วันจันทร์, มิถุนายน 18, 2561

"ผมปีนี้ ๖๙ แล้ว" ทักษิณเปรย "ยังมีเวลาอีกตั้ง ๒๓ ปี รอได้สบายมาก"

“ผมปีนี้ ๖๙ แล้ว ผมดูแก่ไหมหมอ” เป็นคำถามชวนสนทนากับ นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล อดีตแกนนำเสื้อแดงราชบุรี ที่พาครอบครัวไปพักผ่อนในกรุงลอนดอน แล้วได้พบกับสองพี่น้องตระกูลชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา

หมอพงษ์ศักดิ์เขียนเล่าว่า “ท่านถาม ผมตอบไปว่า ก็ just a little นะครับ 5555 แต่ท่านยังแข็งแรงดี ดูดีกว่าคนวัยเดียวกันอีกมาก” ทำให้ได้รับการตอบกลับ

“มหาเธร์ ๙๒ ปี ประชาชนมาเลเซียยังเลือกให้กลับมาทำงาน ผมยังมีเวลาอีกตั้ง ๒๓ ปี รอได้สบายมาก...”

คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า นี่เป็นคำประกาศในกลางปี ๖๑ จาก ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเร่ร่อนทำธุรกิจเป็นเศรษฐีอยู่ต่างประเทศกว่าสิบปี หลังจากถูกยึดอำนาจ ยึดทรัพย์ และโดนข้อหาคดีความต่างๆ นานา ก่อนจะถึงการเลือกตั้งตามโร้ดแม็พ คสช. ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ล่าสุดถ้าจะเป็นจริงตามที่มีชัย ฤชุพันธุ์ คาดการณ์ ก็คงเมษา ๖๒ ถ้าไม่ยืดออกไปอีกคงย้อนมาหากุมภา ๖๒ ของการเลื่อนครั้งที่ห้า

ตอนปลายของข้อความบนเฟชบุ๊คที่ค่อนข้างจะยาว เล่าถึงการรับประทานอาหาร (อีตาเลี่ยน) ร่วมกับสองอดีตนายกฯ หมอพงษ์ศักดิ์ยังแถมอีกว่า “สุดท้าย...ก่อนแยกกันผมเรียนท่านนายกทักษิณและท่านนายกปู ว่า ประชาชนรอท่านนะครับ วันดีๆ จะต้องมาถึง ท่านนายกทักษิณยิ้มและว่า “ผมรอได้”


ดังนั้น ไม่ว่าข่าวคราวเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยขณะนี้จะเป็นเช่นไร คำพูดของทักษิณจากการบอกเล่าของหมอพงษ์ศักดิ์นี้ เป็นเครื่องยืนยันแก่สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนว่า ยังมีเงาตระหง่านของทักษิณคุ้มอยู่
 
(มติชนเพิ่งรายงานเรื่องการขัดแย้งปีนเกลียวระหว่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ตัวเต็งตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนต่อไป ด้วยการสนับสนุนของคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ กับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ซึ่งมีบทบาทเข้มข้นช่วงปีที่ผ่านมา ในการ อัด คสช.รายวัน

จนเป็นข่าวลือว่าคุณหญิงหน่อยเกิดความอิดหนา คิดจะ “ลาออกไปตั้งพรรคใหม่” แม้นว่าแกนนำเพื่อไทยบางคนยังยืนยันว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่คิดไปไหน จะปักหลักกับเพื่อไทยเช่นนี้ และข่าวไม่ดีนั้นเป็นเพียงเสียงวิพากษ์จากคนภายนอกเท่านั้น


ในภาวะการณ์ที่เกิดเสียงเรียกร้องกระหึ่มไม่ว่าฝ่ายไม่เอา คสช. มาแต่ไหนแต่ไร และฝ่ายที่ผิดหวังจากการเป็นนั่งร้านให้คณะรัฐประหาร ต่างต้องการเลือกตั้งตามกำหนด ไม่เห็นด้วยถ้า คสช.จะถ่างโร้ดแม็พออกไปอีก ผลงานของอดีตนายกฯ กลับมาโผล่ให้เห็นบ่อยๆ ตามสื่อสังคม เลยไปถึงในสื่อสายหลัก

