ามันได้รับใช้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจตามวิถีทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่? อย่างไร? “ถ้าหากเรารักษาเปลือกอันว่างเปล่าของสถาบัน(การศึกษา)เอาไว้ โดยต้องสูญเสียความเป็นคน หรือความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพของบุคคลที่มันมีมาแต่กำเนิด มันอยู่กับตัวเรา มันชอบธรรมแล้วหรือที่จะต้องไปถูกลิดรอนเมื่อคุณจะเข้าไปสู่สถาบันใดสถาบันหนึ่ง” “สิทธิเสรีภาพของคนเราถูกลดทอนได้หรือไม่ นี่เป็นคำถามที่ต้องฝากไปถึงปัญญาชน ผู้ที่คนทั้งหลายยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้ และเป็นอนาคตแห่งการชี้นำสังคม และที่สำคัญเขาบอกว่าคนพวกนี้จะมีปัญญาเป็นเลิศ ในการสร้างสรรค์วัฒนธรรม” 

ธนพงษ์กล่าว ขอบคุณที่สอนให้รู้จัก ‘ประชาธิปไตยแบบไทยๆ’ ธนพงษ์กล่าวถึงประเด็นเรื่องเหตุใดกลุ่มรุ่นพี่ถึงคิดอยากถ่ายทอดสืบต่อประเพณีการรับน้องโดยแบ่งเป็น 3 ประการคือ ประการที่ 1 คือการกระทำของพวกเขาเหล่านั้นวางอยู่บนฐานของความรักที่จะมอบให้น้องใช่หรือไม่? ประการที่ 2 ปัญญาชนเหล่านั้นต้องการจะดำรงวัฒนธรรมที่เก่าแก่ของสังคมไทยเพื่อไม่ให้สูญสลายไปกับกาลเวลา วัฒนธรรมนั้นคือการธำรงสภาวะความเป็นชนชั้น หรือ Social Order ในระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ประการที่ 3 ธนพงษ์บอกว่าเราควรเคารพนับถือบุคคลเหล่านั้น เพราะพวกเขาทำให้พวกเราได้นึกถึงระบอบ ‘ประชาธิปไตยแบบไทยๆ’ “แล้วรุ่นน้องผิดอะไรถึงต้องทำให้เขามีสิทธิ์เป็นศูนย์ เพียงแค่เขามาทีหลังเราใช่หรือไม่?” ธนพงษ์ตั้งคำถาม 

ไม่มี รธน. ข้อไหนอนุญาตให้รุ่นพี่มีอำนาจด่ารุ่นน้อง ธนพงษ์กล่าวว่า หากจะมองคำว่า ‘อำนาจ’ นั้นเราควรจะพิจารณาจากแง่มุมของรัฐธรรมนูญหรือตัวกฎหมาย ฉะนั้นการที่จะสร้างอำนาจเพื่อเป็นเครื่องกีดกันทางสังคม ผู้ที่กระทำเช่นนี้ไม่ได้มีกฎหมายรองรับ ไม่มีการบรรจุในรัฐธรรมนูญว่ารุ่นพี่มีอำนาจด่ารุ่นน้อง ธนพงษ์มองว่า เครื่องมือที่กลุ่มรุ่นพี่ใช้นำมาสร้างอำนาจ มีอยู่ช่องทางเดียวคือรหัสนักศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มาก่อนมีอำนาจกว่า แสดงให้เห็นลำดับขั้นทางสังคมในมหาวิทยาลัย โดยการสถาปนาอำนาจเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จากการที่ “เธอจะเข้ามาเป็นพวกเดียวกับฉันได้ เธอต้องผ่านกระบวนการแบบเดียวกับฉัน” สังคมประชาธิปไตยต้องยอมรับความต่าง “ผมไม่พูดว่ารับน้องดีหรือไม่ดี ผมไม่ขอแสดงความคิดเห็นในที่นี้” ธนพงษ์กล่าว 

เขามองว่าปัญหาอยู่ที่ฝ่ายรุ่นพี่จะสามารถยอมรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรับน้องได้แค่ไหน “แต่สังคมประชาธิปไตยมันต้องมีความแตกต่างเป็นธรรมดา” ธนพงษ์กล่าว “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ารุ่นน้องจะเอารุ่นหรือไม่เอารุ่น รุ่นน้องจะทำตัวแปลกแยก ปัญหาอยู่ที่ว่าคนที่กำหนดวิถีประชานั้นๆ ยอมรับได้หรือไม่ที่จะให้พื้นที่ความแตกต่างเกิดขึ้นในสังคม คุณยอมได้หรือไม่” รับน้องถ้าดีจริง ต้องตรวจสอบได้ ธนพงษ์บอกว่า แต่จากข่าวคราวที่เขาทราบมาเช่นกรณีที่ ม.มหาสารคาม พบว่าคนกลุ่มนี้รับไม่ได้ และมีการห้ามถ่ายรูป “ถามว่าคุณเอาบรรทัดฐานอะไรมาวัดว่าไม่ให้คนถ่าย ถ้าคุณดีจริงคุณต้องกล้าเปิดเผยสิครับ” ธนพงษ์กล่าว “ถ้าคุณดีจริง คุณต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถาม” 

ธนพงษ์มองว่าใครจะเอารุ่นหรือไม่เอารุ่นก็เป็นสิทธิของคนๆ นั้น ว่าเขาอยากเอารุ่นหรือไม่เอารุ่น คนที่พร้อมใจที่จะไปโดนว๊าก ก็เป็นสิทธิ์ของคุณที่จะไป ขณะเดียวกันมันก็เป็นสิทธิของคนที่ไม่เอาด้วยเช่นเดียวกัน แต่การที่ไม่เอานั้นยอมรับได้หรือไม่ในสังคมทุกวันนี้ เพราะยังมีการลงทัณฑ์ (Sanction) ทางสังคม ใช้วิธีการล่าแม่มด มีการกล่าวว่าการว๊ากทำให้น้องมีระเบียบวินัย ทำให้คนรักกัน ซึ่งธนพงษ์ก็ให้ความเห็นเป็นในเชิงสีสันการเสวนาว่า “เป็นไปได้ไหมว่าเราจะเอาคนว๊ากเก่งๆ ไปล้อมนักการเมืองในสภา 400-500 คน แล้วว๊ากให้รักกันสามัคคีกัน ถ้าทำได้อย่างนั้นผมจะเชื่อเลย” 

ธนพงษ์ กล่าวอีกว่า ถ้าหากใช้การว๊ากหรือระบบใดๆ ก็ตามเข้ามาควบคุมให้สังคมมีระเบียบแล้ว แม้จะทำให้สังคมในมหาวิทยาลัยมีวินัย แต่การว๊ากก็ไม่ได้มีการนำไปใช้กับแม่ค้าหลังมหาวิทยาลัย เพราะเขาไม่ได้ผ่านระบบการสถาปนาเช่นนี้ พื้นที่ของมหาวิทยาลัยก็ไม่เหมือนพื้นที่ข้างนอก “ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยมีการสถาปนาความเป็นรัฐอิสระขึ้นมาหรือเปล่า” ธนพงษ์ตั้งคำถาม “มันมีกฎมันมีวิธีการ หลักการที่ปฏิเสธหลักรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักสิทธิเสรีภาพหรือเปล่า” 

ธนพงษ์เปิดเผยอีกว่าบางคณะมีการให้น้องเซนต์สัญญาเพื่อแสดงความยินยอมให้มีการว๊ากเพื่อป้องกันการฟ้องกลับ การสถาปนารัฐอิสระขึ้นในมหาวิทยาลัยถูกทำให้ดูวิลิศมาหรา บางมหาวิทยาลัยถึงขั้นมีเพลงชาติประจำมหาวิทยาลัย โซตัสเป็นวิธีคิดระดับกลุ่มย่อย แต่ไทยเราเอามาใช้ทั้งประเทศ 

ศ.ดร. ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ แนะนำให้ผู้เข้าฟังเสวนาไปอ่านหนังสือที่ชื่อ ‘รับน้อง’ ซึ่งตัว ศ.ดร. ธเนศวร์ เองเคยเขียนไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากนั้นจึงตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อสมัยที่มีการนำโซตัสมาใช้ในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาก็มีการนำไปใช้กับบางสถาบันเท่านั้น เช่นสถาบันทหาร เพื่อเน้นผลลัพธ์ของการทำงานอย่างมีวินัย การผนึกกำลังกัน แต่พอมีการนำมาใช้ในไทยก็ลามออกไปทั่วประเทศ “จุดนี้เป็นปัญหาของเรา ระบบการศึกษาของเรารับเอาวิธีคิดในระดับที่เป็นไมโคร (ระดับย่อย) ของตะวันตกมาใช้ในระดับทั้งประเทศ” 

ธเนศวร์ กล่าว ชมรม ‘รับน้อง’ ในสหรัฐฯ ธเนศวร์กล่าวต่อว่าในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ มักจะมีชมรมอยู่ 2 ชมรมคือ Sorority กับ Fraternity (แปลว่า ‘สมาคมสตรี’ กับ ‘สมาคมบุรุษ’ ตามลำดับ) โดยสองชมรมนี้จะมีอาคารเป็นของตนเองเกิดจากรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่รักชมรมนี้ออกงบสร้างให้ ผู้ที่สมัครเข้าชมรมนี้จะเข้ามาอยู่ด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน แล้วรุ่นพี่จะมีบทบาทสำคัญในการดูแลและอบรมบ่มเพาะน้อง เช่น ซักผ้า เช็ดรองเท้าให้ เป็นต้น ธเนศวร์เล่าต่อว่า ตอนเช้าชมรมนี้จะแต่งชุดเขียวๆ คล้ายทหาร เดินอย่างสง่างามเป็นแถว มีหยุดซ้ายหันขวาหัน ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นตึกเรียน 

แต่ลักษณะของการรับน้องเช่นนี้มีความเป็นชมรมที่อาศัยความสมัครใจเข้าร่วมเป็นสำคัญ และมีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำให้รุ่นน้องได้งานดีๆ เมื่อจบออกไปแล้ว “มันเกิดมาแบบชมรมแล้วก็อยู่กันอย่างชมรม มันไม่ได้กระทบกับชีวิตของนักศึกษาปีหนึ่งทั้งหมด” ธเนศวรกล่าว 

