วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 21, 2560

กานดา นาคน้อย: บุญและเบียร์

กานดา นาคน้อย
21 กุมภาพันธ์ 2560 

“อาชีพอย่างนี้มีกำไรดี  สาธุชนอนุโมทนาพระธรรมเทศนาที่เทศน์เป็นธรรมทานด้วยภาษาบาลีว่าสาธุสะ  อันหมายความว่าชอบแล้วเจ้าข้า  ครั้งแล้วก็ถวายไทยทานแก่พระธรรมถึกผู้เทศน์   และพระนักเทศน์นั้นถ้าได้เทศน์บ่อยๆก็กลายเป็นคนรวยได้” 
ลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสยุคพระนารายณ์มหาราช พศ.2230[1]

สัปดาห์ที่แล้วหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ลงข่าวว่าเจ้าหน้าที่ไทยประมาณ 3,000 คนเข้าตรวจค้นวัดธรรมกายเพื่อจับกุมพระธัมมชโยด้วยข้อหายักยอกทรัพย์มูลค่าประมาณ 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,400 ล้านบาท)[2]    ตัวเลขเจ้าหน้าที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจมากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเจ้าหน้าที่ตรวจพื้นที่หลังเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ซึ่งรุนแรงระดับมีผู้เสียชีวิต 20 คนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว   ความเกี่ยวข้องของพระและเงินก็มีนัยยะทางเศรษฐกิจ

บริการทางจิต
ในทางเศรษฐกิจพระหรือนักบวชศาสนาต่างๆคือ“ผู้ให้บริการทางจิต”   พระให้บริการทางตรงด้วยพิธีกรรม  การเทศนา  การสนทนา  การสอนปฎิบัติธรรม   และวัตถุมงคล   ส่วนการบริการทางอ้อมนั้นผ่านหนังสือธรรมะและเทปธรรมะ   เนื่องจากวัดและพระในไทยได้รับการยกเว้นภาษีก็ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ว่ามูลค่าการบริการทางจิตโดยพระไทยนั้นมีมูลค่าเท่าไร    

แน่นอนว่าผู้บริโภคมีสิทธิบริโภคบริการทางจิตจากนักบวชที่ไม่ใช่พระ เช่น พราหมณ์  ฤาษี  เจ้าพ่อหรือเจ้าแม่สำนักต่างๆ   ผู้บริโภคก็มีสิทธิบริโภคบริการทางจิตจากผู้ขายที่ไม่ใช่นักบวชด้วย  เช่น ครูสอนโยคะ  นักจิตวิทยา นักจิตบำบัด  นอกจากนี้ผู้บริโภคก็มีสิทธิเลือกสังสรรค์และผ่อนคลายด้วยการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเบียร์หรือสุราก็ได้   

ประเด็นสำคัญคือนิยามสิทธิผู้บริโภค    ผู้บริโภคมีทางเลือกมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับรัฐเพราะรัฐเป็นผู้นิยามสิทธิผู้บริโภค   ในไทยไม่ว่าผู้บริโภคเลือกบริโภคบริการทางจิตด้วยการทำบูญหรือกินเบียร์ก็มีทางเลือกจำกัด    เพราะนโยบายรัฐไทยส่งเสริมการผูกขาดทั้งตลาดบุญและตลาดเบียร์    แตกต่างจากประเทศที่เปิดเสรีทั้งตลาดบุญและตลาดเบียร์  เช่น ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

ผู้อ่านชาวพุทธอาจแย้งว่าการทำบุญไม่ใช่การซื้อขายแต่เป็นการบริจาคโดยไม่หวังผลตอบแทน   บทความนี้ก็ไม่ได้เสนอว่าบุญคือสินค้าแต่เสนอว่าบุญคือบริการทางจิตและมีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ    ผู้รับบริการได้ความสบายใจหรือความหวังจากชาติหน้าหรือความหวังจากสวรรค์หรือไม่นั้นก็แล้วแต่จิตส่วนบุคคล

ตลาดบุญ
การผูกขาดตลาดบุญในไทยโดยมหาเถรสมาคมได้รับการคุ้มครองโดยพรบ.คณะสงฆ์    พระไทยได้รับเงินเดือนจากรัฐดังนั้นพระไทยก็เป็นพนักงานภาครัฐ   มีลักษณะคล้ายพนักงานรัฐวิสาหกิจมากกว่าข้าราชการเพราะวัดและพระมีรายได้จากทางอื่นที่ไม่ได้มาจากภาษีด้วย  อาทิ  ให้เช่าที่ดินทำตลาดนัด  รายได้จากวัตถุมงคล ฯลฯ   แต่รัฐวิสาหกิจต้องส่งรายได้เข้ากระทรวงการคลังด้วย    ดังนั้นพระไทยก็ไม่เหมือนพนักงานรัฐวิสาหกิจเลยทีเดียว   นอกจากนี้รัฐไทยกำหนดให้วัดและพระได้รับการยกเว้นภาษีเพื่อส่งเสริมการผูกขาดโดยมหาเถรสมาคม

