วันพุธ, มกราคม 18, 2560

ตรรกะ อยากให้ปรองดอง





วันนี้ คสช.ดันหนัก อยากให้ปรองดอง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดนำเหล่าทัพอีกหน เราต้องปรองดอง

“ขอทุกฝ่าย รวมทั้ง สุเทพ-กปปส. ร่วมกระบวนการสร้างปรองดอง” เพราะตอนนี้เป็นคำสั่ง ม.๔๔ แล้ว ถ้าไม่ปรองจะฮึ่มไหม ไม่รู้

แต่สุเทือกและ กปปส. จะปรองด้วยไงไม่รู้ อาจต้องดองไว้ก่อนอีกก็ได้ รอให้จัดกระบวน ปยป. เสร็จก่อน

กระบวนแรก จัดทำโครงสร้าง ปยป. แยกย่อยเป็น ๔ ชุด ยุทธศาสตร์ชาติ ปฏิรูป ปรองดอง และ “บริหารราชการ” เชิงยุทธศาสตร์ แล้วยังแตกสายออกไปอีกแต่ละแขนงให้มีแม่น้ำ ๓ สาย

ที่น่าสนใจก็ตรง “คณะกรรมการบริหารราชการเชิงยุทธศาสตร์” นี่ละ ตั้งมาเพื่อทำงานแทน หรือทำซ้อนกับผู้บริหารกระทรวงทบวงกรมหรือไร แต่เลขาฯ ปยป. ไม่ให้ความกระจ่าง ทั่นข้ามไปถึงเรื่องตั้ง “สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู)” โน่น

“สำนักงานนี้มีหน้าที่ตรวจสอบ ติดตามการทำงานของ ๔ คณะใน ป.ย.ป. จะมีการตั้งทีมขึ้นมาทำงาน ๑๐ ทีม แก้ไขปัญหาประเด็นยุทธศาสตร์และนโยบายระดับบัญชาการ ๑๐ ประเด็น”

ใครเก่งเลขช่วยคำนวณหน่อย มันกี่คณะ กี่หน่วยงาน กี่ค่าตอบแทน กี่เบี้ยประชุม กี่งบประมาณ นี่ถ้าเป็นรัฐบาลปกติคงเรื่องยาว มิน่าทั่นหัวหน้า เอาวา ใช้มาตรา ๔๔ สั่งเลย

“เพื่อให้องค์กรนี้มีความยืดหยุ่น สามารถดึงคนเก่งๆ เข้ามา โดยคนที่เข้ามาไม่ว่าจะมาจากรัฐหรือเอกชน ต้องสามารถทำให้เชื่อได้ว่า จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงแน่นอน”

(http://www.matichon.co.th/news/428959)

แต่ที่สุดแล้วก็ยังไม่แน่อยู่ดี เพราะพวกคนที่ทีม ผบ. บอกให้กลับมาปรองดอง เพิ่งตั้งข้อแม้ให้รณรงค์ประชาชนทั้งประเทศเคารพกฎหมายกันเสียก่อนถ้างั้นคงต้องไปถาม คสช. ฝ่ายพิทักษ์สันติราษฎร์ดู

พอดีตอนนี้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กำลังยุ่งๆ อยู่กับการแก้ข้อหาจับแพะขังฟรี ๑ ปี ๖ เดือน ด้วยการอ้างว่าแท้จริงแพะเป็นพวกรับจ้างถูกขัง





“ขณะนี้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 ได้มอบหมายให้ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ตั้งกรรมการสืบสวน สอบสวนข้อเท็จจริงด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปฝังตัวอยู่ในพื้นที่

เนื่องจากในคำร้องของครูจอมทรัพย์มีข้อพิรุธ ทางพนักงานสอบสวนสงสัยว่าจู่ๆ ทำไมมาขอรื้อฟื้นคดีตอนนี้ ด้วยการกล่าวอ้างถึงรถยนต์คันที่เกิดการเฉี่ยวชนจนมีผู้เสียชีวิตนั้นเป็นคนละคันกัน”

(http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx…)

ทั้งที่ “ยังไม่แน่ใจ” ว่าผู้เสียหาย ครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร เกี่ยวด้วยไหม อ้างว่านี่เป็นขบวนการ ทำแบบนี้มาหลายครั้งในภาคอีสาน