ธเนศวร์เล่าถึงชมรม Sorority กับ Fraternity ต่ออีกว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็มีรุ่นพี่ที่กระทำกับรุ่นน้องรุนแรงเกินไป จนเกิดการบาดเจ็บ บางรายเสียชีวิต จนกระทั่งหลายรัฐ ในสหรัฐฯ ออกกฎหมายไม่ให้มีชมรม 2 ชมรมนี้อีก เพราะแม้ว่าน้องจะยินยอม แต่ก็เกิดความเสียหาย มหาวิทยาลัยแต่เดิมสร้างเพื่อรับใช้ระบบราชการ ธเนศวร์กลับมาพูดถึงเมืองไทย ในยุคสมัย 2480-2490 ที่มีคนไปเรียนต่างประเทศกลับมาในประเทศไทยก็เข้ามาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็เข้ามาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เนื่องจากสมัยก่อนคนที่แค่จบปริญญาตรีก็มีศักดิ์ศรีมากแล้ว ตัวมหาวิทยาลัยในสมัยนั้นก็ต้องการผลิตคนเข้ามารับใช้ในระบบราชการ คนที่สอนก็จะเป็นข้าราชการระดับสูงและพูดถึงความยิ่งใหญ่อลังการณ์ของความเป็นข้าราชการ “ฉะนั้นมหาวิทยาลัยอื่นในสมัยนั้นยกเว้นธรรมศาสตร์ก็เกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้ระบบราชการ” 

ธเนศวร์ ธเนศวร กล่าวต่อในประเด็นเดียวกันว่า หลังจากนั้นก็มีการสร้างความภาคภูมิใจในสถาบันอุดมศึกษาของตนเอง และไปรับเอาไอเดียจากต่างประเทศ ก็เลยรู้สึกว่าตนมีส่วนในความเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย รู้สึกเป็น ‘ใครสักคน’ (Somebody) ในสังคม เมื่อมองเห็นน้องจึงรู้สึกว่าเขา ‘เป็นน้องอยู่’ ทั้งที่อายุต่างกันไม่มาก หรือปีหนึ่งบางคนอาจแก่กว่ารุ่นพี่ แต่การสร้างความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเช่นนี้นำไปสู่บรรยากาศการรับน้อง เกิดการขยายอำนาจสิทธิต่างๆ เกิดการสร้างระบบสถาบันที่ละชั้นๆ ธเนศวร์ ยังได้เล่าถึงประสบการณ์เรื่องการรับน้องในมหาวิทยาลัยหลายๆ มหาวิทยาลัยที่มีความแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่และเวลา โดยมีอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดที่มีการรับน้องด้วยการให้น้องมายืนเรียงอาบน้ำกลางถนนทั้งสายทำให้คนไม่กล้าสัญจรไปมา ธเนศวร์มองว่าสิ่งที่แสดงให้เห็นความมีอภิสิทธิ์ โดยอาศัยระบบของมหาวิทยาลัย เมื่อประเทศเรายังไม่เป็นประชาธิปไตย จะเอาอะไรกับอำนาจนิยมในมหาวิทยาลัย 

ธเนศวร์ตั้งข้อสังเกตว่า การที่สถาบันเชียร์ สถาบันการว๊ากน้องยังคงดำรงอยู่ได้ เหตุผลหนึ่งมาจากระบบการเมืองของประเทศไทยที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย หรืออาจจะเป็นประชาธิปไตย ‘นิดๆ หน่อยๆ’ เท่านั้น “ตลอด 79 ปีที่ผ่านมา เรามีแต่ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกข่มขืน ทำลายข่มเหง ครั้งแล้วครั้งเล่า เรามีการรัฐประหารถึง 18 ครั้ง มีการฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ครั้ง เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าเราไม่มีประชาธิปไตย” ธเนศวร์ กล่าว ธเนศวร์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ความไม่มั่นคงของระบอบประชาธิปไตยไทยแสดงให้เห็นจากการที่รัฐบาลพลเรือนที่อยู่ครบวาระมีเพียงครั้งเดียวคือรัฐบาลไทยรักไทย ขณะที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารอย่างเช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลถนอม กิตติขจร, พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มอำมาตยาธิปไตยกลับครองตำแหน่งยาวนาน “ความไม่มั่นคงทางการเมืองประชาธิปไตยของไทย เปิดโอกาสให้สถาบันการศึกษาซึ่งเต็มไปด้วย ศ. ผศ. รศ. และบัณฑิตผู้เก่งกล้าสามารถของประเทศเราอยู่ยาวที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด” ธเนศวร์กล่าว 

จากนั้นธเนศวร์จึงกล่าวเปรียบเทียบงบประมาณของมหาวิทยาลัยกับงบประมาณบริหารจังหวัดว่าว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีงบประมาณ 7 พันกว่าล้านบาท จังหวัดเชียงใหม่มีประชากรทั้งหมด 1,600,000 คน อบจ. มีงบ 9 ร้อยล้านบาท “ฉะนั้นคนในมหาวิทยาลัย 40,000 กว่าคนได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ขนาดไหน ” ธเนศวรตั้งคำถาม “แล้วคุณคิดดูว่า 100 กว่าสถาบันในประเทศเรา ถ้ารวมเอางบประมาณที่รัฐให้มามันจะขนาดไหน” “และต้องไม่ลืมว่า 79 ปีนี้ก็ไม่มีรัฐบาลไหนลงมาดูแลระบบการเชียร์การว๊ากต่างๆ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเลย” ธเนศวร์กล่าว เราถูกปลูกฝังให้สยบยอมต่ออำนาจมาตั้งแต่ประถมแล้ว 

ธเนศวร์บอกอีกว่า ในท่ามกลางความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศ สถาบันที่มีบทบาทในการผลิตคนป้อนสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือสถาบันอุดมศึกษา แต่กลับผลิตคนออกมาให้ยอมรับกับความไร้เหตุผลยอมรับกับการถูกดุด่าว่ากล่าว “คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 17 ปี เรียนจบม.6 มีความสามารถในการติดมหาวิทยาลัย คุณไม่ใช่ขี้ไก่ พวกคุณนี้มันสุดยอดมันสมองของทุกอำเภอทุกจังหวัดอยู่แล้ว แล้วมาเจอระบบบางอย่างที่รู้สึกว่ามันแปลก” ธเนศวร์กล่าว “คงไม่มีพ่อแม่ครอบครัวไหนที่รักลูกมากแล้วก็ว๊ากลูกตลอดเวลา คงไม่มีการบีบบังคับกัน แล้วผมเชื่อว่าถ้าผมรักใครสักคนหนึ่ง แล้วไปข่มขืนเลยจะได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ คงไม่มีความรักที่ยั่งยืนแน่ๆ” ธเนศวร์กล่าวเปรียบเปรย 

“ฉะนั้นทฤษฎีที่ว่าการว๊ากทำให้เกิดความรักความสามัคคีมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ธเนศวร์เสนอว่า แม้จะมีนักศึกษาบางคนที่ยินยอมพร้อมใจกับการถูกว๊ากจริง เนื่องจากสังคมข้างบนกดทับอยู่แล้ว แต่หลายคนก็อาจจะมีประสบการณ์ที่ต่างกัน มาจากชุมชนที่แตกต่างหลากหลายไม่อยากให้มีการพูดข่มเหงดูถูกกัน ธเนศวร์เล่าให้ฟังอีกว่า โรงเรียนมัธยมกับประถมก็อำนาจนิยมพอๆ กัน โดยเล่าว่าจากการที่มีนักศึกษาไปทำวิจัยโดยขอนั่งสังเกตการณ์ในชั้นเรียนวิชาสังคมศึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่งแล้วครูด่าเช็ดว่าอย่าถาม อย่าเถียงในห้อง “อยากให้นักศึกษากลับไปคิดด้วยว่า บรรยากาศของการสร้างความรู้สึกให้อดทน ยินยอมกับความไร้เหตุผล มันพัฒนามาตั้งแต่ป.1 มาจนถึง ป.6 แล้ว 

พวกทรงผมแบบนี้ รองเท้าแบบนี้ กระเป่าเบอร์นี้ เปียแบบนี้ โบว์สีนี้ ยกทรงหนาข้างหลังขนาดไหน นี่มันควบคุมพฤติกรรมชีวิตทุกอย่างของนักเรียน” ธเนศวร์กล่าว “กว่าที่เราจะฝ่าฟันเข้ามาจนถึงมหาวิทยาลัย นักศึกษาได้ถูกพลังอำมาตยาธิปไตย อำนาจนิยม ทำลายจนแทบไม่เหลืออยู่แล้ว” ธเนศวร์ยังได้กล่าวถึงกรณีการกลัวการถูกเผยแพร่ข่าวสารเรื่องการรับน้อง จึงมีการกำชับว่าอย่างให้มีแผล อย่าให้มีการบาดเจ็บเสียชีวิต แต่อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีแผลในทางกายภาพ แต่ความไร้เหตุผลและการบังคับขืนใจให้ยินยอมก็ทำให้เกิดความเสียหายต่อความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้เลย “แล้วผมไม่แปลกใจเลยว่าหลาย 10 ปีมานี้ของการมีสถาบันอุดมศึกษาไทยที่มันผลิตคนออกมาให้ยอมจำนนต่อความไร้เหตุผล เราจึงยอมจำนนต่อความตาย 91 ศพ หรือ 2000 ศพ และการโกหกตอแหลของผู้นำประเทศทุกวันนี้” “ทุกย่างก้าวของความยากลำบากในการเดินไปสู่ประชาธิปไตยของประเทศเรา พิธีกรรมของอุดมศึกษาเป็นเชลยตัวสำคัญที่อยู่ตรงนั้น วันหลังประวัติศาสตร์จะต้องชำระและจารึกเอาไว้ 

... ผมคิดว่าวัยรุ่นไทย นักศึกษาไทยน่าสงสารมาก ที่เรามาคุยกัน ทะเลาะกันตั้งแต่บ่ายโมง เราไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย เราเป็นเพียงตัวละครที่ข้างบนเขากำหนดให้เราเล่น ให้เรามาตีกันแล้วแตกกันแบบนี้” ธเนศวร์กล่าว ในช่วงท้ายของการเสวนา ธเนศวร์ยังได้เสนอแนวทางการตรวจสอบการว๊ากไม่ให้นำไปสู่ความรุนแรงโดยบอกว่าการให้อาจารย์คอยสอดส่องดูแลอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้เนื่องจากต้องคอยจับตาดูทุกกิริยาท่าทาง และบางครั้งนักศึกษาก็แอบไปรับน้องกันตามที่ลับตาคนและมีการปิดล็อกห้องเชียร์ไม่ให้ผู้ปกครองเขา แสดงว่าต้องทำอะไรที่ไม่ดีกันถึงไม่อยากให้คนเห็น จึงได้เสนอให้มีการบันทึกเทปทุกครั้งที่มีการรับน้องหรือห้องเชียร์ เพื่อจะมีหลักฐานให้อธิการบดีได้ตรวจสอบ อีกวิธีการหนึ่ง 

