วันอาทิตย์, มีนาคม 19, 2560

สไล้ด์ ที่ผู้ห่วงใยประเทศไทยควรดู และพินิจพิจารณา จาก จรรยา ยิ้มประเสริฐ






ไปฟังเขามา (วานนี้) ที่ย่านสวนชานเมืองเทพยดา (City of Gardena, Los Angeles County) คุณเล็กบรรยาย คุณจรรยาฉายสไล้ด์ มีเสื้อแดงไปฟังและชมกันหลายคนทั้งแกนนำและแกนหนุน

เปิดฉากหลังมื้อกลางวันด้วยการตีวงคุย ไม่ถึงยี่สิบคนแลกเปลี่ยนนานาความเห็นแล้วจึงไปถึงไฮไล้ท์ ฉายภาพประกอบบรรยาย ได้แก่นเนื้อหาน่าสน จนต้องนำมาแพร่งพราย

จรรยา ยิ้มประเสริฐ น้องบุญธรรมอาจารย์ยิ้ม (สุธาชัย) เปิดฉากด้วยภาพย้อนรอยกระบวนการ ‘Resistance’ พลเมืองไทยขัดขืนอำนาจรัฐประหาร ทัดทานอำนาจเผด็จการ และเรียกหาประชาธิปไตย

จากเมื่อครั้ง ‘ดาวดิน’ ชูสามนิ้วที่ขอนแก่น ประชาธิปไตยใหม่อารยะขัดขืนที่ปทุมวัน ยัน ‘Dictator not welcome’ ที่มาเลเซีย ‘No Martial Law in Thailand’ ที่เจแปน และ ‘ไม่ต้อนรับ Prayuth’ ที่มิลาน





คุณเล็กรวบรวมสถิติ ‘๗๐ ปีแห่งการปราบปรามประชาชน’ ได้ตัวเลขน่าสพรึง เหยื่อความรุนแรงทางการเมืองตั้งแต่ปี ๑๔๙๑ ถึง ๒๕๕๓ นั่นประชาชนต้องตายด้วยน้ำมือรัฐทหาร ถึง ๑๑,๖๔๙ คน หากรวมผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ เข้าไปด้วย ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ ๑๒,๑๔๙ คน





เธอชี้ให้เห็นวาทกรรมบิดเบือนแห่งรัฐทหารต่อคำประกาศสากลสิทธิเด็ก ๑๐ ประการเมื่อปี ๒๕๐๒ มาแต่งเป็นเพลงคำขวัญเด็กไทย เนื้อความห่างไกลกับคำประกาศ เช่น

‘The right to a name and nationality’ ก็ถูกบิดเป็น “ให้เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์” หรือ ‘The right to be among the first to receive relief in all circumstances’ พอมาเป็นไทย ไหงบอกว่า “รู้จักออมประหยัด” ดังนี้เป็นต้น





นอกนั้นยังมีภาพแท่งกร๊าฟแสดงอายุของรัฐบาลและช่องว่างของการเปลี่ยนรัฐบาลตั้งแต่ปี ๒๕๘๙ มาถึงปัจจุบัน พบว่ามีเฉพาะช่วงมกราคม ๒๕๔๔ ถึงกุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ เท่านั้นที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มั่นคงครบเทอม แล้วก็ต้องถูกหักดิบจากรัฐประหาร เมษายน ๒๕๔๙ จนได้





สำหรับพรรคการเมืองใหญ่ๆ ในช่วงนี้ ๓ พรรค มีประชาธิปัตย์ที่ยืนยาวตั้งแต่ปี ๘๙ ด้วยที่นั่งในสภาไล่เรี่ยตั้งแต่ ๕๐ ที่นั่งบ้าง ๑๐๐ ที่นั่งบ้าง จนกระทั่งอย่างมากที่สุด ๑๖๕ เมื่อปี ๒๕๕๐

ส่วนพรรคชาติไทยอยู่ในระดับตัวเลขต่ำสองหลักตั้งแต่เริ่มลงสมัครรับเลือกตั้งในปี ๒๕๑๙ ไปถึงพี้คที่สุด ๙๒ ที่นั่งในปี ๒๕๓๘ แล้วตกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปี ๒๕๕๔

