วันศุกร์, มกราคม 06, 2560

คดี 'มือมีดฆ่าปาดคอชิงทรัพย์' กับปัญหา'เชิงระบบ'ภายใต้ภูเขาน้ำแข็ง - มือมีด "ขอความเป็นธรรม อย่าฟังความข้างเดียว"





คดี 'มือมีดฆ่าปาดคอชิงทรัพย์' กับปัญหา'เชิงระบบ'ภายใต้ภูเขาน้ำแข็ง


6 มกราคม 2560
โดย ตวงพร อัศววิไล
บรรณาธิการอาวุโส Voice News และ ผู้ดำเนินรายการ Intelligence
ที่มา Voice TV





เป็นคดีสะเทือนขวัญต้อนรับปีระกา เมื่อเกิดเหตุคนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะก่อเหตุฆ่าปาดคอบัณฑิตหนุ่มมหาวิทยาลัยชื่อดังเมื่อคืนวันที่ 4 มกราคม 2559 เหตุเกิดปากซอยสุคนธสวัสดิ์ 27 ในพื้นที่ สน.โคกคราม ภาพจากคลิปวีดิโอเผยให้เห็น "พฤติกรรมโหด" ของคนร้ายใช้"อาวุธมีด" แทงและปาดคอเหยื่อจนเสียชีวิตคาที่

พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเร่งรัดติดตามคดีด้วยตนเอง โดยให้น้ำหนักกับ "การประสงค์ต่อทรัพย์" หลังจากสอบปากคำครอบครัวแล้วไม่พบว่า"เหยื่อ"คือ นายวศิน เหลืองแจ่ม อดีตพนักงานสายการบินมีปัญหาส่วนตัวกับใคร

หลังผ่านไปเพียง 1 วันตำรวจจับกุมตัว "นายกิตติกร วิภาหะ" หรือตั้ม มือมีดปาดคอนายวศิน ขณะนายกิตติกร กบดานที่หมู่บ้านเอื้ออาทร ซอยวัดกู้ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้นเคย เพราะเขาประกอบอาชีพขายผลไม้อยู่ในตลาดย่านวัดกู้

มือมีด "ขอความเป็นธรรม อย่าฟังความข้างเดียว"

ในการแถลงข่าวหลังการจับกุม นายกิตติกรไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อเหตุสะเทือนขวัญที่เขาเพิ่งก่อขึ้น พร้อมย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า เขาไม่ได้เมายา สาเหตุที่ต้องลงมือชิงทรัพย์เพราะ ขายของไม่ดี ยิ่งขายยิ่งเป็นหนี้ และเตือนไปยังผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อการชิงทรัพย์ว่า อย่าโชว์ทรัพย์สิน ยิ่งโชว์ ยิ่งล่อตา-ล่อใจโจร แต่ประโยคที่ถือเป็น "ไฮไลท์" ในการแถลงข่าวครั้งนี้คือ "ขอความเป็นธรรม อย่าฟังความข้างเดียว"





"การชิงทรัพย์แล้วแต่สิ่งแวดล้อม คนเยอะ-คนน้อย จังหวะการใช้มีดดูเหมือน "ปาดคอ" แต่จริง ๆผมไม่ได้ตั้งใจ มันแฉลบ แต่ข่าวลงให้ดูเหมือนโหดเหี้ยม "ฟังความสองข้างบ้างครับ อย่าฟังความข้างเดียว" โอเค ผมยอมรับว่าผมผิด.... แต่ผมไม่ได้ตั้งใจให้เขาถึงตาย"

หลังจากนายกิตติกร ก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์นายวศิน เหลืองแจ่มแล้ว เขายังตระเวนจี้ชิงทรัพย์ หญิงสาวอีก 2 รายในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเจ้าทุกข์ได้มาชี้ตัวในการแถลงข่าวหลังจับกุมนายกิตติกรด้วย และมียังมีข้อมูลว่าก่อนนายกิตติกรจะฆ่าชิงทรัพย์นายวศิน เขาได้ลงมือชิงทรัพย์หน้าโรงพยาบาลสินแพทย์แต่ไม่สำเร็จ

