วันพุธ, มีนาคม 21, 2561

บทสัมภาษณ์ที่อาจเป็นเหตุให้สมชัยโดน ม.44 ... ก่อนเซ็ตซีโร่ กกต.”ไม่มีใครสั่งผมได้” : สมชัย ศรีสุทธิยากร




จริงๆ แล้ว เขาอาจจะต้องการเอาผมออกคนเดียว แต่ไม่รู้จะเอาออกอย่างไร


คิดว่าเพราะอะไร

พูดตามตรงคือผมสั่งไม่ได้ ไม่มีใครสั่งผมได้ หลายคนอยากให้เงียบๆ แต่ก็สั่งผมไม่ได้ใช่ไหม (หัวเราะ)

ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ปรารถนาจะอยู่ในอำนาจต่อ ก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องมากังวลอะไร แต่ถ้าปรารถนาอยู่ในอำนาจต่อ แปลว่ามันต้องใช้กลไกของ กกต.ในการจัดการบางเรื่อง จึงต้องการคนของ กกต.ที่สั่งการได้ ใช่ไหม

...

ก่อนเซ็ตซีโร่ กกต.”ไม่มีใครสั่งผมได้” : สมชัย ศรีสุทธิยากร


Mar 19, 2018
ธิติ มีแต้ม เรื่องและภาพ
เวป 101

ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์



คุณกล้าเห็นแย้งกับ คสช. ?

ใน กกต. ผมพูดได้เลยว่ามีผมคนเดียวเท่านั้นที่กล้าพูดต่อสังคมว่าใส่เสื้อโหวตโนไม่ผิด ใบปลิวไม่ผิด อภิปรายไม่ผิด ตราบใดก็ตามที่ไม่ใช่การปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวาย ตราบใดก็ตามที่ไม่มีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ อะไรก็ตามที่ไม่ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายก้าวร้าวรุนแรง

ถ้ามองในจังหวะเวลานั้นผมคิดว่าองค์กรอิสระทุกองค์กรไม่กล้ายุ่งกับรัฐบาล คสช. และทุกคนก็จะเพลย์เซฟ ผมก็พูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะผมยืนอยู่บนหลักกฎหมาย

หรือกรณีที่คุณประยุทธ์ถามคำถามประชาชนหกคำถามให้ประชาชนตอบว่า เป็น คสช. จะสามารถสนับสนุนพรรคการเมืองใดได้หรือไม่ ผมเรียนตามตรงว่าทำไมวันนั้นคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญเองก็รู้อยู่ว่าทำไม่ได้ก็ไม่ออกมาพูดให้ชัดเจน แต่กลับมาพูดคลุมเครือด้วยซ้ำว่า คสช. ก็เป็นคนไทย สามารถสนับสนุนพรรคการเมืองได้ ผมก็บอกว่าต้องแยกแยะ ถ้าคสช. แต่ละคนจะสนับสนุนพรรคการเมืองอะไรไม่ผิด แต่ คสช.เป็นองค์อำนาจหนึ่งในสังคมไทยและเป็นองค์อำนาจที่มีอิทธิพลสูงสุดด้วยซ้ำในแม่น้ำ 5 สาย คสช.จะไปหนุนพรรคการเมืองใดไม่ได้

หลายคนบอกว่าการพูดของผมแบบนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ กกต.ถูกเซ็ตซีโร่ แต่ไม่ใช่ ถ้ามีอะไรที่มันไม่ถูกผมก็ยืนยันว่ามันไม่ถูก





วันนี้มีรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 แล้ว ถ้าถอดแว่น กกต. ออก มองแบบคนที่ผ่านความขัดแย้งทางการเมืองมาร่วม 40 ปี คุณคิดว่ามันจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งที่สะสมมาได้ไหม


ผมคิดว่าคนร่างเขาคิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองได้ ต้องให้เครดิตเขา เขาอาจจะเห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาทางการเมือง ระบบรัฐสภาไม่น่าไว้วางใจ ต้องแก้ไข แต่การเขียนเรื่องการได้มาซึ่ง ส.ว. นั้นแทนที่จะเป็น 200 คนกลับเป็นว่าบทเฉพาะกาลให้มี 250 คน แล้ว 200 คนมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. อีก 50 คนมาจากการรับสมัครสรรหา โดยมีบทบาทลงมติคัดเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย เท่ากับว่ากลไกของฝั่งราชการจะสามารถมากำกับดูแลฝ่ายการเมืองอย่างยาวนานถึงประมาณ 5 ปี