มหาเถรสมาคมมีอำนาจตัดสินว่าวัดไหนหรือพระทำผิดกฎหรือไม่   แต่ที่สหรัฐฯและญี่ปุ่นเปิดเสรีในตลาดบุญไม่มีหน่วยงานรัฐที่ตัดสินว่าอะไรทำให้พระหมดสภาพจากการเป็นพระ  ยกตัวอย่าง พระไทยมีภรรยาไม่ได้แต่พระญี่ปุ่นมีภรรยาได้ [3]    วัดพุทธในสหรัฐฯก็มีหลากหลายนิกายจากหลายประเทศนอกจากวัดไทย  อาทิ  วัดลาว  วัดพม่า วัดญี่ปุ่น วัดเวียดนาม วัดธิเบต ฯลฯ  บอกไม่ได้ว่าวัดไหนเป็นพุทธแท้หรือพุทธเทียมเนื่องจากไม่มีหน่วยงานรัฐชี้นำว่าวัดไหนเป็นพุทธแท้หรือพุทธเทียม  พระหรือนักบวชในสหรัฐฯก็มีภรรยาได้แล้วแต่ศาสนาและนิกายจะกำหนดกันเอง [4]

ในประเทศที่เปิดเสรีในตลาดบุญอย่างสหรัฐฯและญี่ปุ่น    พระและนักบวชทุกศาสนาไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐ   ในสหรัฐฯวัดและองค์กรศาสนาอื่นๆได้รับการยกเว้นภาษี    แต่พระและนักบวชทุกศาสนาต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล   กฎหมายภาษีมรดกก็บังคับใช้กับผู้รับมรดกนักบวชด้วย    ในญี่ปุ่นวัดและองค์กรศาสนาอื่นๆก็ได้รับการยกเว้นภาษีเช่นกัน    ส่วนรายได้ของพระก็แล้วแต่ว่ามาจากอะไร   รายได้จากพิธีกรรมได้รับการยกเว้นภาษีแต่รายได้ทางอื่นไม่ได้รับการยกเว้น  เมื่อเจ้าอาวาสวัดญี่ปุ่นเสียชิวิตเจ้าหน้าที่สรรพากรญี่ปุ่นก็ตรวจสอบบัญชีวัดเพื่อตัดสินว่าทายาทเจ้าอาวาสต้องเสียภาษีมรดกส่วนบุคคลหรือไม่   ทรัพย์สินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดไม่ต้องเสียภาษีมรดกแต่ทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของเจ้าอาวาสต้องเสียภาษีมรดก  

สำหรับผู้บริโภคในตลาดบุญนั้นใช้กฎเหมือนกันทั้งญี่ปุ่น สหรัฐฯและไทย  กล่าวคือ  ผู้บริโภคอาจนำเงินบริจาคเข้าวัดไปหักภาษีได้เงินได้ส่วนบุคคลเหมือนการบริจาคเข้ามูลนิธิการกุศลที่ได้รับการยกเว้นภาษี   จะหักภาษีได้จริงหรือไม่และหักภาษีได้มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่กฎเกี่ยวกับภาษีเงินได้ส่วนบุคคลในแต่ประเทศ   

ตลาดเบียร์
การผูกขาดตลาดเบียร์ในไทยได้รับการคุ้มครองโดยพรบ.สุรา   พรบ.สุรากำหนดไว้ว่าผู้ผลิตเบียร์ต้องเป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนตามกฎหมายไทยและมีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51  มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท   มีเงินค่าหุ้นหรือเงินลงทุนที่ชำระแล้วไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท  มีปริมาณการผลิตไม่ต่ำกว่า 10 ล้านลิตรต่อปี   ผู้ผลิตต้องวางหลักประกันการก่อสร้างโรงงานเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท (จะคืนให้เมื่อได้ทำสัญญากับกรมสรรพสามิตแล้ว [5]  ถ้าให้บริโภคภายในสถานที่ไม่อนุญาตให้บรรจุขวดต้องผลิตในปริมาณขั้นต่ำที่ 1 แสนลิตรต่อปี [6]

พรบ.สุราดังกล่าวไม่ส่งเสริมการแข่งขันโดยผู้ผลิตรายย่อย   ปัจจุบันมีคราฟต์เบียร์สัญชาติไทยเพียง 8 ยี่ห้อเบียร์ ที่หลีกหนีข้อจำกัดทางกฎหมายโดยการทำสัญญาผลิตเบียร์ร่วมกับโรงงานในต่างประเทศ ก่อนที่จะนำเข้ามาโดยเสียภาษีให้กับกรมสรรพสามิต แต่วิธีนี้ทำให้มีเงินรั่วไหลออกนอกประเทศ  [7]   เกิน 95% ของมูลค่าตลาดเบียร์ไทยเป็นของผู้ผลิต 2 รายเท่านั้น (บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่และบริษัทไทยเบฟ) [8]

