วันอาทิตย์, พฤษภาคม 28, 2560

ประกาศคนหาย หลังบึ้ม “วงษ์สุวรรณ” ใครได้ ใครเสีย ใครพลาดมหันต์ เพาะเชื้อฮาร์ดคอร์




ประกาศคนหาย หลังบึ้ม “วงษ์สุวรรณ” ใครได้ ใครเสีย ใครพลาดมหันต์ เพาะเชื้อฮาร์ดคอร์


27 พฤษภาคม 2560
ที่มา ผู้จัดการ


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ห้องวงษ์สุวรรณ” โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สถานที่เกิดเหตุลอบวางระเบิดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้จางลงไปหลายวันแล้ว แต่ความชัดเจนในเรื่องมูลเหตุจูงใจ เบาะแสผู้ก่อเหตุ-ผู้อยู่เบื้องหลัง กลับยังไม่ปรากฏออกมา ส่งผลให้มีการคาดเดาไปต่างๆนานา ว่าใครคือ“ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรมครั้งนี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ผู้ไม่ประสงค์ดี” เลือกเอาวาระครบรอบ 3 ปีการยึดอำนาจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นวันดีเดย์ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น พร้อมทั้งแฝงนัยยะ ส่งสัญลักษณ์แบบโจ่งครึ้ม โดยการเลือกกระทำการภายใน “ห้องวงษ์สุวรรณ”ซึ่งเป็นห้องรับรอง “นายพลอาวุโส-บุคคลวีไอพี” ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

เป็นชื่อห้องที่ตั้งตามนามสกุลของ “บิ๊กบราเธอร์สบูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก่อเหตุ ก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากต้องการ “ลูบหน้า-ลูบคม” พี่ใหญ่ของรัฐบาล ผู้มีอำนาจลำดับต้นๆใน คสช.

ทั้งสถานที่ และห้วงเวลา ชี้ชัดให้เห็นว่าเป็น “ระเบิดการเมือง” มากกว่าประเด็นอื่นๆ

หากแต่เป็นการเมืองมิติใดเท่านั้น ซึ่งจากที่ได้ประมวลความคิดเห็นจาก “กูรู - กูรู้” ทั้งในและนอกวงการ ตั้งแต่สภากาแฟ สังคมออนไลน์ จนถึงแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง ก็สามารถประมวลผู้ที่เข้าข่ายเป็น “ผู้ลงมือ-ผู้บงการ” การก่อวินาศกรรมใน “โรงพยาบาลทหาร” ได้อย่างน้อย 5 กลุ่ม ตั้งแต่

1.“เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์” ที่ต้องการสร้างสถานการณ์บั่นทอนความเชื่อมั่นรัฐบาล คสช.
2.“คนมีสี-ทหารอกหัก”ที่ถูกกดตัวในช่วง คสช. เรืองอำนาจ หรือกระทั่งพวกที่หมั่นไส้รัฐบาลทหาร
3.“กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้” ขยายพื้นที่ก่อเหตุเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับรัฐบาล
4. ของขวัญจาก “มหาอำนาจ-นักเลงโลก” สั่งสอน ที่ไทยกันไปซบอกขั้วมหาอำนาจอื่น
และ 5.“แนวร่วมหรือทีมงาน คสช.” สร้างสถานการณ์ด้วยตัวเอง เพื่อปูทางให้ “รัฐบาลทหาร” อยู่กันอย่างยาวๆ

ซึ่งหากวิเคราะห์โดยพื้นฐาน “ทฤษฎีสมคบคิด” แล้วเป็นไปได้ทั้งสิ้น หากแต่มีน้ำหนัก ลดหลั่น-แตกต่างกันออกไปในแต่ละกลุ่ม กระทั่งการรวมการเฉพาะกิจ จับมือกันก่อเหตุก็ยังเป็นไปได้

