วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 11, 2560

“อย่างนี้เขาเรียกว่าหดตัวครับ ไม่ใช่ขยายตัว” ตัวเลขการลงทุนจริงติดลบรวดสามปีซ้อน

คำสั่ง คสช. ให้ทุกหน่วยแถลง ผลงาน ครบรอบ ๓ ปี คสช. ที่จะมาถึง ๒๒ พ.ค.นี้ กลับเป็นพิษ ไม่ใช่เพราะมีใครไม่ทำตามหรอกนะ แต่เพราะเขาพยายามทำตามก็เลยทำให้คนดูจับได้ว่า โกหก

ตรงกับวันวิสาขบูชาพอดี ที่ บรรยงค์ พงษ์พานิช จับเท็จบีโอไอจากพาดหัวข่าว นสพ.โพสต์ทูเดย์ ที่ว่า “ลงทุนโต ๑.๗ ล้าน ล. ๓ ปีนโยบายประยุทธ์เห็นผล บีโอไอควงสมคิดเดินสายโร้ดโชว์ญี่ปุ่น”

(ขออภัยไม่มีลิ้งค์ข่าวนี้ของโพสต์ทูเดย์ เชื่อว่าถูกถอดออกไปแล้ว แต่ฉบับพิมพ์ยังมีอยู่ทั่วไป)

เนื้อหาก็เป็นดังบรรยงค์เขียนไว้บนหน้าเฟชบุ๊คของเขา “ช่างสอดคล้องกับคำสั่งให้ทุกหน่วยงานแถลงผลงานในช่วงสามปีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศ ว่าทำคุณประโยชน์ให้ประเทศอเนกอนันต์ขนาดไหน”


วันก่อน นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ออกมาแถลงว่า “จากนโยบายส่งเสริมการลงทุน...จะทำให้การขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส ของปีนี้

และมั่นใจว่าจะทำให้เกิดการลงทุนจริงจากโครงการอื่นๆ ในช่วง - ปีนี้ อีกไม่น้อยกว่า ล้านล้านบาท

ทั่นเลขาฯ พยายามให้ตัวเลขที่เห็นแล้วร้องซี้ดซู่ซ่า ช่วงปีที่ผ่านมา (ปี ๕๙ ถึงไตรมาสแรกปีนี้) มีการลงทุนจริง ๕ แสน ๗ หมื่นล้าน เฉพาะไตรมาสที่ ๑ ของปีนี้ปาเข้าไป ๘ หมื่นล้านแล้วเด๊อ

ตั้งแต่การเข้ามาบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้เกิดการลงทุนจริงรวม ปี ตั้งแต่ ๒๕๕๗ จนถึงไตรมาแรกปีนี้ รวมสูงถึง . ล้านล้านบาท

ซึ่งเป็นผลจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล ที่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อคการลงทุน เน้นอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนมากขึ้น


บีโอไอแถลงอย่างนี้ มีหรือสื่อสายหลักทั้งหลายจะไม่ตาม ทว่าพอลงลึกรายละเอียดตัวเลข ทำให้บรรยงค์ต้องชี้แจง “อย่างนี้เขาเรียกว่าหดตัวครับ ไม่ใช่ขยายตัว”

ในเมื่อ “ตัวเลขการลงทุนจริงที่เกิดจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ในปี ๒๕๕๗ มีการลงทุน ๖๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ปี ๒๕๕๘ ลดเหลือ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท พอปี ๒๕๕๙ หดลงอีกมีแค่ ๔๙๐,๐๐๐ ล้านบาท”

อดีตกรรมการ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด แจงสี่เบี้ยต่อไปอีกว่า ถ้าเทร็นด์เป็นไปตามเส้นทางของสถิติอย่างนั้น “ถ้าอีกสามไตรมาสยังลงน้อยเท่าๆ นี้” จำนวนการลงทุนของปีนี้ “จะมีแค่ ๓๒๐,๐๐๐ ล้านบาทเท่านั้น”

“มันเท่ากับว่า ปี ๒๕๕๘ หดตัว -๑๗% ปี ๒๕๕๙ หดอีก -๒% แถมปีนี้ทำท่าจะหดได้มากถึง -๓๕% เลยทีเดียว” ติดลบรวดสามปีซ้อน

