วันพฤหัสบดี, มีนาคม 23, 2560

พยานนาทีวิสามัญฯ โผล่เพิ่ม เผย 'ชัยภูมิ' มือเปล่าโดนยัดยา มทภ.3 ยันภาพจากกล้องชี้สมควรยิง - ทนาย"น้องชัยภูมิ"กังวลพยานกลัว-ทหาร เสนอตั้งกก.อิสระค้นหาความจริง - อีก58องค์กรเด็ก-จี้สอบ”จับตายลาหู่”




https://www.youtube.com/watch?v=ZEmqbKKUPcs

ทนาย"น้องชัยภูมิ"กังวลพยานกลัว-ทหาร เสนอตั้งกก.อิสระค้นหาความจริง

jom voice

Published on Mar 22, 2017

นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ทำหน้าที่ทนายให้กับนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนเผ่าลาหู่ จังหวัดเชียงใหม่ที่ถูกทหารวิสามัญฆาตกรรมในข้อหามียาเสพติดและพยายามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมด้วย นายศักดา แสนมี่ เลขาธิการเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ Thaivoice เกี่ยวกับความคืบหน้าคดีวิสามัญนายชัยภูมิ ป่าแส โดยนายสุมิตรชัยกล่าวว่า ข้อมูลเวลานี้ออกมาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายเดียว ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานมาหักล้าง ส่วนจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือไม่นั้นก็ต้องพิสูจน์กันต่อไปแต่สิ่งที่จะต่อสู้คือ การวิสามัญฆาตกรรมนั้นเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุและเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่รัฐเพียงฝ่ายเดียว อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ จึงเรียกร้อให้มีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระเข้ามาสอบสวนเหตุการวิสามัญฆาตกรรมครั้งนี้ โดยเชิญผู้เชิญผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านเข้ามร่วม อย่างไรก็ตามในฐานะพยานก็พยายามจะสอบหาข้อเท็จจริงให้มากที่สุด แต่กังวลใจมากเพราะพยานที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมากตอนนี้เกิดความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะให้การซึ่งอันนี้เป็นปัญหาหนึ่งของการทำงาน แต่จะประสานการทำงานกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว รวมทั้งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ด้วย

ooo


พยานนาทีวิสามัญฯ โผล่เพิ่ม เผย 'ชัยภูมิ' มือเปล่าโดนยัดยา มทภ.3 ยันภาพจากกล้องชี้สมควรยิง

Thu, 2017-03-23 19:58
ที่มา ประชาไท

ผู้เห็นเหตุการณ์วิสามัญฯ 'ชัยภูมิ ป่าแส' โผล่เพิ่ม ชี้ไม่มีระเบิดติดตัว - โดนทหารยัดยา ระบุทหารลากตัว ทุบตี กระชากเสื้อ ถีบหน้าอก ก่อนผู้ตายวิ่งหนี แต่ทหารบอก “ยิงมันเลยๆ” ด้านแม่ทัพภาคที่ 3 ยืนยัน ภาพจากกล้องวงจรปิด



ชัยภูมิ ป่าแส (ที่มา: แฟ้มภาพ/flickr prachatai)


23 มี.ค. 2560 สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทหารวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติการณ์การเสียชีวิตของชัยภูมิจากทั้งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รวมไปถึงพยานในเหตุการณ์หลายปาก (อ่านที่นี่)

ผู้เห็นเหตุการณ์เผย ไร้อาวุธ ถูกซ้อม - ยัดยา ได้ยินทหารพูด “ยิงมันเลยๆ”

วอยซ์ ทีวี ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์คนจากกลุ่มชาติพันธุ์ลีซอที่เห็นเหตุการณ์ โดยมีใจความ ดังนี้ (ดูวิดีโอตัวเต็ม คลิกที่นี่)

