วันจันทร์, มิถุนายน 30, 2557

แนะนำ เสียงเพลงแห่งมวลชน (Do you hear the people sing?) + Les Miserables: Do you hear the people sing: Sung by 17 Valjeans from around the world

Les Miserables: Do you hear the people sing: Sung by 17 Valjeans from around the world


https://www.youtube.com/watch?v=gpDbvlAI_A0


เสียงเพลงแห่งมวลชน (Do you hear the people sing?)

https://www.youtube.com/watch?v=NHcnY5Bb-AM


จดหมายถึงเพื่อนชาวไทย จากจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์กรเสรีไทย FreeThai The Organisation of FreeThais for Human Rights and Democracy


หมายเหตุไทยอีนิวส์ : ได้รับผ่าน Email
...

สวัสดี เพื่อนชาวไทยผู้มีเสรีภาพและความเป็นไทในจิตวิญญาณทุกท่าน

อาวุธที่ดีที่สุดของประชาชนมือเปล่าในห้วงเวลาของการกดขี่โดยคณะเผด็จการทหารยามนี้ คือ “ความจริงใจ ความรัก ในความยุติธรรม รักศักดิ์ศรีความเป็นคน ของคนไทยทุกคน”

นับแต่เกิดการรัฐประหาร คณะเผด็จการทหารพยายามสร้างเรื่องเท็จหลอกลวงจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อทำลายความเชื่อมั่นในเสรีภาพและประชาธิปไตยของเพื่อนชาวไทยที่ลุกขึ้นมาต่อสู้นับแต่วันแรก และล่าสุดนายจักรภพ เพ็ญแข สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งองค์การเสรีไทย ได้โดนศาลทหารออกหมายจับด้วยการยัดเยียดข้อหามีอาวุธสงคราม ทั้งที่ไม่มีหลักฐานประกอบใดๆ วิธีการสกปรกนี้ ไม่ต่างจากที่เผด็จการทหารเคยใช้กับนักศึกษาในอดีต ที่ใส่ร้าย กุข่าว เรื่องจับอาวุธสงครามได้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หลังวันฆ่านกพิราบ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเวลาได้พิสูจน์ความจริงแล้วว่า เรื่องเหล่านั้น ล้วนเป็นการปั้นข่าวลวง เพื่อทำลายประชาชนผู้เป็นศัตรูโดยตรงกับเผด็จการทหารทั้งสิ้น

ณ ตอนนี้ ศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชนชาวไทยตกต่ำถึงขีดสุด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะถูกปล้นโดยคสช. เผด็จการทหารพยายามปิดหู ปิดตาเรา ไม่ให้เรารับรู้เรื่องราวของการต่อสู้ และไม่ให้เรารับรู้แรงกดดันจากนานาประเทศ ที่มีต่อประเทศไทย ปิดสถานีโทรทัศน์ วิทยุชุมชน ควบคุมเนื้อหาข่าวสาร ส่งทหารไปประจำสถานีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เพื่อให้สื่อออกข่าวตามใจคณะเผด็จการทหาร เรียกตัวสื่อมวลชน นักข่าว นักวิชาการ แม้กระทั่งประชาชนอิสระที่นำเสนอข่าวของตนเองผ่านทางโซเชียลมีเดีย จนการนำเสนอข่าวถูกจำกัดไร้เสรีภาพใดๆ

สิ่งที่เราชาวไทยผู้รักและต้องการปกป้องเสรีภาพจะทำได้ด้วยมือเปล่า คือการบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้น ระหว่างประชาชนสู่ประชาชนด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด เมื่อไร อาชีพ อายุ เพศ ไม่เป็นสิ่งขวางกั้นความจริง ให้ประชาชนได้ก้าวข้ามกรงขังแห่งความหลอกลวงที่เผด็จการทหารสร้างขึ้นมาครอบงำ

ผู้ร่วมอุดมการณ์เสรีไทยทุกแห่งหน สามารถเป็นตัวกลางระหว่างผู้ได้รับข่าวสารจากโซเชียลมีเดียสู่เพื่อนบ้าน ครอบครัว พี่น้อง มิตรสหาย องค์กรในต่างประเทศ ที่อาจเข้าไม่ถึง พูดความจริงให้มีเสียงดังซ้อนซ้ำย้ำเตือนในจิตสำนึกแห่งเสรี ที่ไม่ยอมให้เผด็จการทหารใช้เศษเงินมาแลกเอามิตรภาพและความรักในความจริงเพื่อตั้งข้อหาข่มขู่คุกคาม

เพื่อนชาวไทยที่รัก เราจะร่วมทำงานทางความคิดต่อเนื่องกันไป จะส่งต่อจดหมายข่าวเสรีไทยเพื่อแจ้งความจริงของการต่อสู้กับความเท็จของเผด็จการทหาร เพื่อเสรีภาพและมนุษยชนของชาวไทยเป็นประจำทุกอาทิตย์ และเมื่อถึงเวลา เราจะได้ร่วมเดินพร้อมกัน เหยียดหลังตรงเปี่ยมทรนงในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันอีกครั้ง

ด้วยความเชื่อมั่นต่อพลังประชาธิปไตยของประชาชน

จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
เลขาธิการองค์กรเสรีไทย
FreeThai
The Organisation of FreeThais for
Human Rights and Democracy

ooo

เรื่องที่ถูกอ้างอิง...6 ตุลา


ดร.โสภณ พรโชคชัย
หลังจากฆ่านักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 www.2519.net นสพ.ฉบับ 10 ตุลาคม ยังป้ายสีซ้ำว่าพบอาวุธในธรรมศาสตร์ ทั้งที่ตำรวจเอาอาวุธสงคราม ปืนกล ปืนไร้แรงสะท้อน ฯลฯ ไปฆ่านักศึกษานับสิบๆ ศพ ภายหลังยังจัดโชว์อาวุธที่อ้างว่ายึดได้จากธรรมศาสตร์ที่สนามไชย
ปรากฏการณ์นี้คล้ายหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 และขณะนี้ก็กำลัง make เรื่องตรวจเจออาวุธที่โน่นที่นี่เพื่อป้ายสีกันอีกแล้วครับ อย่างนี้จะปรองดองกันยังไงล่ะนี่ครับ

ชูวิทย์ I'm No.5 : กบในกะลา


ตอนนี้มีกระแสต่อต้านยุโรป เพราะ EU (สหภาพยุโรป) และสหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารในประเทศไทย มีคนออกมาพูดต่อต้านทำนองรณรงค์ไม่ซื้อสินค้ายุโรปและอเมริกา บางคนไปประท้วงถึงหน้าสถานฑูต

ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษเป็นประเทศแม่บทประชาธิปไตย จะต้องยืนหยัดอย่างชัดเจนถึงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นไปไม่ได้ที่ประเทศเหล่านั้นจะมาเข้าข้าง ปรบไม้ปรบมือ แสดงอาการเข้าอกเข้าใจ หรือเชียร์การทำรัฐประหาร เราต้องเข้าใจบทบาทและบริบทของแต่ละประเทศ

ปัจจุบัน สินค้าจากประเทศมหาอำนาจครอบคลุมแทบทุกลมหายใจของคนไทย ไม่ว่ามือถือไอโฟน เฟสบุ๊ค กูเกิ้ล ฟาสฟู๊ดอย่างแมคโดนัลด์ เครื่องดื่มโค้ก เครื่องแต่งตัวลีวาย รองเท้ารีบอค กาแฟสตาร์บัค ส่วนสินค้าจากยุโรปทั้ง กุชชี่ ดิออร์ รถเบนซ์ บีเอ็ม ไปจนถึงโรงแรมห้าดาวฮิลล์ตัน ไฮแอท ฮอลิเดย์อินน์ โลกทั้งโลกถูกประเทศมหาอำนาจกลืนไปหมดแล้ว

การต่อต้านสินค้าที่คนไทยบางคนให้ข่าวจึงเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี ในอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน สมัยผมเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ ประเทศไทยเคยประท้วงต่อต้านไม่ซื้อสินค้าต่างประเทศเช่นกัน ไม่ว่าญี่ปุ่น หรือ สหรัฐอเมริกา มีการประท้วงให้สหรัฐอเมริกาถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย

แต่การประท้วงก็เหมือนกับการผายลม เหม็นชั่วครั้งชั่วคราวแล้วหายไป

โบราณเขาเปรียบเทียบพวก "กบในกะลา" สำคัญตัวเองว่ารู้มากยิ่งใหญ่ คิดว่าที่ที่ตัวเองอยู่คือโลกทั้งโลก ทั้งๆที่แท้จริงมันคือกะลา เพ้อเจ้อ ไม่มีประสบการณ์ เพราะไม่เคยออกไปเจอกับโลกทัศน์ภายนอก ไม่รู้ว่ามันกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน

Comments:

SarawutTa Bushsri ประเทศกูเอง ชัดเจนนะครับ !!



Golfficio Del Toro แหม่ ต่อต้านอเมกา แต่ทรานฟอร์เมอร์ส ฉายในไทยวันแรก 41 ล้านนะครัช !!!


เก๋าไม่เก๋า ในเป๋ามีปืน ฮ่าๆๆๆ


น้ำอิงค์ อินเตอร์เน็ต เกมส์ ถ้าไม่ชอบอเมริกา และ ยุโรป. 1.หยุดใช้เฟสบุ๊ค ไอโฟน เถอะครับไม่ใช่เก่งแต่ปาก. 2.รถยนต์ เสื้อผ้า สินค้า ก้อเลิกใช้. 3.ใครที่ทำงานในบริษัทที่เจ้าของเป็นยุโรป และอเมกา ก้อไปลาออกด้วย. และคอมพิวเตอร์ก้อเลิกใช้นะครับเพราะพวกซอฟแวร์ในคอมพิวเตอร์เป็นของอเมกา ฝากบอกพวกที่ต่อต้านเลิกเก่งแต่ปาก เริ่ม โดยการหยุดเล่นเฟสบุ๊คตั้งแต่วันนี้. ถ้ายังใช้สินค้า ของยุโรป อเมกา อยุ่. ก้อเงียบปากไปครับอายหมา

Niyom Rattana 555 กุเขียมม


Pok Saharat อยากจะกดให้สัก5 Like !!