มันกลายเป็นขนมที่จะไปหลอกล่อใครต่อใครว่าถ้าคุณอยากจะมีชื่อเป็น ส.ว. ใน 200 คน คุณต้องทำตามใจคนที่เป็นรัฐบาลชุดปัจจุบัน กลายเป็นลักษณะที่เกิดขึ้นเหมือนคนใน สปท. และสปช. ที่ดูไม่ค่อยกล้าขัดใจหรือบางครั้งก็ออกมาสรรเสริญเยินยอรัฐบาลค่อนข้างมาก

ผมเองก็เคยถูกชวนให้กินขนม แต่ไม่ได้มาพูดตรงๆ มีคนที่สนิทกับผมเล่าให้ฟังว่าถ้าอาจารย์พูดน้อยๆ หน่อย อาจจะสามารถทำงานในอนาคตร่วมกันได้ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้มีอำนาจหรือไม่ การพูดแบบนี้ทำให้กลายเป็นว่าแทนที่จะให้คนสามารถทำงานได้อย่างอิสระ ก็กลายเป็นทำงานเพื่อหวังผล

นอกจากที่มาของ ส.ว. ก็มีเรื่องเกี่ยวกับการได้มาซึ่งของ ส.ส. ท่านออกแบบบัตรให้เป็นบัตรใบเดียวแล้วเลือกทั้งสองอย่าง ถามในมุม กกต. ชอบไหม เราชอบ เพราะว่าทำงานน้อยลง แทนที่จะมีบัตร 2 ใบ ต้องพิมพ์สองเท่า เราพิมพ์เท่าเดียว แทนที่จะมีหีบสองหีบ นับสองครั้ง เรานับครั้งเดียว การกำหนดคะแนนจากคะแนนผู้สมัครรายคนรายเขตเป็นคะแนนทั้งประเทศแล้วก็คิดเป็นปาร์ตี้ลิสต์ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจหรอก

แต่ถามว่าผลที่มันจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร การแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น อาจจะทำให้เกิดการพยายามเอาชนะกันได้ทุกรูปแบบ การที่คุณหวังว่าจะทำให้พรรคใหญ่มีความได้เปรียบน้อยลงอาจจะไม่ใช่ก็ได้ รูปแบบที่ได้มาซึ่งคะแนนเพื่อมาคำนวณปาร์ตี้ลิสต์จะต้องมาจากการส่งเขตให้มากที่สุด ถ้าคุณส่งเขตน้อยคุณก็จะได้ตัวที่มาร่วมน้อย ดังนั้นกลายเป็นว่าพรรคใหญ่จะมีความได้เปรียบ เป็นต้น


ภาคองค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอย่างไร

เรื่ององค์กรอิสระ เราถือว่าเป็นกลไกสำคัญในบ้านเมืองเพื่อที่จะทำงานได้โดยเป็นอิสระโดยที่ไม่อยู่ภายใต้อาณัติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่โดยรูปแบบของการกำหนดคุณสมบัติของคนเป็นองค์กรอิสระนั้นดูเหมือนว่าเจตนาอยากให้ได้คนดีจนกระทั่งหาได้ยาก แล้วมาตรฐานในการบังคับใช้ในแต่ละองค์กรก็ต่างกัน เช่น กกต. กับ กรรมการสิทธิมนุษย์ชน (กสม.) ซึ่งอาจจะแสดงบทบาทค่อนข้างเป็นปฏิปักษ์กับรัฐมากกว่าองค์กรอื่นๆ คุณก็เซ็ตซีโร่เพราะอยากได้คนใหม่มาทำหน้าที่ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินให้อยู่ต่อไปจนครบวาระได้ ป.ป.ช. ให้อยู่ไปจนครบวาระได้ ทั้งๆที่คุณสมบัติก็ไม่ได้เป็นขั้นเทพและยังมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญอีก ศาลรัฐธรรมนูญให้เขาอยู่ต่อไปแม้กระทั่งดำรงตำแหน่งครบวาระแล้วก็ตาม