“มีเก๋งดำ มุ่งมาจากเมืองนะ รถจอดแล้วทหารบอกลงมา จะค้นในรถ น้องคนนั้นบอกทหารว่าผมไม่ผิด ลงไปทำไม จะตรวจก็ตรวจในรถก็พอ แล้วก็ขัดแย้งกัน”

“แล้วทีนี้น้องไม่ยอมลง ทหารเลยกระชากคอลงมา แล้วก็ตี สามคนรุมตี คือว่า ให้ชัยภูมินอนคว่ำ แล้วตีข้างหลัง เอากำปั้นตีหัว เอาตีนถีบ แล้วก็ยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด ปืนเอ็ม16 พอยิงปุ๊บ ทหารลูกน้องก็แห่กันวิ่งมาอีกสามเป็นหกคน” ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าว


ชายผู้เห็นเหตุการณ์พูดเป็นภาษาถิ่น ซึ่งพยานอีกคน ได้แปลเป็นใจความว่า “ทั้งตีทั้งถีบ กระชากเสื้อขึ้นมา ต่อยหน้า แล้วมือข้างซ้ายดึงผม ถีบตรงหน้าอก น้องกระเด็นหงายท้อง พอน้องลุกขึ้นก็วิ่งหนี แล้วระหว่างที่น้องชัยภูมิหนี เขา [ทหาร] กระชากไม่ทัน ทหารคนนั้นล้มหงายท้อง แล้วมันจะมีศาลาที่สามแยก น้องหนีไปทางนั้น แต่ทหารที่ไม่มีอาวุธทั้งสองคนก็ล้มเหมือนกัน ทหารอีกคน ตีนไปถูอะไรไม่รู้เลือดออก ทหารที่ไล่ชัยภูมิใส่เสื้อแขนสั้น แล้วพอหนีไปถึงที่หน้าบ้านตำรวจ ก็มีทหารพูดว่า ยิงมันเลยๆ”

“ทหารก็วิ่งมาอีกสองคน ถือปืนมาแล้วก็ยิงไปสามนัด แล้วทีนี้ลีซอก็แห่กันไปดู ก็บอกว่า ไม่ต้องมาดูๆ ยังไม่ตายๆ แล้วก็เอามือไปปั๊มหัวใจ” ผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าว


ผู้เห็นเหตุการณ์ได้กล่าวว่า ชัยภูมิไม่มีระเบิด ไม่มีอาวุธติดตัวสักอย่าง เพราะตอนนั้นชัยภูมิใส่แค่กางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม โดยนักกิจกรรมหนุ่มนั้นวิ่งหนีอย่างเดียว ไม่มีการขว้างปาระเบิดแต่อย่างใด

“น้องไม่มีอะไรใดๆทั้งสิ้น ใส่กางเกงขาสั้น ใส่เสื้อกล้าม ตัวน้องไม่มีระเบิดไม่มีอะไรซักอย่าง เสื้อกล้ามตัวเดียว ผู้ตายไม่มีอะไรในมือซักอย่าง น้องกลัวมาก ไม่ได้หันกลับมาอีกเลย วิ่งหน้าอย่างเดียว”

“น้องไม่ต่อสู้กับทหาร น้องก็นอนอยู่ ทหารเขาก็ตี เอาเท้าถีบตรงที่ท้อง พอน้องชัยภูมิโดนถีบตรงหน้าอกกระเด็นไป พอลุกขึ้นมาแล้วก็วิ่งหนี ตอนน้องหนีทหารยิงปืนสามนัด น้องก็ล้ม” ชายผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าว


หลังจากนาทีสังหารชัยภูมิ หญิงผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า เห็นทหารเปิดกระโปรงรถ ยัดยาบ้าลงไป รวมถึงนำมีดไปถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

“พอน้องชัยภูมิตายปุ๊บ ทหารก็เอากระเป๋าของน้องไปที่ห้องทหาร อีกซักพักก็เอากระเป๋าใบนั้นกลับมาไว้ที่รถ คนที่นี่เห็นทหารยัดยาบ้าใส่ แล้วมีมีดอันนึงที่ทหารถือไว้ แล้วก็ไปหลังรถแล้วก็ถ่ายรูป”