พลิกปูมโหด "มือมีด" พบกระทำความผิดซ้ำซาก

หากย้อนประวัติอาชญากรของนายกิตติกร จะพบว่า เขาเข้า-ออกเรือนจำอย่างโชกโชน ตั้งแต่อายุ 13 ปี เข้าคุกในคดียาเสพติด จนกระทั่งถึงอายุ 26 ปี เขาเข้าออกเรือนจำมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ครั้ง

ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2548-2553 พบว่า นายกิตติกร ก่อเหตุอย่างโชกโชน ตั้งแต่วัย 13 ปี ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถูกดำเนินคดีถึง 8 ครั้ง มีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ , พระราชกำหนดสารระเหย , ข้อหาบุกรุกในเวลากลางคืน ทำร้ายร่างกายผู้อิื่นทำให้เสียทรัพย์รวม 3 คดี ส่วนคดีฆ่าปาดคอนายวศิน จะถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ และพกพาอาวุธเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงความตาย มีโทษสูงสุดคือ "ประหารชีวิต"

กรมคุมประพฤติชี้ "กิตติกร"บำบัดไม่ได้ -ต้องจำคุกสถานเดียว

พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม อธิบายว่า กรณีของนายกิตติกร ต้องเรียกว่า "ผู้ต้องหาที่กระทำความผิดซ้ำ" เพราะมีประวัติทำความผิดตั้งแต่เป็นเด็กและเยาวชนถึง 3 คดี ล่าสุดเมื่อปี 2557 ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 1 เดือนแล้วออกมาก่อเหตุซ้ำ

อธิบดีกรมคุมประพฤติชี้ว่า สาเหตุที่ผู้ต้องหามีการกระทำความผิดซ้ำมีหลายสาเหตุ เช่น กระบวนการแก้ไขพฤติกรรมไม่เข้มข้นพอ ,สภาพทางสังคม สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ ทั้งการศึกษา อาชีพ ช่วงอายุ อบายมุข ยาเสพติด เมื่อผู้ต้องหาถูกส่งตัวมาที่เรือนจำจึงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ

อีกประเด็นที่กรมคุมประพฤติเสนอให้สังคมช่วยกันพิจารณา คือ 1.ทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้ต้องหาปรับตัวคืนสู่สังคมโดยไม่ก่อปัญหาซ้ำอีก 2. การปกป้องสังคมไม่ให้ได้รับผลกระทบจากคนที่ออกจากเรือนจำแล้ว กลับสู่สภาพเดิมหรือเลวร้ายกว่าเดิม





พ.ต.อ.ณรัชต์ ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีในกรณีของนายกิตติกร ว่าจะต้องเสนอให้อัยการยื่นขอให้ศาลสั่งเพิ่มโทษ และหากอยู่ระหว่างรอการลงโทษจะต้องรวมโทษเก่า และโทษในคดีที่ถูกดำเนินคดีล่าสุด ตามหลักอาชญวิทยาผู้ต้องหารายนี้ไม่สามารถบำบัดได้ ต้องจำคุกสถานเดียว

ชูวิทย์ใช้ประสบการณ์ในคุกฟันธง มือมีดจำคุกตลอดชีวิตแน่

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมืองคนดังที่เพิ่งออกจากเรือนจำหลังได้รับอภัยโทษเมื่อปลายปีที่แล้ว ใช้ Facebook Live จัดรายการ "รู้เช่น เห็นชาติ กับชูวิทย์ ตอน แทงคอชิงไอโฟน อีกมุมหนึ่งที่ไม่มีใครพูดถึง" มุมที่นายชูวิทย์ หยิบยกขึ้นมา คือ การที่นายกิตติกรเข้า-ออกคุก 8 ครั้งในรอบ 13 ปี ทำให้นายกิตติกร "อยู่ในคุกเป็น" คือ มีการเรียนรู้จากนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ - รับใช้ขาใหญ่ในคุก เพื่อรอวันพ้นโทษ และให้สังเกตุ "รอยสัก"บนตัวนายกิตติกรซึ่งนายชูวิทย์เชื่อว่า เป็นรอยสักที่เกิดขึ้นตอนที่อยู่ในเรือนจำ

