วันเสาร์, กรกฎาคม 22, 2560

จอม เพชรประดับ ตอบ ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่เมืองนอก 'ลี้ภัย' ได้อย่างไร

อ่านยัง! “จอม”สื่อลี้ภัยการเมือง
ตอบ"ประยุทธ์"อยู่อย่างไรในตปท.
จอม สื่อน้ำดี โพสต์เฟซบุ๊ก ตอบ “ประยุทธ์” เคลียร์ชัดทุกประเด็นสงสัยผู้ลี้ภัยการเมืองอยู่อย่างไรในต่างประเทศ ลั่นไม่เอารัฐประหารเป็นสิทธิ์ส่วนตัว จึงขอลี้ภัย ระบุมีรายได้จากเงินช่วยเหลือจาก ตปท.แค่พอประทังชีวิตไม่อดตายเท่านั้น ยันได้รับการช่วยจากทักษิณจริง แต่มีเงื่อนไขไม่ใช่ต่อสู้เพื่อพรรคการเมือง
เมื่อ 22 ก.ค. 2560 ตามเวลาไทย นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชน ผู้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่สหรัฐ หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Jom Petchpradab ตอบคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่ถามถึงการลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องตอบ หรืออธิบายข้อสงสัย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำเผด็จการทหารไทย มักจะถามผ่านสื่ออยู่เสมอว่า "คนไทยที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยอ้างถูกปฎิวัติรัฐประหาร ไม่เป็นธรรม เพื่อขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นพลเมืองประเทศอื่นนั้น ทุกคนที่ทำแบบนี้ ทำผิดกฎหมายในประเทศหรือไม่"
ผมเป็นหนึ่งในบุคคลที่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง และอาจอยากจะฟังคำตอบ ผมเป็นสื่อมวลชนที่เคยแสดงออกหลายครั้ง ทั้งผ่านงานที่ทำ และการพูดในเวทีสาธารณะว่าไม่เห็นด้วย และไม่เอาด้วยกับการทำรัฐประหาร
เป็นสิทธิอันชอบธรรมของผมไม่ใช่หรือที่จะคิดและเชื่อ รวมถึงแสดงออกอย่างสันติวิธีที่จะต่อต้านรัฐประหาร เพราะตั้งแต่ลืมตามาดูโลกจนอายุปามาครึ่งร้อย รัฐประหารกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม จนทำให้ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า รัฐประหารไม่ใช่หนทางที่จะสร้างประเทศให้เจริญก้าวหน้า ไม่ใช่วิธีการที่จะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับลูกหลานและสังคมไทยในอนาคตอีกต่อไปแล้ว
แต่เป็นเพียงแค่การผลัดเปลี่ยน แบ่งปันผลประโยชน์และอำนาจระหว่างผู้มีอำนาจในโครงสร้าง สังคมไทยเท่านั้น ไม่ได้ทำให้คนจนอย่างผม และคนด้อยโอกาสในสังคมไทยอีกหลายล้านคน ได้ผลประโยชน์หรือได้อานิสงค์อะไรเลย
ผมขอถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับบ้างว่า ผมมีความผิดอะไร ถึงได้ออกคำสั่งที่ 42/2557 ให้ผมไปรายงานตัวในขณะที่ผมอยู่ในต่างประเทศ (ผมอาจจะพุดคุย สัมภาษณ์กับคนที่ต่อต้านรัฐประหารในต่างประเทศ ก็เป็นสิทธิ์ของผมไม่ใช่หรือ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของอาชีพผม)
หากจะบอกว่า เมื่อมีรัฐประหาร คสช.เป็นรัฐาธิปัตย์ คำสั่ง คสช.ก็คือกฎหมายที่ทุกคนต้องปฎิบัติ ผมถามกลับอีกทีว่า เป็นสิทธิของผมหรือไม่ กับการไม่ยอมรับรัฐประหาร ท่านปล้นอำนาจผมไป แล้วจะมาบังคับให้ผมยอมรับการกระทำเยี่ยงโจรของท่าน ผมไม่อาจจะทำใจยอมรับได้ และหากการต้องตกเป็นพลเมืองที่มีปลายกระบอกปืนคอยจ่อหัวอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ผมเลือกที่จะแยกทางกันเดินกับท่านแยกประเทศกันอยู่จะดีกว่า มันก็แฟร์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ แล้วท่านจะมาเอาอะไรกับผมอีก