“ยาบ้านี่เอามาจากไหนไม่รู้ แต่รู้สึกว่าเอามาจากที่ห้องของทหาร เอามาแล้วก็เอามาใส่ไว้ที่หน้ารถ สีเหลืองๆ ม้วนๆมา ก็ห่อไว้ คนหนึ่งเปิดกระโปรงหน้ารถ อีกคนหนึ่งใส่ยาบ้าส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งทหารไว้ไหนก็ไม่รู้ จากนั้นก็เอามีดมาถ่ายรูป” หญิงผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าว

มทภ.3 โต้ ทหารยิงสมควรแล้ว พิสูจน์วงจรปิด “เป็นผมอาจกดออโต้ไปแล้วก็ได้”

วันเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า การตั้งด่านเป็นการตั้งด่านปรกติ สามารถตรวจสอบได้จากกล้องวงจรปิด CCTV เจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าไปค้นรถไม่ได้ถืออาวุธ มีเพียงชุดรักษาความปลอดภัยที่ถืออาวุธเข้าเวรยาม โดยในวันนั้นได้ทำการตรวจค้นตามปรกติ แต่ชัยภูมิมีพิรุธ เมื่อถูกเชิญลงจากรถได้วิ่งหนีและพยายามขว้างระเบิดมา เจ้าหน้าที่จึงต้องยิงป้องกันตัว โดยเล็งไปที่แขนแต่เฉียดไปโดนจุดสำคัญ


พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ (ที่มา: ภาพข่าวประชาสัมพันธ์ กองทัพบก ภาคที่ 3)


พล.ท.วิจักขฐ์ ยังกล่าวว่า ตนเชื่อว่าชัยภูมิค้ายาจริง เนื่องจากหลักฐานเส้นทางการเงินและพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างมือเติบของชัยภูมิทั้งที่ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง เป็นนักเคลื่อนไหว รวมถึงมีหลักฐานว่าชัยภูมิเกี่ยวพันกับการค้ายามาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2560 แล้ว แม่ทัพภาคที่ 3 วอนสังคม ให้ว่ากันด้วยข้อเท็จจริง ทางเจ้าหน้าที่จะดูแลครอบครัวผู้สูญเสียเป็นอย่างดี ทั้งยังกล่าวในมุมของทหารว่า “ปกติการตัดสินใจของพลทหาร ถ้าเป็นผมในเวลานั้นอาจกดออโต้ไปแล้วก็ได้”

“คดีนี้ว่าด้วยหลักฐานข้อเท็จจริง ไม่ใส่ร้าย รวมทั้งผู้บังคับหน่วยสอนลูกน้องดี มีการฝึกอบรม ทบทวนการตรวจค้นเสมอ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ยิง ไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เขามีความตั้งใจทำงาน อย่างไรก็ตาม ผมสั่งให้ดูแลขวัญกำลังใจ เพราะเขาตั้งใจทำงาน แต่กลับกลายเป็นคนร้าย ต่อไปจะไม่มีเจ้าหน้าที่กล้าปะทะ ส่วนตัวคิดว่าการกระทำดังกล่าวสมเหตุสมผล เพราะเป็นการป้องกันตนเอง โดยพยายามยิงจุดไม่สำคัญ แต่ก็เกิดความสูญเสีย” พล.ท.วิจักขฐ์ กล่าว

ooo

ooo




https://www.facebook.com/somsakjeam/videos/1264761400243803/

พยานเห็นเหตุการณ์เล่าเรื่องทหารฆ่า ชัยภูมิ ป่าแส - ยืนยันไม่มีระเบิด ไม่ได้ต่อสู้กับทหาร - ผมเอารายงานที่ "หาย" ไปแล้วมาให้ดู