ส่วนกระบวนการในการออกแบบให้ได้มาซึ่ง กกต. ก็เห็นแล้วว่ามันไม่สามารถทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้ คือทุกองค์กรมันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นขั้นเทพ เพราะมันไปปิดโอกาสคนบางกลุ่ม ในขณะที่ไปเปิดโอกาสคนบางกลุ่มซึ่งอาจจะไม่ได้มีความรู้ความสามารถด้วยซ้ำ เช่น จะต้องเป็นระดับหัวหน้าส่วนราชการมาไม่น้อยกว่า 5 ปี ก็ปิดช่องว่าตำรวจเหลือตำแหน่งเดียวคือ ผบ.ตร. ทหารเหลือแค่ 5 ตำแหน่ง คือ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.สูงสุด และปลัดกลาโหม คำถามคือในประเทศไทยมีใครจะเป็น ผบ.เหล่าทัพถึง 5 ปี พอจะเอารอง ผบ.ตร. ที่เคยทำงานเคียงคู่กับ กกต. มาตลอด รู้ปัญหาการเลือกตั้ง จะสมัครก็สมัครไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นผบ.ตร.

ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาการเขียนทั้งรัฐธรรมนูญและการเขียนกฎหมายลูกที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีในการได้บุคลากรเข้ามาทำงาน ถ้าพูดสรุปผมคิดว่า คนร่างเจตนาดีอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่พอร่างออกมาแล้วกลไกต่างๆ จะเป็นกับดักนำไปสู่ความล้มเหลวทางการเมืองยิ่งกว่าเดิม


พูดกันตรงๆ รู้สึกว่าต้องยกเลิกแล้วร่างใหม่ไหม


ต้องร่างใหม่ แต่ผมยังมองไม่ออกว่าจะแก้ได้อย่างไร เพราะว่าหลายอย่างที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญนี้เป็นการเขียนกันการแก้ไขไว้ มัดไว้อีกหลายชั้น มันไม่ง่าย และบางครั้งเรายังมีมายาคติว่าถ้าฝ่ายการเมืองเข้ามาอาจจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของฝ่ายการเมืองเอง แบบนี้ก็จะเกิดการต่อต้านอีก


รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 เป็นประตูที่ปิดตายโดยตัวมันเองไหม

ใช่ๆ ถ้าฝ่ายการเมืองเข้ามาแล้วต้องแก้ ก็ต้องมีความเข้มแข็ง ต้องสามารถสื่อสารให้สังคมเห็นว่ามันมีความจำเป็นต้องแก้ไขอย่างไร ตั้งอยู่บนประโยชน์ของส่วนรวม เป็นการแก้ความขัดแย้งเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้


ถ้าตัว ส.ส. เองมีมติร่วมกันว่าต้องแก้ ก็น่าจะเป็นวิธีไม่บอบช้ำแบบรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญแบบที่ผ่านมา

ใช่ครับ


วันเลือกตั้งที่หลายคนตั้งตารอว่าจะมีขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 คุณมองว่าช้าไปหรือเร็วไป


สมมติถ้าไม่มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายลูกทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็จะไม่กระทบอะไรเลย กรณีที่ไม่มีการยื่นศาล หลังจากนายกฯ ทูลเกล้า แล้วรอโปรดเกล้าฯ 90 วัน ชะลอการใช้ 90 วัน จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ 150 วัน หากนายกฯสามารถทูลเกล้าได้ในเดือนมี.ค.นี้ นับไปอีก 11 เดือน ก็คือ ก.พ. 2562

แต่ถ้ามีการยื่นศาล ต้องทดเวลาเพิ่มอีก 2 เดือน เผื่อให้ศาลวินิจฉัยประมาณเดือนครึ่งและนำกลับมาแก้อีกครึ่งเดือน จึงต้องนับเวลาใหม่ จึงเป็น จากประมาณ 11 เดือน ก็เป็น 13 เดือน แปลว่าจะได้เลือกตั้งเม.ย. 2562 แต่ถ้าเกิดศาลวินิจฉัยแล้วถึงขั้นให้ร่างกฎหมายลูกตกไปก็จะช้าเพิ่มไปอย่างน้อย 6 เดือน

แต่ถ้าเป็นไปตามโรดแม็ป การกำหนดวันเลือกตั้งนั้นต้องมาจาก กกต. ไม่ใช่กำหนดโดยรัฐบาล รัฐบาลเป็นเพียงคนออกกฤษฎีกาในการเลือกตั้งให้ กกต.จัดให้ได้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน

ถ้าถามผม ผมว่าไม่จำเป็นต้องใช้ให้ครบ 150 วัน อาจจะใช้น้อยกว่านั้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาก็จะร่นมาได้อีก อาจจะเป็น พ.ย. หรือ ธ.ค. 2561 ยกเว้นจะมีอภินิหารเพิ่ม เพราะในคำสั่งคสช. ที่ 53/2560 ข้อ 8 บอกว่าหลังจากที่กฎหมาย ส.ส.และ ส.ว. ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ครม.เชิญ กกต. กรธ. สนช. และพรรคการเมือง มาปรึกษาหารือกันในการกำหนดการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างเหมาะสม ก็อาจจะมีการคุยกันอีกแบบหนึ่งว่าควรจะมีเลือกตั้งเมื่อไหร่


ระหว่างที่ประชาชนเฝ้ารอ กกต.เองก็ถูกเซ็ตซีโร่ แล้วความพร้อมที่ กกต.ต้องจัดเลือกตั้งอยู่ตรงไหน

ถ้าสมมติการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ ปัญหามันเกี่ยวกับผมแล้ว เพราะต้องสรรหา กกต. ชุดใหม่ แล้วคาดว่าเสร็จสิ้นกระบวนการประมาณเดือนต.ค. เพราะฉะนั้นการส่งต่อส่งมอบงานให้ กกต.ชุดใหม่จะลำบากพอสมควร จะบอกว่าไม่เป็นปัญหาเลย ผมว่าเด็กคงไม่เชื่อ เพราะมันก็ต้องศึกษาทำความเข้าใจหลายเรื่อง

อีกภาพหนึ่ง ถ้าถึง ต.ค. แล้วปรากฏว่าการได้ กกต.ชุดใหม่ได้มาไม่ถึง 5 คน อาจจะได้มา 2-3 คนแล้วแต่ ผลที่เกิดขึ้นจะต้องขยายไปอีก 6 เดือนเพื่อไปหามาอีกรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้น กกต. ชุดเดิมก็ต้องรับหน้าที่เป็นฝ่ายจัดการเลือกตั้งไป ซึ่งโดยส่วนตัวผมค่อนข้างอึดอัดใจว่าในเมื่อคุณไม่อยากให้ผมจัดการเลือกตั้งแล้วคุณเซ็ตซีโร่ผม แล้วทำไมถึงจะมาใช้ผม ผมจัดเลือกตั้งเสร็จ อาจต้องมีให้ใบเหลืองใบแดงแล้วก็ออกไป ซึ่งอาจมีคนไปร้องเรียนมีคดีความติดตัวตามมาอีกก็ได้

ปัญหานี้ผมอยากชี้ให้เห็นว่าการไม่ยอมให้คนที่มีคุณสมบัติครบอยู่ต่อไปได้ พอถึงเวลาคุณหาคนที่มีคุณสมบัติสูงมาทำงานไม่ได้ ก็ให้เราทำงานไปก่อน ผมคิดว่ากระบวนการแบบนี้คนคิดต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่ผมรับผิดชอบฝ่ายเดียว


ตรงนี้มีคนคิดว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณต้องมาสมัครเลขาธิการ กกต. อีกใช่ไหม หรือเพราะอะไร


จริงๆ แล้วตำแหน่งเลขาธิการเป็นตำแหน่งสำคัญมาก แม้จะมีฐานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ กกต. การอำนวยการให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งนี้ค่อนข้างมาก และภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่นี้ เลขาฯ กกต. เป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย เปลี่ยนจากประธาน กกต. มาเป็นเลขาฯ และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานทั้งหมดกำกับดูแลคนใน กกต.ทั้ง 2,000 คน กกต.เป็นแค่บอร์ด

ผมก็คิดว่าถ้าผมไปอยู่ตรงนั้น ผมทำอะไรได้มากกว่าการเป็น กกต. บางคนบอกว่าศักดิ์ศรีน้อยลงกว่าเดิม แต่ผมมองในเชิงการสานต่องานให้ต่อเนื่อง ถ้าผมได้เป็นเลขาฯ ก็จะทำงานกับ กกต.ชุดใหม่ได้ต่อเนื่องทันที เพราะตั้งแต่เราถูกเซ็ตซีโร่ งานหลายชิ้นในสำนักงานเขาไม่ทำกันแล้ว เขารอชุดใหม่มาคิดมาตัดสินใจ ถ้าเราอยู่ตรงนี้ เราก็ผลักดันต่อได้

ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งทางอินเทอร์เน็ตให้กับคนไทยในต่างประเทศ ผมริเริ่มไว้ มีออกแบบโปรแกรมแล้วไปทดลองทำในสามประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น จอร์แดน นอร์เวย์ พอมาถึงวันนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าหยุดหมดแล้ว รอชุดใหม่มาทำ

ส่วนบางคนอาจจะรู้สึกว่าที่ผมมาสมัครเลขาฯ คือการแก้เผ็ด คสช. เพราะ คสช. เซ็ตซีโร่ไม่ให้ผมอยู่ ผมก็แปลงร่างมาอยู่ในฐานะเลขาฯ จริงๆ ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนี้เลย ผมคิดเรื่องงานเป็นหลัก
.

วันที่ 22 พ.ค. 2557 ในฐานะ กกต. ที่อยู่ในวงประชุมร่วมกับทุกฝ่ายวันนั้น คุณมองออกไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น บรรยากาศวันนั้นที่สโมสรทหารบกเป็นอย่างไร

ก็พอเดาๆ ได้ ก่อนนั้นผมคุยกับเจ้าหน้าที่การทูตแห่งหนึ่งว่า กฎอัยการศึกก็เกือบจะถึงขั้นรัฐประหารแล้ว เพียงแค่เร่งโวลุ่มอีกนิดก็รัฐประหารแล้ว

การเจรจากันระหว่าง 7 กลุ่มการเมืองในวันที่ 21 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ตอนยังเป็นผบ.ทบ. เชิญรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย กปปส. นปช. ส.ว. และ กกต. ฝ่ายละ 5 คน

กกต.พยายามเสนอทางออกวันนั้นว่า หนึ่ง เลือกตั้งไม่ช้าแต่ไม่เร็ว รัฐบาลรับได้ไหม คือเลื่อนไปประมาณสามเดือนเพื่อให้สถานการณ์เย็นลงก่อน สอง รัฐบาลไม่ลาออกก็ได้ แต่ไม่ต้องรักษาการ รัฐมนตรีพักร้อนไปแล้วให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทน สาม ปฏิรูปเล็กก่อน ยังไม่ต้องปฏิรูปใหญ่ เพราะปฏิรูปใหญ่ทำมาหลายสิบปีแล้วเคยสำเร็จไหม ปฏิรูประบบราชการเคยปฏิรูปได้ไหม ปฏิรูปตำรวจเคยปฏิรูปได้ไหม ผมเสนอว่าปฏิรูปเรื่องเดียวคือปฏิรูประบบการเลือกตั้ง ขอให้ช่วยกันดีไซน์ว่าเลือกตั้งยังไงจะแฟร์กับทุกฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ก็บอกให้มาคุยกันในวันรุ่งขึ้น


พอมาวันที่ 22 พ.ค. ล่ะ

พอเข้าประชุม คุณชัยเกษม นิติสิริ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลเป็นคนเปิดก่อน เขาเอาตามข้อเสนอ กกต.หมดเลย พอถามพรรคเพื่อไทยก็เอาตามรัฐบาล พอถามพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ไม่ยอม เขาให้รัฐบาลต้องลาออกเท่านั้น พอถาม นปช. คุณจตุพร แทนที่จะคุมประเด็น ถ้าพูดเหมือนเพื่อไทยกับรัฐบาล จะได้สามเสียง แต่คุณจตุพรอารมณ์ขึ้น เขาบอกถ้างั้นทำประชามติเลยว่าจะเลือกตั้งก่อนปฏิรูปหรือปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง พอถามคุณสุเทพ เขาบอกยังไงต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ประเด็นก็แตกไป ส่วนคุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ฝ่าย ส.ว. ไม่มีความเห็น กกต. ไม่มีความเห็น


พล.อ.ประยุทธ์นั่งฟังอย่างเดียว ?