ธเนศวร์เสนอว่า เราต้องอาศัยการค่อยๆ เดินของสังคมประชาธิปไตย หรือไม่ก็ต้องหวังความแกร่งกล้าสามารถของนักศึกษาปีที่ 1 ว่าจะกล้าพูดหรือไม่ “สังคมที่เรารับฟังความเห็นของทุกฝ่ายมันมีความสุข” ธเนศวร์กล่าว “เปิดโอกาสให้นักศึกษาปีที่ 1 ได้พูด ได้ถาม ได้ออกความเห็น แล้วก็แก้กันตรงนั้น” ถึงไม่รับน้องก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากให้เลือกทำ จากนั้นจึงมีการตั้งคำถามในวงเสวนาว่า เราจะสามารถรวมตัวนักศึกษาปี 1 ผู้ที่ไม่อยากเข้ารับน้องได้หรือไม่ แล้วนักศึกษาจะไปทำกิจกรรมอะไรหากไม่รับน้อง 

ธนพงศ์ตอบว่าผู้ที่ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมคณะก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมของสโมสรกลาง หรือชมรมกลางของมหาวิทยาลัย ซึ่งในช่วงยุคที่ไม่มีการรับน้องทำให้มีการเกิดขึ้นของกิจกรรมนักศึกษาที่มีอยู่อย่างหลากหลายในเชียงใหม่ เช่น กลุ่มวลัญชทัศน์ ของนิสิตจิรโสภณ ไม่เคยมีใครพูดถึงนักกิจกรรมเหล่านี้ “ถ้าคุณไม่ได้ไปรับน้องคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง พื้นที่รอบๆ มหาวิทยาลัยมีปัญหาอยู่มากมายทำไมไม่ไปพัฒนา ค่ายอาสาฯ ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัย อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ เพื่อให้ไปรับรู้ปัญหาภายนอกมหาวิทยาลัยทำไมไม่เลือกอย่างนี้บ้าง” ธนพงษ์กล่าว 

ธเนศวร์ก็กล่าวเสริมในช่วงท้ายว่า มหาวิทยาลัยควรเป็นพื้นที่อิสระของนักศึกษาในการทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจ แต่ทุกวันนี้ยังต้องคอยอนุมัติจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยอยู่ “เราต้องให้นักศึกษามีพื้นที่เสรีภาพ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเรียกว่ามหาวิทยาลัย” ธเนศวร์กล่าว “ที่นักศึกษาพูดกันว่ามหาวิทยาลัยมันตายแล้วก็คือเหตุผลอันนี้ มันตายแล้วจริงๆ เวลานี้ มันมีแต่พิธีกรรมและเครื่องแบบที่เดินไปเดินมา จิตวิญญาณมันหามีไม่”


คลิปบีบีซีไทย สนทนาหัวข้อ "เสรีภาพสื่อ"


https://www.youtube.com/watch?v=HI_1Tab6oP4

การสนทนาสดผ่านวิดีโอเป็­นครั้งแรกของบีบีซีไทย
หัวข้อ "เสรีภาพสื่อ" หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ลองสังเกตดู คดีอะไรที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ มักจะหลุดในเชิงเทคนิคตลอด

ความจริงเพื่อความยุติธรรม :
เหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53

ลองสังเกตดู คดีอะไรที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตยฺ์ นี่ไม่เคยได้พิสูจน์ในข้อเท็จจริง มักจะหลุดในเชิงเทคนิคตลอด
(มีคนยกตัวอย่างคดีเสธ.หนั่น ปี 2543 ผมคิดว่านั้นเป็นข้อยกเว้นทั้งเกิดจากปัญหาในพรรค และตอนนั้นยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ")
........................
ปี 2553
มติ 4-2 ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องยุบประชาธิปัตย์
http://www.prachatai.com/journal/2010/11/32095

ปี 2557
ศาลยกฟ้องคดี “อภิสิทธิ์-สุเทพ” สั่งสลายม็อบ ชี้เป็นอำนาจศาลฎีกาฯ นักการเมือง
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000098460&keepThis=true&TB_iframe=true&height=650&width=850&caption=Manager+Online+-+อาชญากรรม
......................
มีคนบอกว่าเพราะมีทนายเก่งคือ บัณฑิต ศิริพันธุ์:
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/news-maker/20100421/110987/news.html

แต่ผมไม่เชื่อเท่าไหร่ ผมคิดว่าต่อให้ ทักษิณ หรือพรรคเพื่อไทย จ้างบัณฑิต ศิริพันธุ์: มาว่าความให้ก็ไม่ชนะ

คดีที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็น "คดีการเมือง" แทบทั้งสิ้น คำตัดสินหลักคือพรรค/คน ของประชาธิปัตย์ต้องอยู่รอด ที่เหลือให้ไปหาเทคนิคกันเอาเอง

ไม่อย่างนั้น กรณีเมษา- พฤษภา 53 คนอย่างสุเทพไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจก่อนหน้านั้นหรอก

“สุเทพ”ลั่นยอมติดคุก-ไม่หวั่นถูกโทษประหาร รับเซ็นคำสั่งช่วงชุมนุมทุกอย่างเอง ปัด “อภิสิทธิ์” เอี่ยวสลายชุมนุม ขู่ใช้เสียงข้างมากในสภาล้างผิด “แม้ว”พร้อมสู้นอกสภากับปชช.
http://www.fahwonmai.tv/news/8806

Thanapol Eawsakul
ooo


ขอเชิญร่วมงาน "ความยุติธรรมที่ปิดปรับปรุง" วันอังคารที่ 2 กันยายน 2557


เนื่องด้วยประเทศไทยในฐานะที่เป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน จำนวน 7 ฉบับ ซึ่งมีผลผูกพันประเทศไทยให้ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าว แต่ในสถานการณ์ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนในฐานะองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย และรวบรวมข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายหลังการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าประชาชนจำนวนหนึ่งยังประสบปัญหาการเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมและการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

เช่น สิทธิในการมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย การเปิดเผยสถานที่คุมขัง สิทธิในการติดต่อกับญาติและทนายความ สิทธิในการได้รับการประกันตัว การจำกัดการใช้เสรีภาพในการแสดงออก กรณีต่างๆที่เกิดขึ้น จึงยังเป็นข้อกังวลในเวทีระหว่างประเทศถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมของไทย

ในฐานะที่ในปีนี้ประเทศไทย ได้สมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในช่วงเดือนกันยายน 2557 การปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนของไทยจึงเป็นวาระสำคัญที่องค์กรภาครัฐและภาคประชาสังคม จะได้ร่วมแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น และเผยแพร่ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ สื่อมวลชน และภาคประชาชนที่สนใจ

"ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และเอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ขอเชิญชวนสื่อมวลชน ผู้แทนองค์กรภาครัฐ ภาคประชาสังคมและบุคคลที่สนใจร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวทีเผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโดยศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ภายใต้หัวข้อ "ความยุติธรรมที่ถูกปรับปรุง" ในวันอังคารที่ 2 กันยายน 2557 เวลา 14.30 - 17.00 น. ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ อาคารมณียาเซ็นเตอร์ (สถานีรถไฟฟ้าชิดลม)"

หากสนใจร่วมงานโปรดส่งใบตอบรับเพื่อสำรองที่นั่งภายในวันที่ 1 กันยายน 2557 ที่ โทรสาร หมายเลข 02-939-2534 E-mail: admin@amnesty.or.th
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ คุณสุธารี 02-513-8745 หรือ คุณธนาธร 096-7893172

ทหารดี ทหารเก่ง ทหารประเสริฐอยู่พวกเดียวหรือ? คสช.นั่งซ้อนครม. : ประยุทธ์ นำรายชื่อ ครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ชี้ทหารจะมาก-น้อยไม่ใช่ปัญหา


ที่มา FB Thailand Dictator Watch

ทหารดี ทหารเก่ง ทหารประเสริฐอยู่พวกเดียวหรือ?

ปกครองประเทศ ก็ทหาร
บริหารเศรษฐกิจ ก็ทหาร
รักษาความสงบ ก็ทหาร
.
.
.
.
ทำลายระบอบประชาธิปไตย ก็ทหาร
ฆ่าประชาชน.....ก็ทหาร

http://shows.voicetv.co.th/voice-news/115934.html
ooo

ประยุทธ์แจงเหตุผลต้องมีทหารใน ครม. https://www.youtube.com/watch?v=SAG94494LAM
ooo
เรื่องเกี่ยวข้อง...

คสช.นั่งซ้อนครม. : ประยุทธ์ นำรายชื่อ ครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ชี้ทหารจะมาก-น้อยไม่ใช่ปัญหา

ที่มา ประชาไท
Sat, 2014-08-30 23:27

30 ส.ค. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวานนี้(29 ส.ค.57) ตอนหนึ่งถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ว่า “ทุกคนก็เป็นกังวลช่วงนี้ก็ผ่านจาก คสช. มา เบาลง กลับมาเรื่องคณะรัฐมนตรีเอาอีกแล้ว มีปัญหา มีทหารมาก ทหารน้อย ผมว่าไม่ใช่ปัญหาดูว่าปัญหาเกิดที่ไหนแล้วเราจะแก้อะไร วันนี้เราต้องการให้มีประชาธิปไตย และตรารัฐธรรมนูญชั่วคราว เพราะฉะนั้นผมว่าอย่ามาดูตรงนี้ทหารมาก ทหารน้อย ผมใคร่ครวญดูกันแล้วถ้าไม่มีทหารเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าความมั่นคงก็มีปัญหา ความสงบเรียบร้อยก็มีปัญหา บางคนบอกว่า เดี๋ยวต้องเอารุ่นพี่ไม่มี รุ่นน้องไม่มี แล้วถ้าผมไม่มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานก็ไม่ได้อีก ผมพยายามที่จะเกลี่ยสัดส่วนต่างๆ ให้ดีอย่าระแวงกันจนเกินไปนักและเถียงกันไปจนหาคนดีไม่ได้เลยในวันนี้ ผมไม่เข้าใจ”

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว เมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งรายชื่อโผ ครม.ประยุทธ์ 1 ล่าสุด ประกอบด้วย

1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

2. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ควบ รมว.กระทรวงกลาโหม (ประธานคณะที่ปรึกษาคสช.)

3. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.การต่างประเทศ (รองหัวหน้าคสช.ฝ่ายความมั่นคง)

4. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ (รองประธานคณะที่ปรึกษา คสช.)

5. นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคมฯ ควบ รมว.วิทยาศาสตร์ (อดีตรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ )

6. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย (ที่ปรึกษาคสช.ฝ่ายกฎหมาย)

7. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ (ผบ.ทร. และ รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายสังคมและจิตวิทยา)

8. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม (ผบ.ทอ. และ รองหัวหน้าคสช.ฝ่ายเศรษฐกิจ)

9. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมต. ประจำสำนักนายกฯ ดูแลสำนักงบประมาณ (เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

10. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองหัวหน้าคสช.ฝ่ายกิจการพิเศษ)

11. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.กระทรวงพลังงาน

12. นายสมหมาย ภาษี รมว.กระทรวงการคลัง

13. นายพรชัย รุจิประภา รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

14. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม (หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. )

15. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.กระทรวงมหาดไทย (ที่ปรึกษา คสช.)

16. พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน (ปลัดกระทรวงกลาโหม)

17. พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.กระทรวงพาณิชย์ (รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช.)

18. นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม

19. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

20. พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

21. นางกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา รมช.กระทรวงศึกษาธิการ

22. นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.กระทรวงสาธารณสุข (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล)

23. นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา (สนช. และ ประธานกรรมการบริหารบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด)

24. นายอภินันท์ โปษยานนท์​ รมว.กระทรวงวัฒนธรรม (ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม)

25. นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.กระทรวงพาณิชย์

26. นายสุธี มากบุญ รมช.กระทรวงมหาดไทย

27. นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.กระทรวงการต่างประเทศ

28. พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงษ์ รมช.ศึกษาธิการ

29. นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รมช.สาธารณสุข

เรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย, ไทยรัฐออนไลน์ และ มติชนออนไลน์

′นิธิ เอียวศรีวงศ์′ วิเคราะห์ขั้วการเมือง ยุค′คสช.′ครองอำนาจ


ที่มา มติชนออนไลน์

หมายเหตุ... นายนิธิ เอียวศรีวงศ์นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์และวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ของกลุ่มขั้วการเมืองต่างๆ ที่เคยขัดแย้งกันมาก่อนรัฐประหาร ทั้ง กปปส. นปช. พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจและบริหารราชการแผ่นดิน

@ถึงแม้ว่าขณะนี้ยังมีกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหาร แต่ท้ายที่สุดแล้วจะพ่ายแพ้ต่ออำนาจกระบอกปืนหรือไม่

คืออย่างนี้ โดยธรรมชาติอำนาจทุกชนิดมันมีข้อจำกัดในตัวมันเอง เช่น กระบอกปืน คุณไม่ได้ยิงใครได้สุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าเขาอยากยิง ในเวลานี้แต่มันยิงไม่ได้ เช่น อย่างน.ส.กริชสุดา คุณแสน ถ้าเขาไม่ออกมาโวยวายว่าหายไปไหน ป่านนี้คงหายไปจริงๆ แล้ว ในที่สุดก็ต้องปล่อยออกมาถูกไหม เพราะฉะนั้นอำนาจมันมีขอบเขตจำกัด เป็นต้นว่า การยอมรับจากนานาชาติทั่วโลก หรือมิฉะนั้น การคงรักษาไว้ซึ่งกฎอัยการศึก อาจจะทำให้สามารถใช้ปากกระบอกปืนบังคับให้คนอยู่นิ่งๆ ได้

แต่คำถามก็คือว่าแล้วคุณจะใช้กฎอัยการศึกไปชั่วกัลปาวสานได้ยังไง มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต่างประเทศจ้องมองอยู่ว่าจะเลิกเมื่อไหร่ เพราะการใช้กฎอัยการศึกถูกคัดค้านจากนานาชาติทั้งหลายว่ามันไม่เป็นประชาธิปไตย

คุณจะมีกฎอัยการศึกไปเพื่ออะไร ในที่สุดก็ต้องเลิก และเลิกเมื่อไหร่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีคนเต็มอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญไว้ว่า คสช.สามารถออกมาตรการอะไรๆ ก็แล้วแต่ แต่การบังคับใช้กว่าจะใช้ก็มีคนออกมาเต็มถนนไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นคุณอยากจะใช้ปืนอีกหรือ การใช้ปืนออกมาบังคับ ขู่เข็ญ ไม่ได้แปลว่าจะชนะนะ

ถามว่าเมื่อปี 2553 การใช้ปืน ทำให้คุณสามารถรักษารัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ตลอดไปหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้ ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ เพราะคุณใช้ปืนครั้งนั้นทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจยุบสภา เป็นแต่เพียงขอระยะเวลาที่ตัวหวังว่าจะได้สร้างฐานคะแนนเสียงตัวเองให้ได้เท่านั้น

ทันทีที่ลั่นปืนข้อจำกัดมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นทันที ไม่ใช่ยิ่งลดลงนะ แต่คนที่มีปืนอยู่ในมือรู้หรือไม่ คุณเอาปืนไปปล้นเขา ถ้าเขาให้ทรัพย์คุณดีๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ให้แล้วคุณยิงเขาเลย เป็นคดีอาญาเรื่องฆ่าคนไปอีกคดีละ คดีปล้นนี่ก็ผิดอย่างหนึ่ง คุณยังยิงอีก ก็ทำผิดซ้ำสอง ผู้ร้ายทุกคนถ้าไม่จำเป็นมันไม่ใช้หรอกปืน เพราะว่าปืน ไม่ใช่อำนาจ ทุกอย่างในโลกนี้มันมีภาระที่คุณต้องรับผิดชอบกับมันทั้งนั้นแหละ

@คิดว่ากลุ่ม กปปส. พอใจกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และสามารถไปกันได้ดี คสช.หรือไม่

จนถึงนาทีนี้ ยังไม่เห็นว่ามันดีนัก เป็นต้นว่าหัวหน้าของ กปปส. ก็ต้องไปบวช อย่างนี้เป็นต้น เวลาคุณพูดถึง กปปส. ประหนึ่งว่า มันเป็นองค์กรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ คสช. ซึ่งผมไม่เชื่อ เหมือนกับเวลาที่พูดถึงเสื้อแดงว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยหรือนปช. ผมก็ไม่เชื่ออีก กปปส.ประกอบด้วยคนที่หลากหลายมาก ถามว่ากปปส.จะไปกับ คสช.ได้ไหม ตัวองค์กรที่มีเป็นแกนหลักที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เป็นแกนนำอาจจะไปไม่ได้ แต่ใน กปปส.มันมีกลุ่มอื่นๆ ที่เข้าไปร่วมอีกเยอะแยะ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้อาจจะไปได้

@วิเคราะห์ นปช.ที่ออกมาต่อต้านรัฐประหาร สุดท้ายจะพ่ายแพ้ราบคาบและสลายไปในที่สุดหรือไม่

เขาไม่ได้เลิกต่อสู้ คนเสื้อแดงก็เหมือนคนอื่นๆ ในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดง ที่บอกว่า ถ้าเมื่อไหร่มีการประท้วงต่อต้าน เขาก็พร้อมที่จะเข้าร่วมด้วย ไม่ว่าจะนำโดยแกนนำเดิมหรือไม่ก็ตามแต่ เขาไม่ได้สนใจเรื่อง นปช. คือถามว่า นปช.เวลานี้แกนนำ จะเสื่อมอิทธิพลลงไหม ผมว่าเสื่อม เพราะว่าเท่าที่ได้รู้จัก ได้พูดคุยกับเสื้อแดง หลายคนก็ผิดหวังมาก ซึ่งจริงๆ ก็เห็นใจพวกแกนนำอยู่เหมือนกัน คือว่า ผมก็เตือนเขาตั้งแต่ก่อนหน้ามีรัฐประหารหลายเดือนแล้วว่า เตือนโดยบทความนะ เพราะผมไม่ได้รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว ว่าคุณใช้วิธีการดำเนินการทางการเมืองด้วยการชุมนุมใหญ่แบบนี้ไม่ได้ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว คุณต้องกระจายการดำเนินการทางการเมืองไปสู่ระดับท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่แน่นอนมันก็อาจจะไม่มีเวลาพอจะทำ หรือทำแล้วแกนนำเองก็จะหมดอำนาจลงไป เพราะว่าอำนาจการนำมันจะกระจายไปสู่จุดเล็กๆ แต่ถ้าคุณไม่ทำแบบนั้นคุณไปไม่รอดหรอก

@วิเคราะห์พรรคเพื่อไทยนับจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร

จะไปห่วงอะไรพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ หรือแม้จะยุบไปเลยก็ยังได้ ตั้งพรรคใหม่แล้วก็หาชื่อใหม่ก็ได้ ไม่มีความหมายอะไรหรอก แต่ถามว่า จะมีพรรคการเมืองที่ต้องยึดแนวทางประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพรรค โดยไม่ได้ศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยเลยนั้นมีหรือไม่ ตอบว่ามี จะชื่ออะไร ใครเป็นคนทำ ผมไม่ทราบ แต่ประเทศไทยมันสายไปแล้วที่จะมีแต่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีหรอกมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

@วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในยุค คสช.อย่างไร โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ผมไม่ทราบ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ พอจะทราบอยู่บ้าง เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งมานานพอสมควร ได้ติดตามการบริหารของแกอยู่บ้าง ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีความศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง แต่ว่านั่นไม่สำคัญ

อย่าว่าแต่ พ.ต.ท.ทักษิณเลย เชอร์ชิลศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ผมยังไม่แน่ใจเลย คือประชาธิปไตย ไม่ได้ต้องการให้คนดีมาปกครอง แต่คุณต้องสร้างระบบให้เขาไม่สามารถที่จะเบี้ยวได้ คนชั่วก็ยังชั่วเหมือนเดิมก็ได้ แต่มันจะไม่มีโอกาสจะเบี้ยว

นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ผมไม่สนใจ แต่ตราบเท่าที่เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นนักการเมือง ตัวระบบ เราจะต้องสร้างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนักการเมือง ข้าราชการ หรือใครก็แล้วแต่ที่จะขึ้นมามีอำนาจบริหารประเทศ จะไม่สามารถจะบิดเบี้ยวประชาธิปไตยให้เป็นเผด็จการได้

ประโยคทอง Only a few people care the rest are just curious.


... ประโยคทอง

Only a few people care the rest are just curious.

"มีไม่กี่คนหรอกที่แคร์ ที่เหลือก็แค่อยากรู้อยากเห็น "

ใครชอบคำไหนคอมเม้นกันนะครับ

...อย่าลืมแชร์ ถ้ามีประโยชน์นะคะ
ooo

เรื่องที่อาจจะเกี่ยวข้อง...