ไล่เรียงจากน้ำหนักเบาไปหาหนัก ก็ต้องบอกว่าโอกาสที่ “มหาอำนาจ-นักเลงโลก” อยู่เบื้องหลังนั้น ก็เป็นไปได้ เพราะสอดรับเข้ากันกับกระแสข่าวในช่วง 2-3 ปีหลัง ที่มีการลักลอบเข้าประเทศไทยของ “แนวร่วม IS” ผู้ก่อการร้ายระดับโลกที่มีข่าวว่า ประเทศมหาอำนาจหนุนหลังอยู่ ผูกโยงไปได้กับเหตุการณ์รุนแรงหลายครั้งในประเทศไทย ทั้งการวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งขณะนี้ “ผู้ต้องหาชาวอุยกูร์” ที่ถูกจับได้ ก็กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ก่อนที่ปีถัดมาจะมีเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ 7 จังหวัด 19 จุด ทั้งวางระเบิดและวางเพลิง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2559

ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการก่อเหตุที่ค่อนข้างจะ “ออกนอกกรอบ” ของขบวนการก่อความไม่สงบภายในประเทศ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เป้าหมายเป็น “สถานพยาบาล” ที่กระทั่งในภาวะสงครามก็ยังได้รับการยกเว้นการเป็นเป้าหมายโจมตี จึงอาจมองได้ว่าเป็นการ “ออกนอกกรอบ” ที่มาจากปัจจัยภายนอก มากกว่าปัจจัยภายใน

แต่ทฤษฎีนี้ก็ถือว่ามีน้ำหนักน้อยที่สุด เพื่อประเมินถึงมูลเหตุจูงใจ และประโยชน์ที่จะ ได้รับ

มาถึงคิว “คนมีสี-ทหารอกหัก” ที่ถูกกดตัวในช่วง คสช. เรืองอำนาจ หรือกระทั่ง “ทหารเก่า” ที่หมั่นไส้รัฐบาลทหารรุ่นน้อง ซึ่งกลุ่มนี้ถูกดึงมาเป็นตัวเลือก จาก “ข่าวปล่อย” ที่ออกจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง ซึ่งล่าสุดถึงขั้นปล่อยชื่อ 3 อดีตนายพลชื่อดัง ทั้ง “พล.อ.(ส. ) - พล.อ.(พ. ) - พล.อ.(ช. )” รายแรกเคยอกหักจากการวางไลน์อำนาจของ “ทหารบูรพาพยัคฆ์” เมื่อหลายปีก่อน รายที่ 2 พล.อ.(พ. ) อยู่ในกลุ่ม “สายเหยี่ยว” ที่มีชื่อเกี่ยวพันทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ความรุนแรง รายสุดท้ายสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ “คนแดนไกล” ขณะที่กลุ่มทหารในราชการที่ไม่พอใจการจัดสรรอำนาจของ คสช.ที่ครื้นเครงอยู่ภายในวงศ์วานว่านเครือ ทำให้ทหารกลุ่มอื่นกลายเป็น “ลูกนอกคอก” ก็มีมาให้ได้ยิน แต่จะให้ฟันธงก็เป็นตัวเลือกในระดับรองๆ ลงมา

ถัดมาเป็นในส่วนของ “กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้” ที่หลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่า ไม่มีพฤติกรรมในการขยายพื้นที่ก่อเหตุ จำกัดวงอยู่ในพื้นที่เป้าหมาย หรือเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า หากแต่ก็มีความเชื่อมโยงในการบั่นทอนความเชื่อมั่นของรัฐบาลทหาร หลังเพิ่งเกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่บิ๊กซี ปัตตานี ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า รวมอาจต้องการขยายพื้นที่ก่อเหตุ เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับรัฐบาล ในขณะที่ “วงพูดคุยสันติภาพ” ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร แต่ก็พฤติการณ์ก่อเหตุ ไม่ถือเป็น “ลายเซ็น” ของ “ผู้เห็นต่างภาคใต้” อาจจะเป็นเพียงการ “รับงาน” ของบางส่วนในแนวร่วมก่อความไม่สงบชายแดนใต้ ที่อาจฟังได้มากกว่าการก่อเหตุเพื่อเป้าประสงค์ของทางกลุ่มเอง