ต่างกับพรรคของตระกูลชินวัตร ที่เริ่มลงแข่งขันในปี ๒๕๔๔ ได้ที่นั่งเลขสามหลักตลอด จาก ๒๒๔ ไปสิ้นสุดที่ ๒๖๕ ในปี ๒๕๕๔ แต่ว่าช่วงกลางปี ๔๙ ถึงปลายปี ๕๐ ในการเลือกตั้งสองครั้ง พรรคทักษิณกวาดคะแนนในสภาท่วมท้น ๓๗๕ กับ ๔๖๐ ที่นั่ง

การบรรยายของคุณจรรยามาถึงเรื่องจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ถึงปี ๒๕๕๘ งบประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ไปกระจุกอยู่ที่กระทรวงหลักสามสี่แห่ง ได้แก่ ศึกษา กลาโหม มหาดไทย และคลัง

โดยมีงบประมาณกลางที่เป็นตู้เซฟสำรองสำหรับรัฐบาลหยิบฉวยใช้เพื่อความสะดวกในการจับจ่าย แทรกตัวติดกลุ่มอยู่ด้วย โดยมีข้อสังเกตุว่ากระทรวงที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดโดยตลอดคือกระทรวงศึกษา ทั้งที่มาตรฐานความรอบรู้และทักษะของเด็กไทยยังตามก้นประเทศเพื่อนบ้านหลายอย่าง นั่นเป็นเพราะกระทรวงนี้มีบุคคลากรมากกว่าใครๆ งบประมาณไปละลายอยู่กับเงินเดือนข้าราชการ





ส่วนกระทรวงกลาโหมก็อย่างที่รู้กัน วงเงินงบประมาณเป็นอันดับสองรองจากศึกษา บุคคลากรอาจไม่มากเท่าแต่มักจำเป็นต้องจับจ่ายซื้อหาสรรพาวุธ ไว้สำหรับยึดอำนาจและปราบพวกต่อต้านรัฐประหาร อยู่ในเกณฑ์ ๑๕๐,๐๐๐ ล้าน และไปสูสีกับศึกษาในปี ๒๕๕๕ ที่ได้กว่าสี่แสนล้าน

ลงท้ายคุณเล็กมาถึง ‘ประเด็นที่ชวนกันคิดพิจารณา’ อาทิ “ความเป็นสถาบันกับความเป็นบุคคล” “ความจริงกับความอยากจะเชื่อ” และ “การสู้เป็นกับการอยู่เป็น”




โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายนั้น “สังคมไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร” เธออธิบายด้วยโมเดลใยแมลงมุม

ว่าถึง ‘การอยู่เป็น’ ก่อน มันติดหนึบหนับกับปัจจัยอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าหลายๆ อย่างทำให้เจ็บเนื้อร้อนตัว ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ ม.๔๔ ม.๑๑๒ คณะทหาร ศาลปกครอง กองทัพ ๔ แสนคน ฯลฯ เรื่อยไปถึงวงแหวนรอบนอก ตัวใครตัวมัน คุกคามคุมขัง รวยกระจุกจนกระจาย ต้มตุ๋นหลอกลวง และคอรัปชั่นสินบน



เหล่านั้นเป็นกับดักที่ทำให้ติดกึกติดกับ ขยับไม่ได้ อึดอัด และอัตคัดยิ่งนัก จักต้องจัดการแก้ไข จะวางอุเบกขาหรือรอดูใจมึงต่อไปไม่ได้แล้ว จึงต้องวกไปใช้โมเดลแก้เผ็ดด้วยการ ‘สู้เป็น’



การสู้เป็นนี้ยึดมั่นกับหลักการ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ อย่างเหนียวแน่น อันรายล้อมไปด้วยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมของประชาชน กระจายสุข การศึกษาเสรี ยอมรับความหลากหลาย กระจายงบประมาณเท่าเทียม และใช้มาตรฐานเดียวในกระบวนการยุติธรรม

ล้วนแล้วแต่เป็นหลักการ ‘think tank’ ซึ่งมิได้หนักหนาหรือว่าเพ้อฝันจนเกินการ ทุกอย่างปฏิบัติได้ เพียงแต่ต้องมีกระตือรือล้นและพร้อมเพรียงกัน อย่าปล่อยให้ลอยล่องไปกับสายลม

ข้อสำคัญอย่าได้ ‘ชั่งหัวมัน’ เป็นอันขาด เพราะพวกอำนาจนิยมชุบมือเปิบไม่เคยเผื่อแผ่ให้ทีใครทีมันแน่ๆ พวกนี้เอาแต่ ‘เผือก’ เพื่อตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น