The dictatorship and fabricated claims

This picture is from Wassana Nanuam FB

Source: Thai Political Prisoner Website

As most readers will be aware, the Dictator and his military junta will brook no inference as they suppress and threaten their way to “royalist reconciliation.” Their latest stunt is a claim that anti-coup activist and one of the leaders of the Organisation for FreeThais for Human Rights and Democracy, Jakrapob Penkair is a gun runner. Yesterday, the military dictatorship issued a further arrest warrant for him, claiming “possession of war weapons…”.

The claim is considered a fabrication for at least two reasons.

First, Jakrapob has recently been in Cambodia and Hong Kong, setting up the Organisation for FreeThais for Human Rights and Democracy, and it is this which causes the charge. The junta is merely seeking a pretext that “makes it possible for authorities to seek the extradition of Mr Jakrapob from any country with which Thailand has a criminal extradition treaty. The other charges against him of lese majeste and failing to report to coup authorities are not extraditable offences.”

The senior policeman making the charge is the now notorious junta lackey Somyos Pumpanmuang, who is running a mission for the junta that includes quite ridiculous extradition warrants against Rose Amornpat, and suppressing peaceful demonstratorswith massive police “rallies.” He also recently led a “police taskforce is investigating recent discoveries and seizures of war weapons and arms caches in Bangkok and other provinces to identify who supplied them.”

A second reason for considering this charge fabricated is related to the “seizure” of weapons. PPT has previously expressed skepticism regarding the remarkable “finds” the police and military claim to have made. We have also posted several times on how many of the military’s own weapons go missing and are traded.

The Bangkok Post reports on one of the biggest finds. Police proudly proclaimed that a “haul of war weapons seized in Nakhon Ratchasima on Monday will be expanded to locate the source of money used to procure them.” The “haul” included “firearms, including assault rifles, magazines and various types of ammunition,” and grenades. The weapons were “seized” on “a house belonging to Noppadol Petchmadan, 42, in Nakhon Ratchasima.” The diligent cops proclaimed that they were investigating “the red-shirt linked ‘Khon Kaen model’ armed network, which the suspect is allegedly connected to.”

The so-called Khon Kaen Model is quite possibly just one more military concoction. That aside, what did suspect Noppadol have to do and say?

The “raid” netted “four M-16 assault rifles, six other automatic rifles, including one AK-47, two machine guns, a shotgun, a firecracker launcher, an M-79 grenade launcher, two bulletproof vests and various types of ammunition,” all said to be “brand new.”

Noppadol “denied any involvement with the ‘Khon Kaen model’ armed network.” In fact, he stated that “he was well-known among many people in the weapons trade, including soldiers, police and government officials.” He admitted “procuring weapons…”. Of course he did. That is is way of making a living, and as he has stated, the police and military “trade weapons” and know him.

We simply do not believe the claims made by the military dictatorship. They are self-serving and altogether too convenient.

Meanwhile, as might be expected, at Asia Provocateur, Jakrapob Penkair, the Executive Secretary of Organisation of Free Thais for Human Rights and Democracy (FT-HD) has denied the claims made by the military dictatorship.

The charges levelled against me today by Thailand’s illegitimate coup regime reveal, once again, the desperation of the Generals and the Establishment they represent. The false claim that I am behind some kind of “armed element” is not only a fiction but yet another example of the injudiciousness of the fraudulent Thai junta.

Let me be clear – there is simply no evidence whatsoever to connect me to the junta’s seizure of arms and I would challenge them to produce such evidence. Of course, even the seizure of said arms has more than a whiff of suspicion about them. There has been no independent investigation regarding these arms’ seizures, no chain of evidence has been preserved and the kind of claims the junta are putting forward are so flimsy they would be washed away very quickly when subject to proper cross-examination.

As for any attempt to “extradite” me on such charges, the junta must know that no government on earth would succumb to their threats and that I would be given full access to any evidence they have concocted and also the platform to challenge such evidence.

For the record, I must state that I have no involvement in any kind of “armed” struggle. I believe fully in a political, social and cultural struggle secured in reality by the democratic will of the Thai people. The Generals and their Establishment masters know very well that if the democratic will of the Thai people is expressed, power will be removed from them and returned to more accountable and legal forms.

It’s only two days ago our organisation was being dismissed as “irrelevant” by the junta. Now we face allegations of being behind a regime-concocted “armed struggle” along with attempts to curtail our rights to travel via the revocations of passports. These actions by the junta reveal only one thing – their increasingly obvious insecurity – something which will only grow in the days and weeks to come.

That’s why the only “judicial” vehicle they could use to expedite their false charges would be through their own military-run “courts” where due process and the rule of law have long been abolished in favour of despotism. It must be said that any and all cases coming before the military “courts” exist in the context of a form of jurisprudence that is little more than a theatre of the absurd, such is the lack of any form of legal rights.

At the moment the military and the forces they represent are the only agents engaged in any kind of illegitimate “armed” struggle against the will of the Thai people. Those who believe in democracy have no need to use force of arms as we are fully confident that the moment the franchise is returned to Thais the junta will be little more than an historical aberration.

I should add that the revocation of passports by the junta is not only another grotesque repressive act it also turns any Thai citizen who stands against the military regime into political refugees. Such revocations will further expose to the global community that the junta are little more than petulant tyrants operating far beyond the norms of international law.

We ask our supporters to remain steadfast and not be distressed or disheartened by the junta’s threats and games. The only action the junta have available to themselves is to attempt to crush the hopes and aspirations of ordinary Thais. Yet, with each turn of the repressive screw, the junta just further seal their own fate and will strengthen your resolve to return sovereignty to the Thai people.”

อ้าวใครเป็นเจ้าของมารับคืนด่วน!






อาวุธ อะไรจะเยอะ ปานนั้น ส่วนหนึ่งที่กกล.รส.นำมาโชว์ วันนี้....ของใครบ้างนัอ!!.

ที่มา FB Wassana Nanuam

เรื่องอาจจะเกี่ยวข้อง....

ภาพจาก theguardian.com


BREAKING: Thai Army claims that Jakrapob Penkair in alliance with Aum Neko and London Rose has secured ICBMs.

"We have photographic evidence," said Thai Army chief, General Prayuth.



Clash of values mires Thailand in cycle of coups

In this photo taken June 13, 2014, Chalad Worachat lies on the ground during a hunger strike outside the Parliament in Bangkok, Thailand. Over the past decades, Chalad has resisted military regimes and dictatorial legislation by staging hunger strikes, five of them. Now the 71-year-old onetime parliamentarian is back on water and honey, despondent that after so many years and so much bloodshed, Thailand has been unable to break out of a vicious cycle of military coups to achieve true democracy. (AP Photo/Sakchai Lalit)

By Dennis D. Gray
AP

BANGKOK (AP) - Over the past decades, Chalad Worachat has resisted military regimes and dictatorial legislation by staging hunger strikes, five of them. Now the 71-year-old onetime parliamentarian is back on water and honey, despondent that after so many years and so much bloodshed, Thailand has been unable to break out of a cycle of military coups to achieve true democracy.

"We are not moving toward full democracy. We're going backward to dictatorship," he said on the 25th day of his sixth fast, which he vows to continue until the latest military regime adopts democratic principles. Sallow-faced and dressed in black, he reclined on a mat spread over a curbside across the street from the Parliament building, now empty.

Chalad has lain there before, sometimes to protest against individuals, at other times to stop moves like a 1983 bill that would have allowed unelected bureaucrats and military officers to become prime minister. But basically he has been fighting the same battle again and again.

"Thais have never learned about democracy, never really compared democracy with dictatorship to see which is better," he says. "They just look at what's in front of them and see a hero, but a hero never lasts long."

A military man has led Thailand for 54 of the 82 years since the Southeast Asian country ended absolute monarchy in 1932. It continues to bounce between coups and fragile democratic governments despite numerous advantages over many of its neighbors normally regarded as conducive to liberal democracy, including a vibrant economy, no rigid class structure and virtually no war on its soil in almost 250 years. This while once power-grabbing militaries have returned to their barracks in South Korea, Taiwan, Indonesia, the Philippines - even Myanmar to some extent.

At the heart of the instability is a clash of core values that has been with Thailand's constitutional monarchy from the beginning. The traditional Hindu-Buddhist culture - emphasizing deference to authority in a hierarchical system, acceptance of one's fate and avoidance of confrontation - runs against emerging individualism, egalitarianism and rule of law. The old values also breed power brokers who dole out rewards to subordinates whose loyalty flows to them rather than to state institutions.

"Patronage relations dominate all aspects of Thai society and have a crippling effect on democratic institutions and political culture," said Marc Saxer of the Friedrich-Ebert Stiftung, a German foundation promoting democracy. "Never mind the democratic facade, key decisions are made by a network of patrons in the backroom."

For more than a decade, Thai politics has been a bitter struggle between two sides that have both resorted to undemocratic means, leaving genuine democrats within all camps largely marginalized.

On one side are former Prime Minister Thaksin Shinawatra and his supporters, who have won every Thai election in the 21st century. Thaksin, now living in self-imposed exile in the United Arab Emirates to avoid a prison sentence for corruption, is popular among the rural poor but hated by many wealthier Thais for his winner-take-all methods.

As prime minister, Thaksin gutted agencies designed to curb executive power, stocked key positions with his relatives and attacked the media. The most recent elected government - led by his sister, Yingluck Shinawatra - began to crumble late last year after it tried to push through an amnesty bill that would have allowed Thaksin to return home.

The main opposition, the Democrat Party, has not won an election in more than 20 years but managed to gain power at times by siding with the traditional order. Yingluck's government was weakened by longtime Democrat leaders who orchestrated massive demonstrations, and by institutions widely regarded as lacking impartiality. Yingluck dissolved the House of Representatives and called for elections, but protesters blocked many polls and the Constitutional Court annulled the voting that did take place.

Coup leader Gen. Prayuth Chan-ocha, who took over May 22, said late Friday that general elections would be held around October 2015 after an appointed reform council and drafting committee write a long-term constitution. He has warned all groups not to oppose the military.

Even some who disagree with military intervention say that after six months of crippling political deadlock, an economic downturn and sometimes violent street demonstrations, Thailand had no Plan B on offer.

"It's deja vu. Times have changed, but we Thais have not yet found a way acceptable to most people to solve our political problems," said Sainarong Siripen Rasananda, a retired, Cambridge University-educated businessman.