มาถึงกลุ่ม “แนวร่วมหรือทีมงานคสช.” สร้างสถานการณ์ด้วยตัวเอง เพื่อปูทางให้ “รัฐบาลทหาร” อยู่กันอย่างยาวๆ บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องมโนเพ้อพก เพราะเป็นรู้กันว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ผลงานของ คสช.ที่สอบตกในทุกๆ ด้าน แต่ก็มีผลงานอันดับหนึ่งที่ตราตรึงใจคนไทย ตามผลการสำรวจของสำนักต่างๆ คือ การรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมี “ตะบองยักษ์” ทั้งอำนาจคำสั่งคณะรัฐประหาร และมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่แปลงกายมาเป็นมาตรา 265 ในรัฐธรรมนูญ 2560

แล้วมีอย่างที่ไหน คสช.หรือแนวร่วม จะมาทำร้ายตัวเองด้วยการทำลายจุดแข็งของตัวเองโดยก่อเหตุวางระเบิด ซ้ำร้ายยังก่อเหตุในสถานพยาบาล ที่ขึ้นชื่อว่า “โรงพยาบาลทหาร” อีกทั้งจุดที่วางระเบิดก็อยู่ในห้องวงษ์สุวรรณ ที่พ้องกับนามสกุลเบอร์ต้นๆของ คสช.อีกต่างหาก

แต่หากคิดกลับกันก็พอจะเข้าเค้า เพราะเมื่อเกิดเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ แม้จะสุ่มเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในฝีไม้ลายมือรักษาความสงบภายในประเทศของ คสช. แต่ก็เป็น คสช.เองที่น่าจะได้ประโยชน์ที่สุดจากการสร้างความหวาดกลัวให้คงอยู่ในสังคมไทยต่อไป กลายเป็น “ข้ออ้าง” ในการยืด“โรดแมปช่วงสุดท้าย” ออกไปได้อีก ใช่หรือไม่?

ดูได้จากคำพูดของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับการจัดเลือกตั้ง หลังมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ในทำนอง“ถ้ายังไม่สงบ ก็ไม่ต้องเลือกตั้ง” เป็นคำพูดคุ้นหูที่ตอกย้ำมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และยืดอายุต่อเวลาโรดแมปออกมาแล้วไม่น้อยกว่า 4-5 ครั้ง ด้วยทั้งกระบวนการต่างๆ ยังไม่แล้วเสร็จ และบรรยากาศยังไม่เหมาะให้มีการเลือกตั้ง

จุดสังเกตสำคัญว่าอาจมี “คนมีสี-คนกันเอง” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง คือเหตุบังเอิญที่ว่า กล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุระเบิด “ห้องวงษ์สุวรรณ” ชำรุดไม่สามารถใช้งานได้ถึง 9 ตัว จากที่มีอยู่ 13 ตัว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ออกมาภายหลัง หากจับสังเกตในวันเกิดเหตุกลับไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนไหนเลยที่พูดถึงการหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิด

หรือกระทั่งภาพจากกล้องวงจรปิดตัวที่สามารถใช้งานได้ ก็น่าจะพอปะติดปะต่อเส้นทาง-พฤติกรรม “บุคคลต้องสงสัย” ได้ไม่มากก็น้อย แต่ก็ดูจะไม่ให้ความสำคัญ ส่งผลให้ “หลักฐานเด็ด” มีแค่ภาพถ่ายความคมชัดต่ำที่ถ่ายไว้โดย “พลเมืองดี” ก่อนเกิดเหตุราว 5 นาที โดยมีสิ่งแปลกปลอมคือ “แจกันดอกไม้” ที่เจ้าหน้าที่ รพ.พูดตรงกันว่า ไม่เคยมีใครเห็นอยู่ตรงนั้นมาก่อน พร้อมด้วยบุคคลประกอบฉากอีก 2-3 ราย ที่มีการระบุว่าเป็น ผู้ป่วย และได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ โดยไม่น่าใช่ผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด

การก่อเหตุที่ “ห้องวงษ์สุวรรณ” แทนที่จะเป็นห้องอื่นๆ ข้างเคียงที่มีชื่อห้องเป็นนามสกุลของอดีตทหารใหญ่เช่นกัน สามารถตีความได้ว่าเป็นการถูกกระทำ จนอาจนำมาเรียกคะแนนสงสาร เหมือนที่เคยมีการปล่อยข่าวลอบสังหารตัวเองเมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย





ไม่เพียงเท่านั้นยังมีข้อพิรุธส่วนประกอบของระเบิด “ไปป์บอมบ์” ที่นิยมใช้ในการสร้างสถานการณ์ แต่หนนี้มีการบรรจุ “ตะปู” นับร้อยตัวไว้ ทำให้ดูเหมือนเป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบ “หมายปองชีวิต” แต่กลับพบว่าระเบิดที่ใช้นั้นเป็น “ระเบิดแรงดันต่ำ” ที่ไม่ได้สร้างความเสียหายในวงกว้าง รวมทั้งจุดที่แจกันดอกไม้ที่เชื่อว่ามีการบรรจุระเบิดไว้ ก็เป็นการแปะไว้ที่บริเวณมุมห้อง ผิดวิสัยการหมายเอาชีวิต ที่ควรต้องเลือกทำเลในมุมที่สามารถทำร้ายคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้ถนัดถนี่มากกว่านี้ สุดท้ายก็เป็นข่าวดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ผู้บาดเจ็บก็มีบาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เป็นการสับขาหลอกให้ดูเหมือนใช้ระเบิดอานุภาพร้ายแรง พร้อมด้วยเครื่องเคียงตะปูนับร้อยตัว แต่ผลที่สุด ไม่มีคนตายหรือบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด

ทว่า นั่นก็เป็นเพียงข้อสังเกตอีกเช่นกัน และมีความเป็นไปได้ไม่มากนัก

จนมาถึงกลุ่มสุดท้าย “เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์” ที่ต้องการสร้างสถานการณ์บั่นทอนความเชื่อมั่นรัฐบาล คสช. เป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะรู้กันดีว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ คสช. ตั้งตัวเป็นศัตรูกันมาแต่ไหนแต่ไร ตลอดจนการเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เสียประโยชน์จากการเข้ามาของ คสช.มากที่สุดคนหนึ่ง

ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ตั้งแต่เข้าศักราชใหม่ 2560 ก็มีเหตุการณ์ทำนองใกล้เคียงกันมาแล้ว ทั้งที่หน้ากองสลากเก่า ถ.ราชดำเนิน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ต่อมาถึงหน้าโรงละครแห่งชาติ ใกล้สนามหลวง ซึ่งมี “กลิ่นอาย-ลายเซ็น” เหมือนเหตุระเบิดหลายๆ ครั้งในช่วงที่ คสช.เรืองอำนาจ ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงกลุ่ม “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์” ที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุน “ระบอบทักษิณ” อยู่

แต่ก็เกิดคำถามในมุมที่ “ย้อนแย้ง” กันอยู่บ้าง เพราะในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ และ คสช.กำลังเดินตามโรดแมประยะสุดท้าย ซึ่งก็มีการพูดเรื่องการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้า ในช่วงเดือน ส.ค. 61 หรืออย่างมากก็ไม่เกินช่วงปลายปี 2561 ดังนั้นคนในระบอบทักษิณ หรือคนเสื้อแดง ที่หวังใช้คูหาเลือกตั้งตะกายกลับเข้าวังวนอำนาจให้เร็วที่สุด ไม่น่าจะต้องการให้มีสถานการณ์ความไม่สงบ ที่ไปเข้าทาง คสช. ใช้เป็น “ข้ออ้าง” ยืดการเลือกตั้งออกไปอีก

