แก้รัฐธรรมนูญไปถึงไหน ลองมาสำรวจดูกัน ‘ไอติม’ ปธ.กรรมาธิการการเมือง สื่อสาร และการมีส่วนร่วม แจ้งว่าได้คุยนอกรอบกับ ปธ.ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นตรงกันว่าการทำประชามติเรื่องแก้ รธน. ๒ ครั้งก็พอ ไม่ต้อง ๓ ครั้งอย่างที่มี ส.ส.รัฐบาลเสนอ
นั่นเป็นเปราะเล็กๆ ที่ทำให้ใจชื้นขึ้นได้ว่า การใช้ รธน.ใหม่ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ๒๕๗๐ พอเป็นไปได้ ในเมื่อไหนๆ แนวทางนี้ก็สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาล รธน. ที่ ๔/๒๕๖๔ ดีแล้ว พริษฐ์ วัชรสินธุ บอกจะเอากรณีนี้ไปหารือวุฒิสภา ในวันที่ ๒๗ พ.ย.
แต่วุฒิสภาจะยินดีร่วมพิจารณาด้วยแค่ไหน ก็สุดจะเดา เพราะพฤติกรรม สว.สีน้ำเงินเสียงข้างมาก ออกจะเหวี่ยงไปตามอำเภอใจง่ายอยู่ ดูจากเรื่องวิธีการทำประชามติสำหรับรัฐธรรมนูญใหม่ แรกที่เดียวก็เห็นพ้องต้องกันกับสภาผู้แทนฯ
พอถึงกลางกระบวนการ เกิดเปลี่ยนใจไม่เอาการทำประชามติแบบปกติที่ใช้เสียงข้างมากธรรมดาเพื่อผ่าน ซึ่งใช้กันมาตลอดทุกครั้ง สว.สีน้ำเงินต้องการมาตรฐานสูง ให้ทำประชามติแบบสองชั้นแทน ก็บังเอิ๊นบังเอิญ มีเสียงจาก อนุทิน ชาญวีรกูล
รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจุดยืนว่า การทำประชามติต้องสองชั้น (Double majority) บอกจำเป็นเนื่องจากพอดีมีประเด็น ‘เกาะกูด’ ขึ้นมา “การเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ต่างๆ เราจึงต้องใช้ความระมัดระวัง...ให้รอบคอบ”
ทั่นรองฯ มาเห็นพ้องกับ สว.สีน้ำเงินตรงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นในการประชุมร่วมกับ ส.ส. เมื่อ ๒๗ สิงหา มติรับเสียงข้างมากชั้นเดียวท่วมท้น ๑๗๙ ต่อ ๕ ขานรับมติสภาล่างอย่างแม่นมั่น แต่แล้วมาเปลี่ยนกลางคัน จนต้องตั้งกรรมาธิการร่วมขึ้น
การตั้งกรรมาธิการฝ่ายวุฒิสภา ๑๔ คน ก็ไม่เป็นไปตามครรลองการเลือกสรรตามสัดส่วน ในองค์ประกอบ สว.๒๐๐ คน “ถ้าต้องการตัวแทน ๑๔ คน จาก สว. ๒๐๐ คน จะอยู่ที่ ๑๔.๒๘ ต่อ ๑ ตัวแทน ซึ่งเสียงข้างน้อย ๑๙ คน ก็ควรจะมี ๑ คนเป็นอย่างน้อย”
สว.เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.เสียงข้างน้อยคนหนึ่งจึงโวยวาย หลังจากที่กรรมาธิการร่วมฯ คนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์แทนกรรมาธิการฝ่าย สว.ทั้งหมดว่า จุดยืนการทำประชามติของพวกตน สว.สีน้ำเงินทั้ง ๑๔ คน ยังเป็นเสียงข้างมากสองชั้นไม่เปลี่ยน
เทวฤทธิ์ยังพูดต่อไปถึงความลำเอียงในกระบวนการทำประชามติด้วย เขาพูดถึงกฏเหล็กที่ว่าจะต้องมีคนออกมาใช้สิทธิประชามติมากกว่ากึ่งหนึ่งเสียก่อน ทำให้มีการล็อคเสียงไม่เอาประชามติไว้แล้ว ๔๐% เป็นฐาน โดยคำนวณจากพวกนอนหลับทับสิทธิ์
ในปี ๒๕๕๐ และ ๒๕๖๐ ซึ่งมีผู้ออกไปใช้สิทธิ ๕๗ และ ๕๙ เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ แสดงว่ามีผู้ไม่ใช้สิทธิ (หรือไม่เห็นด้วยกับประชามติ) ๔๐% โดยเฉพาะ รธน.๖๐ มีผู้ใช้สิทธิ ๒๖ ล้าน นั่งทับสิทธิ ๒๔ ล้าน
“คนที่อยากให้คนโหวต No ก็เพียงรณรงค์ให้คน 2 ล้านไม่ไปโหวต ก็ทำให้เสียงผู้มาใช้สิทธิเหลือ 24 ล้านคน” เท่ากับผู้ไม่ไปใช้สิทธิ เทวฤทธิ์เสนอให้เปลี่ยนเกณฑ์ผู้ไปใช้สิทธิเหลือเพียง ๑ ใน ๔ คานกับฐานเสียงในมือของฝ่ายไม่เอาประชามติ ๔๐%
ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นธรรมในด้านฐานเสียง แต่ตัวเลข ๑ ใน ๔ หรือ ๒๕% ของผู้มีสิทธิออกเสียง น่าจะทำให้คนทั่วไปมองเผินๆ แล้ว ดูน้อยเกินไปก็ได้
(https://www.facebook.com/tewarit.bus/posts/2WbiNwms8xl และ https://prachatai.com/journal/2024/11/111447)