เป็นที่ทราบกันทั่วโลกว่า กระบวนการยุติธรรมไทย ถูกใช้เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง แต่กลับมาอ้างอย่างไม่อายชาวโลกว่า "แม้จะเป็นรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่กฎหมาย หรือศาลเป็นระบบปกติ ผิดก็ว่าตามผิด ถูกก็ว่าตามถูก ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยพยานหลักฐานกันที่ศาล" ก็เห็นกันอยู่ ไม่ว่า จะดูจากทัศนะของ ผู้พิพากษา ตุลาการ ที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาคดี หรือดูจากผลการพิพากษาคดีทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ค่อนข้างชัดเจนประจักษ์แจ้งไปทั่วโลกว่า ศาลไทยมีจุดยืน ทางการเมืองอย่างไร
การตีความกฎหมาย การพิจารณาอรรถคดีของผู้พิพากษาตุลาการ ล้วนเป็นไปเพื่อการปกป้องรักษาความมั่นคงแห่งรัฐที่ให้น้ำหนักกับกลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ แต่กลับไม่ได้ปกป้องคุ้มครองความมั่นคงของประชาชนคนธรรมดา โดยเฉพาะกับบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐ
อีกข้อสงสัยที่ถามกันเยอะไม่เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นก็คือ "คนที่หนี(ลี้ภัยการเมือง)ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ เอาเงินจากที่ไหนมาใช้ มีอาชีพ มีรายได้จากที่ไหน..?" ผมขอตอบเป็น 2 กรณี
กรณีแรก ผู้ลี้ภัยการเมืองที่หนีออกมาเพื่อเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่ โดยหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเลย คนกลุ่มนี้จะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีพหากได้ สถานะผู้ลี้ภัยถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ เช่นเงินเลี้ยงชีพ ค่าอาหาร ค่าที่พัก การรักษาพยาบาลฟรี และสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องซึ่งก็พออยู่ได้ ขยันหน่อยก็สามารถเก็บเงินและตั้งตัวได้ภายในเวลาไม่กี่ปี (ถ้าเป็นคนหนุ่มสาว ส่วนคนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้รับสวัสดิการพื้นฐานโดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลฟรี แม้จะยังไม่ได้สถานะผู้ลี้ภัย)
กรณีที่สอง ซึ่งผมอยู่ในกลุ่มนี้คือ ลี้ภัยการเมือง และยังเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป แต่ต้องไม่เป็นปฎิปักษ์ต่ออุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศนั้น ๆ หรือผิดกฎหมายของประเทศที่ขอลี้ภัย ก็จะได้รับสวัสดิการพื้นฐานตามสถานะผู้ลี้ภัย ก็พอประทังชีวิต คือได้แค่ไม่อดตาย แต่หากอยากจะกินอะไร อยากซื้ออะไรเป็นพิเศษไม่อาจทำตามใจปรารถนาได้ เป็นกติกาที่บังคับให้ต้องทำงานด้วยเหมือนกัน
แล้วผมเองอยู่ได้มาได้อย่างไรถึง 3 ปีกว่า ก่อนที่จะได้สถานะผู้ลี้ภัย ความจริงที่อยากจะบอก ซึ่งไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อน