นายชูวิทย์ ยังชี้ว่า การเข้าออกคุกในรอบ 8 ปี ของนายกิตติกร ถือเป็น "การทำความผิดซ้ำซาก" จึงเรียกร้องให้ "ประหารชีวิต" เพราะตั้งใจก่อเหตุอุกฉกรรจ์ และเตือนว่า นายกิตติกรต้องต่อสู้คดีแน่นอน เพราะรู้เทคนิคด้านกฎหมายดี ในคดีของนายกิตติกร นายชูวิทยท์ประเมินว่าน่าจะได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต เพราะเป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก และถือเป็น"นักโทษชั้นเลวมาก" เปรียบเหมือนได้รับใบแดง หมดสิทธิได้รับการปรับโทษ



อดีตนักการเมืองคนดังยังให้ข้อมูลเรื่องการพิจารณาปรับโทษของกรมราชฑัณฑ์ว่า จะมีการปรับโทษทุกๆ 6 เดือนในเดือนมิถุนายน และเดือนธันวาคม เช่นนักโทษชั้นกลาง ชั้นดี ชั้นดีมาก ชั้นเยี่ยม หากมีการพระราชทานอภัยโทษจะพิจารณาจากองค์ประกอบหลัก ๆ เช่น เป็นนักโทษชี่นดี ชั้นดีมาก และชั้นเยี่ยมเท่านั้น , รับโทษมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง และมีอายุเข้าเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

คนดังกดดันให้ "ประหารชีวิต" 




(อ่ะ อ่านจนจบแล้วบอกหน่อย ว่าคุณคิดยังไง?) จากการสอบสวน นายกิตติกร ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพอย่างหน้าตายว่า เพิ่งออกจากเรือนจำมาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.59 ก่อนมาทำอาชีพขายผลไม้ อยู่บริเวณวัดกู้ แต่เงินไม่พอใช้ ยิ่งขายยิ่งเป็นหนี้ จึงชักชวนกับเพื่อนอีกรายที่รู้จักกันในเรือนจำมาตระเวนก่อเหตุ ปกติจะเลือกเหยื่อที่เดินตามท้องถนน ไม่เว้นว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ยอมรับว่าแทงจริง เนื่องจากเห็นผู้ตายเดินกดโทรศัพท์เล่น จึงทำทีแกล้งถามเส้นทาง เมื่อหันมาคุยด้วยจึงพยายามชิงทรัพย์ แต่ผู้ตายขัดขืน จึงใช้มีดแทงไปหลายครั้ง ระหว่างต่อสู้ได้แทงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เหยื่อสู้ได้ ไม่ได้ตั้งใจแทงที่คอ และไม่ได้ตั้งใจให้ถึงแก่ความตาย ยืนยันว่าว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาตาย ถ้าเขาไม่ขัดขืนหรืออยู่เฉยๆคงไม่ตาย ตนไม่ได้เมายา ขอความเป็นธรรมด้วย ขอโซเชี่ยลอย่าฟังความข้างเดียว................ ส่วนตัวนะ ... ประหารเหอะ เลวขนาดนี้ ฆ่าคนแล้วยังไปทำร้ายคนอื่นต่อ เค้าไปซื้อของดีๆ ขัดขืนเพราะของๆเค้าก็ผิด แล้วยังมายิ้มขนาดนี้ ไม่สำนึกนี่ไอสัส .... ไม่ได้ฟังความใครข้างเดียว แต่กูเห็นกับตาในกล้องวงจรปิดเลยเฟ้ย เอามีดแทงคอ มึงคิดว่าเค้าจะแค่ไอแคกๆ หาหมอรึไง ตายไปเหอะ!

