วันพฤหัสบดี, เมษายน 06, 2560

ระหว่างนี้ประชาชนต้อง ‘อยู่เป็น’ กับมาตรา ๔๔ ไปก่อน





วันนี้สินะ พระราชทานรัฐธรรมนูญใหม่ประเทศไตแลนเดียฉบับที่ ๒๐ ห่างกับครั้งก่อนที่มีพระราชพิธีเช่นนี้ ๔๙ ปี จัดเป็นครั้งที่สามนับแต่การพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕

รวมความว่าทั้งสามครั้งเป็นรัฐธรรมนูญที่ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมา จะเป็นเพียงสัญญลักษณ์ หรือเป็นดั่งเสมือนจริงสำหรับปวงชนชาวไทย ก็ต้องดูกันไปภายภาคหน้า ว่าจะมีฉบับที่ ๒๑ (บรรลุนิติภาวะ) ด้วยไหม ไม่รู้ได้

ในเมื่อรัฐธรรมนูญ ๖ เมษา ๖๐ ที่ออกมา ยังไม่ปรากฏรายละเอียดสุดท้ายว่าเป็นอย่างไรแน่ นับแต่คณะกรรมการร่างฯ นำไปปรับแก้ในช่วง ๗ เดือนที่ผ่านมา แล้วไม่ได้มีการเปิดเผยเนื้อหาต่อสาธารณะ จึงเกิดการคาดหมายทายทัก

ให้ต้องลุ้นและรอดูกัน ดังที่ Thanapol Eawsakul เล่าขานถึง “ประมวลข่าวลือเรื่อง รธน. ๖ เมษา ๒๕๖๐ เท่าที่ฟังมา

๑.ตัดเฉพาะวรรค ๒ วรรค ๓ มาตรา ๕ เพื่อให้กลับไปสู่มาตรา ๗ ของ รธน. ก่อนหน้า ๒.ตัดข้อกำหนดว่าด้วยการตั้งผู้สำเร็จราชการ ๓.เปลี่ยนวิธีการตั้งวุฒิสภา ๔.ยกเลิกยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี ๕.รื้่อบทเฉพาะกาล
ฯลฯ”

อะไรก็เป็นไปได้และไม่ได้ ตามแบบไทยๆ โดยเฉพาะเรื่องยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี

แต่ที่แน่ๆ มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่หัวหน้า คสช. ใช้ในการครองเมืองตามพอใจ จะยังคงอยู่อีกช้านานแค่ไหน ใครจะรู้

ทั้งที่เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐธรรมนูญชั่วคราวจะต้องสิ้นสุดไป ทว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่คณะยึดอำนาจประกาศใช้เมื่อปี ๒๕๕๗ นี้มีลักษณะวิเศษด้วยฤทธิ์เดชมหันต์

จาก “การกำหนดเอาไว้ในมาตรา ๒๖๕ ว่าอำนาจเดิมของ คสช.จะมีผลต่อไปจนกว่า คสช.จะสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการยกเลิกต้องออกเป็น พ.ร.บ.ในการยกเลิก”

(http://www.posttoday.com/analysis/politic/488783)

ไม่เท่านั้น ที่วาดหวังฝันหวานกันว่า อาจจะได้เลือกตั้งภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ก็เห็นท่าจะต้องฝันกันต่ออีกสักปี (อย่างน้อย) ดังที่คนร่างรัฐธรรมนูญเองออกมาแจ้งให้ทราบ

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ให้สัมภาษณ์ล่าสุดวันนี้ว่า “เงื่อนไขในการจัดการเลือกตั้งยังมีหลายปัจจัย

เช่น พรรคการเมืองจะสามารถปฏิบัติตามข้อบังคับใน กฎหมายพรรคการเมืองใหม่ได้หรือไม่ รวมทั้งการสรรหา กกต.ใหม่ให้ทันกับเวลา หากถูกองค์กรอิสระชี้ชัดว่าขาดคุณสมบัติเหลือ กกต. ไม่ถึง ๔ คน ก็ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้

ส่วนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมถึง ๔ ฉบับที่เกี่ยวข้องกับเลือกตั้ง ต้องยกร่างให้เสร็จภายใน ๘ เดือน

แต่ก็ต้องขึ้นกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะพิจารณาเสร็จสิ้นได้เมื่อไร แต่คาดว่าการเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นในช่วงปลายปี ๒๕๖๑”

(http://news.voicetv.co.th/thailand/477921.html)

ที่หมายตาเอาไว้จะได้เลือกตั้งเร็วเพราะ พวก สนช. สปท. กระสันต์อยากไปลงเลือกตั้งกันใจจะขาด นั่นก็มีแค่ยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น

