วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2560

ดราม่า อจ.จุฬา "ติดแน่นในกมลสันดาน ที่ส่งผลให้ประชากรตกอยู่ในภาวะแบ่งแยกฝังลึกยาวนาน"


ดราม่าประเทศไทยไม่จบสิ้น สองสามวันก่อนดาราซัดนักร้อง พอมาวานนี้อาจารย์ขย้ำนิสิต ล้วนแล้วแต่เพราะคลั่งไคล้ความเป็น ไทยๆ ยิ่งใหญ่ในครอบกะลา เห็นฟ้าเฉพาะที่ผ่านรู ไม่รับรู้ว่าโลกภายนอกรอบๆ เป็นอย่างไร

เหตุเกิดที่จุฬาฯ ๓ ก.ค. วันพิธี ถวายสัตย์ ของนิสิตใหม่ ตอนท้ายเกิดดราม่าเมื่อนายเรืองวิทย์ บรรจงรัตน์ ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำแผนกพฤกษ์ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ ปราดเข้าล็อคคอนายศุภลักษณ์ บำรุงกิจ รองประธานสภานิสิตคนที่ ๑ พร้อมด้วยคำผรุสวาส ไอ้เด็กเหี้ย

เนื่องจากนายศุภลักษณ์และเพื่อนนิสิตนักกิจกรรมคนดัง เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ประธานสภานิสิต พากันเดินไปแสดงการคำนับพระรูปสองรัชกาล โดยอาจารย์หญิงอีกคนเดินแยกมาขอยึดเอาโทรศัพท์จากนักศึกษาที่กำลังถ่ายคลิปไป

จากนั้นนายเนติวิทย์ได้โพสต์เฟชบุ๊คเล่าการกระทำของกลุ่มตนว่าเนื่องจากทางมหาวิทยาลัยผิดสัญญา ในเมื่อตกลงกันแล้วว่า “ถ้าฝนตกจะให้เด้กโค้งคำนับแล้วจบ เพราะเด็กจะเปียก จะเป็นไข้ได้...

ผมทนไม่ได้ ผมกับเพื่อนหลายคน ซึ่งมีหลายเหตุผลด้วยกันจึงเดินออกมา นอกจากนี้ยังมีอาจารย์มาทำร้ายร่างกาย ล็อคคอ กระชากดึงเพื่อนผม ด่าอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์”

 
ดราม่าหนักเข้าไปอีกเมื่อทางมหาวิทยาลัย โดย รศ. ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ รองอธิการบดีด้านกิจการนิสิตฯ ต่อความยาว “ชี้แจงข้อเท็จจริง” บ้างว่า ทางมหาวิทยาลัยได้เตรียมให้กลุ่มนิสิตที่ประสงค์จะแสดงความเคารพด้วยการคำนับเมื่อการถวายบังคมเสร็จสิ้นแล้ว

“แต่กลุ่มของสภานิสิตไม่ได้เคารพข้อตกลงนั้น และพยายามจะจัดฉากให้ปรากฏภาพที่ขัดแย้ง” ทำให้อาจารย์คนที่ปรี่เข้าไปล็อคคอรองประธานสภานิสิต “โกรธถึงขีดสุดว่าพูดกันแล้วไม่รู้เรื่อง”
จากนั้นอาจารย์คนนี้ก็ “เกิดภาวะเครียดอย่างรุนแรง จนต้องเข้ารักษาตัวในห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล...แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นว่ามีอาการ hyperventilation คือหายใจไม่ได้”
 
ต่อมามีข่าวรองฯ บัญชา ตำหนินายเนติวิทย์และพวก ออกสื่อว่า “ทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะถือเป็นรุ่นพี่แล้ว ดังนั้นผมจะเรียกนายเนติวิทย์มาพูดคุย ส่วนจะมีการลงโทษหรือไม่นั้นคงไม่สามารถบอกได้”


เป็นเหตุให้นายเนติวิทย์เขียนโต้ตอบอีกครั้ง “อ้างว่าพวกผมป่วนได้อย่างไร” ในเมื่อตอนที่อาจารย์คนหนึ่งเข้าไปล็อคคอรองประธานสภานิสิตฯ นั้นพิธีถวายสัตย์ได้จบลงแล้ว

อีกทั้งเหตุเกิดเมื่อฝนเริ่มลงเม็ดใหญ่แล้ว “ฝนตกไม่ใช่ปรอยๆ เลย” รวมถึงเรื่องการจัดพื้นที่ถวายสัตย์ด้วยการคำนับ “มหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมก่อนเลย...

มาพูดจริงๆ ก็วันงาน ซึ่งใครก็รู้ว่าไม่ทัน จะโทษว่าไม่มีใครประสงค์จะทำจริงๆ นั้นได้หรือ”


ว่าที่จริงเรื่อง อจ.จุฬาฯ กับเนติวิทย์นี่ดราม่ามากกว่าเรื่องของนักร้องและดาราก่อนหน้านี้หลายขุม

กรณีนักร้องเดอะว้อยซ์ อิมเมจหรือ น.ส.สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ รอรถเมล์นานฉุนจัดเลยทวี้ตโวย “ประเทศเฮงซวย จะ ๕๐ ปี พันปี ก็ไม่มีทางเจริญ” แล้วเกิดมีดารารุ่นเก๋ากว่า ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม หรือ แทคโพสต์ข้อความทำนอง ที่นี่ประเทศไทย ไม่ชอบก็ออกไปเสียสิ

แต่แล้วเมื่อดราม่าลามไปกว้างจากออนไลน์ไปเมนสตรีม ทั้งคู่ก็เลยแตะเบรคใส่เกียร์ถอยหลัง อิมเมจบอกขออภัย อารมณ์วู่วามไปหน่อย ส่วนแทคว่าที่เขียนไปเป็นอารมณ์ปกติไม่ได้โต้อิมเมจ แต่ถูกเอาไปโยงกันเอง

ทว่าเรื่องของกลุ่มสภานิสิตจุฬาฯ และอาจารย์ที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เป็นดราม่าติดแน่นในกมลสันดาน ที่ส่งผลให้ประชากรตกอยู่ในภาวะแบ่งแยกฝังลึกยาวนาน

หากมองไปที่ภูมิหลังของอาจารย์สองคนผู้อยู่ในใจกลางของปัญหา อาจารย์ชายที่เกิดอารมณ์โกรธสุดขีด (บนทวิตเตอร์บางรายบรรยายว่าเขามีอาการโกรธจัดจนมือไม้สั่น จึงไม่แปลกที่ไปถึงขั้นอัดอั้นหายใจไม่ออก) ก็ด้วยเหตุที่ไม่สามารถทนทานต่อการที่เนติวิทย์ท้าทายสถานะเดิมได้

นายเรืองวิทย์ผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในกระบวนหัวหอกเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ ที่ย่อมมองคนที่ความเห็นไม่เหมือนตนว่าต่ำช้าถึงขั้นเรียก “ไอ้...เหี้ย” ได้

ส่วนอาจารย์หญิงที่ไปยึดโทรศัพท์จากนักศึกษากำลังถ่ายคลิปเหตุการณ์ ก็มีคนโพสต์อ้างถึงว่าเธอเป็นผู้สนับสนุนระบบโซตัสแข็งขันมาก

แต่ว่าการเดินไปยึดโทรศัพท์หมายปกปิดความจริง นั้นทำให้เธอพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นของการเป็นอนุรักษ์นิยม สุดโต่ง ในการปิดกั้นโลกทัศน์จากภายนอกกรอบกะลา