ใช่ สักพักคุณสุเทพขอพักประชุม เพื่อคุยกับคุณจตุพรตามลำพังครึ่งชั่วโมง คนที่เหลือก็นั่งรออยู่ในห้องไม่ได้ไปไหน แต่ผมลงไปเข้าห้องน้ำชั้นล่าง ผมก็เห็นการเคลื่อนไหวของทหารว่าเขาเริ่มวิ่ง เริ่มตรึงกำลัง ลากเสาอากาศ ขนอาวุธเข้ามา เป็นลักษณะเตรียมการ ระหว่างนั้นผมเห็นกลุ่ม ผบ.เหล่าทัพเดินลงมาหน้าเครียดทุกคน

เราก็เห็นว่าปฏิวัติแน่นอน พอถึงเวลาผมก็กลับขึ้นไปบอกทาง กกต.ว่าน่าจะมีปัญหา แล้วก่อนเริ่มประชุมต่อ คุณสุเทพเดินมาสะกิดหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ขอเวลา 1 นาที คุณสุเทพ พล.อ.ประยุทธ์ คุณจตุพรไปยืนคุยกันสามคนที่มุมห้อง คุยอะไรกันไม่ทราบ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็มานั่งหัวโต๊ะ ท่านก็อารมณ์ขันบอกว่ามีคนบ่นว่าห้องน้ำไม่สะอาด ใครดูแลไปรับผิดชอบหน่อย ที่ประชุมก็หัวเราะกัน แล้วแกก็หันไปถามคุณชัยเกษมว่าเอายังไงดี รัฐบาลเอายังไง ยอมลาออกไหม พล.อ.ประยุทธ์เสนอเลย

วิธีการพูดของคุณชัยเกษมแทนที่เขาจะตัดสินใจเลย ก็ขอปรึกษารัฐบาลก่อน ผมไม่มีอำนาจในการตัดสินใจอะไรก็ว่าไป แล้วก็วนไปถามคุณสุรชัย เขาบอกไม่มีความเห็น พล.อ.ประยุทธ์ก็ถามกลับไปที่คุณชัยเกษมอีกรอบหนึ่งว่ารัฐบาลยอมลาออกไหม คุณชัยเกษมก็พูดตามเดิมว่าไม่ลาออกหรอกครับ พล.อ.ประยุทธ์ก็ทุบโต๊ะบอกถ้าไม่มีทางออกก็ต้องยึดอำนาจ ทุกคนอยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องไปไหน กกต.ไม่เกี่ยว ส.ว.ไม่เกี่ยว ออกไป

.





วินาทีนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งอะไรท้าทาย กกต. มากที่สุด อะไรที่คุณครุ่นคิดมากที่สุด

การเซ็ตซีโร่ทำให้ทุกอย่างนิ่งและไม่มีใครตั้งใจทำงาน แม้ผมจะตั้งใจทำงานแต่ก็ไม่มีใครเอากับผมด้วย แล้วก็ทุกคนสติแตกหมดแล้ว ทุกคนเตรียมตัวหยุดงานหมดแล้ว ดังนั้นการเซ็ตซีโร่คือการตัดสินใจที่ผิดที่สุด

เอาๆ ง่ายคือถ้าผมจะครีเอทอะไรใหม่ๆ ผมจะครีเอททำไม มันเป็นเรื่องของใจที่มันไม่ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เหมือนกันหลายเรื่องเขาก็จะรอชุดใหม่เข้ามาก่อน แล้วการเตรียมการเลือกตั้งให้ดีในอนาคตเป็นแค่การเตรียมวันเลือกตั้งให้เสร็จเท่านั้นเอง ไม่ใช่เตรียมให้ดี ปัญหาคือคุณคิดผิดตั้งแต่เริ่มต้นที่คิดว่าคนใหม่มาจะทำงานได้ดีกว่าคนเก่าเลยทันที

จริงๆ แล้ว เขาอาจจะต้องการเอาผมออกคนเดียว แต่ไม่รู้จะเอาออกอย่างไร


คิดว่าเพราะอะไร

พูดตามตรงคือผมสั่งไม่ได้ ไม่มีใครสั่งผมได้ หลายคนอยากให้เงียบๆ แต่ก็สั่งผมไม่ได้ใช่ไหม (หัวเราะ)

ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ปรารถนาจะอยู่ในอำนาจต่อ ก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องมากังวลอะไร แต่ถ้าปรารถนาอยู่ในอำนาจต่อ แปลว่ามันต้องใช้กลไกของ กกต.ในการจัดการบางเรื่อง จึงต้องการคนของ กกต.ที่สั่งการได้ ใช่ไหม