หากแต่ก็มี “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์” ที่บางส่วนใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เกลียดทหาร - เกลียด คสช. ถือเอาฤกษ์ดีวันครบรอบ 22 พฤษภาคม ปฏิบัติการตบหน้า คสช. ด้วยประเมินแล้วว่า ถึงมีการเลือกตั้งอำนาจก็ยังไม่พ้นมือ “ขุนทหาร” อยู่ดี การสร้างสถานการณ์เย้ยอำนาจ คสช. อาจเป็นเชื้อให้เกิด“อุบัติเหตุแทรกซ้อน” จนรัฐบาล คสช.ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านก็เป็นได้

การที่ “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์” ถูกหมายหัวว่า อาจมีส่วนในการก่อเหตุรุนแรงในยุค คสช.มาโดยตลอด ก็เนื่องเพราะแนวนโยบายการสร้างสงบให้กับประเทศ และการสร้างเสถียรภาพให้กับ คสช. ภายใต้ความรับผิดชอบของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าทีมความมั่นคงของรัฐบาลนั้น “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” มาโดยตลอดตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ทั้งที่มีโอกาสในการกำราบ-กวาดล้าง “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์” ให้สิ้นซาก ในจังหวะเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ ถ.อักษะ หรืออีกหลายจุด ซึ่งเป็นศูนย์รวมแนวร่วมฮาร์ดคอร์เกือบทั้งประเทศในคราวนั้น แต่ฝ่ายความมั่นคงภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” กลับเลือกที่จะเงื้อดาบอาญาสิทธิ์ของ “รัฏฐาธิปัตย์” ในเชิงขู่ให้หวาดกลัวเท่านั้น และเลือกที่จะจัดการกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่มีชื่อเสียงในระดับ “ผู้นำมวลชน” โดยปล่อย “ฮาร์ดคอร์ตัวจริง” ที่เป็นระดับปฏิบัติลงมือให้ลอยนวล

จึงเสมือนเพาะเชื้อ “เสื้อแดงฮาร์ดคอร์” ให้ลุกลามเติบโตในทางใต้ดินมาตลอดยุค คสช. เมื่อมีจังหวะก็เล่นทีเผลอ ลูบคมอำนาจ คสช.ไปเรื่อย แถมเป็นปฏิบัติการที่ไร้รูปแบบ ไม่มีกติกา จนอาจเลือกสถานพยาบาลอย่างไม่แยแสคำก่นด่าของสังคม

เป็น “บิ๊กป้อม” ที่เลือกซื้อใจฝ่ายตรงข้าม เพื่อหวังปลุกปั้นบรรยากาศปรองดอง และ “สร้างบารมีตัวเอง” ในการประสานขุมข่ายการเมืองต่างๆ เพื่อหวังให้ทางสะดวกในระหว่างที่ตัวเองมีอำนาจ หรือกระทั่งการสืบต่ออำนาจในอนาคต

จึงจะเห็นได้ว่า ตลอด 3 ปี คสช. ที่ว่ากันว่ามีการกวาดล้างคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงปลาซิว-ปลาสร้อย หรือบุคคลมีชื่อที่อยู่หน้าฉาก แต่สำหรับ “ฮาร์ดคอร์ตัวจริง” ยังอยู่ดีมีสุขทั้งในและต่างประเทศ ... พล็อตเรื่องก็คล้ายๆ กับนิทานอีสป “ชาวนากับงูเห่า”

สำทับกับข้อมูลล่าสุดที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า การวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เชื่อมโยงกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่เคยถูก คสช.จับ และได้เอ่ยชื่อ “โกตี๋” วุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดงปทุมฯ ที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศขึ้นมา

เป็น “โกตี๋” ที่มีความเคลื่อนไหวปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทยผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง “บิ๊กป้อม” เคยประกาศว่าได้ประสานกับ ทางการ สปป.ลาว ที่มีข้อมูลว่า “โกตี๋” และพวกหลบซ่อนอยู่ เพื่อขอตัวกลับประเทศมาดำเนินคดี ตามมาด้วยการเข้าตรวจค้นยึดอาวุธสงครามเครือข่ายของโกตี๋ได้เป็นจำนวนมาก