Modern Thailand has gone through an astonishing 18 constitutions, none of which proved the hoped-for magic bullet. The argument goes that as long as traditional values dominate the country's elite, and thus underlie its key institutions, whatever legislated reforms are made are hardly worth the paper they're written on.

The 1932 rebellion left the old order largely intact, and the institutions created were top-down and heavily centralized. Political parties formed along patron lines, personalities and money, not ideology. Thailand was never colonized, and Western-style, democratic ways were not as deeply embedded as, for example, in India, where the British seeded the rule of law.

"The fundamental questions of politics have revolved around political status - how shall the rewards of goods, prestige and power be distributed within the ruling class?" wrote American political scientist David Wilson in 1962. Not much seems to have changed.

For decades authoritarian regimes, strongly backed by the United States in the 1950s and 60s, may have served the country well. With Thailand flourishing economically, and with some of the benefits trickling down to the rural poor, the impetus for change wasn't compelling.

An important factor is that for most of Thailand's modern history, King Bhumibol Adulyadej has been center stage. Now 86 and the world's longest reigning monarch, the king buttressed the then-fragile constitutional monarchy, garnering widespread respect and affection for his decades of labor on behalf of the poor, and for stepping in to halt bloodshed during several political crises.

"For many Thais, the monarchy evokes a stable social hierarchy in an increasingly unpredictable world," said Grant Evans, an Australian expert on Southeast Asia.

In recent years, some foreign and Thai scholars have, however, theorized that the monarchy has also held back democratic progress, either by the conservative nature of the institution itself, or because Thai people have looked on the king as a crutch, someone who will intervene to solve their critical problems. The king, who has been ailing for several years, formally endorsed the coup but otherwise has not publicly weighed in on recent political events.

These scholars describe a "network monarchy" - not a homogenous entity commanded by the king, but myriad groups with vested interests in a strong, enduring monarchy as a political and social institution. This network has tight, longstanding links to the army, elements of the bureaucracy and elite families, together forming a loose but formidable force.

"The fact is to build a democracy in the Western sense, you really need key institutions and their leaders to be behind it. And neither the military nor the palace have been behind it. Both see it as messy, ugly, ineffective and more corrupt than they might be themselves," said Paul Handley, author of a biography of the king which is banned in Thailand.

Indeed, Saxer and others describe Thai politics as rife with corruption, cronyism and vote-buying. "In the eyes of many these flaws of 'Thai-style democracy' have become synonymous with democracy. Accordingly the attitude of many Thais, particularly the Bangkok middle class, toward democracy is negative," Saxer said.

Charles Keyes, an American anthropologist who has studied Thai society for more than 50 years, said that "while the traditional value of hierarchy is still shared by the military and royalist elite, it is not shared either by the middle class or the rural people."

Middle-class Thais, however, have for now being aligned themselves with the old elite, even though they don't share the same values, Keyes said. He said two populist revolutions converged and then came into conflict: a middle class revolution that began in the 1970s with student protests, and a second based in the rural population that widely supported Thaksin's policies.

Thongchai Winichakul was one of those student leaders. He saw police kill his friends in a brutal 1976 crackdown, and was himself imprisoned for nearly two years. Now a professor of Southeast Asian history at the University of Wisconsin, he said that "what happened in Thailand now is anti-democracy, it's many steps backward."

He said there is a "deep structural conflict" that "cannot be solved by pushing the political system backward even further."

"Several values and ideology are very similar to 100-plus years ago: distrust in the people, trust in a virtuous elite, especially the king and his servants, including the military," Thongchai said.

Kim McQuay, head of the New York-based The Asia Foundation in Thailand, describes Thai political history as "one of forward and backward cycles rather than a steady progress toward democracy."

"After each coup, many Thais have seemingly acquiesced - perhaps naturally averse to confrontation - and a critical pro-democratic mass has yet to break the pattern," McQuay said. "While change is inevitable, I don't see Thailand breaking out of this unfortunate cycle in the foreseeable future."

___

Denis Gray has been covering Thailand and neighboring countries for the AP since the 1973 pro-democracy uprising in Bangkok.

Associated Press reporter Thanyarat Doksone in Bangkok contributed to this report.

กิจการงานเวร


๑. ตำหวดใหญ่ ให้คำวินิจฉัย (แบบนิ่มๆ อีกแหละ) ว่า "พฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวไม่เข้าข่ายกระทำความผิดทางกฎหมายที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง เป็นเพียงการแสดงออกถึงความไม่พอใจเท่านั้น" ...ถ้อยความตามนี้ : http://bit.ly/1mapEPQ"



๒. ตะหานย่อย ขี่ฮัมวีไปเยี่ยมร้านขายปลาหมึกทอด จับคนขายถอดเสื้อ เพราะสีแดง แถมสกรีนรูปจตุพร...เนื้อหาที่นี่http://www.prachatai.org/journal/2014/06/54314

น้ำผึ้งเฝื่อน หมดเดือนฮันนีมูน


ที่มา ไทยรัฐออนไลน์

“ลุงกำนัน” นอตหลุดปูด “ใบเสร็จ” ใส่อำนาจพิเศษ

ผ่านไปแล้วครึ่งทาง มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลกดำเนินมาถึงรอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย บรรยากาศแห่งความระทึกใจในเกมลูกหนังยังแผ่กระจายครอบคลุมไปทุกจุด

สะกดทุกกระแสหยุดอยู่กับเรื่องฟุตบอล

และอานิสงส์ก็ยังต่อเนื่อง ผลจากยุทธศาสตร์การคืนความสุขให้สังคม จัดให้ดูบอลฟรี ดูหนังฟรี ประกอบกับนโยบายการแก้ปัญหาแบบลงลึกในรายละเอียด คลุกกันถึงก้นซอย ประเภทจัดระเบียบวินรถตู้โดยสาร เคลียร์วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ล้างมาเฟียแท็กซี่สนามบินสุวรรณภูมิ

ลุยแก้กันแบบถึงลูกถึงคน เห็นผลชะงัดเฉพาะหน้า

นั่นก็ทำให้ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของโพลสำนักต่างๆออกมาให้คะแนนพึงพอใจผลงานภายใต้การยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

โดยเฉพาะเจาะจงกับตัวเลขของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในคำถามที่ว่า คสช.ควรเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี

ปรากฏ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำเดี่ยว คะแนนโด่งมาคนเดียวถึงร้อยละ 41 กว่าๆ

ทิ้งห่างอันดับสองอย่างนายอานันท์ ปันยารชุน แบบไม่เห็นฝุ่น 5-6 ช่วงตัว

“คสช.นิยม” ยังแรงติดลมบน

เบื้องต้นมันก็เป็นตัวชี้วัด สะท้อนว่า คสช.ภายใต้การกำกับของ พล.อ.ประยุทธ์นำทีมบริหารด้วยอำนาจพิเศษ อาศัยความเบ็ดเสร็จทำงานเข้าตาชาวบ้าน สอบผ่านผลงานในรอบ 1 เดือน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เริ่มมี “สัญญาณเตือน” สถานการณ์กำลังหมดช่วงเดือนแห่งการฮันนีมูน

ตามรูปการณ์ที่ คสช.จะต้องเผชิญกับงานที่ท้าทายขึ้นทุกขณะ

แบบที่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้กับปฏิกิริยานานาชาติ กระแส “โลกล้อมประเทศไทย” ที่มีการแสดงท่าทีชัดเจนเป็นรูปธรรม

ไม่ยอมรับสถานการณ์อำนาจในประเทศไทย

แรงสุดก็คือท่าทีของสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการรัฐประหาร พร้อมงัดมาตรการกดดันด้วยการยกเลิกเขตการค้าเสรี ล้มโปรแกรมการเดินทางเยือนระหว่างกันทั้งหมด

บีบให้กลับคืนสู่วิถีประชาธิปไตย จัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

สอดคล้องต่อเนื่องกับท่าทีของพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีปฏิกิริยาผ่านสภาคองเกรสในการเสนอให้ระงับความร่วมมือและการช่วยเหลือด้านต่างๆกับทางการไทย

รวมทั้งการขู่ย้ายฐานการซ้อมรบ “คอบร้าโกลด์” ไปที่ประเทศออสเตรเลีย

ตามเงื่อนไขโยงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของสหรัฐฯฟันธงเลยว่า คสช.จะยึดอำนาจการปกครองนานกว่าคณะรัฐประหารชุดที่ผ่านมา

นั่นหมายถึงว่า การตอบโต้วิถีนอกประชาธิปไตยก็ต้องเข้มข้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม โดยแรงเสียดทานจากภายนอกประเทศ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า พวกชาติมหาอำนาจจะต้องเดินหมากการเมืองระหว่างประเทศในการประคองดุลอำนาจโลก

รักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อน

ตามรูปการณ์มันจึงอยู่ในวิสัยการต่อรองด้วยการเดินเกมทางการทูต แบบที่ คสช.หันไปอิงกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสหรัฐฯและชาติตะวันตก

โลกล้อมประเทศไทยไม่รอบซะทีเดียว

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนแรงเสียดทานจากภายในประเทศมากกว่าที่จะสร้างแรงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์และทีมงาน คสช.

เพราะลำพังขบวนการ “ชู 3 นิ้ว” ต่อต้านอำนาจท็อปบูตก็ยังมีอยู่ประปราย ผลุบๆโผล่ๆจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เลี้ยงกระแส รอจังหวะวางเพลิงจุดไฟ

คสช.เผลอละสายตาไม่ได้

แต่เล่นเอาซีเรียส กระตุกต่อมเครียดไปตามๆกัน กลับเป็นรายการของคนกันเอง

กับปรากฏการณ์ที่ “กำนันเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ปูดข้อมูลลับๆร้อนๆ ให้ได้รับรู้กันทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ

ด้วยการเปิดเผยเบื้องหลัง อ้างกันเลยว่า แผนกวาดล้างรัฐบาลตระกูล ชินวัตร ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว

และก็มีการติดต่อพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์และคณะปฏิบัติการตลอดเวลาผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์

แม้แต่ช่วงก่อนรัฐประหารยึดอำนาจ หัวหน้า คสช.ยังได้ต่อสายบอกว่า “คุณสุเทพกับ กปปส.เหนื่อยเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นหน้าที่ผมแล้วที่จะเข้าควบคุมรัฐบาล”

ที่สำคัญยังมีการแถมทิ้งท้าย แจกแจงบัญชีลับ กปปส.ได้ใช้เงินไปกว่า 1.4 พันล้านบาท ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อโค่นรัฐบาลตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ 400 ล้านบาทมาจากครอบครัวและพวกพ้องของแกนนำ ส่วนอีก 1 พันล้านบาทเป็นเงินบริจาคจากผู้สนับสนุน กปปส.

