วันอาทิตย์, พฤษภาคม 28, 2560

เคราะห์ร้ายของอิปูว์ทำให้ลุงตูบได้หน้า :สถานะการคลังไทยยุคทหารครองเมือง

จะเอาเวอร์ชั่นไหนดี เพลงฉ่อยอุปมาอุปมัยสถานะการคลังไทยยุคทหารครองเมือง เทียบเคียงทางคณิตศาสตร์ระหว่าง สินทรัพย์ กับ หนี้สิน ของประเทศ

“ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา” หรือว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา”

ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งรายงานสถานะการเงินชาติ ปีที่ผ่านมา ๒๕๕๙ ว่าพอสิ้นปี “มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า” (ปี ๕๘ มี ๓.๘๔ ล้านล้าน) โดยมีทรัพย์สินทั้งสิ้น ๔.๒๑ ล้านล้านบาท” น่าชื่นใจ

เสียแต่ว่าปีที่แล้วเช่นกัน “มีหนี้สินและทุนรวมกันเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า...รวมกันทั้งสิ้น ๔.๙๖ ล้านล้านบาท” อ้าว ตายห่ เท่ากับติดลบ ๗.๕ แสนล้าน

“ในส่วนหนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้น ได้ส่งผลให้ส่วนของทุนของ ธปท.สิ้นปี ๒๕๕๙ ติดลบเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า”


เอ๊ะมันยังไงกันนี่ ลองมาเล่นคิดเลขกันดูที

เมื่อปี ๕๘ นั้นประเทศไทยมีสินทรัพย์ ๓.๘๔ ล้านล้าน ก็มากกว่าปี ๕๗ ซึ่งมีเพียง ๓.๕๒ ล้านล้าน แต่หนี้สินในปี ๕๘ ก็มากกว่าสินทรัพย์ด้วยเหมือนกัน คือหนี้ ๔.๔๕ ล้านล้าน เท่ากับติดลบ ๖.๑ แสนล้าน

อ้อ อย่างนี้นี่เอง แสดงว่าปีที่แล้วติดลบ เพิ่มถึง ๑.๔ แสนล้าน ถ้างั้นลองย้อนหลังไปอีกปี ดูตัวเลขสิ้นปี ๕๗ บ้าง หลังจากพ่อปรายู้ธคนเก่งยึดอำนาจจากอิปูว์เอามาครองเมืองเสียเองหมาดๆ ปรากฏว่าตอนนั้นติดลบ ๗ แสนล้าน

ทำให้บอกได้ว่าเมื่อสิ้นปี ๕๘ หลังจาก คสช. บริหารประเทศได้ปีกว่าๆ ทรัพย์สินของชาติติดลบ น้อยกว่าปีที่กำลังวุ่นวายเป่านกหวีด ปิดกรุงเทพฯ และหน่วยเลือกตั้งกันประมาณ ๑ แสน ๑ หมื่นล้าน

อาจเป็นได้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้เริ่มขายข้าวค้างสต็อกจำนำ และยังไม่ได้ แจกเงินอย่างมีธรรมาภิบาล (ไม่ใช่ประชานิยม) กัน

ครั้นถึงปี ๕๙ ช่วงพี้คที่ คสช. ถึงขีดกระสันต์ อยู่ยาวเลยจ่ายโน่นจ่ายนี่คืนความสุขแก่ผู้ที่ทำคุณขนานหนัก ประจวบกับเริ่มชัดเจนว่าส่งออกหดหาย ค้าขายฝืดเคือง ถึงได้ติดลบสะสม ไม่ใช่โทษเศรษฐกิจโลกสถานเดียวหรอกนะ

ต้องโทษพวก ‘เป็นคนไทยหรือเปล่าที่ไปด่า คสช. อยู่ปาวๆ ในต่างประเทศด้วย ไม่เกี่ยวรถถัง เรือดำน้ำอะไร ตอนนั้นยังไม่ตั้งไข่เลยเรื่องพวกนี้ รอดูปีหน้าสิว่าจะติดลบเพิ่มอีกเท่าไหร่

ตอนนี้ต้องดูตัวเลขขายข้าวค้างสต็อก กระทรวงพาณิชย์เพิ่งเปิดความสามารถรัฐบาล “ตั้งแต่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศจนถึงปัจจุบัน สามารถระบายข้าวสต็อกรัฐบาลได้แล้ว ๑๒.๗๔ ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า .๑๔ แสนล้านบาท"

นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศออกมาแจ้งข่าวดี ที่ ประสงค์ร้าย(ไหงพูดหยั่งงั้น) ต้องไปดูตัวเลขของเธอให้เข้าใจ

ทั่นอธิบดีบอกว่า คสช. ขายข้าวในสต็อกจำนำไปตันละ ๙,๐๓๘ บาท แต่รัฐบาลอิปูว์รับจำนำมาราคาตันละ ๒ หมื่น ๔ พันบาท ทำให้ราคาที่ คสช. ขายได้นั้นขาดทุนราวตันละ ๑ หมื่น ๕ พันบาท

รวมเป็นการขาดทุนโครงการจำนำข้าวทั้งสิ้น ๑ แสน ๙ หมื่นล้านบาท


คิดเผินๆ น่าจะตีความได้ว่าโครงการจำนำข้าวรัฐบาลอิปูว์ทำให้เกิด “ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน” (ดังรายงานประจำปี ๕๙ ระบุ) เกือบสองแสนล้านบาทนั่นเชียว

แต่เอ๊ะ คิดดีๆ อิปูว์รับจำนำข้าวเมื่อปี ๕๖-๕๗ แสดงว่าจ่ายเงินช่วยชาวนาตอนนั้นไปแล้ว อันทำให้สินทรัพย์รวมของชาติติดลบถึง ๗ แสนล้านเมื่อปี ๕๗ มิใช่หรือ

ฉะนั้น การติดลบปีต่อๆ มา ทั้ง ๕๘-๕๙ ก็เป็นฝีมือ คสช. ล้วนๆ นะฮะ 

แล้วถ้าบังเอิญสามปี คสช. ไม่มีข้าวค้างสต็อกอิปูว์ไว้ให้ขายคล่อง เพราะเป็นข้าวเสื่อมสภาพราคาถูก อัตราติดลบก็จะมากขึ้นไปอีก
กลายเป็นว่าเคราะห์ร้ายของอิปูว์ทำให้ลุงตูบได้หน้าใช่ไหมล่ะ