ก็คือ “จะหาว่ามีขบวนการดิสเครดิตสำนักงานตำรวจแห่งชาติผู้เที่ยงธรรม” (เก็บจากคอมเม้นต์ Atukkit Sawangsuk) สันนิษฐานว่า ‘ตำรวจตลก’

เมื่อ “คนที่มาทำเรื่องนี้กลายเป็นจเรตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่สอบสวนเรื่องร้องเรียนตำรวจ ไม่ใช่ปกป้องตำรวจ

ต่อไปใครจะกล้าร้องตำรวจกับจเรละครับ (ระบบมันผิดตั้งแต่แรก จเรขึ้นกับ ผบ.ตร. แล้วย้ายกลับไปกลับมาทั้งที่ต้องแยกหน่วยงานออกจากกัน)”





ตรรกะของตำหวดตะหานเนี่ยถ้าไม่เหมือนหนังพีเรียด ก็ต้องเรียกว่าตรรกะ ‘บูเมอแรง’ ได้ยินที่ ผบ.ทอ. พูดถึงเรื่องเครื่องบินกริพเพ็นตกไหม อันทำให้ประเทศไทยมีวีรบุรุษนักบินเพิ่มมาอีกคนน่ะ

“ยืนยันว่าเครื่องบินกริฟเพนเป็นเครื่องบินที่ดี มีสมรรถนะสูง ส่วน น.ต.ดิลกฤทธิ์ ก็เป็นนักบินที่มีชั่วโมงบินสูง มีศักยภาพ มีประสบการณ์ และท่าที่ใช้ในการบินวานนี้ก็ไม่ใช่การบินผาดแผลง เป็นท่าฝึกปกติ” พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง กล่าว

(http://www.komchadluek.net/news/politic/256174)

งั้นถ้าถามว่าอะไรๆ ดีไปหมด แล้วไหงยังตกล่ะ จะตอบอย่างไร

ซ้ำที่ตลกระเบิดไปยิ่งกว่า เป็นตรรกะของอธิบดีกรมเจ้าท่า กรณีการเปิดเดินเรือเฟอรรี่จากพัทยาไปหัวหิน ที่มีการทดลองวิ่งไปเมื่อวันที่ ๕ มกรา โดยมีเรือรบอากาศยานลำเบ้อเร่อวิ่งประกบ (เพื่อความปลอดภัย)

เดิมทีกำหนดจะเปิดเดินเรือประจำตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกรา บัดนี้จำต้องเลื่อนกำหนด (ในสไตล์เดียวกับเลื่อนเลือกตั้ง) ออกไปอีกเป็นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะคลื่นลมในอ่าวไทยขณะนี้รุนแรงและแปรปรวน

นอกจากนั้น ประชาชาติธุรกิจ เพิ่มเติม “ว่ากันว่า นอกจากคลื่นลมทะเลที่ไม่เอื้อแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอาจจะทำให้โครงการเดินเรือเฟอรี่ของรัฐบาล คสช. จะไปไม่ถึงฝั่งดังหวัง”

(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1484542756)

“อีกทั้งเรือที่นำมาให้บริการเป็นเรือเก่า สามารถทำความเร็ว ๕๐ กม./ชม. และต้องใช้เวลาเดินทาง ๓-๔ ชม. ไม่ใช่ ๑ ชม. ๔๐ นาทีอย่างที่บริษัทนำเสนอ นอกจากนี้ท่าเรือที่ใช้จอดนั้นก็ค่อนข้างคับแคบ”

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม “เริ่มออกอาการจะไม่ค่อยมั่นใจ หลังพบว่าเป็นเรือลำเล็กและค่อนข้างจะอันตราย”

เลยเป็นที่คาดเดาว่าโครงการนี้มีสิทธิ์ “ล่มปากอ่าว” เพราะถ้ายังขืนวิ่งต่อไปเป็นประจำ จะต้องเอาเรือรบวิ่งประกบตลอดทุกเที่ยว ไม่เช่นนั้น คสช.คงจะต้องกัดฟันซื้อเรือรบเพิ่มอีกหนึ่งกองเป็นแน่