เฉลยกันแบบหมดไส้หมดพุง

แน่นอน มวยรุ่นใหญ่ระดับ “กำนันเทพ” เหลี่ยมคูไม่ธรรมดา ที่สำคัญการปล่อยข้อมูลลับๆร้อนๆ ในภาวะสถานการณ์ไม่ปกติย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ต้องเป็นเรื่องใหญ่

และงานนี้ก็สังเกตได้ว่า เมื่อ “ปล่อยของ” เสร็จก็ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธจากนายสุเทพ โดยเลขาธิการ กปปส.ได้กลับไปหลบอยู่ถ้ำจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ตามฟอร์มนี้ก็ชัดเจนว่า “ตั้งใจ” จุดประทัดป่วน

แม้ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.จะรีบออกมาเบรกกระแส แถลงปฏิเสธทันควัน โดยยืนยัน พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยพูดคุย สื่อสารในลักษณะแบบส่วนตัวกับนายสุเทพ รวมทั้งการส่งข่าวใดๆ ทั้งสิ้น

แต่เรื่องของเรื่อง กระแสมันไหลไปไกลแล้ว

ที่สำคัญมันอ่อนไหวต่อความรู้สึกของสังคม โดยอารมณ์ของคนกลางๆก็เริ่มมีเครื่องหมายคำถาม ไม่ต้องพูดถึงอาการของคนขั้วตรงข้ามที่ตบโต๊ะดังฉาดใหญ่

สรุปได้เลยกับ “ทฤษฎีสมคบคิด” การร่วมมือกันโค่นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ม็อบ กปปส.เคลื่อนไหวป่วนเปิดทางให้ทหารปฏิวัติ

และแน่นอน ปฏิบัติการ “ปล่อยของ” โดยนายสุเทพ มันส่งผลเต็มๆในบรรยากาศที่ คสช.กำลังเดินยุทธศาสตร์สลายสีเสื้อ ปรองดองโดยไม่เลือกปฏิบัติ นำสังคมไทยกลับสู่ความปกติ

สถานการณ์กำลังไปด้วยดีอยู่แท้ๆ

“กำนันเทพ” ทำแสบเลยก็แล้วกัน

ในชั้นแรกเลย มันก็คือการ “เคลมชัยชนะ” เอาใจกองเชียร์ม็อบกำนันให้ครึ้มอกครึ้มใจกับผลสำเร็จของมวลมหาประชาชน กปปส.ในการโค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ล้างระบอบทักษิณ

“สุเทพ” อาศัยลูกตามน้ำ เลี้ยงกระแสกองเชียร์

แต่หากมองให้ลึกไปอีกชั้น นี่คือมุกส่ง “ใบเสร็จ” ขอเบิกค่าแรง

เพราะตามจังหวะการขยับของนายสุเทพปูดข้อมูลลับๆร้อนๆ เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง โยงกับกระแสลือกันหนาหูในหมู่คนวงในฝ่ายถืออำนาจ พูดกันเป็นทำนองว่า

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”

ภายหลังยึดอำนาจการปกครอง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมเปิดให้ทีมงาน “ลุงกำนัน” ได้เข้าร่วมในการจัดสรรอำนาจการบริหารแต่อย่างใด

แม้จะดีลผ่านคนใกล้ชิด เจาะทางไหนก็ต่อไม่ติด

แต่ที่หงุดหงิดมากก็คือ ความเชื่อที่ว่าทำไมคนฝ่ายเดียวกันแท้ๆยังโดนมาตรการเข้มข้นจากทหาร ตั้งแต่วันยึดอำนาจก็ล็อกตัวนายสุเทพและทีมงาน กปปส.ไปอยู่ในค่ายทหาร กักบริเวณรวมกับคนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง

เหนื่อยตัวเปลืองแรง เปลืองต้นทุนหน้าตัก

ควักเนื้อลงทุนเต็มที่ แต่ยังไม่มีสิ่งตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน

มันก็เป็นไปได้ ถ้าจะมีการปล่อยใบเสร็จมาทวงกันดังๆ ตั้งใจป่าว ประกาศให้รู้กันทั่วโลกเลยว่า การพลิกเกมอำนาจในประเทศไทยมีที่มาที่ไปอย่างไร ลำพังทหารทำไม่ได้เนียนขนาดนี้

ดังนั้นใครควรจะมีส่วนร่วม “แชร์อำนาจ” บ้าง

อย่างน้อยก็ต้องได้ถอนทุนคืนทั้งหมดทั้งปวง โดยปรากฏการณ์สะท้อน “มลภาวะอำนาจ” ของ คสช.

“ฟอร์มเดิม” เหตุจากการจัดสรรผล ประโยชน์ไม่ลงตัว

ทั้งๆที่ว่ากันตามเงื่อนไข ก็เข้าใจได้ในความจำเป็นของหัวหน้า คสช.ที่ต้องพยายามประคองน้ำหนัก รักษาภาพความเป็นคนกลางในการหย่าศึก

ไม่ให้ถูกจับไต๋ได้ว่าเลือกข้างอยู่ฝั่งหนึ่งฝั่งใด

เพราะนั่นหมายถึงยุทธศาสตร์ในการสร้างความปรองดองจะล้มเหลวตั้งแต่ต้น

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์มีตัวอย่างมาแล้วจากกรณีของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เดินเกมเสี่ยงในหมากอำนาจแบบหลวมๆ

รีบแชร์อำนาจเร็วเกินไป

การยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายน 2549 กลายเป็น “ปฏิวัติปราสาททราย” โดนด่าทำเสียของ สุดท้ายตัวเอง

ก็ต้องดิ้นรนตั้งพรรคการเมืองเพื่ออาศัยเอกสิทธิ์ ส.ส.เป็นเกราะกำบังกาย

กลายเป็นแพะของสถานการณ์ โทษฐานทำให้วิกฤติบ้านเมืองยิ่งเลวร้าย

สถานการณ์บังคับ “บิ๊กตู่” ต้องไม่พลาดซ้ำรอย

และอันที่จริง ว่ากันตามเนื้อผ้า ถึงนาทีนี้หัวหน้า คสช.ก็ยังไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด ตามเป้าหมายในการนำประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติสุข

ดังนั้น มันจึงมีเครื่องหมายคำถามย้อนกลับไปถึงพวกที่ปล่อยของ “เขย่า” อำนาจพิเศษ

ปล่อย “ใบเสร็จ” ทวงค่าแรงกันแต่หัววัน

ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปดูข่าวเก่าๆเมื่อ 5–6 เดือนที่แล้ว ใครที่ปากก็ป่าวประกาศต่อหน้ามวลมหาประชาชน จะยอมเสียสละทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน

สู้ตายเพื่ออนาคตของลูกหลาน เพื่อเป็นเกียรติประวัติ ของชีวิต

หรือแค่พูดให้ดูหล่อ ดูสวย หลอกใช้กองเชียร์กันแค่นั้น

ถึงเวลาก็รอรับรางวัลกันหน้าสลอน.

“ทีมการเมือง”

มานี มีแชร์แยะเลย :โปรดอย่า Ha



บทที่ ๑๐๖ : อยากมี อำนาจ เมื่อไหร่ ก็ เเวะมา


ห่วงใย แต่มันช่วยไม่ได้
เลยแถมให้ เมื่อลุงคนนี้ ไปเซเว่น ถามหาว่า
"มีคาราบาว แดงไหม"

วันอาทิตย์, มิถุนายน 29, 2557

"จักรภพ"โต้เผด็จการทหารข้อหามีอาวุธสงครามในครอบครอง ตามด้วย สภาไทยพลัดถิ่นตรวจสอบการบริหารของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.

ภาพจาก khonthaiuk.org

Saturday, 28 June 2014

คำแถลงการณ์ของนายจักรภพกรณีข้อกล่าวหาของคณะเผด็จการทหาร “ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้แบบติด “อาวุธ” ใดๆทั้งสิ้น”
ที่มา Asia Provocateur

ผมเพิ่งได้รับคำแถลงการณ์จากนายจักรภพ เพ็ญแข เลขานุการบริหารขององค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยกรณีที่เขาถูกคณะเผด็จการทหารตั้งข้อหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการครองครอง “อาวุธสงคราม” และได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของเขาและแกนนำต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยคนอื่นๆ

ข้อกล่าวหาที่คณะรัฐประหารเถื่อนไทยใช้กดดันผมในวันนี้ เผยให้เห็นความจนตรอกของเหล่านายทหารและกลุ่มอำมาตย์ที่พวกเขาทำงานรับใช้อีกครั้ง การกล่าวอ้างอันเป็นเท็จประเภทที่ว่าผมอยู่เบื้องหลัง “กลุ่มติดอาวุธ” ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นิยายเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความโข่เขลาของคณะเผด็จการทหารลวงโลก

ผมขอพูดอย่างชัดเจนว่า ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถเชื่อมโยงผมกับอาวุธที่คณะเผด็จการทหารยึดมาได้ และผมขอท้าทายให้พวกเขาแสดงหลักฐานเหล่านั้น แน่นอนว่า แม้แต่การยึดอาวุธเหล่านั้นก็มีกลิ่นของความน่าสงสัยโชยออกมา เพราะไม่มีการสอบสวนที่เป็นอิสระเรื่องการยึดอาวุธ ไม่มีการเก็บลำดับขั้นตอนหลักฐาน และข้อกล่าวหาที่คณะเผด็จการทหารหยิบยกขึ้นมานั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ และสามารถถูกหลักล้างได้อย่างง่ายดายหากถูกตรวจสอบอย่างละเอียด

