วันจันทร์, กรกฎาคม 23, 2561

ทั้ง 'กอดคอ' ทั้ง 'ดูดดะ' ก็ยังเห็นทีจะ 'ขายไม่ออก' สามหมู่บ้านขอคืนงบฯ ไทยนิยมยั่งยืน


มันใช้เวลาไม่นานพฤติการณ์แห่งนิสัยซ้ำซาก (ส.ด.) ก็ปรากฏ ปฏิเสธอยู่หลัดๆ ว่ามาเริ่มตั้งพรรคนี้เพื่อมวลมหาประชาชนจะได้มีส่วนร่วมทางการเมืองกันอีก ตนเองไม่ขอรับตำแหน่งบริหารใดๆ และจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยซ้ำไป

แต่การกระทำก็คือผู้บงการหัวหน้าพรรค กับเจ้าของพรรคตัวจริง

คำพูดก็อย่าง การกระทำอีกอย่าง ใครจะว่าตระบัดสัตย์ ตอแหล หรือแค่วาทกรรม ไม่สำคัญ แต่การลงพื้นที่อีสานย่านทุ่งกุลาร้องไห้ของสุเทือกกับ (ลูก) น้องๆ นั่นก็คือปูพื้นหาฐานคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้ง และร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่หวังไว้ในปีหน้า

พรรค รปช. หรือ รวมพลังประชาชาติไทยที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เคยพูดไว้ตอนเริ่มก่อตั้งว่าเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี (แบบ คนนอก) เพื่อที่คณะยึดอำนาจได้ครองเมืองต่ออีกสี่ซ้าห้าปีหลังจากมีการเลือกตั้ง

แต่เดี๋ยวนี้เห็นทีจะเปลี่ยนแผนมาเป็นนายกฯ คนในแทน เมื่อสามแกนนำ สุเทือก-เอนก-ยะใส ไปอุ้มสมขอ กอดคอ ต่อสู้เคียงข้างกันกับชาวบุรีรัมย์ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด ที่เพจ ติ่งการเมือง เก็บภาพมาลงไว้ แล้ว Thanapol Eawsakul เอาไปแซวว่า
 
“แค่ผ้าขาวม้าก็วัดเรทติ้งแล้วว่า ใครคือตัวจริง ใครคือตัวประกอบ จากซ้ายไปขวา ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (ลำปาง) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (สุราษฎร์ธานี) ดร.สุริยะใส กตะศิลา (ศรีสะเกษ)”

ไม่รู้ว่าพรรคของสุเทือก-เอนก-ยะใส จะ ฟังเสียงประชาชนและ “ฟังประชาชน ประชาชนเป็นคนคิด นักการเมืองเป็นคนทำให้สำเร็จตามเจตนารมณ์ของประชาชน” โดยไม่อ้าง มวลมหา ได้แค่ไหนอย่างที่สร้างสโลแกนขึ้นใหม่ใช้หาเสียง

นั่นเป็นแผนการณ์สองง่ามควบคู่ไปกับกิจกรรม ดูดดะ ของฝ่ายเทคโนแครทลิ่วล้อ คสช. ซึ่งอิงอ้างงบประมาณมหาศาลของรัฐสร้างโครงการมเหาฬาร ไว้เป็นผลงานต่อเนื่องครองเมืองสมัยหน้า แล้วขนานนามตนเองให้ดูดีว่าพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การจัดตั้งของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

พรรคนี้เป็นอดีตนักการเมืองที่กระโดดหนีตีจาก เมื่อ ระบอบทักษิณ พ่ายแพ้ เรียกพวกตนเองว่า สามมิตร นอกจากสมคิดแล้วก็มี สมศักดิ์ เทพสุทิน แห่งกลุ่มมฌิมา และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหอกปฏิบัติการสร้างฐานหัวคะแนนจากการดูด

