วันเสาร์, พฤษภาคม 26, 2561

จาก ‘คิว’ ของสุวิทย์ ‘ติดคุก’ มาถึง ‘ผิดคิว’ ของสุเทือก ‘ตั้งพรรค’ มันเป็นความ ‘ไม่แน่เหมือนแช่แป้ง’ ของ คสช.

‘So far’-ล่าสุด แรงกระเพื่อมจากการบุกจับกุมและจับสึก อดีตพระสุวิทย์วัดอ้อน้อย มีเห็บกระโดดตัวเดียว นอกนั้นเป็นหนอนออกมาคลานกันยั๊วเยี๊ยะ

นักข่าวถามถึงรูป (ที่เขาแชร์กันมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งโผล่ตอนนี้) ที่มีทีม ๓ ป. ณ คสช. ครบเซ็ท คุกเข่ารับการเจิมหน้าผากจาก พุทธะอิสระ (ฉายาขณะนั้น)

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รองหัวหน้า คสช. คนที่สอง ตอบว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นนานมากแล้ว...ไปร่วมงานบุญ เท่านั้น” ทุกคน รวมทั้งตนก็เสียใจ

ครั้นนักข่าวถามยันอีกว่า ก็ไหนใครๆ พูดกันขรมว่าทั้งสาม ป. สนิทสนมกันดีกับพระสุวิทย์ล่ะ ทั่นรองฯ ป็อกเด้งทันที “แล้วรัฐบาลไหนจับ” แต่ไม่บอกใครสั่ง

ส่วนพวกศานุศิษย์ทั้งหลายออกมาโอดครวญและแสดงอารมณ์ขึ้งกันระงม ทั้งไพบูลย์ เนติตะวัน อัญชะลี ไพรีรัก ชัย ราชวัตร เหรียญทอง แน่นหนา ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา และกนก รัตน์วงศ์สกุล
 
พวกสดุดีก็มีไพบูลย์ เหรียญทอง และชัย พวกโวยวายทำงี้ได้ไง “พระห่มผ้าเหลืองโดนกระทำมากเกินไป” (ปีย์) “ทำเกินเลย หยาบคาย เลวทราม ต่ำช้า สถุล กับพระรูปหนึ่ง นายกรัฐมนตรีต้องมีคำตอบ” (อี๊ปอง)

และ “นึกว่า...จู่โจมเข้าจับมหาโจรวายร้ายฆาตกรที่ไหน...ต้องกระโชกโฮกฮากขนาดนี้เลยเหรอ” (กนกลิ้นทอง)


สำหรับรายกนกนั่นได้รับเกียรติจาก ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เขียนตอบเป็นฉากๆ โดยเฉพาะที่กนกตั้งข้อกังขาทำไมจับพระอีกสามรูปไล่เรี่ยกันไม่เห็นโอกฮากแบบนี้

โถ … ถามไปได้ พระอีกสามรูปเขาเคยไปนำม็อบ ถือ ว. มีลูกน้องพกปืนเอวตุง รุมกระทืบตำรวจสันติบาลจนปางตาย ปล้นทรัพย์ ปิดล้อมถนน สร้างความวุ่นวาย และแอบอ้างสร้างพระ หรือเปล่า” ชูวิทย์ย้อน

“สงสัยเสียเยอะแยะ ไม่เห็นสงสัยเลยว่าทำไมนายสุวิทย์บวชแล้วทำตัวไม่เหมือนพระ...อ้อ ผมลืมบอกไป อดีตพระที่ไปติดคุก เรือนจำจะให้เป็นผู้นำสวด ตอนพระสุวิทย์อยู่ข้างนอกคงไม่ได้สวด กิจของสงฆ์อาจลืมเลือน มัวแต่ไปปั่นหัวญาติโยมเรื่องการเมืองเลยลืมบทสวดไปแล้วก็ได้”


ดูแล้วคดีนี้ไม่ง่ายเหมือนคดี กปปส. ทั้งหลาย โดยเฉพาะถ้าเป็นไปตามที่ นพเก้า คงสุวรรณ ผู้สื่อข่าว ข่าวสดทวี้ตไว้

“พุทธะอิสระ อ่วมอีก! เจออีกคดี ม.๑๑๒ แอบอ้างใช้พระปรมาภิไธย ภปร. และ ส.ก. กรณีสร้างพระเครื่องพระนาคปรก รุ่นหนึ่งในปฐพี — at ศาลอาญา@รัชดา

แม้นว่าทนายของสุวิทย์จะแฉไต๋ สุวิทย์เตรียมรับสารภาพในข้อหาปลอมแปลงและใช้พระปรมาภิไธยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อ้างว่า

“ได้อัญเชิญมาใช้จริงแต่ไม่ได้มีเจตนาล่วงละเมิดหรือลบหลู่” เช่นนั้นน่าจะได้รับโทษครึ่งหนึ่งของระวางการลงทัณฑ์ซึ่งกฎหมายกำหนดสูงสุด ๑๕ ปี เมื่อมีการดำเนินคดีในความผิด ม.๑๑๒


