วันอาทิตย์, เมษายน 09, 2560

ร้อยเล่ห์พันลิ้นเอาทุกอย่างที่ต้องการ





นึกแล้วเชียว เมื่อวันก่อนเห็นคำสั่ง หน. ‘หัวนอ’ คสช. ที่ ๒๓ ตะหงิดๆ คิดว่าน่าจะมีแอบแฝง เพิ่งแจ่มแจ้งเมื่อ Watana Muangsook เปิดโปง

“เจตนาที่แท้จริงของหัวหน้า คสช. คือต้องการแต่งตั้งบุคคลที่ตัวเองต้องการ จึงต้องรีบออกคำสั่งเพื่อหลีกเลี่ยงคุณสมบัติและวิธีการสรรหาตามมาตรา ๒๐๐ ของรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ”

แล้วหยั่งงี้ ใครหนาว่าลุงตูบ ‘เง่า’ เขาไม่งี่และไม่โง่ แค่ร้อยเล่ห์พันลิ้นเอาทุกอย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะเรื่องคำสั่งตั้ง ตลก. ศาลรัฐธรรมนูญนั่น จะ “มีวาระดำรงตำแหน่งถึง ๗ ปี หรือเท่ากับสองช่วงรัฐบาลที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ คสช.

(ดูรายละเอียดที่นี่ https://isranews.org/isranews-news/55267-isranews-55267.html)

จึงเท่ากับว่าประชาชนถูกหลอกให้ไปออกเสียงประชามติแต่ถูกหัวหน้า คสช. เบียดบังสิทธิของประชาชนไปใช้เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ...

กลายเป็นเครื่องยืนยันว่า คสช. ต้องการควบคุมประเทศนี้ต่อไปโดยเอาสิทธิของประชาชนมาแต่งตั้งคนของตัวเอง เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ ที่ถูกออกแบบให้มีอำนาจควบคุมอำนาจที่มาจากประชาชน”

(https://www.facebook.com/WatanaMuangsook/photos/a.684324191703113.1073741828.684312115037654/944035035732026/?type=3&theater)

ด้วยเหตุนั้น ‘นิรโทษกรรมสากล’ ถึงได้บอกไว้แต่ต้นว่า แม้จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ “ถึงกระนั้นก็แทบไม่มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนที่กำลังเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงในประเทศ

รัฐบาลทหารของไทยยังคงมีอำนาจอย่างกว้างขวางในการปกครอง จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง อีกทั้งรัฐบาลใหม่ก็ได้รับอำนาจอย่างเสรีในการจำกัดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นผลมาจากข้อบัญญัติต่างๆ ที่กำกวม”

มันพ้องกับความจริงที่ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน แจ้งว่า ปัจจุบันยังคงเหลือผู้ต้องหาประชามติอยู่อีกทั้งหมด ๒๑๒ ราย

(http://www.citizenthaipbs.net/?p=18589)

เหตุเดียวกันจึงได้มีกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย ‘จำเป็นต้องฮาราคีรีตัวเอง’ ยื่นหนังสือลาออกเพราะ ‘บรรยากาศไม่เอื้อต่อการทำงาน’ โดยมีกรรมการสิทธิฯ อีกคนออกมายืนยันว่า

“บอกตรงๆ ปัญหาตอนนี้หลังเจอปัญหาเรื่องการจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งในการทำงานเรื่องนี้ก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว ยังมาเจอปัญหาภายในอีกที่มันทำให้ทำงานยาก”





อังคณา นีละไพจิตร พูดถึงการที่ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย บอกว่า ‘ต้องไป’ เนื่องจาก “บรรยากาศมันขับเคลื่อนไปข้างหน้าไม่ได้ ที่ผ่านมาก็พยายามปรับเปลี่ยนการทำงานภายในเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่มันก็มีเรื่องอื่นๆ อีกเยอะ”

(http://prachatai.org/journal/2017/04/70941)

ปัญหาที่องค์กรสิทธิมนุษยชนไทยไม่สามารถปฏิบัติงานของตนให้สมชื่อได้เช่นนั้น Amnesty International, Thailand. ถึงได้ “เรียกร้องรัฐบาลไทยให้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ และยอมรับที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของตน”

เสร็จแล้ว คสช. ว่าไง พูดถึงการใช้คำสั่งมาตรา ๔๔ อำนาจเบ็ดเสร็จ ตามล้างตามเช็ดใครก็ได้ต่อไปอีกอย่างน้อย ๘ เดือนว่า

“จำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองก่อน ปัจจุบันยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มฝ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง...ยังมีคนที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองอยู่...มีบางกลุ่มเคลื่อนไหวอยู่ทางโซเชียลมีเดีย ทั้งการโจมตีฝ่ายการเมืองและโจมตีรัฐบาล”

(http://www.thairath.co.th/content/908846)

แหม่ ถ้าดีจริง โจมตีอย่างไรก็ไม่บุบสลาย แต่ที่ห้ามเขาโจมตีเพราะกลัวเจ็บใช่ไหมนี่

จำเพาะเรื่องพวกทหาร คสช. รวยกันล้นก็ควรแก่การโจมตีอยู่แล้ว อุตส่าห์ตระบัดลิ้นว่าเข้ามาปราบคอรัปชั่น กล่าวหาแต่พวกการเมือง (เลือกตั้ง) ฉ้อราษฎร์ บังหลวง เจอพวกตัวเองหุบเงียบ

เช่น ปรากฏว่าทหารใหญ่สองสามคนเงินเดือนเป็นล้าน “พลโทธนเกียรติ ชอบชื่นชม ผู้บัญชาการศูนย์รักษาการความปลอดภัยกองบัญชาการกองทัพไทย มีทรัพย์สินมากที่สุด...๕๙,๖๕๘,๑๔๗ บาท...

รองลงมาคือพลเอกสสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก และคู่สมรสมีทรัพย์สินรวม ๔๗,๙๘๒,๘๐๔ บาท...ขณะที่พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินรวม ๒๘,๖๗๓,๓๗๙ บาท

(https://www.khaosod.co.th/featured/news_285231)





สำหรับ พล.อ.สสิน นั้นตีแผ่รายได้ออกมาแล้วอิจฉา “มีรายได้รวม ๕,๗๕๖,๘๒๑ บาท เป็นเงินเดือน ๑,๗๙๖,๓๗๖ บาท





เงินเดือนจากกรรมการบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (บริษัทผลิตเม็ดพลาสติกยักษ์ใหญ่ของไทย) ๒,๕๙๗,๗๑๖ บาท และเงินเดือนจากสมาชิก สนช. และสมาชิก สปท. รวม ๑,๓๖๒,๗๒๐ บาท”

ดังที่อธึกกิต (Atukkit Sawangsuk) คอมเม้นต์อีกนั่นแหละ “โวยกันนัก อธิการบดีเงินเดือนมากกว่านายกฯ อย่างน้อยอธิการบดีก็ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ทหารไม่ต้องแจ้ง เว้นแต่เป็น สนช. จึงเปิดเผยให้ตะลึง”

เงินเดือนจากสามสี่แห่ง แหล่งละล้านกว่า อย่างนี้มิน่า คสช. (ไม่) ขอ แต่ว่าจะอยู่ยาว