เมื่อวานนี้ Voice TV 21 ได้รายงาน นักข่าวลงพื้นที่ สัมภาษณ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์ http://news.voicetv.co.th/thailand/473214.html

ปรากฏว่า วันนี้ เพจดังกล่าวได้ "หาย" ไปแล้ว ไม่ทราบว่าทำไม

ผมเอาลิงค์เพจ cache มาให้ ที่นี่ (ถ้าต้องการเซฟ ต้องรีบทำ เพราะหายได้เช่นกัน) http://webcache.googleusercontent.com/search…)

มีคลิปวีดีโอสัมภาษณ์พยานด้วย มีคนเอาขึ้นยูทูป ผมโพสต์ให้ดูเช่นกัน (หรือดูจากยูทูป - ซึ่งอาจจะหายตามกันได้ ถ้าต้องการเก็บ ให้เซฟไว้ - ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=41FSGrH-IZw)


Somsak Jeamteerasakul

ooo

อีก58องค์กรเด็ก-จี้สอบ”จับตายลาหู่” “ผบ.ทบ.” สั่ง”ทัพ3″ ตั้งกก.ไข ปมยิงดับ





ที่มา ข่าวสดออนไลน์
23 มีนาคม 2560


จี้สอบ - ตัวแทนมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมและเครือข่ายองค์กรเด็ก 58 องค์กร กรณีนายชัยภูมิ ป่าแส แกนนำเยาวชนลาหู่ ถูกทหารวิสามัญฯ เรียกร้องนายกฯและกสม.ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 22 มี.ค.

อีก 58 องค์กร เครือข่ายเด็กร่วมจี้คลี่ปมทหารจับตาย “ชัยภูมิ” เยาวชนลาหู่ ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ต้องนำหลักฐานมาแสดงถอดสลักระเบิด ตามที่อ้างจริงหรือไม่ แล้วทำไมถูกยิงด้านหลัง ขณะที่กรรมการสิทธิฯ เตรียมลงพื้นที่สอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง มีหนังสือให้ทั้ง 2 ฝ่ายชี้แจง ส่วน ตร.ภาค 5 ประชุมความคืบหน้าคดี ผบช.ยันผู้ตายมีประวัติเกี่ยวข้องยาเสพติดจริง อ้างพบหลักฐานโอนเงินเข้าบัญชี ทั้งยังเคยถูกล่อซื้อด้วย แต่หนีไปได้ ด้านโฆษกทบ.ระบุ ผบ.ทบ.สั่งกองทัพภาค 3 ตั้งกก.สอบสวนคู่ขนาน

จากกรณีทหารจับตายนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนเผ่าลาหู่ วัย 17 ปี นักกิจกรรมทางสังคม โดยอ้างว่าวิ่งหนีขณะตรวจค้นยาเสพติด และเตรียมขว้างระเบิดใส่ จึงจำเป็นต้องวิสามัญฆาตกรรม จากเหตุการณ์ดังกล่าวทางเครือข่ายชนเผ่า 33 องค์กร พร้อมด้วยองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลก ต่างออกแถลงการณ์เรียกร้องความเป็นธรรม และตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่กระทำการเกินกว่าเหตุหรือไม่ ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภาค 5 พ.ต.อ.มงคล สัมภวะผล รอง ผบก.เชียงใหม่ พ.ต.อ.ชลเทพ ไหมไทย ผกก.สภ.นาหวาย และร.ต.อ.สงวน มีกลิ่น พนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจ้าของคดีวิสามัญฯนายชัยภูมิเข้าร่วมประชุม

พล.ต.ท.พูลทรัพย์กล่าวว่า จากการประชุมและได้รับรายงานจากสภ.นาหวาย ยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน และพยานหลักฐานเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ส่วนนายชัยภูมิซึ่งถูกยิงเสียชีวิตนั้น มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริง เพราะมีพยานหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีนายชัยภูมิ และเมื่อต้นเดือนม.ค. เจ้าหน้าที่เคยล่อซื้อยาเสพติดจากนายชัยภูมิ แต่หลบหนีการจับกุมไปได้