ซึ่งดูเหมือนจะดูดออกก็แต่อาจมที่อยู่บนๆ ต้นท่อ แต่ดูดไม่ได้ไม่ถึงส่วนที่ตกผลึกย่อยสลายกลายเป็นเนื้อนาดินไปแล้ว ดังกรณีอดีต ส.ส.อำนาจเจริญ พรรคเพื่อไทย สมหญิง บัวบุตร ผู้เปิดโปงว่า “ที่ผ่านมามีคนติดต่อทาบทามให้ย้ายไปอยู่พรรคใหญ่ ๒ พรรค เพื่อแลกกับคดีความ ถ้าหากย้ายไปก็จะไม่มีคดีติดตัว”

รายนี้เป็นประธานสตรีจังหวัดอำนาจเจริญ พูดพาดพิงในโอกาสการลงพื้นที่ของประยุทธ์และคณะ “ไปดูงานและพบปะประชาชนที่ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ บ้านหนองเม็ก ต.นาแต้ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ” ว่าจะไม่ไปต้อนรับคณะของประยุทธ์อย่างแน่นอน

“ตนมีความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยไม่เสื่อมคลาย และมีจุดยืนยืนชัดเจนที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อไป” จึงได้ “ปฏิเสธและกล่าวขอบคุณที่หวังดี” ต่อการทาบทามนั้น และถึงแม้ “บางคนอาจไม่ใช่เสื้อแดงจริง ถ้าเสื้อแดงแท้ จะมีอุดมการณ์รักประชาธิปไตยอย่างเหนียวแน่น”


ขณะที่แผนการณ์ พลังประชารัฐก็ชักจะขายไม่ออกเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ในมิติของ โครงการไทยนิยมยั่งยืนที่มุ่งสร้างฐานเสียงจากนโยบายที่ตั้งชื่อไว้โคตรนาฏกรรมว่า ท่องเที่ยวชุมชน โอท้อปนวัตวิถี

ในเมื่อมี ๓ หมู่บ้านของจังหวัดพิษณุโลกประกาศขอคืนงบประมาณ ๒.๘ ล้านบาทกลับเข้าคลัง เพราะว่าโครงการที่รัฐบาล คสช.ยัดให้ “ไม่ตรงกับความต้องการของชาวบ้าน” เนื่องจากมีแต่การ อบรมสัมมนาและฝึกพัฒนาอันเป็นนามธรรม แทนที่จะให้ รูปธรรมซึ่งจำเป็น

เรื่องนี้พวกผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชน ๓ หมู่บ้าน ประชากรรวมกันราว ๔ พันคน ประชุมกันแล้วเห็นพ้องว่าขอไม่เอาดีกว่า ในเมื่อสิ่งที่ต้องการเป็น คือ หนึ่ง สร้างศูนย์การเรียนรู้ศาสตร์ของพระราชา สอง ต้องการให้ทำการปรับปรุงถนน

“เพียงซื้อหินคลุกไปพัฒนาตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อรับนักท่องเที่ยวทั้งหน้าฝนและหน้าแล้งให้ได้” และสาม “สร้างห้องน้ำห้องส้วมตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ เนินสองเต้าและแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ” เท่านั้นพอ ยังไม่ต้องอบรมอะไร


ไหมล่ะ นโยบายลอกเขามา แผนงานสักแต่ว่า ลงไป ทำได้ไม่ได้แค่ไหนไม่รู้ให้เห็น นามธรรมเอางบฯ ออกมาก่อน ตามหลักวิชาการสำนัก จปร. เหมือนตอนซื้อเรือเหาะ ซื้อแท่งตรวจระเบิด

แล้วกำลังเตรียมการซื้อเรือดำน้ำ ซื้อดาวเทียมไว้สอดแนม (จะได้รู้ล่วงหน้าว่าแม้วดอดไปซื้อกางเกงยีนลดครึ่งราคาร้านไหน หรือไปกินไอติมคลายร้อนที่ประเทศใด มั้ง)