กรณีที่คณะเผด็จการทหารพยายามจะ “ทำเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน” ผมในข้อหาดังกล่าว พวกเขาเองควรจะต้องรับรู้ว่าไม่มีรัฐบาลไหนในโลกใบนี้ที่จะเชื่อฟังยอมจำนนต่อคำข่มขู่ของพวกเขา เพราะผมจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงหลักฐานทั้งหมดที่พวกเขาสร้างขึ้นมา รวมถึงพื้นที่ในการท้าทายหลักฐานเหล่านั้น

และนี้คือเหตุผลที่กลไกล “ตุลาการ” เดียวที่พวกเขานำมาใช้คือการเร่งรัดดำเนินคดีด้วยข้อหาเท็จโดยการใช้ “ศาล” ทหารของพวกเขา ที่ซึ่งกระบวนการอันควรแห่งกฎหมายและหลักนิติธรรมได้ถูกทำลายลงไปนานแล้วเพื่อรองรับระบอบการปกครองเผด็จการ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าคดีความทั้งหมดที่นำขึ้นสู่ “ศาล” ทหารเกิดขึ้นในบริบทของรูปแบบระบบกฎหมายที่ไม่ต่างไปจากละครเวทีอันน่าขัน โดยปราศจากสิทธิทางกฎหมาย

และเพื่อเป็นหลักฐาน ผมขอแถลงว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นในการต่อสู้แบบ “ติดอาวุธ” ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรมโดยมีฐานมั่นที่เป็นจริงผ่านทางเจตนารมณ์ทางประชาธิปไตยของประชาชนไทย กลุ่มนายทหารและกลุ่มอำมาตย์ที่พวกเขาทำงานรับใช้ทราบอย่างดีว่าหากปล่อยให้ประชาชนไทยแสดงออกซึ่งเจตจำนงค์ประชาธิปไตยแล้ว อำนาจของพวกเขาจะสิ้นสุดลง และนำไปสู่การฟื้นฟูระบอบที่ชอบด้วยกฎหมายและหลักการรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ในเวลานี้ กองทัพและกลุ่มอำมาตย์ที่พวกเขาทำงานรับใช้คือคนกลุ่มเดียวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อต้านเจตจำนงค์ของประชาชนไทยด้วยการใช้ “อาวุธ” โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ เพราะเรามั่นใจอย่างแท้จริงว่า เมื่อประชาชนไทยได้รับสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกลับคืนมา คณะเผด็จการทหารจะกลายเป็นเพียงแค่ความผิดเพี้ยนทางประวัติศาสตร์เท่านั้น

ผมขอกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องที่คณะเผด็จการทหารเพิกถอนหนังสือเดินทางของผมว่า นี่มิใช่เป็นเพียงการกระทำกดขี่อันวิตถารเท่านั้น แต่ยังทำให้ประชาชนคนไทยที่ต่อต้านการปกครองระบอบทหารกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง การเพิกถอนดังกล่าวจะประจานให้ประชาคมโลกเห็นว่า คณะเผด็จการทหารไทยไม่ต่างไปจากกลุ่มทรราชผู้เกรี้ยวกราดที่ทำประพฤติตนนอกมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศ

เพียงแค่สองวันที่แล้ว คณะเผด็จการทหารบอกว่าไม่สนใจองค์กรเราโดยบอกว่า “ไม่มีความสำคัญ” แต่ในตอนนี้ เรากลับถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังกลุ่มกองกำลังติดอาวุธซึ่งไม่มีอยู่จริง ซ้ำยังพยายามลิดรอนสิทธิในการเดินทางของเราโดยเพิกถอนหนังสือเดินทาง การกระทำของคณะเผด็จการทหารเหล่านี้เผยให้เห็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น - ความรู้สึกไม่มั่นใจของพวกเขาที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน

เราขอให้ผู้สนับสนุนองค์กรเรายืนยัดยึดมั่นและไม่ต้องรู้สึกกังวลหรือถอดใจกับกลเกมและคำข่มขู่ของคณะเผด็จการทหาร การกระทำเดียวที่คณะเผด็จการมีคือ พยายามจะบดขยี้ความหวังและความปรารถนาของประชาชนไทยทั่วไป แต่กระนั้น การกดขี่ครั้งแล้วครั้งเล่าของคณะเผด็จการทหาร คือการตอกตะปูปิดฝาโลงของพวกเขาไปเรื่อยๆ และได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความแน่วแน่ของท่านในความพยายามทวงคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชนไทย

000

Source: Asia Provocateur 

Saturday, 28 June 2014

Jakrapob Penkair Statement on Junta's Claims - "I have no involvement in any kind of “armed” struggle".

I've just received the following statement from Jakrapob Penkair, the Executive Secretary of Organisation of Free Thais for Human Rights and Democracy (FT-HD) regarding Thailand's military regime charging him with being involved with the possession of "war weapons" and also revoking his and other pro-democracy leaders' passports. A Thai version of this statement will appear shortly.
...

"The charges levelled against me today by Thailand’s illegitimate coup regime reveal, once again, the desperation of the Generals and the Establishment they represent. The false claim that I am behind some kind of “armed element” is not only a fiction but yet another example of the injudiciousness of the fraudulent Thai junta.

Let me be clear - there is simply no evidence whatsoever to connect me to the junta’s seizure of arms and I would challenge them to produce such evidence. Of course, even the seizure of said arms has more than a whiff of suspicion about them. There has been no independent investigation regarding these arms’ seizures, no chain of evidence has been preserved and the kind of claims the junta are putting forward are so flimsy they would be washed away very quickly when subject to proper cross-examination.

As for any attempt to “extradite” me on such charges, the junta must know that no government on earth would succumb to their threats and that I would be given full access to any evidence they have concocted and also the platform to challenge such evidence. 

For the record, I must state that I have no involvement in any kind of “armed” struggle. I believe fully in a political, social and cultural struggle secured in reality by the democratic will of the Thai people. The Generals and their Establishment masters know very well that if the democratic will of the Thai people is expressed, power will be removed from them and returned to more accountable and legal forms. 

It's only two days ago our organisation was being dismissed as “irrelevant” by the junta. Now we face allegations of being behind a regime-concocted "armed struggle" along with attempts to curtail our rights to travel via the revocations of passports. These actions by the junta reveal only one thing - their increasingly obvious insecurity - something which will only grow in the days and weeks to come.

That’s why the only “judicial” vehicle they could use to expedite their false charges would be through their own military-run “courts” where due process and the rule of law have long been abolished in favour of despotism. It must be said that any and all cases coming before the military “courts” exist in the context of a form of jurisprudence that is little more than a theatre of the absurd, such is the lack of any form of legal rights.

At the moment the military and the forces they represent are the only agents engaged in any kind of illegitimate “armed” struggle against the will of the Thai people. Those who believe in democracy have no need to use force of arms as we are fully confident that the moment the franchise is returned to Thais the junta will be little more than an historical aberration. 

I should add that the revocation of passports by the junta is not only another grotesque repressive act it also turns any Thai citizen who stands against the military regime into political refugees. Such revocations will further expose to the global community that the junta are little more than petulant tyrants operating far beyond the norms of international law.

We ask our supporters to remain steadfast and not be distressed or disheartened by the junta’s threats and games. The only action the junta have available to themselves is to attempt to crush the hopes and aspirations of ordinary Thais. Yet, with each turn of the repressive screw, the junta just further seal their own fate and will strengthen your resolve to return sovereignty to the Thai people."

Thanks and Credit to
Asia Provocteur Blog

...

เรื่องไม่เกี่ยวข้องแต่เกี่ยวข้อง...

สภาไทยพลัดถิ่นตรวจสอบการบริหารของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.

โดย สุนัย จุพงศธร ผู้แทนราษฎร



ที่มา FB

สุนัย จุลพงศธร

28 มิถุนายน. 2557
----
ห้วง 1 เดือน ของรัฐบาลเผด็จการทหาร มีการย้ายปลัดกระทรวงเท่ากับ 10 ปี ของ รัฐบาลประชาธิปไตย

ผมเห็นคำสั่งคสช.ชุดล่าสุดคำสั่งที่ 77-79/2557 ย้ายข้าราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีแล้ว ก็เห็นชัดเจนว่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศไทยแล้ว !!!

ข้าราชการที่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะเผด็จการทหารในขณะนี้ บอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่ทำไปเพราะมือซ้ายคณะเผด็จการทหาร อุ้มพระบรมสาธิสลักษณ์ของในหลวง และมือขวาถือปืนเท่านั้นเอง ส่วนนายตำรวจนายทหารส่วนน้อยบางคนที่ทำงานให้คณะเผด็จการทหาร คสช.อย่างเอาเป็นเอาตาย ยอมหิ้วเด็กนักศึกษาคนเดียวที่นั่งกินแซนวิชไปโรงพักก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ ที่อยู่ในภาวะตะกละตะกราม ที่หวังจะได้ตำแหน่งสูงสุดและผลประโยชน์มหาศาลในช่วงปลายชีวิตราชการที่ใกล้จะเกษียณอายุแล้วเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง อันเรียกได้ว่า เป็นภาวะหน้ามืดจริงๆ

ทำไม คณะเผด็จการทหาร คสช. จึงหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศ?

ก็เพราะคุณประยุทธ์อ้างเช้า กลางวัน เย็น ว่าที่ยึดอำนาจล้มรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน แล้วตั้งตัวเป็นรัฐบาลเองนี้ก็เพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติ เป็นความเสียสละ ไม่มีความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวแม้แต่น้อย.....อ้าว...ถ้าอย่างนั้นการย้ายปลัดกระทรวงหมดทุกกระทรวง รวมถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับ ซี 11 ทั้งประเทศมี 36 คน มันมีเหตุผลเกี่ยวกับความสามัคคีของคนในชาติอย่างไร ?

ไหน...ช่วยตอบหน่อยซิ....ท่านประยุทธธธธธ์ ?