ผบช.ภาค 5 กล่าวว่า จุดเกิดเหตุเป็นเส้นทางลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพยานหลักฐานของตำรวจชี้ชัดว่านายชัยภูมิเป็นผู้ค้ายาเสพติด พร้อมมีหลักฐานมัดชัดเจน ส่วนทหารที่วิสามัญฯนั้น ทางตำรวจแจ้งข้อหา และทหารนายดังกล่าวเข้าพบตำรวจสภ.นาหวาย รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทางตำรวจพร้อมดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ต้องขอความเห็นใจ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตามแนวชายแดนที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันยาเสพติดด้วย อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าใครผิด หรือไม่ผิด

ส่วนร.ต.อ.สงวน พนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย เจ้าของคดี กล่าวถึงคดีทหารกองกำลังผาเมืองวิสามัญฯ นายอาเบ แซ่หมู่ อายุ 32 ปี เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2560 ลักษณะคดีคล้ายกับนายชัยภูมิ อ้างว่าเตรียมระเบิดขว้างต่อสู้ และเกิดเหตุบริเวณด่านตรวจเดียวกันว่า อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ โดยส่งระเบิดของ ผู้ตายไปตรวจสอบ และอยู่ระหว่างรอผลตรวจพิสูจน์อีกหลายอย่าง คดียังไม่ได้ส่งฟ้อง ส่วนคดีนายชัยภูมินั้นกำลังสืบหาพยานอยู่

ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังชาวบ้านในที่เกิดเหตุวิสามัญฯนายชัยภูมิ โดยขณะเกิดเหตุมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งอยู่ใกล้เหตุการณ์ พร้อมทั้งระบุว่าขณะเกิดเหตุเป็นตอนกลางวัน ชาวบ้านเห็นทหารควบคุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวน แล้วได้ยินเสียงโวยวายต่อว่ากัน แล้วเห็นผู้ตายวิ่งหนีออกมา ได้ยินเสียงปืน ดังขึ้น 3 นัด โดยทหารยิงขู่ 2 นัด และยิงใส่ ผู้ตาย 1 นัด

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. สั่งการให้กองทัพภาคที่ 3 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้เป็นการเฉพาะคู่ขนานเพิ่มเติม โดยมีพล.ต.สมพงษ์ แจ้งจำรัส รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และจะเดินทางไปกองกำลังผาเมืองเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีกล่าวหาว่ามียาเสพติด มีการต่อสู้ และพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน

พ.อ.วินธัยกล่าวว่าจากการติดตามข่าวสารของสื่อมวลชน พบข้อมูลคือสถานะส่วนตัวของนายชัยภูมิที่เป็นนักกิจกรรม จึงคาดเดากึ่งฟันธงไปว่านักกิจกรรมไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวเรื่องยาเสพติดได้ กับในบางความเห็นก็แย้งมาในทำนองว่าจากประวัติเรื่องยาเสพติดที่ผ่านมา ทำให้เชื่อได้ว่าอาจจะไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลกลุ่มไหน อาชีพไหน สถานะไหน ที่ผ่านมาก็มีทั้งข้าราชการ ศิลปิน นักแสดง นักเรียน นักศึกษา ผู้ครองสมณเพศ หรือแม้แต่ตัวเจ้าหน้าที่เองก็ตาม แต่กองทัพบกยินดีสนับสนุน เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยให้สังคมภายใต้กลไกที่มีอยู่ให้ดีที่สุด โดยจะเน้นข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ หลีกเลี่ยงการใช้ความรู้สึกคาดเดา