หากแต่การไล่ล่าตัว “โกตี๋” จากต่างประเทศกลับเงียบหายไป

ในขณะเดียวกันก็คงตัดชื่อ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” ออกจากวงจรไม่ได้ อย่างที่บอก “นักโทษหนีคดี” ย่อมอยากให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด เพื่อหวังพลิกขั้วอำนาจ ตามสัญญาณที่ส่งลิ่วล้อ หรือน้องสาว “หนูปู” ออกมากระตุ้นรัฐบาล คสช.เป็นระยะ ให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ผนวกกับข่าวไล่เทกโอเวอร์พรรคการเมืองอื่น เพื่อเตรียมเข้าสมรภูมิเลือกตั้งครั้งต่อไป

ยิ่งในสถานการณ์ “คสช.ขาลง-เรตติ้งลุงตู่ตก” แบบนี้ สู้อยู่เฉยๆ การเมืองนิ่งๆ นับนิ้วให้ถึงวันเลือกตั้ง โอกาสเข้ากุมอำนาจ หรือเพิ่มราคาต่อรองกับ คสช.ในอนาคตอันใกล้ก็มีมากโข

แต่ก็ต้องวิเคราะห์ถึงปัจจัยเร่งที่ “ทักษิณ” อาจเลือกเดิมเกมเสี่ยงเพื่อล้มกระดานอำนาจ คสช.โดยเร็ว เพราะคดีความของคนในครอบครัวก็งวดเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่คดีจำนำข้าวของ “หนูปู” ที่มีช่องให้ยื้อไปอีกหลายยก ที่สุดหากถูกตัดสินว่าผิด ทั้งในทางอาญา หรือถูกอายัดทรัพย์สิน เพื่อชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ก็ไม่ยาก แค่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปซุกหัวอยู่กับพี่ชายที่ต่างแดน

ที่ต้องจับตามองมากกว่าคือ “คดีกรุงไทย” ที่มี “ลูกโอ๊ค” บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ที่มีข่าวหนาหูว่าคืบหน้าไปมาก จนตอนนี้ “ลูกโอ๊ค” ใกล้ถูกจับคอพาดเขียง “ดีเอสไอ” ตั้งแท่นเตรียมสรุปฟ้องฉกรรจ์อย่าง “รับของโจร - ฟอกเงิน” แม้โทษไม่หนัก แต่ก็คงเลี้ยงไม่โต

เมื่อภัยจะมาถึงลูกรัก อาจทำให้ “พ่อ” หน้ามืด เล่นเกมเสี่ยงที่ไม่มีใครคาดถึงอย่างที่สงสัยกันอยู่ก็เป็นได้

ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มใด เหตุระเบิด “ห้องวงษ์สุวรรณ” นั้นเป็นการประจานถึงความล้มเหลวอ่อนด้อยงานด้านความมั่นคงของ คสช. มากกว่าที่จะเป็นผลงานเชิดหน้าชูตา การที่มีอำนาจล้นมือ รวมทั้งมีสรรพกำลังพร้อม แต่ปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่กระทบชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มีคนเจ็บตายแทบจะเป็นรายเดือน เช่นนี้คงปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้

โดยเฉพาะในส่วนของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีการออกโรงเข้ามาแสดงตัวบัญชาการงานที่ตัวเองรับผิดชอบแต่อย่างใด

การเลือกที่จะหายตัวและกบดานอยู่ในที่ตั้ง มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ฐานบัญชาการอำนาจของตัวเอง ไม่น่าจะใช่วิสัยของผู้ที่เป็นรองนายกฯ รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง หรือที่ผู้คนต่างแซ่ซ้องว่าเป็น “พี่ใหญ่” หรือ “ป๋าป้อม” แต่อย่างใด.