คือทันทีที่ได้รับคำสั่งให้ต้องไปรายงานตัวกับ คสช. ผมเลยตัดสินใจลี้ภัยการเมือง และได้มีกลุ่มบุคคลผู้รักประชาธิปไตยทั้งในและต่างประเทศกลุ่มหนึ่ง (ส่วนใหญ่ในเมืองไทย) ได้มาพูดคุยกับผม ทั้งโดยตรงและทางโทรศัพท์ บุคคลเหล่านี้มีทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อดีตข้าราชการขั้นผู้ใหญ่ อดีตนักการเมือง (คุยผ่านตัวแทน คุยโดยตรงบ้าง) พวกเขาวิเคราะห์ให้ฟังถึงอนาคตบ้านเมืองไทยนับจากนี้ไปว่า กำลังจะเดินเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ถึงขั้นหยุดชะงัก อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ผมคิดวิเคราะห์ไว้
และบุคคลกลุ่มนี้ขอร้องผมว่า อย่าหยุดการทำหน้าที่สื่อมวลชน ( ผมบอกกับพวกเขาว่า ผมจะยุติการเป็นสื่อมวลชน และคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยอาชีพใหม่ในชนบทที่เมืองไทย ขณะนั้น ยังไม่มีคำสั่งให้ไปรายงานตัว) แต่ให้เป็นสื่อมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย เปิดพื้นที่ให้คนไทยที่ถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมืองไทย ให้พวกเขาได้มีพื้นที่ได้แสดงออก เพื่อเป็นช่องทางให้เผด็จการทหารเห็นว่า ยังมีคนไทยจำนวนมากที่ไม่ยอมรับ และต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร
ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ แต่ได้แย้งไปว่า ผมคนเดียวจะทำได้อย่างไร อุปกรณ์ เครื่องมือ ทีมงาน จะมาจากไหน และคนที่มีทักษะด้านสื่อที่ลี้ภัยออกมาก็ดูจะมีผมคนเดียว ตัวแทนคนกลุ่มนี้ บอกกับผมว่า "เชื่อสิ เทคโนโลยีที่กำลังจะมาในอีก 2 ปีข้างหน้าคุณทำงานสื่อลำพังคนเดียวได้" ตอนนั้นผมไม่เชื่อคำพูดนี้ แต่อีกไม่ถึงปีต่อมา เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เพียงไม่กี่ร้อยเหรียญ ทำให้ผมสามารถทำงานคนเดียวได้จริง ๆ
ทีนี้ การกิน การอยู่ละ จะเอาอย่างไร โชคดีที่ว่า ผมไม่มีภาระอะไรเลยที่เมืองไทย มีบ้านที่ต้องผ่อน ก็โอนให้เป็นสิทธิ์ของพี่ ของหลานไปหมด (ความโสด กำพร้าพ่อแม่ มีข้อดีตรงนี้) คนกลุ่มนี้ก็เสนอที่จะดูแลเรื่อง อาหาร ที่พักให้ และจ่ายค่าขนม เฉลี่ยแล้วตกเดือนละ 300 เหรียญ ส่วนค่าอุปกรณ์เครื่องมือ อินเตอร์เนทในการทำงานเขาดำเนินการในครั้งเดียวไปเรียบร้อย ..นี่คือทั้งหมดที่สนับสนุนให้ผมยังทำหน้าที่สื่อเลือกข้าง ข้างประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน อยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
ถึงตรงนี้... คงมีคำถามที่หลายคนอยากถามว่า แล้ว คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ช่วยเหลืออะไรคุณบ้าง ผมตอบด้วยความสัจจริงว่า คุณทักษิณ ติดต่อเข้ามาหาผมเพื่อแสดงความจำนงที่จะช่วยเหลือผมจริง เพราะเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ (สงสัยคนในกลุ่มฯไปพูดให้ฟัง..คิดเอาเอง) ซึ่งคุณทักษิณ ก็เหมือนกับกลุ่มคนไทยที่ห่วงใยบ้านเมือง ต้องการให้เมืองไทยมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ด้วยสถานะความ เป็นนักการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตยที่ถูกกระทำจากอำนาจเผด็จการ
ก่อนที่จะผมขอรับการช่วยเหลือจากคุณทักษิณ ผมได้พุดคุยเงื่อนไขการทำงานของผมว่า "ผมไม่ได้ลี้ภัยออกมา ต่อสู้เพื่อพรรคการเมืองของท่าน หรือต่อสู้เพื่อให้ท่านได้กลับเมืองไทย และไม่ได้ต่อสู้เพื่อตระกูลชินวัตร ถ้ายอมรับเงื่อนไขนี้ได้ ผมยินดีที่จะรับความช่วยเหลือจากท่าน ซึ่งคำตอบที่ได้เป็นคำยืนยันว่า ให้ผมทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยคำนึงถึงเป้าหมายในอนาคตเพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองเป็นหลัก"ไม่ต้องมาต่อสู้เพื่อผม"