การที่ศาลอาญาตัดสินยกฟ้อง โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจตัดสินคดี นั่นเท่ากับ เห็นด้วยว่า ไม่เคยมีใครฆ่าใครตาย ในปี 53

เพราะถ้าเชื่อว่ามีคนตาย อย่างไร ศาลอาญาก็ต้องทำคดีต่อ

ส่วนการโยนให้ศาลฎีกาการเมือง ก็เพื่อจะเปลี่ยนให้เป็นคดีใช้อำนาจหน่าที่โดยมิชอบ

ซึ่งต่อมา ศาลการเมืองจะตัดสินให้เทพมาร์คไม่มีความผิด เพราะจะอ้างว่าปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องเพื่อระงับความรุนแรง

ทั้งหมดเป็นการตัดสิน บนพื้นฐานว่า

ไม่เคยมีคนตายในปี 53

ทั้งหมดคือหลักคิดที่เป็นมาตั้งแต่ 6 ตุลา

เป็นการสถาปนาว่า ฝ่ายซ้ายไร้ค่า สามารถตายได้

เพราะระหว่างเหตุการณ์ขวาพิฆาตซ้าย

พระกิตติวุฒโฒพูดว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป

หลังจากนั้น พล ร อ สงัด ชลออยู่ ก็พูดว่า คนตายก็ให้แล้วกันไป

ในระหว่างปี 53 พระว วชิรเมธี ก็บอกว่า ฆ่าเวลา บาปกว่าฆ่าคน

หลักคิดแบบนี้จะดำเนินต่อไป

ขวาพิฆาตซ้าย

ศักดินา พิฆาต ประชาธิปไตย

Kulwit
ooo

ญาติเหยื่อสลายชุมนุมแดง53 เตรียมเคลื่อนขอความเป็นธรรมพรุ่งนี้ วอนคสช. เข้าใจไม่ได้ต้าน


ที่มา ประชาไท
Sat, 2014-08-30 20:51

หลังศาลอาญายกฟ้องคดี ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ ร่วมกันก่อให้เกิดการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ จากการสลายการชุมนุมเสื้อแดงปี 53 ล่าสุดกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตเผยเตรียมเคลื่อนขอความเป็นธรรมพรุ่งนี้ 4 จุด วอนให้โอกาสเคลื่อนเพราะไม่ได้ต่อต้าน คสช.

30 ส.ค.2557 หลังจากเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้องคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 จากกรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เมื่อปี 2553 ทำให้เห็นมีผู้ถึงแก่ความตาย และบาดเจ็บจำนวนมาก

โดยศาลระบุว่ามูลเหตุแห่งคดี เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศอฉ. ซึ่งเป็นความผิดตามอำนาจหน้าที่ราชการ และเป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หาใช่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาไม่ ศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องของโจทก์ทั้ง 2 สำนวน จึงพิพากษายกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 และยกฟ้องการขอเป็นโจทก์ร่วม

ล่าสุด นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมที่วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร ในวันที่ 19 พ.ค. 2553 เปิดเผยว่าทางญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 จะมีการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมฟ้องศาลประชาชน 4 จุด ในวันพรุ่งนี้(31 ส.ค.57)บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS โดยเริ่มจากสวนจตุจักร ประมาณ 10 โมงเช้า จากนั้นจะมีการพูดคุยปรึกษาหารือกับผู้ร่วมกิจกรรมว่าจะดำเนินการอย่างไรและเคลื่อนต่อมายัง อนุสาวรีย์ชัยฯ เเยกปทุมวัน และหน้าวัดปทุมฯ กิจกรรมที่จะจัดนี้เกิดจากการพูดคุยกันกับกลุ่มญาติผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือ พ่อน้องเฌอ

นางพะเยาว์ กล่าวด้วยว่า ความเป็นธรรมมันไม่เกิด แม้กระทั่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญายังแย้งออกมา(อ่านรายละเอียด) หากต่อไปคนเป็นนายกรัฐมนตรีมีการสั่งให้ใช้กระสุนจริงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่าจะเกิดความเสียหายกับชีวิตประชาชน จนนำมาสู่การสังหารประชาชน แล้วกลับบอกว่าให้โอนคดีไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ทั้งที่การสังหารประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องการทุจริต ดังนั้นคดีนี้ต้องเป็นคดีอาญา อีกทั้งตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเองก็พูดตลอดว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและพร้อมที่จะสู้คดี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่กลับมีคำตัดสินแบบนี้ จึงถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น

สำหรับความกังวลกับการถูก คสช. ดำเนินการจับกุมตัวหากทำกิจกรรมนั้น นางพะเยาว์ มองว่า คสช. จะเน้นดำเนินการกับผู้ที่เคลื่อนไหวโจมตี คสช. แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มญาตินี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อต้าน คสช. ดังนั้นจึงอยากให้ คสช. พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวนี้ด้วย

อย่าปล่อยให้เพื่อนเราตายฟรีอีกครั้งเหมือนอย่างอากง



การซ้อมกัน ยกพวกตีกัน แทงกันในคุก
สำหรับผม มองเป็นเรื่องปกติ เพราะประสบการณ์ 3 ปีข้างใน
เห็นบ่อย จนชิน.. จนรับได้เป็นเรื่องธรรมดา

แต่สิ่งที่ไม่ชิน และรับไม่ได้ ก็คือการถูกซ้อม "ตามใบสั่ง"
เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคหนึ่ง
และผมก็คือเหยื่อหนึ่งในนั้น !!

"ใบสั่ง" ทางตรง อาจเกิดจากการ "จงใจ" ของเจ้าหน้าที่โดยตรง
ที่หมั่นไส้พวกเรา "เสื้อแดง" เป็นการส่วนตัว
แล้วส่งสัญญาณ ให้นักโทษคนอื่นๆ "เก็บยอด" ให้

ในทางอ้อม.. คือการ "แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น"
เปิดไฟเขียวให้มีการรุมยำ "เก็บยอด" ตามใบสั่ง ได้อย่างเต็มที่

ตายกันมาเยอะ ปางตายก็เยอะ.. นี่คือความจริง !!

เป็นเรื่องโหดร้ายมาก ในการย้ายผู้ต้องขัง "คดีการเมือง"
ให้ไปอยู่ร่วมกันกับ "คดีทั่วไป" โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้
ที่ความเจ็บแค้น ความเจ็บปวดของประชาชน ยังไม่จางหายไป
แม้บางส่วน อาจจะคิดว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้น มันกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
ด้วยนโยบาย "คืนความสุข" ของ "นายประยุทธ" หัวหน้าโจร

หากกรณีของ "เจมส์" ที่เสียชีวิตในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
เกิดจากการถูกซ้อม ด้วยการหลบมุมกล้อง หรือการรู้เห็นเป็นใจ
ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม เป็นเรื่องจริงแล้วละก็..

"การเอาคืน" คงจะเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า ข้างในนั่นแหละ.. !!
ในนั้น "แดง" ก็ไม่ใช่น้อย มึงทำกูได้ กูก็ทำมึงได้
คอยติดตามดูกันต่อไปละกัน..

และแม้เรือนจำ จะปกปิดเรื่องบางอย่าง เอาไว้ข้างในได้
แต่ความลับสำหรับที่นี่ แดนลึกลับแห่งนี้.. ไม่เคยมีความลับ

ข่าวคราวต่างๆ เรื่องราวในแต่ละแดน ที่เกิดขึ้นในเรือนจำ
มันแพร่กระจายไปเร็วมาก เรื่องที่เกิดขึ้นหลายเรื่อง
หลายครั้งก็.. ถูกบิดเบือน เพียงเพราะแค่ต้องการปกป้องชื่อเสียง
ของทางเรือนจำ ของกรมราชทัณฑ์..

อย่างกรณีผม ถูกซ้อม 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ผู้คุมบังคับ
ให้ผมเขียนรายงานว่า "เป็นการเข้าใจผิดกัน"
เพื่อแลกกับการอยู่อย่างปลอดภัย.. ข้างในได้

ถูกผู้คุมเตะตาย ก็บอกว่า ผู้ต้องขัง "ลื่นหกล้ม"
ถูกรุมกระทืบตาย ก็บอกว่า ผู้ต้องขังได้รับ "อุบัติเหตุ"
ให้ยาไม่ทัน ผู้ต้องขังตาย ก็บอกว่า "ผู้ต้องขังไม่กินยา"
โดนซ้อมตาย ก็บอกว่า ผู้ต้องขัง "มีโรคประจำตัว"

ณ ที่แห่งนี้.. นี่แหละเรียกว่า "แดนสนธยา" ของจริง !!

#อย่าปล่อยให้เพื่อนเราตายฟรีอีกครั้งเหมือนอย่างอากง

หนุ่ม เรดนนท์
ooo

เมื่อนักโทษตายในเรือนจำพิศษ(นรก)กรุงเทพ ถ้าตายในห้องขังตอนกลางคืน เขาก็จะปล่อยศพเอาไว้รวมกับนักโทษอื่นๆจนกว่าจะสาย หรือจนบ่ายโมงของวันใหม่ ผู้คุมเรือนจำถึงจะมาทำเรื่อง และเขียนรายงาน แล้วเอารถเข็นขนขยะ ขนอาหาร ขนศพ คันเดียวกันประจำแต่ละแดน มานำตัวผู้ตายออกไปจากแดนที่ถูกกักขัง 

แต่ที่แน่นอนว่าการรักษาพยาบาลในเรือนจำแย่มากๆ หมอไร้จรรยาบรรณ สถานพยาบาลตอนกลางคืนไม่มีแพทย์หหรือพยาบาล มีแต่ผู้คุมและนักโทษที่ทำตัวเป็นพยาบาลดูแลกันเอง หรือหากนักโทษมีอาการป่วยหนักในตอนค่ำ เมื่อเข้าห้องขังที่เรียกว่าเรือนนอนแล้ว ผู้คุมจะใส่กุญแจเรือนนอนหลายชั้น และนำเอากุญแจนั้นไปเก็บไว้ที่หน้าเรือนจำที่ห่างจากแดนที่ถูกขัง ดังนั้นโอกาสที่นักโทษจะได้รับการปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วนให้รอดชีวิต จึงเป็นไปไม่ได้เลย

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตไว้ ณ ที่นี้

อ่านข่าวได้ที่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409321724

Joe Gordon

คลิปฉบับเต็ม เสวนาเปิดตัวหนังสือชุด “สมุดเพื่อนบ้านอาเซียนของเรา”




ที่มา ASEAN Watch

การเสวนาวิชาการเปิดตัวหนังสือเรื่อง

“สมุดเพื่อนบ้านอาเซียนของเรา”

จัดโดย มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ร่วมกับ วิชา อศ.210 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยโบราณ

โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์

วันที่ 26 สิงหาคม 2557 ณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ร่วมกับ วิชา อศ.210 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยโบราณ โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการเปิดตัวหนังสือชุด “สมุดเพื่อนบ้านอาเซียนของเรา” ซึ่งจัดพิมพ์โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยมีเป้าหมายในกาารจัดพิมพ์ตามที่ ศ.(พิเศษ) ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เลขานุการมูลนิธิฯ บอกก็คือเพื่อสร้างองค์ความรู้เรื่องเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาซึ่งตอนนี้ผันตัวเป็นอาเซียน และยกระดับความรับรู้ของคนไทยให้ข้ามพรมแดนให้ได้ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไป

หนังสือชุดนี้มี 15 เล่ม ประกอบด้วย หนังสืออาเซียนศึกษา,ประวัติศาสตร์ประเทศอินโดนีเซีย, กัมพูชา, บรูไน,มาเลเซีย, สิงคโปร์, ลาว, พม่า, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ติมอร์ตะวันออก, ประวัติศาสตร์ไทย ที่เขียนโดย เดวิด เค. วัยอาจ และประวัติศาสตร์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้: สุวรรณภูมิ-อุษาคเนย์ ที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคม- ดี.จี.อี.ฮอลล์

ในส่วนของการเสวนาเริ่มที่วิทยากรท่านแรกคือ ศ.(พิเศษ) ดร.ชาญวิทย์ กล่าวถึงการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยว่า เป็นวิชาที่น่าเบื่อที่สุด แต่วิชานี้มักจะถูกผู้นำทางการเมืองเอาไปอ้างเพื่อแสดงความห่วงใยประเทศ “คนที่อยากเป็นใหญ่เป็นโตต้องแสดงความห่วงใยประวัติศาสตร์ของชาติ” ทั้งได้ตั้งคำถามถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยว่ามีปัญหาอยู่ที่ “ตำรา” หรือ “คนสอน” หรือแม้แต่ “ผู้เรียน” โดยที่ผ่านมามักพยายามแก้หลักสูตรแต่ยังไม่ได้แก้คนที่คนสอนและคนเรียน ทั้งยังระบุว่าองค์ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ต้องทั้งชำแหละและชำระเพื่อจะไปอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านซึ่งทุกวันนี้ประวัติศาสตร์มักถูกนำไปใช้อ้างและไม่มีใครจริงใจกับมันนักหรืออาจถูกมองว่าเป็นวิชาท้ายแถวไม่เหมือนวิชาสายอื่นๆ

ทางด้านของ รศ.ดร.สุเนตร ชุตินทรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์มีความหมายและถูกให้ความสำคัญ แต่เมื่อมันถูกนำมาจัดระบบในประเทศำทย มันกลับถูกทำให้น่าเบื่อหน่ายอย่างน่าตระหนกตกใจ นอกจากนี้ ไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งที่สำคัญระหว่างประวัติศาสตร์ไทย กับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บนทางที่เป็นทางแพร่งนี้ เราต้องเปลี่ยนประวัติศาสตร์ภายใต้เงื่อนไข สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากที่เราคุ้นเคยกันอยู่ตลอดเวลาคือประวัติศาสตร์แนวชาตินิยม และการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในประเทศถูกเน้นให้เป็นประเด็นหนึ่งที่น่าห่วง การปรับตำราประวัติศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติอาจจะล้ำเส้นไปถึงการที่ต้องมองเพื่อนบ้านเป็นศัตรูหรือไม่

ขณะที่ ผศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ประสานงานโครงการ “จับตาอาเซียน” กล่าวว่า เรื่องชาตินิยมเป็นปัญหาคลาสสิคมากในอาเซียน ชาตินิยมนั้นต้องการศัตรู ตนเกรงว่าบรรยากาศเรื่องชาตินิยมจะแรงขึ้นจากนี้ไป และผู้มีอำนาจที่เติบโตมากับชาตินิยมนั้นน่าเป็นห่วง ซึ่งชาตินิยมที่กำลังผลักดันกันอยู่ตอนนี้เป็นแบบเดิม ๆ และแยกตัว ซึ่งไม่สอดคล้องกับการรวมตัวของอาเซียน ในขณะที่ปัจจุบันอาเซียนกำลังเป็นกระแสที่สร้างความตื่นตัวอย่างมากในประเทศไทย ทำให้มีการเพิ่มงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐที่ทำเรื่องอาเซียนจาก 500 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 8,000 ล้านในปี 2555-2556 รวมถึงมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการเปิดอาเซียน โดยคิดว่าปัจจุบันอาเซียนไม่ติดต่อสัมพันธ์กัน ทั้งๆ ที่เรามีข้อตกลงมากมายเช่น เขตการค้าเสรีอาฟต้าเป็นต้น

ด้านอาจารย์มรกตวงศ์ ภูมิพลับ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวียดนาม กล่าวถึงชาตินิยมในอาเซียนว่า ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะรัฐบาลพยายามรักษาความเป็นชาตินิยม ในขณะที่พยายามสร้างความเป็นภูมิภาค สองกระแสนี้ขัดแย้งกันอยู่ และปิดท้ายที่ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อนบ้านมาก่อนเลย ในสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีการเปิดวิชาประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส อเมริกา และญี่ปุ่น เป็นวิชาเอก แต่ไม่เคยมีการเปิดวิชาเอกประวัติศาสตร์เพื่อนบ้านในภูมิภาค

อ้างอิงเนื้อหาจาก BBC Thai และ มติชนออนไลน์
...

สมุดเพื่อนบ้านอาเซียนของเรา : ฉบับเต็ม https://www.youtube.com/watch?v=65hdMjNAca8&list=PLTg78zFFSI7WkD3-iQ09H7_DtpwrwyHYe&index=8

วันเสาร์, สิงหาคม 30, 2557

อธิการบดีจุฬาฯ สั่งเบรก เอก ลูกกตัญญู งดออกสื่อ หวั่นเสียภาพลักษณ์มหาวิทยาลัย







หนุ่มนิสิตจุฬาฯ ชั้นปีที่ 2 ขายแซนวิชช่วยหาเงินให้แม่รักษาอาการป่วยเป็นโรคมะเร็ง ที่กำลังเป็นกระแสกล่าวขวัญอยู่ในโลกโชเซียล มีรายงานข่าวล่าสุดซึ่งทีมข่าว Life on campus ได้นัดหมายกับ นายอินทัช สัตยานุรักษ์ หรือเอก เพื่อสอบถามและสัมภาษณ์ถึงที่มาที่ไปเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในการต้องหาเงินช่วยรักษาแม่ป่วยเป็นมะเร็งเดือนละ 150,000 บาท

โดยเอกได้นัดหมายยินดีให้ทีมข่าวมาพบและสัมภาษณ์ในช่วงเวลา 16.00 น. (วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2557) หลังจากเรียนคาบสุดท้ายเสร็จ แต่เมื่อทีมข่าวเดินทางไปตามเวลานัดหมาย ได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า เอก กำลังเข้าพบพูดคุยกับอาจารย์ในเรื่องกระแสที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้มีสื่อและเกิดกระแสฟีเวอร์ในตัวเอก ทั้งรายการทีวี รวมทั้งสื่อแขนงๆ ต่างเข้ามาดักรอเอก เพื่อเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว

“ขณะนี้อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สั่งห้ามให้ นายอินทัช สัตยานุรักษ์ นิสิตคณะนิเทศน์ศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพราะมีสื่อจำนวนมาดักรอ และเข้ามาสัมภาษณ์ ซึ่งทางจุฬาฯ หวั่นเกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีงาม ปล่อยให้นิสิตจุฬาฯ เร่ขายของ ในมหาวิทยาลัย โดยไม่ยอมช่วยเหลือ”

เจ้าหน้าที่ ยังกล่าวอีกว่า เอก กำลังดัง มีสื่อมาดักรอตั้งแต่เช้า ทำให้ไปเรียนไม่ทัน อาจารย์จึงไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมา เพราะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อในสิ่งที่เอก กำลังทำ จุฬาฯ ในฐานะสถาบันการศึกษาที่เอกเรียนอยู่ จึงอยากตัดปัญหา ให้เอกงดสัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ

ทั้งนี้นับตั้งแต่เอก ลูกกตัญญู ถูกเผยแพร่ไปในทางโลกออนไลน์ ได้มีการกล่าวถึงในแง่ดี ให้กำลังใจ ชื่นชม ในทางกลับกันมีการตั้งคำถามมากมาย ว่า เรื่องราวของเอกมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ เพราะมีเพียงการเขียนขึ้นจากผู้หวังดีให้ช่วยเหลือ อุดหนุนเอก ลูกกตัญญู โดยล่าสุดเอก ได้โพสต์ข้อความผ่าน บล็อกส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า "เก๊กฮวยช่วยแม่" ว่า

"หลังจากที่เพื่อนๆ ผมได้มาทักว่า ตอนนี้ "เอกกำลังเป็นข่าวใหญ่ละนะ" ผมก็งงมากๆ ครับ คิดว่าอำแน่ๆ
แต่เเล้วก็มีบริษัทและสื่อต่างๆ ติดต่อเข้ามามากมาย ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทุกๆ คนมากเลยคับ ขอบคุณพี่ที่ได้เเชร์เรื่องราวของผม มากๆเ ลยคับ ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร หรือพี่อยู่ที่ไหน แต่ขอบคุณพี่มากๆ เลยคับ

แต่สำหรับตอนนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือ คุณแม่อาจได้รับข่าวสารนี้ด้วย หากคุณแม่ ทางบ้านเห็นว่าผมทำงานหนัก ท่านจะหนักใจมั้ย อย่างไรก็ตาม มันผ่านไปแล้ว ผมจึงได้โทรไปหาแม่ และบอกความจริงถึงการทำงานที่เยอะ ตอนนี้คุณแม่ยังไม่เห็นภาพคงนึกไม่ออก แม่เอกบอกว่า อย่าโหมนะ เอก

นั่นคือที่เราคุยกับครับ

สำหรับสิ่งที่ผมต่อสู้อยู่นั้น ค่อนข้างซับซ้อนครับ เงินไม่ใช่อย่างเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คับผม เพราะยังต้องจัดการกันอีกในหลายๆ เรื่อง ซึ่งนั่นก็รวมถึง เเนวทางการรักษา ด้วยครับผม

สภาพในตอนนี้ เอกยังไม่สามารถทำเงินได้ถึงเป้าหมาย แต่หลังจากที่เพื่อนๆพี่ๆได้ช่วยกันมา รวมไปถึง การสั่งน้ำ หรือ ขนมที่เอกขายผ่านเพจนี้ ช่วยเอกได้เยอะมากจริงๆ ขอบคุณมากครับผม

ตอนนี้ตั้งแต่ต้นเดือนมา เอกทำเงินได้ราวๆ 54,000 บาท คับผม รวมกับ เงินเก็บจากการขายเต้าฮวย เมื่อคราวม็อบ และถูกกันมาเพื่อนค่ายาแล้ว อีก 40,000 เอก คิดว่าเอกหาค่ายา คีโม เดือนถัดไปได้ละคับ แต่ยังขาดค่ายา อื่นๆ และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ครับ