โฆษกกองทัพบกกล่าวต่อว่า ข้อสังเกตสำคัญสำหรับภาพรวมเหตุการณ์ ใบเบื้องต้นพบมีผู้กระทำความผิด 2 คน แต่เกิดเหตุอันน่าเสียใจกับนายชัยภูมิเพียงคนเดียว อาจบ่งบอกถึงพฤติกรรมของทั้ง 2 คนย่อมไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะลักษณะของด่านตรวจค้นเป็นด่านถาวร และเป้าประสงค์พื้นฐานของ เจ้าหน้าที่ประจำด่านจะเน้นเพียงตรวจค้น ไม่ใช่ชุดกำลังเฉพาะกิจที่เตรียมไว้รองรับการปะทะ เหมือนเป้าหมายอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้เชื่อว่าไม่ได้อยู่ในแผนจริงๆ พ.อ.วินธัยกล่าวอีกว่า ส่วนนายพงศนัย แสงตะล้า ผู้ต้องหาอีกคนที่ถูกตำรวจควบคุมตัวนั้น เจ้าหน้าที่จะดูแลเป็นอย่างดี เนื่องจากได้รับความร่วมมือด้านข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับรูปคดีอย่างมาก เจ้าหน้าที่ยินดีและพร้อมสนับสนุนกรณีการต่อสู้แก้ต่างคดีได้ตามกระบวนการยุติธรรม และพร้อมให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด คงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

“ขอให้สังคมได้พิจารณา และใช้เหตุผลในทุกมิติ ทั้งการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นยาเสพติด พฤติกรรมของผู้ต้องหา สภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพบกเข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่าย ทั้งความเสียใจของญาติครอบครัวที่มีความเชื่อไปอีกแบบ ส่วน เจ้าหน้าที่เองก็รู้สึกกดดัน และไม่สบายใจเช่นกันที่ได้พยายามปฏิบัติหน้าที่ตามสภาพเหตุการณ์อย่างดีที่สุดแล้ว ในคดีนี้ขอให้ทุกฝ่ายให้เวลากับการพิสูจน์ และตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กำลังดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมอยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด” โฆษกกองทัพบกกล่าว

วันเดียวกัน ที่โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรเด็ก รวม 58 องค์กร นำโดย น.ส.เนตรดาว ยั่งยุบล ผู้ประสานงานมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม ออกแถลงการณ์กรณีทหารวิสามัญฯนายชัยภูมิว่า เป็นการกระทำที่โหดร้าย ป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรม ขอเรียกร้องต่อพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ลง พื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน

แถลงการณ์ระบุพร้อมทั้งขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้านความปลอดภัยในชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ มีมาตรการและกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริง และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต และเพื่อนผู้เสียชีวิตที่ถูกจับกุมคุมขังในขณะนี้อย่างเร่งด่วน เครือข่ายองค์กรทำงานด้านเด็กและเยาวชนจะติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบตามข้อเรียกร้อง และยินดีสนับสนุนการปฏิบัติการที่ดีของบุคคลและหน่วยงานทุกภาคส่วน

น.ส.เนตรดาวกล่าวว่า ความจริงนายชัยภูมิต้องมาร่วมงานมหกรรมการขับเคลื่อนพลังองค์กรทำงานเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างพลเมืองเข้มแข็งที่ทางเครือข่ายจัดขึ้นในวันที่ 22 มี.ค.นี้ แต่ก็มาเสียชีวิตเสียก่อน วันที่เสียชีวิตนายชัยภูมิเพิ่งกลับจากไปขอใบอนุญาตขอออกพื้นที่เพื่อเดินทางมางานนี้ ก็เหมือนเป็นความผิดของเราที่มีส่วนให้น้องเสียชีวิต ทางเครือข่ายจึงเรียกร้องให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพราะนายชัยภูมิเป็นเยาวชนไม่มีสัญชาติ กว่าที่เขาจะกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ในเรื่องชาติพันธุ์ เขาต้องยอมที่จะถูกกดทับจากภายนอก ถือว่าเป็นคนที่เสียสละมากคนหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ยากที่เยาวชนคนอื่นจะลุกขึ้นมาต่อสู้