ยิ่งตามคำสั่งลงวันที่ 27 มิถุนายน ล่าสุดนี้ พอดูรายชื่อและตำแหน่ง อาทิเช่น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงไอซีที อธิบดีกรมศุลกากร แล้วแต่งตั้งพวกท่านเข้ารักษาการแทน

เห็นกันจะจะ คือกรณีเอานางเมธินี เทพมณี พี่สาวแท้ๆของ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร คนข้างตัวนายอภิสิทธิ์ มานั่งเป็นปลัดกระทรวงไอซีทีแทน ดร.สุรชัย ศรีสารคาม เป็นต้น

ส่วนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆนายประยุทธ์ ก็โละทิ้งหมด แล้วตั้งพวกหัวโจกที่ช่วยถือปืนเข้ายึดอำนาจ เข้าไปนั่งเป็นประธานและกรรมการรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเงินทองกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะได้สร้างระบอบซุปเปอร์บอร์ดที่ไม่เคยมีมาก่อน เข้าควบคุมผลประโยชน์ เพื่อให้เก็บเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำขึ้นอีกชั้นหนึ่ง

เห็นพฤติกรรมอดอยากปากแห้งของคณะเผด็จการทหาร คสช. เช่นนี้ ใครเห็นก็รู้ทันทีว่า ท่านและพรรคพวกกำลังจัดหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋า เพื่อเตรียมการปูทางสู่อำนาจถาวรทั้งเผด็จการเต็มรูปในระยะเบื้องต้นขณะนี้และเผด็จการจำแลงหลังจากมีรัฐธรรมนูญฉบับ "ตามใจคสช.” แล้ว โดยท่านจะเปลี่ยนชฎาทหารเป็นชฎาพลเรือน แต่เป็นชฎาสีเขียวขี้ม้า เรียกว่าจะครองอำนาจยาวแน่นอน ไม่ต่างอะไรกับ การรัฐประหารของ รสช.เมื่อปี 2534 ภายใต้การนำของ พลเอก สุจินดา คราประยูร ที่แต่งตัวใส่สูทสีเขียวขี้ม้าในนามพรรคการเมืองที่ชื่อ พรรคสามัคคีธรรม แต่แล้วความฝันของสุจินดาก็พังทลายลง ด้วยกำลังของมหาชนบนเงื่อนไขของความขัดแย้งในโครงสร้างส่วนบน

ยิ่งความเป็นจริงได้เปิดเผยจากปากของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ประจักษ์พยานในฐานะหัวหน้าใหญ่กบฏปิดกรุงเทพ ที่ยืนยันว่าได้ร่วมมือร่วมใจกับพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ในการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยแล้ว นายประยุทธก็ยิ่งหมดความชอบธรรมที่โกหกไว้กับประชาชนว่าท่านยึดอำนาจเข้ามาเป็นรัฐบาลในฐานะผู้เสียสละเสียแล้ว

เหตุการณ์กรณี สุเทพ เทือกสุบรรณ ปากสว่าง ผ่านไปหลายวันแล้ว โดยคุณประยุทธ์ให้ลูกน้องออกมาปฏิเสธข่าวว่าไม่เป็นความจริง (ประยุทธ์ไม่กล้าออกมาปฏิเสธเอง เพราะไม่กล้าสบตาสุเทพ) แต่ปรากฎว่านายประยุทธ์ ก็ไม่กล้าออกประกาศเรียกกบฏสุเทพมารายงานตัวอีกครั้งหนึ่ง เหมือนที่เคยทำมากับหลายๆคน ก็ยิ่งเห็นชัดว่านายประยุทธ์ สมคบกับคุณสุเทพ ณ ประชาธิปัตย์ สร้างสถานการณ์ขึ้น เพื่อจะใช้เป็นข้ออ้างจริงๆในการทำรัฐประหาร

นายสุเทพ มีความสกปรกทางการเมืองจากการก่อจราจล และเป็นคนบาปแห่งระบอบประชาธิปไตยฉันใด นายประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับนายสุเทพ ฉันนั้น

กระบวนการโกหกของนายสุเทพ และพรรคพวก ที่ถ่มน้ำลายทั่วกรุงเทพนานกว่า 7 เดือน ของการก่อจราจลว่าระบอบทักษิณโยกย้ายข้าราชการเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และนางสาวยิ่งลักษณ์ย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องขัดต่อหลักธรรมมาภิบาลสารพัดสารพันนั้นก็กลับกลายมาเป็นคลื่นน้ำลายโถมทับนายประยุทธ์จนสำลักตายคาเวทีการเมืองในขณะนี้

ก็จะไม่ให้นายประยุทธ์ตายทางการเมืองได้อย่างไร!!!

การย้ายข้าราชการระดับอธิบดีและปลัดกระทรวงที่นายประยุทธ์ทำเพียงเดือนเศษนี้ เมื่อเปรียบกับรัฐบาลประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ผ่านมานับรวมกันทุกรัฐบาลในเวลา 10 ปียังไม่เคยย้ายมากเท่านี้เลย!!!!

การโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงโดยเอาพวกของตัวเองเข้าไปนั่งแทนดังกล่าวข้างต้นมานั้น ไม่ใช่ทำเฉพาะระดับกระทรวงทบวงกรม เท่านั้นแต่ลามปามไปถึงหน่วยงานอิสระและหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญทั้งหมดด้วย ที่หัวหน้างานบริหารอยู่ในระดับซี 11 เสมอด้วยปลัดกระทรวง รวมทั้งสิ้น 36 ตำแหน่ง ก็เรียบวุธ จะมีเหลือก็ยกเว้นแต่องค์กรอิสระและองค์กรอำนาจสำคัญที่แต่งตั้งมาจากการรัฐประหารปี 2549 แล้ว อาทิเช่น ศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ปปช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน เท่านั้นที่ประยุทธ์มิกล้าอาจเอื้อม ก็ยิ่งเห็นชัดว่านายประยุทธ์ ลุแก่อำนาจอย่างยิ่งที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลย

ขอตั้งคำถามถึงศาลรัฐธรรมนูญขัดตาทัพหน่อยนะครับ

"ข้าแต่ศาลจะนั่งเป่าสากอีกนาน ไหมครับ?”

ยิ่งนายประยุทธ์แสดงความเหิมเกริมในการย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามสถาบันอำนาจหลัก ซึ่งถือเป็นสัญญลักษณ์เชิงอำนาจของระบอบประชาธิปไตยคือ อำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ อันได้แก่การสั่งย้ายเลขาธิการรัฐสภา อัยการสูงสุด ด้วยแล้ว ก็ยิ่งชัดแจ้งแดงแจ๋แล้วว่า ข้ออ้างของนายประยุทธ์ในวันแรกที่ถือปืนเดินเข้าทำเนียบบริหารรัฐ ว่ามาเพื่อ สละชีพเพื่อชาติ ได้กลายเป็น "สละชาติเพื่อชีพ” ไปอย่างเป็นทางการแล้ว

นายประยุทธ์ ทำอย่าง "บ้าหาญ” เช่นนี้ ก็เพื่อประกาศศักดาให้ข้าราชการทุกคนหวาดกลัวและให้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างผิดกฎหมายก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง

นายประยุทธ์ จันทร์โอชา หมดความชอบธรรมทางการเมืองที่จะปกครองประเทศแล้ว

สิ่งที่นายประยุทธ์ กำลังคิดในขณะนี้ว่า องค์การเสรีไทย จะมาล้มอำนาจของตนนั้น ผมขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่ต้องระวัง แต่สิ่งที่ต้องระวังในขณะนี้คือ “องค์กรเสรี-ถีบ" ที่พลังถีบจะมาจากคนใกล้ตัวนายประยุทธ์เอง เหมือนอย่างที่พลเอกสุจินดา คราประยูร เคยถูกถีบมาแล้วในเหตุการพฤษภาทมิฬปี 2535 หรือผู้เผด็จการทั้งหลายที่หมดความชอบธรรมที่จะครองอำนาจต่อ เคยเจอมาแล้วอย่างถ้วนหน้า คือ "การปฏิวัติซ้อน"

พูดตรงๆ อย่างนี้แล้ว หากนายประยุทธ์ ยังเมามันกับอำนาจอยู่ ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วครับ

เก็บตกภาพ และคอมเมนท์บางส่วนจากกระทู้พันทิป...เป็นไปได้ไหม ที่เราประกาศคว่ำบาตร EU, USA เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเราไม่ง้อ






ที่มา http://pantip.com/topic/32233337

Comments:

ได้เริ่มจากเลิกใช้วินโดว์เถื่อนก่อน ใช้กระดานชนวนฟรีจากท่านผู้นำแทน
แผล็บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ห้ามคนไทยออกนอกประเทศด้วย
ให้อยู่อย่างไทย กินอย่างไทย
ข้าวเราก็ปลูกเองจะกลัวอะไร
ผักหญ้าเราก็หาแถวริมรั้ว ตามถนนหนทางมีเยอะ

เรียกนักเรียนไทยที่ไปเรียนเมืองนอกกลับให้หมด
เราจะปิดประเทศถาวร....

อย่ามาประเมินความสามารถ ของท่านผู้นำ ต่ำไปนะ ถึงเราจะขายของให้ EU/USA ไม่ได้ เราก็อยู่ได้ ในน้ำมี ผัก-หญ้า-ปลา ในนา ก็มีข้าว มากมาย ประเทศเราไม่ต้องพึ่งพา เทคโนโลยี จากต่างชาติเราก็อยู่ได้ด้วย ภูมิปัญญาอันงดงามของเรามาตั้งหลายร้อย หลายพันปีมาแล้ว ดูพม่า, เกาหลีเหนือซิ เขาอยู่กันได้มั้ย คิดสิคิด เสียสละซิ ทำเพื่อชาติ ได้มั้ย เข้าใจมั้ย !!!

ขอขอบคุณคณะท่านผู้นำ เราจะเชื่อฟังท่านตลอดไป จุ๊ๆจิ๊บๆ

ผมว่า คนไทยต้อง Action จริงๆ บ้างแล้วละครับ อย่าให้อายเขมร ที่เค้าอพยพกลับจริงๆ ไ่ม่ได้โม้ ...