ผู้อ่านบางท่านอาจแย้งว่าเบียร์หรือสุราเป็นสิ่งเสพติดเหมือนบุหรี่ดังนั้นรัฐไม่ควรส่งเสริมให้ผลิต   ถ้าเชื่อเช่นนั้นก็ควรส่งเสริมให้เก็บภาษีสูงๆ   ภาษีเบียร์และภาษีสุราเป็นรายได้ที่สำคัญของรัฐไทย ในปีงบประมาณ 2559  งบประมาณรายจ่ายของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็เกือบเท่ารายได้จากภาษีเบียร์   ภาษีเบียร์และภาษีสุราทำรายได้ถึงครึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้ส่วนบุคคล  ถ้ารวมภาษียาสูบไปด้วยก็มากกว่ารายได้จากภาษีน้ำมันด้วยซ้ำ [9] [10]   

การออกกฎที่สงวนให้ผู้ผลิตรายใหญ่ผูกขาดตลาดไม่ช่วยลดปริมาณการบริโภค   ผู้บริโภคเบียร์หรือสุราก็ไม่ได้เสพติดทุกคน  (ถ้าเสพติดทุกคนก็โดนจัดว่าเป็นยาเสพติดอันตรายไปแล้ว)  การเปิดเสรีเบียร์หรือสุราก็ไม่ได้ทำให้อาชญากรรมในญี่ปุ่นสูงขึ้น   ไม่ได้ทำให้ญี่ปุ่นมีอัตราอุบัติเหตุบนท้องถนนสูง    อัตราอาชญากรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วยโดยเฉพาะกฎหมายปืน   ส่วนอุบัติเหตุบนท้องถนนก็ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและคุณภาพขนส่งมวลชนด้วย 

บทสรุป
กฎหมายที่ส่งเสริมการผูกขาดเปิดโอกาสให้ผู้ขายหน้าเก่าอาศัยกลไกรัฐเพื่อสกัดการแข่งขันโดยผู้ขายหน้าใหม่    เป็นอุปสรรคต่อการยกระดับคุณภาพและละเมิดสิทธิผู้บริโภค   ฉันไม่คัดค้านการนับถือศาสนาเพราะความเชื่อหรือความศรัทธาเป็นทางเลือกส่วนบุคคล   จะเลือกบริโภคบุญหรือบริโภคเบียร์ (หรือบริโภคทั้งบุญและเบียร์)ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล    ยิ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลยิ่งควรเปิดเสรีไม่ควรทำให้เป็นประเด็นขัดแย้งในสังคม

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่"ประชาไทออนไลน์ติดตามทัศนะโดย“กานดา นาคน้อย”ได้ที่ทวิตเตอร์ https://twitter.com/kandainthai หรือมายด์ https://www.minds.com/kandainthai

ที่มา:
[1] ราชอาณาจักรสยาม จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” โดย ลาลูแบร์ แปลโดย สันต์ ท โกมลบุตร: http://www.thaiheritage.net/nation/siam/siam9.htm
[2]Thai police empty-handed so far in search for prominent monk” Washington Post:
[3] Foreign wives provide insight into temple lives” by Japan Times: http://www.japantimes.co.jp/community/2016/08/03/issues/foreign-wives-provide-insight-temple-lives/
[4] “A cohort of married Roman Catholic priests, and more are on the way” New York Times: http://www.nytimes.com/2012/01/07/us/married-roman-catholic-priests-are-testing-a-tradition.html
[5] “การขออนุญาตทำสุราแช่ชนิดเบียร์” กรมสรรพสามิต:
[6] “การขออนุญาตทำสุราแช่ชนิดเบียร์ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต” กรมสรรพสามิต:
[7] ทางรอดคราฟท์เบียร์ไทย ในวันที่ไม่อยากอยู่แค่ใต้ดิน” โดย บีบีซี:

[8]คราฟต์เบียร์ไทย ว่าด้วย การต้มเบียร์คืออาชญากรรม?” โดย นครินทร์ วนกิจไพบูลย์: https://www.matichonweekly.com/column/article_22281

[9] ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2559 ข่าวกระทรวงการคลัง:

http://www.fpo.go.th/FPO/modules/Content/getfile.php?contentfileID=11989

[10] สาระ+ภาพ: งบพุทธ 5.4 พันล้าน ‘พระไทย’ รวยไม่แพ้ชาติใดในโลก: http://prachatai.com/journal/2016/05/65946