วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 19, 2561

มีชัยสารภาพ แต่ว่า "ช้าไปหน่อยแล้วยังมาน้อยนิดเดียว" ‘too little, too late’


มีคำคมของไทยชอบใช้กันบ่อยว่า มาช้าดีกว่าไม่มาอาจนำมาใช้ด้วยมิตรจิตมิตรใจกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เนติบริกรตัวใหญ่ของคณะทหารยึดอำนาจก็ได้ แต่จะไม่ต้องตรงเท่าสำนวนฝรั่งที่ว่า ‘too little, too late’ บางทีไม่มาเสียดีกว่า เพราะว่ามาช้าไปหน่อยแล้วยังมาน้อยนิดเดียว

ปู่มีชัยไปบรรยายทางวิชาการที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เรื่องมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผล ว่าเพราะการออกกฎหมายมาใช้บังคับตะบี้ตะบันมากมายไม่ใช่เรื่องดี มีอันตราย

ผมเป็นคนหนึ่งที่ทำกฎหมายมหาศาลออกมา แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ก่อนออกกฎหมาย เอาเข้าจริงกลับสร้างความไม่เป็นธรรมอึดอัดขัดข้องต่อการดำรงชีวิตและการงาน” นายมีชัยยอมรับว่า “ประเทศไทยมีกฎหมายกว่า ๒ พันฉบับ แต่ถามว่าสงบสันติเรียบร้อยหรือไม่ คำตอบคือไม่ นับวันยิ่งแย่ขึ้น”

พร้อมกับสารภาพว่า “การออกกฎหมายจำนวนมากจึงไม่ใช่ของดี วันนึงผมก็สำนึกบาป กฎหมายที่ออกไปไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะมันจะไปตกในมือคนที่ใช้ระบบพรรคพวกตามวัฒนธรรมแบบไทยๆ” แต่ เอ ก็ปู่นี่มิใช่หรือที่เคยบอกว่าต้องเขียน กม.ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยไง

ปู่โสมเฝ้ารัฐธรรมนูญ คสช. ยังอ้างอิงหลักปรัชญากรีกโบราณด้วยว่า “อันกฎหมายก็เสมือนใยแมงมุม คอยขยุ้มแมงตัวน้อยไม่ปล่อยหนี แต่แมงตัวใหญ่ผ่านไปได้ทุกที” นายมีชัยจึงเสนอทางแก้ไข “ต้องทำให้กฎหมายเหลือน้อยให้ได้”


นี่ละจึงเข้าไคล้ที่ว่า มาบอกอะไรตอนนี้ ตอนที่แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะกฎหมายหลักที่ปู่เขียนตามใจ คสช. คือรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ นั่นระบุไว้ไม่ให้แก้ ซ้ำร้ายวางหมากเอาไว้เพื่อให้ คสช. อยู่ยาว แล้วจะเอาโอกาสไหนล่ะไปทำให้กฎหมายเหลือน้อยได้

จำกันได้ใช่ไหม ตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการรับรองประชามติเมื่อ กันยา ๕๙ มีข้อถกเถียงกันมากว่า การกำหนดให้ สว.มาจากการแต่งตั้ง และมีอำนาจร่วมโหวตในการอนุมัตินายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ครั้นเมื่อนักข่าวตั้งข้อสังเกตุว่า อย่างนี้ สว.ก็เป็นตัวแปรสำคัญในการทำให้ คสช.กลับมาครองเมืองใหม่อีกครั้งได้ นายวิษณุ เครืองาม ตอบนักข่าวว่า ก็เป็นไปได้ “จะทำให้ได้นายกฯ คนนอก และอยู่ยาวถึง ๘ ปี”


ดังจะเห็นพวกตัวใหญ่ๆ คสช. เดี๋ยวนี้ชอบอ้างกฎหมายกันติดปาก เพราะกฎหมายมากมายที่นายมีชัยเองเป็นหัวหอกร่างออกมา เอื้อประโยชน์แก่ คสช. บานตะไท ดูจากที่ บิ๊กป้อม ตัวใหญ่ คสช. คนหนึ่งเอ่ยถึงความได้เปรียบของนายทหารใหญ่ต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
 
“ทำไงได้ ปปช.ให้ ผบ.เหล่าทัพ บิ๊กๆ แสดงบัญชีทรัพย์สิน” เฉพาะกับ ปปช. เท่านั้น นายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับผบ.หน่วย เจ้ากรม “ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ”

หรือกระทั่งกฏบัตรกฎหมายที่ให้ต้องมีการเกณฑ์ทหารทุกปี ทั้งที่ประเทศไม่ได้มีศึกสงครามหรือมีทีท่าจะมีมาหลายสิบปี ทำให้มี ไอ้เณร กองเกินเหลือเฟือให้แจกจ่ายไปทำงานตามบ้านนายทหารยศนายพันขึ้นไป ทำหน้าที่กวาดถู ซักล้าง เยี่ยงทาส

จนมีเหตุให้ทหารเกณฑ์หลายรายต้องออกมาเปิดโปง ร้องเรียน เป็นข่าวอื้อฉาวไม่หยุดหย่อน มีทั้งคลิปมีโพสต์ฟ้องและประจานต่อสังคม แต่แล้วคำแก้ตัวที่มาจากพี่ใหญ่รองหัวหน้า คสช. ฝ่ายกลาโหมและพิทักษ์สันติราษฎร์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่าไม่มี้ไม่มี เลิกแล้วเรื่องส่งทหารเกณฑ์ไปเป็นคนรับใช้ในบ้านนายทหาร มีแต่การขอยืมตัวกันไปเท่านั้น เจ้าตัวพร้อมใจถึงไป

ชั่วช้ากว่านั้น นอกจากนายทหารขอยืมตัวไอ้เณรไปเป็นคนใช้ คอยซักกางเกงในนายหญิงและเลี้ยงไก่แล้ว ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่งทหารเกณฑ์ไปเป็นขี้ข้า ทำงานบ้านให้กับหมอดูคู่กรรมของ คสช. อีกด้วย ดังที่เว็บเพจ CSI LA เปิดโปง

มีน้องอดีตทหารทหารเกณฑ์รับใช้บ้านโหรคสช.เขียนมาเล่าให้ฟังครับ ทหารปลูกผัก ทหารเลี้ยงวัว จับไม้กวาดไม่ได้จับปืน...เป็นพลทหารผลัด ๑/๒๕๕๒ เข้าประจำที่ค่ายพิชิตปรีชากรที่อำเภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่”
 
ถูกส่งตัวไปอยู่บ้านนาย แต่เป็นบ้านของโหรวารินทร์ หมอดูประดับบารมี คสช. ที่หมู่บ้านสุขิโต อ.แม่ริม “มีที่ไหน ยืมตัว ส่งรายชื่อไปเลย ว่าคนนี้ คนนี้ คนนี้ไปไหน อยู่ไหน ที่เป้นข่าวทหารเลี้ยงไก่ สบายกว่าพวกผมเยอะ” โพสต์ของไอ้เณรคนหนึ่งเล่า

งานประจำ “ติ่น ๖ โมง กวาดรอบบ้าน เสร็จกินข้าว ๘ โมงทำงาน รดน้ำตัดหญ้า ทำความสะอาด เที่ยงกินข้าว บ่ายทำต่อ ยันเย็น กลางคืนผลัดกันเข้าเวร แบบนี้วนไป เฝ้าประตู เป็นยามไงคับพี่”