เราต้องแสดงความเป็นชาติไทย เราต้อง ตอบโต้ พวก EU ...
ด้วยการ ให้คนไทยทั่วโลก กลับมาอยู่ประเทศไทย เพราะเราเป็นคนไทย เรารักประเทศไทย รักแผ่นดินไทย รักภาษาไทย รักความเป็นไทย เราก็อย่าไปใช้สินค้า,ภาษา และ/หรืออยู่ในประเทศอื่นเลย

กลับมาอยู่ในประเทศไทย ปลูกข้าว ปลูกผักกินเองดีกว่า ไม่ต้องไปง้อ พวกต่างประเทศ

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราไม่ขายพวกมัน เดี่ยวก็อดตาย มาง้อเราเอง

เราคนไทย กินของไทย ใช้ของไทย อยู่บนแผ่นดินไทย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ วรรธนะสิน

ในฐานะตัว แทนของประเทศ ไทย ขอประกาศ คว่ำบาตร EU และ USA แล้วหันไปจับมือกับ เกาหลีเหนือ เพื่อพัฒนา ประเทศให้ได้ดังเกาหลีเหนือ ที่ไม่มีการขัดแย้งกันในประเทศ และ ไม่มี เน็ต เล่น จะได้ไม่ต้องมาตั้งกระทู้ แบบนี้อีกต่อไป เราจะกลับไปสร้างอาหาร กันเหมือนเมื่อก่อน งานโรงงานเลิกทำ ปิดโรงงานทั้งประเทศ ยกเลิกการขายรถยนต์ในประเทศ เพื่อเป็นการลดมลพิษให้กับประเทศ และ ประชากรในประเทศเราจะแข็งแรงและทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองได้ แล้วก็ปิด 7/11 ทั้วประเทศอีก เพื่อเป็นการ ไม่ให้ประชาชน ทั้งประเทศ สูญเงินไปกับการจับจ่ายที่สิ้นเปลืง

ส่วนทางด่วน เราจะให้ใช้ฟรีไปเลย แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องมีรถยนต์ ที่ได้ใบรับรองจากท่านผู้นำเท่านั้นถึงจะใช้ทางด่วนได้

ส่วนธนาคารให้ยุบออกให้หมด เพื่อแต่ของรัฐบาลเท่านั้น เพื่อที่ประชาชนจะได้ไม่ต้องเอาเงินไปฝากหลายธนาคาร และไม่ให้เงินรั่วไหลออกนอกประเทศ ฉะนั้น มาฝากกับรัฐบาล

ปตต. สังปิดถาวร เหลือให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่สร้างมลภาว่ะให้กับประเทศ เราจะได้ ประหยัดการใช้น้ำมัน อีก

ไฟฟ้า อาจจะงดจ่ายไฟฟ้าให้กับ บางพื้นที่ เพราะต้องปิดโรงไฟฟ้าหลายแห่ง เพื่อเป็นการลดภาระของรัฐบาล และเป็นการ ช่วยชาติ กู้ชาติ เพราะเราประหยัดไฟ โปรดอย่าลืมว่า ท่านไม่มีไฟฟ้าท่านก็ไม่ตายนะ

น้ำประปางดจ่ายน้ำ ประปาทั้งหมด อนุญาติให้ใช้บ่อน้ำที่ขุดขึ้นมาเองได้ แต่ห้ามใช้เครื่องดูดน้ำ เพราะเราจะออกกฏหมาย มาเพื่อห้ามใช้ เพราะความสบายอาจจะทำให้ประชาชนลืมพื้นฐานฃีวิต

สุดท้ายที่ดินที่อยู่อาศัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของยกเลิกโฉนด ที่ดินทุกแบบ ทุกอย่างเป็นของรัฐทั้งหมด เราจะทำการแบ่ง ให้อย่างเหมาะสมและเท่าเทียมกัน เผด็จการจงเจริญ

นี่ล้อเล่นป่าวคะ ตลกจังเลยค่ะ

Roadmap by NCPO/Prayuth

แผนที่เดินทาง หลังการยึดอำนาจ ของ คสช/ประยุทธ
ทุกอย่างจบภายใน 2558/2015 หนึ่งปีกับ 6 เดือนจากนี้ไป

ประเทศชาติ และประชาชนไทย จะได้
1. ธรรมนูญ (ชั่วคราว) ตอนนี้ ร่างเสร็จแล้ว
2. รัฐบาล ครม (ชั่วคราว) กำลังฟอร์ม
3. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (กำลังฟอร์ม)
4. สภาปฏิรูปแห่งชาติ (กำลังฟอร์ม)
5. รัฐธรรมนูญ (ฉบับถาวร จะมาจาก 3 และ 4)
6. เลือกตั้งทั่วไป (2. เป็นผู้ดูแลจัดการ)

กล่าวโดยสรุป แผนที่เดินทาง หลังการยึดอำนาจ ครั้งนี้
น่าจะ โมเดล เดียวกับของ
คณะปฏิวัติ/สฤษดิ์/ถนอม
(สมัย 2501-2511/12 กับ 2514-2516) ครับ

หมายเหตุ
ก.
"เวลา และ ปวศ จะบอกเราว่า
แผนที่เดินทาง หลังยึดอำนาจครั้งนี้
จะบังเกิดเป็นจริง หรือไม่ อย่างไร"

ข.
"มนุษย์ สร้าง ปวศ แต่ ปวศ ก็หาได้เกิด
ดังใจที่มนุษย์ปรารถนาไม่"

ค.
สฤษดิ์ เริ่ม "แผนที่เดินทาง" ของเขา
ปี 2502 เมื่อยึดอำนาจได้ อายุ 51 ปี เขามรณะเมื่ออายุ 55 ปี

ส่วน ถนอม เร่ิม "แผนที่เดินทาง" ของเขา
ปี 2514 เมื่ออายุ 60 ปี แต่เขาก็ต้องเดินทางไกลไปบอสตัน
หลังวันมหาปิติ 14 ตุลา 2516

cK@History101

http://www.bangkokpost.com/news/politics/417764/ncpo-unveils-next-step-to-poll

Justice Short Films หนูน้อยจริงจัง

 
https://www.youtube.com/watch?v=DR6HhFuOEhg

Published on Jun 4, 2014
Justice Short Films ตอน หนูน้อยจริงจัง

หนังสั้นความยุติธรรมที่สะท้อนเรื่องราวแน­วความคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมในหลากหลายแ­ง่มุม จากโครงการประกวดหนังสั้นความยุติธรรม ปี2 ภายใต้หัวข้อ ร้อยเรื่องราวความยุติธรรม จัดโดยสำนักงานกิจการยุติธรรม ไทยพีบีเอส และสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย

ท่านสามารถติดตามรับชมรายการสถานี CEO และรายการที่น่าสนใจอื่นๆของทาง Justice Channel TV ได้ที่ www.youtube.com/ojajusticetv และhttp://www.oja.go.th/new2011/Pages/ju...

หรือทางเพจ Justice Channel TV
https://www.facebook.com/pages/Justic...

....

หนูน้อยอีกคน...

2+2=5 | Two & Two - [MUST SEE] Nominated as Best Short Film of 2012 Bafta Film Awards

 
https://www.youtube.com/watch?v=EHAuGA7gqFU


ผลกระทบที่แท้จริงของการรัฐประหารในรอบ 1 เดือน - 2014 06 28 aljazeera 10 30 - 101 East

 
https://www.youtube.com/watch?v=cWuLUje39I0
...

เรื่องเกี่ยวข้อง....

คืนความจริง #1 (Resurgent Truth #1)


https://www.youtube.com/watch?v=gwHIc_usGHM


สุเทพฯไป ประยุทธ์มา .. แต่นักท่องเที่ยวไม่กลับมา...มาม่ายังอ่วม!


นับตั้งแต่ 1 มกราคม - 24 มิถุนายน 2557 สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่านสมาชิกแอตต้าลดลง 42.3% ตลาดที่ลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกงเดินทางมา 6,682 คนลดลง87.94% เวียดนามเดินทางมา 17,580 คนลดลง 81.52% ญี่ปุ่นเดินทางมา 48,436 คน ลดลง65.73% โดยเปรียบเทียบจากปีที่ผ่านมา (อ่านข่าวเต็มได้ที่:http://goo.gl/gbcGtj)

ซึ่งแม้ว่าทางเผด็จการคสช.จะออกมาพูดถึงการฟื้นความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวให้กลับมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อมั่นย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสะสมความมั่นใจที่ใช้เวลายาวนาน ไม่ได้เกิดจากแคมเปญชวนเที่ยวเพียงชั่วค่ำคืน


ภาพลักษณ์ที่เสียหายนับตั้งแต่ม๊อบ กปปส. และการส่งไม้ต่อให้ประยุทธ์ จันทร์โอชานี้ จึงเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อคนไทยนับแสนคน ที่ทำงานหาเลี้ยงชีพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างปฏิเสธไม่ได้

Credit


เรื่องเกี่ยวข้อง...

"มาม่า"รับพิษการเมืองแรงทำยอดขายต่ำสุดรอบเกือบ 10 ปี


นายสุรชัย รัตนเจียเตริฐ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจที่ผ่านมาทำให้ยอดขายมาม่าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2557 เติบโตเพียง 12% ส่งผลให้รายได้ทั้งปีจะโตเพียง 5% หรือราว 1 หมื่นล้านบาท ถือว่าต่ำที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่วนประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์สั่งตรึงราคาบะหมี่สำเร็จรูปไปจนถึงสิ้นปี 2557 นั้นบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เพราะอัตราการบริโภคบะหมี่สำเร็จรูปคนไทยอยู่ในระดับสูง

นายสุรชัยกล่าวถึงธุรกิจในต่างประเทศทั้งที่ตั้งโรงงานเพื่อผลิตในต่างประเทศและการส่งออกว่า ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,000 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของรายได้ และปี 2560 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 30% ของรายได้รวม ซึ่งมีแผนจะลงทุนสร้างโรงงาน ทั้งเป็นการร่วมหุ้นกับท้องถิ่น และซื้อกิจการในต่างประเทศ วงเงินลงทุนไม่เกิน 500 ล้านบาท

"ปัจจุบันบริษัทผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ราว 6 ล้านซองต่อวัน มีส่วนแบ่งตลาด 50% ในปีนี้บริษัทอาจมีการควบรวมกิจการด้านธุรกิจอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัท ส่วนแผนงานในอนาคตจะไม่เน้นเพิ่มศักยภาพการผลิตในประเทศแล้ว แต่จะลงทุนในต่างประเทศแทน เช่นปลายปี 2557 จะเริ่มก่อสร้างลงทุนหรือถือหุ้นโรงงานในประเทศแถบแอฟริกา และมองตลาดตะวันออกกลางไว้ด้วย จากที่ผ่านมาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศฮังการีเพื่อใช้เป็นฐานส่งสินค้าไปขายในยุโรป ขณะที่โรงงานที่บังกลาเทศเตรียมใช้เป็นฐานส่งออกไปยังอินเดีย" นายสุรชัยกล่าว