น.ส.เนตรดาวกล่าวต่อว่า กรณีนายชัยภูมิต้องแยกเป็น 2 กรณีคือ 1.ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่สืบจากข้อมูลเพียงด้านเดียว 2.การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ต้องเอาหลักฐานมาแสดง มีการถอดสลักระเบิดหรือไม่ และนายชัยภูมิถูกยิงจากด้านหลังจะปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ได้จริงหรือไม่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจ และความหวาดกลัวให้กับชาวลาหู่เป็นอย่างมาก คนในพื้นที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย หวังว่าจะมีความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เป็นตัวอย่างของเยาวชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ จะไม่ถูกกระทำในลักษณะเช่นนี้อีก

วันเดียวกัน นางวิไลลักษณ์ เยอเบอะ เลขาธิการเครือข่ายเยาวชนต้นกล้า ที่ร่วมกิจกรรมกับนายชัยภูมิกล่าวว่า จุดเกิดเหตุเป็นลานกว้าง มีชาวบ้านรอรถโดยสารและผ่านไปผ่านมาค่อนข้างมาก โดยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าเห็นผู้ตายวิ่งหนีออกมา และทหารไล่ติดตามก่อนมีเสียงปืนดัง มีพยานเห็นหลายคน จึงอยากให้สืบหาข้อเท็จจริงจากพยานหลายๆ ปาก เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ และให้ความเป็นธรรมกับนายชัยภูมิและครอบครัว

เลขาฯเครือข่ายเยาวชนต้นกล้ากล่าวว่า ทราบว่าครูผู้สอนไปเยี่ยมนายพงศนัยมาแล้ว และสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ปรากฏว่านายพงศนัยบอกไม่รู้เรื่องอย่างเดียว ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทั้งยาเสพติดที่เจ้าหน้าที่พบ และกรณีที่นายชัยภูมิถูกยิงเสียชีวิต นายพงศนัยหวาดกลัวและวิตกอย่างมาก

ด้านนายชาติชาย สุทธิกลม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) กล่าวว่า ที่ประชุมเมื่อวันที่ 21 มี.ค. นำเรื่องนายชัยภูมิมาพิจารณา ที่ประชุมมีมติให้อนุกรรมการด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบ 3 ประเด็นคือ 1.การถูกวิสามัญฯเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ 2.การยิงของทหารเป็นเหตุเป็นผลที่จะวิสามัญฯหรือไม่ และ 3.การชันสูตรพลิกศพดำเนินการด้วยความรอบคอบ ตามหลักกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

นายชาติชายกล่าวว่า หลังจากนี้ก็เปิดให้ญาติผู้เสียหาย ผู้เห็นเหตุการณ์ นำข้อมูลมายื่นชี้แจงต่อกสม.ได้ และอนุกรรมการจะมีหนังสือไปยังญาติผู้เสียหายให้ยื่นหนังสือชี้แจงต่ออนุกรรมการ นอกจากนี้ ต้องทำหนังสือแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ชี้แจงกรณีดังกล่าวเพื่อความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย และอนุกรรมการจะลงพื้นที่ไปสอบปากคำ ผู้เกี่ยวข้องด้วย และในขณะนี้อยู่ในกระบวน การของแพทย์ อัยการ รวบรวมเอกสารส่งให้ศาลไต่สวนว่าการเสียชีวิต ชั้นนี้หากญาติผู้เสียชีวิตมีเอกสาร หลักฐาน สามารถยื่นโต้แย้งในศาลได้ กสม.เป็นเพียงผู้ตรวจสอบเพื่อนำข้อมูล ข้อเท็จจริง ไปชี้แจงในศาล ไม่ได้เป็นผู้ชี้ขาดว่าใครผิดใครถูก เพราะสุดท้ายผู้ตัดสินคือศาล