ทั้งที่ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย จะมีพลิกล็อค แกะล็อค หรือว่ากดล็อคกันแน่ เสียงซุบซิบออนไลน์ไปไกลถึง คิว สุเทือกเข้าให้แล้วนั่น ขณะที่เจ้าตัวเต้นฟุตเวิ้ร์คสลับขาสบัดลิ้นล่อหลอกเป็นพัลวัน
 
หลังจากแถลงไม่รู้ ไม่เกี่ยว ไม่ใช่ตัวตั้งตัวตีจดแจ้งพรรค กปปส. ก็มีการเคลื่อนไหวฝุ่นคลุ้งจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยกัน พรรคนี้ได้ก่อรูปเป็นร่างขึ้นมาทันใด ภายใต้การดำเนินงานของนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทนายความของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั่นเอง

ทั้งที่ยืนกรานไม่ใช่ “นอมินีของนายสุเทพ” ก็ยอมรับว่าได้รับคำปรึกษาจากหัวโจก มวลมหาประชาชน ซึ่งจะเชิญมาเป็นสมาชิกพรรค แต่ไม่เป็นผู้บริหารพรรค

ทว่านายสังคิต พิริยะรังสรรค์ อีกหนึ่งกำลังสำคัญของพรรคนี้กลับหลุดปากบอกบีบีซีไทยว่า “นายสุเทพคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง และใช้ฐานมวลชน กปปส. นับล้านคนเป็นฐานเสียง”

เช่นเดียวกับ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งเคยเป็นข่าวว่าถูกหมายตัวเป็นหัวหน้าพรรค แต่ไม่ปรากฏชื่อในการแถลงจัดตั้งพรรค โพสต์ข้อความปฏิเสธมาจากปักกิ่งขณะนำทัวร์ท่องจีนว่า “ยังไม่มีใครตั้ง ไม่มีใครทาบทาม ผมเป็นหัวหน้าพรรค และผมก็ไม่ได้ตั้งตนเอง”
 
แต่เอนกก็ยอมรับว่าไปร่วมประชุมวางแผนงานการจัดตั้งพรรคนี้ แต่ก็ “ไม่ได้เริ่มต้นว่าจะเอาใครเป็นนายก ฯ และพรรคนี้จะไม่เริ่มจากประเด็นว่าจะสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหรือไม่? นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก”

แต่เอนกก็สาธยายสรรพคุณของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่อ้างว่าจะเป็นพรรคแบบทางเลือกที่สาม “ก้าวข้ามความขัดแย้งเรื่องเหลืองกับแดง ไม่ได้เป็นพวกเป่านกหวีด หรือ พวกต่อต้านนกหวีด” แข่งกับพรรคอนาคตใหม่ของธนาธร-ปิยบุตร ว่างั้นเถอะ


จาก คิว ของสุวิทย์ ติดคุก มาถึง ผิดคิว ของสุเทือก ตั้งพรรคมันเป็นความ ไม่แน่เหมือนแช่แป้ง ของ คสช. ในช่วงหัวต่อแห่งการ (พยายาม) อยู่ยาวและสืบทอดอำนาจ

อีกไม่ถึงเดือนจะได้กำหนดศาลฎีกามีหมายนัดฟังคำพิพากษาในคดี “ที่นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ และกลุ่มพลเมืองโต้กลับรวม ๑๕ คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กับพวกรวม ๕ คน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๓ ฐานเป็นกบฏ”
 
คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า “การกระทำใด ๆ ของ คสช.ย่อมถูกต้องตามกฎหมาย” จึงไม่รับฟ้องแล้วนั้น คำร้องอุทธรณ์แย้งว่า การออกกฎหมายของ คสช. (มาตรา ๔๗ และ ๔๘) เพื่อแก้ความผิดให้แก่ตนเอง “ขัดต่อหลักประชาธิปไตย”

ศาลฎีกามีพันธะที่จะต้องสร้างความกระจ่างให้เป็นที่สุดเสียที จะผลักภาระอย่างสองศาลชั้นล่างอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ทั้งที่ความเห็นส่วนใหญ่รายล้อมคดีนี้โน้มไปในทางที่ ศาลสูงสุดของประเทศจะยังคงอุ้มสมรัฐบาลทหารต่อไป

นั่นยิ่งจะขมวดปมความไม่ชอบธรรมในนิติธรรม (Rule of Law) เช่นเดียวกับการผิดเพี้ยนต่อนิติรัฐ (Governance) หนักเข้าไปอีก ขั้นต่อจากนี้จะมีแต่ความล้มเหลวในทางปกครอง (Failed State) รอจะปรากฏในอีกไม่ช้า เท่านั้น