นางจันทรา บูรณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์การเมืองดีขึ้น ได้ปรับเป้ารายได้ปี 2557 เพิ่มเป็น 7% จากเดิมต้นปีประมาณไว้เพียง 5%

นางธีรดา อําพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในอีก 3 ปี บริษัทเตรียมเปิดช่องทางการจำหน่ายเครื่องสำอางใหม่ทั้งการขายในออนไลน์และการขายตรง เตรียมผลักดันแบรนด์เคเอ็มเอออกสู่ตลาดเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 10%

นายวิโรจน์ ธีรวัฒน์วาที กรรมการผู้จัดการบริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ต่อวัน ผลิตเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมในเครือ 175 เมกะวัตต์ต่อวัน ส่วนที่เหลือขายให้กับผู้ที่สนใจ ในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อขายให้ภายนอกเครือบริษัท ประมาณ 30% ซึ่งการที่ภาครัฐแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาตต่างๆ จะเป็นผลดีต่อการขยายกิจการบริษัท


ฉัตรวดี โรส อมรพัฒน์ : Disclaimer and My Conviction

ปฏิพจนสัตย์ และความเชื่อมั่นแรงกล้าของข้าพเจ้า
 
ข้าพเจ้าไม่เคยมีความประสงค์ในการยุงยงส่งเสริมให้เกิดการปลุกระดมต่อต้านกับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือกษัตริย์ของไทยรวมไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์ของพระองค์ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นผู้ให้ความสนับสนุนอย่างแรงกล้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนแล้ว ข้าพเจ้าถูกเลี้ยงดูและเจริญเติบโตขึ้นมาในฐานะของผู้สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์คนหนึ่ง ข้าพเจ้าถูกสอนให้เขียนคำกลอนและบทกวีในภาษาไทยเพื่อทำการสรรเสริญองค์กษัตริย์และสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา ข้าพเจ้ายังเคยได้รับรางวัลเป็นจำนวนหลายครั้งหลายคราจากความสามารถในการเขียนบทกลอนของข้าพเจ้า

ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ตัดความสัมพันธ์ออกไปจากสิ่งที่ข้าพเจ้ามีความเชื่อ อยู่ เพื่อนๆ ของข้าพเจ้าในประเทศไทยก็ได้ทำการคว่ำบาตรต่อข้าพเจ้า ญาติสนิทมิตรสหายของข้าพเจ้าทั้งหมดก็หลบหลีกหนีออกไปจากตัวข้าพเจ้า ใช่แล้วแหละ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ แต่ข้าพเจ้าสามารถทำอะไรกับมันได้เสียเมื่อไรเล่า.....

เมื่อข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่ในประเทศที่เป็นอิสระอย่างเช่นสหราชอาณาจักร และกลายมาเป็นประชากรของประเทศอย่างน่าภาคภูมิใจ ข้าพเจ้ามีโอกาสในการทำการวิจัย, ค้นคว้า และวิเคราะห์ในเรื่องการเมืองของประเทศไทย รวมไปถึงประวัติศาสตร์อย่างลึกละเอียดเลยทีเดียว ข้าพเจ้าพบว่า
กฎหมายอยุติธรรมและป่าเถื่อนในเรื่องของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นจะต้องถูกเลิกล้มออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถอยู่รอดอย่างภาคภูมิใจในศตวรรษที่ 21 มาตรา 112 ห้ามผู้คนมิให้ทำการแสดงความคิดเห็นใดๆ ในแง่ลบ หรือแม้แต่การวิจารณ์ด้วยความสร้างสรรค์ใดๆ แม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะมีรากฐานมาจากความจริงก็ตาม

ในทรรศนคติของข้าพเจ้า ประชาชนควรจะมีสิทธิ์ที่จะพูดคุยถึงการเลิกล้มหรือการลดจำนวนงบประมาณของทางฝ่ายวัง และการทำโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะว่าทุนการเงินเหล่านั้นมาจากภาษีของประชาชน! กลุ่มประชาชนผู้รักสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามที่จะหาโอกาสทุกวิถีทางเพื่อทำการฟ้องร้องด้วยข้อหาการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับใครต่อใคร และกับทุกๆ คนที่ทำการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใดๆ ที่อาจจะขยายหรือกล่าวเป็นนัยเกี่ยวกับภาพพจน์ที่เป็นทางลบกับทางฝ่ายสถาบันฯ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผิด! ในเวลานี้ผู้คนเป็นจำนวนมากได้ถูกกักขังอยู่ในคุกตารางทั่วทั้งประเทศไทยอย่างเป็นเวลานานโดยปราศจากความยุติธรรม!

กฎหมายฉบับนี้สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวขึ้นมาให้กับผู้คนที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่ ไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงหรือสัมผัสกับเรื่องนี้กันเลย! ไม่มีแม้แต่นักการเมือง, นักวิชาการ, ข้าราชการพลเรือน, สื่อมวลชน หรือประชาชนธรรมดาทั่วไป! เพราะว่าความน่ากลัวเรื่องการถูกจองจำในคุกตารางเป็นเวลาตั้งแต่ 3-15 ปีนั้น ยังสะท้อนฝังอยู่ในหัวสมองของพวกเขาอยู่อย่างเสมอมา ก่อให้เกิดการเซ็นเซอร์ตนเองโดยอัตโนมัติ! ดังนั้น แก่นของปัญหาเหล่านี้ก็ไม่เคยถูกแก้ไขเลย! แท้จริงแล้ว วัฒนธรรมของไทยเกี่ยวกับการได้รับการยกเว้นโทษ (Impunity) นั้นอาจจะเริ่มขึ้นมาจากมาตรา 112 นั่นเอง!

สังคมกลายเป็นประเภทแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อนิตยสารฟอร์บส์ ได้ให้ทำการจัดลำดับให้กษัตริย์ของประเทศไทยเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทุกๆ ปีของระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ครอบครัวซึ่งลำบากยากจนหลายครอบครัว ยังต้องบังคับให้เด็กเล็กๆ ลูกหลานของตนเองไปขายพวงมาลัยบนท้องถนน หรือทำงานในโรงงานต่างๆ เพียงเพื่อที่จะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเพื่อเอาชีวิตรอดได้ เด็กสาวที่เพิ่งจะเติบโตเป็นวัยรุ่นบางคนยังถูกบังคับให้กลายเป็นโสเภณีไป นี่คือความขำขันของระบบยุติธรรม!

เด็กๆ เหล่านี้ควรจะไปอยู่ในโรงเรียน! มันไม่มีโครงการที่มีประสิทธิภาพใดๆ ต่อสวัสดิการของประชาชนเลย ใช่แล้วแหละ ข้าพเจ้าเป็นเดือดเป็นแค้นและเสียใจที่ต้องใช้คำสาปแช่งอย่างรุนแรงเป็นภาษาไทยในวิดีโอคลิปของข้าพเจ้า และในตอนที่ข้าพเจ้าเขียนเป็นตัวอักษรเพื่อแสดงออกให้ทราบถึงความรู้สึก และ มันอาจจะได้รับความสนใจจากกลุ่มอำมาตย์ชนชั้นสูงก็ได้ แม้กระนั้นก็ตาม สิ่งที่อำมาตย์ชนชั้นสูงได้กระทำต่อประชาชนชาวไทยนั้นยังเลวร้ายมากกว่าการเลือกสรรต่อการใช้ภาษาคำพูดของข้าพเจ้าเสียอีก

ขอย้ำอีกครั้งว่า ข้าพเจ้าไม่เคยมีความประสงค์ที่จะยุงยงส่งเสริมให้เกิดการปลุกระดมต่อต้านกับประมุขแห่งรัฐแต่อย่างใดทั้งสิ้น

-------------------------------------------------

Disclaimer and My Conviction:

I have never had any intention of instigating revolt against the Thai monarchy or the King and his family whatsoever.

My family is a strong supporter of the Thai monarchy for several generations. I was brought up a royalist. I was taught how to write Thai poems praising the King and Queen ever since I was in grade school. I even won several awards for my poem-writing ability.

My family disowned me for what I believe in. My friends in Thailand ostracized me. My close relatives all shunned me. Yes, it is sad but what can I do...

When I live in a free country like the UK and became a proud citizen, I have a chance to research, study and analyze Thai politics and its history in depth, I found that the unjust and uncivilized law of lese majeste must be abolished as soon as possible for the monarchy to survive proudly in the 21st Century. Article 112 bans people from making any negative comments or any slight hint of constructive criticism, even if they are based on the truth.

In my opinion, people should have the right to discuss removing or reducing the royal household and propaganda budget for the monarchy, because such funds will come from taxpayers! Thai royalists will try to find every opportunity to file lese majeste charge against anyone and everyone who discusses anything that may project or imply negative image on the royals. To me, this is so wrong! Many people are unfairly serving time, due to alleged violations of Article 112, in Thai prisons throughout the country now! This is so sad as loved ones are separated without justification.

Such a law creates a climate of fear among people in all of walks of life. No one dares to touch the subject! Not the politicians, academics, civil servants, media and plain ordinary people! Because the threat of jail time from 3-15 years echoes in their mind constantly- creating automatic self-censorship! Thus the nation's core problems never get solved! Indeed Thai culture of impunity may originate from Article 112!

What kind of a society is this when Forbes magazine ranks the King of Thailand, the richest monarch in the world, every single year during the past few years, while many poor families have to force their children to sell garlands in the street or work in factories just to make ends meet. Some barely-teenage-girls are forced to be prostitutes. This is a travesty of justice!

These children should be in school! There are no effective programs of welfare for such people. Yes, I am mad and sorry for using strong local Thai curse words in my video clips and at times in my writing to express my feeling and perhaps, get attention from the elites. Nonetheless what the top elites have done to Thai people are by far, worse than my choice of language.

My apology to those who get offended.

Again, I have never had any intention to instigate revolt against the head of state.

Chatwadee Rose Amornpat
ฉัตรวดี โรส อมรพัฒน์