แล้วที่ทั่นเลขาฯ บีโอไอว่าไว้ (ข้างต้น) ว่าในสามปีนี้จะมีลงทุนถึง ๑ ล้านล้านน่ะ คุณบรรยงค์บอกว่า “ยิ่งน่ากลุ้มใจจนอยากเอาตีนก่ายหน้าผาก เพราะนั่นมันลดลงจากสามปีก่อนถึงกว่าหนึ่งในสามเลยทีเดียว”
บรรยงค์ พงษ์พานิช

ยังไม่หมด วันนี้ขอเล่าเรื่องของคุณบรรยงค์เต็มๆ สักหน่อย ด้วยว่าสิ่งที่นักการเงินแนวหน้าระดับชาติผู้นี้กรุณาชี้ความจริงที่ผู้รู้ไม่ค่อยจะแจงกัน เป็นคุณูปการแก่ประเทศและประชาชนอย่างใหญ่หลวง

และอย่าหวังว่า คสช. จะแจ้งต่อประชาชน ชั้นเชิงการโป้ปดของรัฐบาลทหารไทยขึ้นชื่อเสียจน เดี๋ยวนี้ เดอะดอแนลด์ทรั้มพ์เอาอย่าง 

(ขอนอกเรื่องสักนิดว่า ที่ทรั้มพ์ไล่ออกโคมี่ ผอ.เอฟบีไอ กลางฟรีเวย์ เจ้าตัวรู้ข่าวจากโทรทัศน์ขณะพบปะกับเจ้าหน้าที่ขององค์การเอฟบีไอในลอส แองเจลีส ต้องรีบปั่นขบวนรถเอสยูวีไปสนามบิน ขึ้นเครื่องกลับวอชิงตันนั้น

ทรั้มพ์อ้างว่าไล่ออกเพราะทำงานไม่ได้เรื่อง ในการสอบสวนกรณีอีเมลของนางฮิลลารี่ คลินตัน แต่แท้จริงเป็นการฆ่าตัดตอนทางการเมือง เมื่อโคมี่กำลังขยายการสอบสวนกรณีทีมหาเสียงของทรั้มพ์มีส่วนรู้เห็นกับการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐโดยรัสเซีย)

สไตล์เดียวกัน รัฐบาลบิ๊กตูบพยายาม ยกตนว่าสามารถประคองเศรษฐกิจมาได้ดี มองเห็นแสงไฟเจิดจ้าข้างหน้า แต่ไม่มีการให้รายละเอียดการตีความตัวเลขตามจริง ซึ่งอาจ “แปลว่าเรากำลังเจอปัญหาหนัก และเศรษฐกิจยากที่จะฟื้นไปอีกหลายปี”

บรรยงค์เอ่ยถึงงานวิจัยเรื่อง สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับการดึงดูดนักลงทุน” ของ ของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER)’ ว่าทำให้เกิดการกังวลเพิ่มขึ้น

“เพราะว่าประเทศไทยอัดฉีดส่งเสริมมากสุดในอาเซียนแล้ว เรามีอัตราภาษี Effective Rate แค่ ๗.% เท่านั้นเอง ขณะที่ฟิลิปปินส์มี ๑๗.% อินโดนีเซีย ๑๓.% มาเลเซีย ๑๐.% และเวียดนาม ๙.% ซึ่งงานวิจัยก็แนะนำว่าการส่งเสริมโดยลดภาษีจะไม่ช่วยอะไรอีก”

นายบรรยงค์ฟันธง “การจะไปโรดโชว์กี่ร้อยเที่ยวก็อาจจะไม่เกิดผล” ทั้งนี้เพราะการลงทุนภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญที่หดหายไป แล้ว ทำไมเอกชนไม่ยอมลงทุน”

“ถ้าไปคิดเอาแค่ง่ายๆ ว่าเพราะไม่มั่นใจ หรือไปคิดว่าจะกระตุ้นได้โดยแค่ลดภาษี หรือแค่ให้รัฐลงทุนนำ หรือจะแค่ทำนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ผมว่ามันจะเสี่ยงเกินไป”

เรื่องเสี่ยง คสช. เขาไม่กลัวกันหรอก พวกนี้กล้าหาญทั้งนั้น ไม่งั้นจะตั้งยุทธศาสตร์ชาติไว้รอเห็นผลอีก ๒๐ ปีละหรือ