และเป็นที่รู้กันอยู่ว่าพวกสมาชิกสภาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นทหารแม่ทัพนายกองที่ คสช. ส่งเข้าไปช่วยงานนิติบัญญัติ คอยให้คำแนะนำ ชี้แนะ และสะกิดสมาชิกสายนักกฎหมายให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่ต้องเสียเวลา คสช. คอยจี้คอยไช

ด้วยเหตุแห่งความละเอียดถี่ถ้วนของ สนช. นั้นละมัง นายมีชัยถึงไม่อาจคาดหมายได้ว่า การทำคลอดกฎหมายลูกจะเสร็จเมื่อไร ระหว่างนี้ประชาชนจึงต้อง ‘อยู่เป็น’ กับมาตรา ๔๔ ไปก่อน

โดยที่การบังคับใช้มาตรา ๔๔ นี้ทำท่าจะถี่ยิบยิ่งขึ้น รวมทั้งใช้อย่างสุกเอาเผากินเหมือนกรณีออกคำสั่งบังคับใช้กฎหมายรัดเข็มขัดนิรภัยบนรถยนต์ อันก่อให้เกิดเสียงคัดค้านและล้อเลียนอย่างแพร่หลาย

จนท้ายสุดทางการรัฐบาล คสช. ยอมถอย ประกาศให้ประชาชนนั่งโดยสารบนกระบะและในห้องแค้ปซูลหลังคนขับได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์





พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผบ.ตร. แถลงว่า “รัฐบาลจึงมอบให้คณะทำงานมาชี้แจงกับพี่น้องประชาชนว่า ในกรณีที่มีคำสั่งห้ามนั่งท้ายรถรถกระบะ และห้ามนั่งแคปในรถนยต์ ๒ ประตูนั้น สามารถอนุโลมได้ไปจนถึงช่วงหลังสงกรานต์ แต่ไม่ระบุช่วงเวลา ซึ่งคณะทำงานจะต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง

ในกรณีที่นั่งท้ายกระบะ ห้ามประชาชนนั่งบริเวณขอบกระบะ หากเจ้าหน้าที่พบเห็นก็จะต้องมีการเตือนแต่จะไม่มีการปรับ ส่วนบริเวณภายในกระบะหรือแคป นั้นสามารถนั่งได้ตามความเหมาะสม ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ระบุว่าจะต้องนั่งกี่คน ส่วนการคาดเข็มขัดนิรภัยยังคงบังคับใช้ไปตามเดิมโดยเฉพาะรถตู้โดยสารสาธารณะ”

(http://www.matichon.co.th/news/520697)

มาช้าดีกว่าไม่มา หรือจะว่ากลับหลังทันดีกว่าปล่อยเลยตามเลยก็ได้ แต่ ‘damages have been done’ ไม่เพียงรัฐบาลทหารและสำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกชาวบ้านด่าขรม

ยิ่งคนที่ดูคลิปเป็นจำนวนหลายล้านภายในไม่กี่ชั่วโมง เรื่องพ่อเอาลูกใส่กล่องกระดาษตั้งไว้ในบริเวณแค้ปเพื่อได้ไปเที่ยวสงกรานต์ด้วยกัน เด็กร้องไห้จ้า พ่อต้องปลอบขอโทษ “พ่อจำเป็น เห็นตำรวจก้มหัวลงนะลูกนะ”





ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐบาล คสช.ของลุงตู่ช่างงี่เง่าเสียจริง ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น จนกลายเป็นความนิยมล้อเลียนด้วยแฮสแท็ก #ห้ามนั่งท้ายกระบะ บนทวิตเตอร์ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยการเลี่ยงไปยืนเกาะบันไดข้างรถแทนบ้าง นั่งหลังคาบ้าง นั่งหน้ารถเลยก็มี

(http://www.matichon.co.th/news/520574)





เหตุการณ์อัปลักษณ์ครั้งนี้ เกิดจากความเขลาเบาปัญญาของ คสช.โดยแท้ การบังคับใช้กฎหมายรัดเข็มขัดนิรภัยนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง แต่วิธีบังคับอย่างไรนี่สิ สตช. ไม่รู้ตาสีตาสาเอาเสียเลย ในเมื่อการนั่งกระบะเป็นเรื่องผ่อนผันกันมาจนเคยชิน ก่อนที่จะกลับมาบังคับใช้ก็ควรหาทางออกไว้ให้พร้อมเสียก่อน

อย่างน้อยเกี่ยวกับการนั่งในแค้ปนั่น ควรที่จะจัดการออกระเบียบให้รถกระบะมีแค้ปติดเข็มขัดนิรภัยในแค้ป โดยให้เวลาจัดการสักภายใน ๑ ปี หรืออย่างเร็ว ๖ เดือน

เรื่องง่ายๆ ไม่รู้จักคิดอย่างนี้ ไม่สมกับที่ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญใหม่เลยสักนิด