คอลัมน์ ข่าวข้นคนเข้ม ของหนังสือพิมพ์ข่าวสดเมื่อวันวานเขียนถึงความสำเร็จในการประชุม ACMECS หรือ Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy -ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่น้ำโขง ครั้งที่ ๘ ว่า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวขบวนอำนาจในฐานะเจ้าภาพ หน้าบาน” แต่คนจำนวนมากไม่รู้ว่า ACMECS เป็นมาอย่างไร ซึ่งข้อเท็จจริงจากเว็บไซ้ท์ต่างๆ ของทางการ “ระบุไว้ว่า

ACMECS เกิดจากแนวคิดทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นนายกฯ หยิบยกขึ้นหารือกับผู้นำกัมพูชา ลาว และพม่า ช่วงการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษว่าด้วยโรค SARS เมื่อ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๖ ที่กรุงเทพฯ”


จึงเชื่อได้ว่าตลอดสิบกว่าปีที่ทักษิณถูกขับออกไป ความนิยมในการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาไม่ได้เหือดหายไปแม้แต่น้อย อาจจะเพิ่มยิ่งขึ้นหลังจากคณะทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วครองอำนาจอย่างกระชับและต่อเนื่องถึงสี่ปี

เท่ากับว่าเพราะ คสช. นี่เองทำให้ชื่อเสียงทักษิณกลับมารุ่งพุ่งแรงอีก เพราะคนเห็นข้อแตกต่าง มีตัวอย่างจะจะเฉพาะหน้าให้เปรียบเทียบ ดูจากที่ขณะนี้ราคาสับปะรดตกต่ำเหลือแค่กิดลกรัมละ ๘๐ สตางค์ เป็นตัวอย่าง มิพึงต้องพูดถึงราคายาง ๓ กิโลร้อยยังได้
 
ข่าวช่อง 8 on Saturday, Jun 17 แจ้งว่า “แม่ค้าสับปะรดในจังหวัดลำปางต่างนำสับปะรดมาวางขายริมถนนสำคัญ ที่มุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ - กรุงเทพ ลดแลกแจกแถม หลังโรงงานรับซื้อสับปะรดแค่กิโลกรัมละ ๘๐ สตางค์ จนเกษตรกรทนไม่ไหวต้องนำมาวางขายริมถนนกันเอง เหลือเพียงลูกละ ๗ บาท ๓ ลูก ๒๐ บาท”

อีกทั้งข้อเขียนของ Wudhichai Maitreesophone ซึ่งระบุว่าราคาสับปะรดตกสุดขีดเป็นผลต่อเนื่องมาจากการยึดอำนาจของทหาร ทำให้ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องย้ายฐานการผลิตไปอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์


มิใยในทางการเมือง อดีตนายกฯ พระราชทาน คนสำคัญของ ฝ่ายอำมาตย์นายอานันท์ ปันยารชุน จะออกมาเรียกร้องให้นักการเมืองรุ่นสูงวัย วางมือกันเสียทีเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนอย่างเต็มที่ แต่ปรากฏการณ์ในมาเลเซียจากชัยชนะเลือกตั้งของมหาเธร์ ทำให้การหวนหาอดีตนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ เป้นประเด็นขึ้นมาใหม่

ทักษิณไปร่ำรวยในหลายประเทศ ล่าสุดประกอบกิจการด้าน bio-technology อันเป็นธุรกิจทันสมัยที่กำลังจะยิ่งใหญ่ไล่หลัง computer technology หากเขาจะกลับมานำประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ศตวรรษที่ ๒๑ น่าจะไปได้ดีกว่าทหารที่อ้างเป็นนักการเมือง นำประเทศไปสู่รุ่น ๔.๐

ยิ่งถ้าได้ร่วมมือกับคนรุ่นใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ประสพความสำเร็จอย่างสูงเด่นด้านเทคโนโลยี่รถไฟฟ้า (ไม่ใช่พรรคปฏิรูปศาสนาด้วยข้อมูลกูเกิ้ล ซึ่งอดีตนายกฯ พระราชทาน เรียกหา) ละก็

คสช. ๔.๐ หรือจะเทียบ ทักษิณ ๔.๐ บวก ธนาธร ๐.๑