.....


นางสาวปนัดดา วงษ์ผู้ดี อดีตนางสาวไทย ที่ผันตัวมาเป็น "ประธานองค์กรทำดี" และเคยเรียกร้องให้ใช้โทษประหารชีวิต กับ"คนร้ายที่ฆ่าข่มขืน" โดยชูสโลแกน "ฆ่าข่มขืน" เท่ากับ "ประหารชีวิต" ใช้อินสตาแกรมส่วนตัวเรียกร้องให้ "ประหารชีวิต" นายกิตติกร เพราะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยม แม้จะเคยเข้าไปรับโทษในเรือนจำ แต่ไม่สำนึกผิด หลังพ้นโทษกลับชักชวนเพื่อนในเรือนจำมาก่อเหตุชิงทรัพย์ และทำให้เจ้าทรัพย์ถึงแก่ความตาย ทั้งยังกล้าเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากสังคมอีก




ไม่ได้ตั้งใจแทง มีดมันแฉลบ.....ติดคุกมาแล้ว8ครั้ง ต่อไปเป็นครั้งที่9......แล้วต่อไปก็เป็นครั้งที่10,11,12,13,14......อาจจะต้องมีคนตายอีกกี่คน คนดีต้องมีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวา......เอาไงกับคนแบบนี้ดีครับท่านประยุทธของพวกเรา......???

.....


เช่นเดียวกับนายนาคร ศิลาชัย พิธีกรชื่อดัง โพส์เฟซบุ๊ค ตั้งคำถามถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะทำอย่างไรกับคนแบบนี้ ??? และ "ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป" ของมือมีด หลังติดคุกมาแล้ว 8 ครั้ง มาก่อเหตุครั้งที่ 9 จนมีคนเสียชีวิต จะต้องมีคนตายอีกกี่คน คนดีต้องมีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวา

โทษประหารชีวิต ในประเทศไทยครั้งสุดท้ายปี พ.ศ.2552

แทบทุกครั้งที่เกิดคดี "อุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ" โดยเฉพาะคดีฆ่าข่มขืน จะมีเสียงกระแสเรียกร้องให้นำโทษประหารชีวิตมาใช้แทบทุกครั้งแต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2552 และตามหลักสากลหากไม่มีการใช้โทษประหารชีวิตต่อเนื่องกัน 10 ปี จะถือว่า "ไม่มีโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ"

ประเทศไทยมีโทษประหารชีวิต "ด้วยการยิงเป้า" ตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 โดยใช้โทษยิงเป้ามานานถึง 69 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2546 จึงได้เปลี่ยนจากวิธีการยิงเป้า มาเป็นวิธีการ "ฉีดยา" ให้เสียชีวิตซึ่งใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ในทางปฏิบัติประเทศไทยมีการประหารชีวิตนักโทษครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2552 เป็นนักโทษคดียาเสพติด 2 ราย หลังจากนั้นก็ไม่มีการประหารชีวิตนักโทษอีกเลย ถ้านับถึงปี 2559 ก็เป็นปีที่ 7 ติดต่อกันแล้ว ตามหลักกฎหมายสากลหากไม่มีการใช้โทษประหารต่อเนื่องกันเป็นเวลา 10 ปีจะถือว่าไม่มีโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ จึงน่าจับตาว่าอีก 3 ปีจากนี้ไทยจะนำ "โทษประหารชีวิต" มาใช้ต่อหรือไม่

ประเด็นเรื่องโทษประหารชีวิตยังเป็น "ประเด็นอ่อนไหว และเป็นข้อถกเถียงในสังคมไทย" แต่ในเวทีโลกปัจจุบันทีกว่า 140 ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วทั้งทางกฎหมายและทางปฏิบัติ ยังเหลือเพียง 22 ประเทศทั่วโลก หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของประเทศทั่วโลกที่ยังคงโทษประหารชีวิตไว้

ooo