คุณแม่เอกกำลังจะ เข้าทำการ ตรวจสแกนร่างกาย ในเร็วๆนี้ครับผม และผลน่าจะออกไม่เกินกลางเดือนนี้ครับผม

ขอขอบคุณที่สนับสนุนและช่วยเหลือผมมากนะค้าบบบ

ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด ให้ถึงที่สุดครับ"

จากการสอบถามเพื่อนๆ ของเอก เล่าว่า เอก มีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดลำปาง พ่อเคยประสบปัญหาล้มละลาย แม่เริ่มป่วยและได้รับการตรวจพบเชื้อมะเร็งในระยะที่ 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2556 ซึ่งเอกก็พยายามหาเงินช่วยเหลือแม่ โดยการขายของกินหลายอย่าง เช่น เต้าฮวย แซนวิช ไอศกรีม นอกจากจะเดินขายตามคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยแล้ว เอกยังเคยเดินเข้าไปขายตามจุดชุมนุมทางการเมือง เพื่อหารายได้มารักษาแม่ จนมีผู้หวังดีได้โพสถึงความกตัญญูของเอก ทำให้กลายเป็นที่สนอกสนใจ และมีผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจำนวนมาก รวมทั้งสื่อต่างๆ ก็ช่วยลงเรื่องราวของเอกอีกทางหนึ่ง.
ooo


ช็อตเด็ดวันนี้ : เมื่อสิ้นคำพิพากษาอาญาสิทธิ์ ไม่เหลือแล้วเพียงนิดความเลื่อมใส...

ooo


บทสรรเสริญศาลไทย
-----------------------

ชีวิตไทยคล้ายสัตว์รัฐสั่งฆ่า
ดังหมูหมากลางพาราประชาเห็น
เหี้ยสั่งฆ่าห่าสั่งฟัดชัดประเด็น
ศาลจึงเป็นเช่นห่าเหี้ยเขี่ยคดี

____กวีศรีมหาชน____
28สิงหา57

*แต่งในโอกาสทีศาลไทยสั่งจำหน่ายคดีที่อภิสิทธิ์กับสุเทพสั่งทหารให้ฆ่าประชาชนในเหตุการพฤษภาเลือด2553และหนึ่งในผู้ร่วมลงมือคือหัวหน้าคสช.
ooo

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน: ไม่มีคดี 99 ศพ



คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

บางคนอาจจะได้คำตอบแล้วว่า ทำไม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งขณะนี้ห่มเหลืองเป็นพระสุเทพ รวมไปถึงคนแวดล้อมในสังกัดประชาธิปัตย์ จึงพูดมาตลอดว่า ไม่ขอรับการนิรโทษกรรมในคดีที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะคดี 99 ศพ

คนเหล่านี้ยืนยันตลอดว่า พร้อมจะต่อสู้คดี ถ้าผิดจริงก็พร้อมจะติดคุก

เช้าวันที่ 28 สิงหาคม คงมีคำตอบแล้วว่า ทำไมเขาจึงกล้าพูด

เช้าวันที่ 28 สิงหาคม เป็นวันที่อภิสิทธิ์และพระสุเทพ รวมทั้งทีมกฎหมายของประชาธิปัตย์ มีความสุขที่สุด

เพราะศาลอาญา มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ นายอภิสิทธิ์และพระสุเทพเป็นจำเลย

ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 จากกรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุม นปช.เมื่อปี 2553

หรือที่เรียกกันว่าคดี 99 ศพ

โดยคำพิพากษาศาลอาญาระบุว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 2 ที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนจริง ทำให้มีผู้เสียชีวิต เป็นการออกคำสั่งในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ

แต่การปฏิบัติต้องทำไปตามที่กฎหมายบัญญัติและไม่เกินกว่าเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจะไม่ใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนปืนจริง การใช้อำนาจของจำเลยทั้ง 2 จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหาใช่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาไม่

ศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องของโจทก์จึงพิพากษายกฟ้อง

ฟังคำพิพากษาจบ คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

แต่ญาติมิตรของประชาชนผู้ร่วมชุมนุมที่ล้มตายหลายสิบศพ ย่อมรู้สึกตรงกันข้าม

ผลจากคำพิพากษานี้ เท่ากับว่า คดี 99 ศพในส่วนที่เป็นคดีอาญา ข้อหาร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

จะตกไปทันที

ดังนั้นที่ต้องรอดูต่อไปก็คือ สำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งเป็นโจทก์ ต้องดำเนินการยื่นอุทธรณ์ เพื่อยืนยันว่าเป็นคดีความผิดทางอาญา ไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่

พร้อมๆ กับญาติพี่น้องของผู้ตายส่วนหนึ่งที่ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วม คงยื่นอุทธรณ์เช่นกัน

แต่หากการอุทธรณ์ไม่เป็นผล

คดีจะต้องส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือป.ป.ช.เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป

รับแล้วจะรวดเร็วเหมือนคดีที่ฟากของพวกยิ่งลักษณ์หรือไม่ ยังไม่รู้

หรือจะเหมือนคดีอื่นของคนชื่ออภิสิทธิ์ที่อยู่ในมือ ป.ป.ช. ก็คือติดน้ำท่วมไม่เลิกหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป

อีกทั้งสุดท้าย ถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่าไม่มีมูล ก็เป็นอันจบ คนที่ตายไป 99 ศพก็จบชีวิตไปโดยไม่มีใครต้องรับโทษ

หรือถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่ามีมูลความผิด ก็ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง

แต่จะเป็นการฟ้องตามมาตรา 157 คือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อหาเปลี่ยน โทษเปลี่ยน

แต่ที่สำคัญคือ จะไม่มีคดีฆาตกรรม 99 ศพ มีแค่คดีผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

(มติชนรายวัน 29 สิงหาคม 2557)
ooo



มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร เปิด Blog ประเดิมเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย และสิทธิของการแสดงออก


ที่มา ปล็อคส่วนตัวมาร์ค เคนท์

ข้อความส่วนหนึ่ง...

 บล็อกของผมเสนอความคิดเห็นและมุมมองส่วนตัวของผม ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นความเห็นของรัฐบาลอังกฤษ ผมจะพยายามอธิบายถึงนโยบายของสหราชอาณาจักรอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยจะเน้นที่ประเทศไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร ผมจะพยายามเขียนบล็อกเป็นรายสัปดาห์

ดังนั้น ผมจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมโดยเกริ่นนำถึงสิ่งที่ผมเชื่อมั่นและประเด็นต่างๆที่ผมจะเขียนถึง

ด้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยผมเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ผมได้เข้าเผ้าพระองค์สองครั้งก่อนปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเอกอัครราชทูต สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ผมเทิดทูนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี และผมก็ตระหนักถึงความจงรักภักดีอันท่วมท้นที่ประชาชนชาวไทยมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยเช่นกัน สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษได้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมในระยะเวลาที่ผ่านมาและเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนส่วนใหญ่ เช่น เมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถทรงปรากฏพระองค์ในกีฬาโอลิมปิกลอนดอน 2012 

ความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระราชินีนาถไม่ได้เกิดจากการใช้กฏหมายใดบังคับ คนที่ไม่นิยมสถาบันพระมหากษัตริย์มีจำนวนน้อย แต่พวกเขาได้รับเสรีภาพในการยึดมั่นกับความเห็นของตน ผมเชื่อในการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นต้องเลือกระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตย ทั้งสองอยู่ด้วยกันได้อย่างดี

ด้านประชาธิปไตย โดยย่อ ดังที่อับราฮัม ลินคอล์นกล่าวไว้ว่า “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ประชาธิปไตยนั้นไม่สมบูรณ์แบบ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิลเคยกล่าวไว้ว่า เป็นระบบการปกครองที่แย่ที่สุด ถ้าไม่นับระบบอื่นทั้งหมดที่ได้ลองกันมา นอกจากนั้น ประชาธิปไตยในหลายประเทศทั่วโลกก็แตกต่างกันออกไป แต่จุดร่วมก็คือ รัฐบาลเป็นตัวแทนที่แท้จริงของเจตจำนงแห่งผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งมวล

ด้านหลักนิติธรรม ทุกคนควรมีความเท่าเทียมกันตามกฎหมาย กฎหมายให้สิทธิและหน้าที่ซึ่งควรนำไปใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของลอร์ดแอคตัน ที่ว่าอำนาจมักทำให้เกิดการฉ้อโกง และอำนาจเบ็จเสร็จก็ทำให้เกิดการฉ้อโกงอย่างเบ็จเสร็จ

ความเสมอภาคของโอกาสในสังคม โดยไม่สนใจภูมิหลังทางสังคม สถานที่ เพศ ชาติพันธุ์ หรือรสนิยมทางเพศ การยอมรับความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของทุกส่วนในสังคมในการพัฒนาและการปกครอง

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการท้าทายและการแสดงความเห็นที่แตกต่างอย่างสันติเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาในทุกสังคม นำมาซึ่งทัศนะที่แตกต่างกันและสำนึกการมีส่วนร่วมในสังคม ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าจะก่อให้เกิดสังคมที่มีพลวัต เจริญรุ่งเรือง และมีนวัตกรรม สื่อมวลชนและสื่อสังคมก็มีบทบาทที่สำคัญ

ผมขอเตือนว่าผมเป็นแฟนฟุตบอลและแฟนสโมสรอาร์เซนอลตัวยง…

ผมตระหนักดีว่าประเทศของผมนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีข้อบกพร่องและจุดอ่อนหลายประการ (เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทุกประเทศ) แต่ผมเชื่อว่าเราจะเข้มแข็งขึ้นทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและสังคม จากการแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์ต่างๆ เราสามารถเรียนรู้ได้มากจากทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จของเรา ประวัติศาสตร์สอนเราหลายอย่าง แต่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีสิ่งท้าทายต่างๆเกิดขึ้น เราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่รอบตัวเรา

ผมจะแบ่งปันความคิดเห็นในประเด็นต่างๆในสัปดาห์ต่อๆไป ในบล็อกจะมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ผมยินดีรับความคิดเห็นและคำถามต่างๆจากคุณ กรุณาเคารพผู้อื่นและงดใช้ในทางที่ผิด ข้อกำหนดและเงื่อนไขของเราดูได้ที่นี่ คุณสามารถติดตามผมได้ทางทวิตเตอร์ที่ @KentBKK และติดตามสถานทูตได้ที่@UKinThailand และ UKinThailand เฟซบุ๊ก

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ตอบคำถามว่าด้วยเรื่อง "ทาสและไพร่"





On Slavery-Phrai-Conscription in Siam/Thailand........