ความช่วยเหลือของคุณทักษิณจึงเข้ามาอยู่ในคณะบุคคลผู้รักประชาธิปไตยที่ให้การช่วยเหลือและพูดคุยโน้มน้าวผมมาตั้งแต่ต้นก่อนหน้านั้น และขอยืนยันอีกครั้งว่าความช่วยเหลือจากคุณทักษิณ เป็นเพียงแค่ให้สามารถอยู่ได้และทำงานได้เท่านั้นเอง (ก่อนที่จะได้รับสถานะผู้ลี้ภัย) หากอยากรู้ว่าผมใช้ชีวิตฐานะผู้ลี้ภัยในอเมริกาเป็นอย่างไร ยินดีให้มาตรวจสอบและเยี่ยมเยือนฉันท์มิตรได้ตลอดเวลานะครับ
Thais Voice - เสียงไทยเพื่อเสรีภาพของคนไทย จึงปรากฎโฉมขึ้นมาผ่านยูทูป (จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นก่อนที่คุณทักษิณ จะติดต่อเข้ามาด้วยซ้ำ) นับถึงวันนี้เป็นเวลา 3 ปีเท่ากับอายุของรัฐบาลเผด็จการทหารเหมือนกัน โดยมีผมคนเดียว บริหารจัดการ ดำเนินการทุกอย่างเพียงลำพัง (ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทั้งสถานีจะทำคนเดียวได้)
โดยเมื่อ 2 ปีก่อนยังไม่ได้เข้าสมัครเข้าระบบหารายได้จากยูทูป แต่เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา ผมได้นำเนื้อหาที่ผลิตสมัครเข้ายูทูปเพื่อหารายได้ ซึ่งก็มีรายได้เข้ามาเฉลี่ยเดือนละ 200 - 300 เหรียญ เทียบกับการทำงานตลอดทั้งวันเพียงคนเดียว บอกได้เลยว่าโหดมาก ( แอบคิดเปรียบเทียบเล่นๆว่า จากที่เคยรับเดือนๆ ละ 2 แสนกว่าบาททุกเดือน ขณะที่อยู่เมืองไทย กลับมีรายได้เพียงแค่ 1 หมื่นกว่าบาทในเมืองนอก ...เป็นไปได้อย่างไร แต่บอกกับตัวเองว่า เอาเถอะเป็นเงินกินขนมน่า..)
3 ปีกว่าของการทำงานเพียงลำพัง หามรุ่งหามค่ำ สิ่งที่เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้มีพลังคือ ยอดคนที สมัคร Subscriber เพิ่มขึ้นตลอดเวลาขณะนี้อยู่ที่ 106,095 คน และ ยอดวิวที่เข้ามาดู 48,811,109 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทยในเมืองไทย นอกนั้นกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก
และเพื่อให้ตัวเองรู้สึกมีอิสรภาพที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชนธรรมดาบ้าง จึงเปิดรับบริจาคจากประชาชนคนไทยทั่วโลกที่ต้องการมีส่วนช่วยฟื้นฟูประชาธิปไตยให้กลับคืนสู่สังคมไทยโดยเร็ว ผมเลยตัดสินใจเปิดช่องทางบริจาคผ่าน paypal.me/JomPetchpradab ก็มีผู้คนบริจาคเข้ามาบ้างตามสมควร เพราะไม่ได้แจ้งให้สาธารณชนทราบอย่างจริงจัง (เกรงใจ) เฉพาะคนที่แจ้งความประสงค์ว่าจะช่วยเหลือจริง ๆ ถึงจะบอกไป ถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่เกรงใจละครับ ใครที่สนใจจะร่วมกันฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพความเป็นประชาธิปไตยในเมืองไทย ก็เรียนเชิญเลยครับ
นี่แหละครับชีวิตของผู้ลี้ภัยการเมืองคนไทยคนหนึ่ง ที่อาศัยแผ่นดินประเทศอื่น เพียงเพื่อได้สูดดมอิสระภาพ และเสรีภาพ และเพื่อดำรงตนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ...แต่แน่นอนมันต้องแลกมาด้วยเดิมพันชีวิตที่สูงมาก ...
นายจอมลงท้ายข้อความขนาดยาวว่า หวังว่า ทั้งหมดนี้คงจะตอบข้อสงสัยและคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เผด็จการทหารไทยได้นะขอรับ