วันนี้ 29 สิงหา ครบรอบ 109 ปี พรบ. เกณฑ์ทหารฉบับแรก รศ. 124 พศ. 2448
On King Chulalongkorn's Slavery and Phrai....
ต่อคำถามของ อ. พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล
เรื่องของ "ทาสและไพร่" นั้น ขอตอบเป็น ภาษาไทย ดังนี้

หนึ่ง) "การเลิก"
รัชกาลที่ 5 ทรงเลิกทาส
เพื่อทำให้สยาม "ทันสมัย/สมัยใหม่"
ตามแบบฝรั่งตะวันตก อย่างช้าๆ จากต้นถึงปลายรัชกาล
ทาส มิได้เป็น "คน" จำนวนมากของประเทศ
จึงมิได้มีผลกระทบต่อ "นายทาส" นัก
ที่สำคัญ คือ "ทาส" ก็หาได้เป็น "แรงงาน" สำคัญในการผลิต ข้าว ยางพารา หรือ ไม้สัก
ดังนั้น การเลิกทาส จึงไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง รุนแรง อย่างเช่น "สงครามกลางเมือง"

สอง) "การแปลง"
รัชกาลที่ 5 ทรง "แปลงไพร่" หรือ "การเกณฑ์แรงงาน" ให้เป็น "การเกณฑ์ทหาร"
โดยออก พรบ. การเกณฑ์ทหาร (ฉบับแรก) เมื่อ 29 สิงหา 2448 คือเมื่อ 109 ปีมาแล้ว

สาม)
"ไพร่" หมายถึง "แรงงาน" ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ชาวบ้าน" ที่แบ่งออกเป็น
ไพร่หลวง คือ แรงงานของกษัตริย์ ต้องถูกเกณฑ์ปีละ 6-4-3 ต่อเดือน
ไพร่สม คือ แรงงานของเจ้านาย (ต้องถูกเกณฑ์ เช่นกัน)
ไพร่ส่วย คือ แรงงาน ที่ส่ง "ส่วย" แทน "แรงงาน" ให้กษัตริย์หรือเจ้านาย
สรุป "ระบบไพร่" คือ ระบบการเก็บภาษีในรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช้ "เงิน/money"
และในยามสงคราม
"ระบบไพร่" ก็คือ "การเกณฑ์ทหาร" ในแบบของสังคมสมัยเก่า นั่นเอง
(ซึ่งจะกระทบต่อ "ชาย" โดยตรง และต่อ "หญิง" โดยอ้อม)

สี่)
"ไพร่" จึงเท่ากับ "ชาวบ้าน" ทั่วๆ ไปเป็นส่วนใหญ่
และเป็น "คน" ส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วน "ชาวกรุง/ชาวเมือง" รวมทั้ง "คนจีน"
เสียภาษี ในรูปแบบของ "เงิน" ที่เรียกว่า "ผูกปี้"

ห้า)
การแปลงไพร่ ให้เป็นทหารเกณฑ์ นั้นมีผลกระทบต่อชาวบ้าน
(มากกว่าชาวกรุง/ชาวเมือง)
กล่าวคือ ชายยังต้องถูกเกณฑ์แรงงานอีกต่อไป คือ "เกณฑ์ทหาร"
แถมเมื่อมีการปฏิรูปการเงินการคลัง ยังมีภาระเพิ่มอีก คือ "ภาษีรัชชูปการ"

หก)
การแปลงไพร่ กับการเก็บภาษีเป็นตัวเงินตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
มีผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง ดังจะเห็นได้จาก
"กบถ ร.ศ. 121" คือ กบฎพระยาแขกเจ็ดหัวเมือง กบฎผู้มีบุญภาคอีสาน กบฎเงี้ยวเมืองแพร่ 

หก)
งานเขียนที่ดี ที่สุดเรื่องนี้ คือ "ไพร่สมัยชัชกาลที่ 5..." ของอัญชลี สุสายัณห์
วิทยานิพนธ์ ป โท อักษร จุฬาฯ
ผมเป็นหนึ่งในที่ปรึกษา ที่อยากให้ ป เอก เธอไปเลย
งานนี้ พิมพ์หลายครั้งแล้ว (แต่คงไม่ค่อยมีคนอ่าน)

เจ็ด)
อัญชลี มีข้อสมมุติฐานว่า
แม้สังคมสยามสมัยปฏิรูป ร. 5 จะทำให้ประเทศดูทันสมัย/สมัยใหม่
แต่ระบบไพร่เก่า ก็ยังอยู่ และถูก "แปลง" เป็นการเกณฑ์ทหาร
ที่รัฐ/กษัตริย์/เจ้านาย ยังมี "แรงงาน" จาก "ชาวบ้าน" มารับใช้อยู่อีกต่อไป
แม้จะมาในนามของความทันสมัย/สมัยใหม่ของ "การรับใช้ชาติ" ก็ตาม

แปด)
สำหรับ ชาวกรุง/ชาวเมือง แม้โดยทางทฤษฏี
ต้อง "เสมอภาค" ต้องถูก "เกณฑ์ทหาร" เหมือนๆ ชาวบ้าน ในระบบใหม่
แต่ก็จะมีทางออกอื่นๆ ทั้งที่เป็นทางการ
เช่น เรียน รด. หรือ ได้รับการยกเว้นในฐานะ "ปริญญาชน"
หรือ โดยไม่เป็นทางการ โดยวิธีและปัจจัยต่างๆ นานา
ที่จะไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร นั่นเอง
และดังนั้น เราจะเห็นชาวบ้าน เป็นส่วนใหญ่ โดนเกณฑ์ทหาร
ในขณะที่เราๆ ท่านๆ ชาวกรุง/ชาวเมือง จะรอดมาได้
แม้มีกรณียกเว้น และการเป็นการ"ฮือฮา" ก็อย่างบรรดา "ดารา" นั่นแหละ ครับ

เก้า)
ในความรับรู้ และความเชื่อของชนชั้นนำไทย (ปัจจุบัน)
ที่ขาดความรู้ทาง ปวศ จะเชื่อว่า "ไพร่" นั้น ไม่มีแล้วในประเทศไทย
ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่ง คือ โดยทางการ "ไม่มี"
แต่โดยไม่เป็นทางการ "มรดก" สังคมไพร่ พฤติกรรมไพร่ จิตใต้สำนึกไพร่ ก็ยังอยู่กับเราๆ ท่านๆ
ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ครับ
กล่าวโดยย่อ เรื่องนี้ยาว ยอกย้อน ต้องศึกษา ต้องทำความเข้าใจ
ทั้งระบบไพร่โบราณ กับระบบการเกณฑ์ทหาร/การใช้ทหารเกณฑ์ น ปัจจุบันนี้ ครับ
"ปวศ.นั้น ไม่รู้เสียเลย ก็ ตาบอดข้างหนึ่ง
แต่ ปวศ. นั้น หากเชื่อเสียหมดเลย ก็ ตาบอดสองข้าง" ครับ

cK@ปวศ.ต้องศึกษา.ต้องมองจากหลายๆด้าน

"ชัชชาติ"แนะทบทวนรถไฟรางคู่ไฟฟ้า สปีด160ไม่คุ้ม-เชื่อแค่ขนสินค้าจากจีนผ่านไทย


ที่มา ข่าวสดออนไลน์

อดีต รมว.คมนาคม "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ชี้แผนพัฒนารถไฟฟ้ารางคู่มาตรฐานกว่า 7 แสนล้าน อาจใช้ไม่คุ้มค่า เพราะความเร็วแค่ 160 ก.ม. อาจเน้นใช้ขนสินค้าจากจีนผ่านไทยเท่านั้น ไม่มีผลกับการกระตุ้นศก. ต่างจากไฮสปีดเทรนที่เน้นขนคนน่าจะมีผลต่อศก.มากกว่า

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม กล่าวในงานเสวนาเรื่องแผนที่โครงการรถไฟสมัยรัชกาลที่ 5 กับการพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ของไทยปัจจุบัน ซึ่งจัดขึ้นโดย กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ที่มติชนอคาเดมี ว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีแผนที่จะพัฒนาระบบรางและเดินหน้าโครงการรถไฟทางคู่ต่อ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำเพื่อปรับระบบขนส่งจากทางถนนมาสู่ระบบรางเพื่อ ลดต้นทุนขนส่งคนและสินค้า

ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทางมาตรฐาน 1.43 เมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า 2 เส้นทาง คือหนองคาย-โคราช-สระบุรี-แหลมฉบัง-มาบตาพุด ระยะทาง 737 ก.ม. วงเงิน 392,570 ล้านบาท และเชียงของ-เด่นชัย-บ้านภาชี ระยะทาง 655 ก.ม. วงเงิน 348,890 ล้านบาทนั้น ต้องวางเป้าหมายให้ชัดว่าจะสร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

"ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าจะเกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากกว่าการสร้างรถไฟฟ้า ความเร็วสูงหรือ ไฮสปีดเทรน ที่วิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 250 ก.ม./ชั่วโมงอย่างไร จริงๆ ไม่ใช่เรื่องผิดหากผู้นำยุคนี้จะคิดต่าง และจะเน้นสร้างรถไฟเพื่อขนส่งสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วมาก ขณะที่รัฐบาลก่อนสร้างไฮสปีดเทรนเน้นขนส่งคนภายในประเทศ เพราะผมมองว่าไฮสปีดเทรนจะช่วยสร้างเมืองใหม่ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเกิดประโยชน์ต่อภาพรวม"

นายชัชชาติระบุว่า หากดูแนวเส้นทางที่กำลังจะสร้างขณะนี้จะเห็นว่าเน้นขนสินค้าจากจีนมายังไทย ผ่านออกไปต่างประเทศที่ท่าเรือแหลมฉบัง ไทยเป็นเพียงแค่ทางผ่านมีรายได้แค่ค่าผ่านทางเท่านั้น จึงต้องคิดให้รอบคอบว่ารถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วแค่ 160 ก.ม./ชั่วโมง ช้าเกินไปหรือไม่ถ้าจะขนส่งคนแข่งขันกับเครื่องบินโลว์คอสต์

อดีต รมว.คมนาคมกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่รัฐบาลระบุว่าในอนาคตสามารถจะอัพเกรดเป็นไฮสปีดเทรนได้นั้น มองว่าหากจะมีการอัพเกรดรางหรือระบบเทคนิคใหม่อีกครั้ง จะถือว่าเป็นการลงทุน 2 ครั้ง ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาขาดทุนสะสมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นั้น รฟท. ควรเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารการเดินรถ ส่วนงานบริหารรายได้จากสินทรัพย์ควรให้กระทรวงการคลังเข้ามาทำแทน