ข้อถกเถียงในวงสนทนาไม่ว่าสภากาแฟเล็กๆ ในชุมชนจนถึงเวทีระดับชาติทั่วโลกในปัจจุบัน
ประเด็นหนึ่งก็คือประเด็นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาในพม่า ว่า ออง ซาน ซู จี
ทำอะไรอยู่
และล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาออง ซาน
ซู จี ออกมาตำหนิชาวโลกว่ามองปัญหานี้ด้านเดียว ทั้งที่มีการทำร้ายและสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ซี่งได้สร้างความผิดหวังให้แก่นักปกป้องนักสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอได้รับรางวัลจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย
และที่สำคัญที่สุดก็คือเธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ
ในฐานะผมติดตามเรื่องราวของ ออง ซาน ซู จี
มาโดยตลอด ผมไม่ค่อยแปลกใจมากนักกับท่าทีของเธอเหตุผลที่ผมไม่ค่อยแปลกใจมากนักก็คือ
เธอคือนักการเมือง เธอคือวีรสตรีของชาวพม่า เธอคือบุตรีของนายพลออง ซาน
ที่ชาวพม่ายกย่องว่าเป็นวีรบุรุษเพื่ออิสรภาพของพม่าในการต่อสู้กับสหราชอาณาจักร์จนได้รับเอกราช
แต่เธอมิใช่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน แม้ว่าเธอจะได้รับรางวัลด้านนี้มามากมายก็ตาม
แต่นั่นคือท่าทีของเธอในอดีต แต่เมื่อหันมาพิจารณาท่าทีของเธอในปัจจุบันจะพบว่าเธอไม่ได้มีคุณสมบัติเช่นว่านั้นเลย
คุณสมบัติของนักปกป้องมนุษยชนที่แท้จริงนั้น
องค์การสหประชาชาติ (United Nations) โดยที่ประชุมใหญ่แห่งสหประชาชาติ
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 ได้มีมติให้มี “ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิและความรับผิดชอบของบุคคล
กลุ่ม และหน่วยงานในสังคม
เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน อันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล”
หรือ “ปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” (The Declaration on Human
Rights Defenders) ซึ่งได้ให้คำจำกัดความถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไว้ว่า
“ทุกคนมีสิทธิทั้งโดยปัจเจก
และจากการสมาคมกับบุคคลอื่น
ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคุ้มครองและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ”
ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office
of the High Commissioner for Human Rights - OHCHR) ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า
ภารกิจของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีอะไรบ้าง
ดังต่อไปนี้
1)
เป็นตัวแทนแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่กลุ่มหรือบุคคล
รวมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรม
2)
รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
3)
ทำให้แน่ใจว่าผู้ละเมิดสิทธิได้รับโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย
4)
ให้การสนับสนุนผู้เสียหายที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
5)
สนับสนุนการพัฒนานโยบายของรัฐบาลด้านสิทธิมนุษยชน
6) สนับสนุนการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
7)
สนับสนุนการอบรมและการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ยังได้เพิ่มเติมว่า
-
แม้ว่าการเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะไม่ต้องมีคุณสมบัติใดๆ เป็นพิเศษ
เราทุกคนสามารถเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้
แต่ต้องคำนึงถึงหลักการที่ระบุไว้ในปฏิญญาว่า
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีหน้าที่รับผิดชอบเฉกเช่นเดียวกับการมีสิทธิต่างๆ
-
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องยอมรับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
จะเลือกปฏิบัติหรือปกป้องสิทธิใดสิทธิหนึ่งเป็นพิเศษและต่อต้านหรือไม่ยอมรับสิทธิด้านอื่นไม่ได้
- การถกเถียงที่สำคัญคือ
การถกเถียงว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้ปกป้องสิทธิของผู้อื่นหรือไม่
จะไม่มีการถกเถียงว่าการกระทำนั้นถูกหรือผิด เช่น
กลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เรียกร้องสิทธิให้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่ควรจะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อรัฐเพียงเพราะพวกเขาต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่มการเมืองที่มีความเห็นต่าง
-
วิธีการเรียกร้องสิทธิต้องเป็นไปด้วยแนวทางสันติวิธี
นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป (European
Union), Protection International (PI), Frontline Defenders, Amnesty
International หรือ Human Right Watch ต่างก็เห็นตรงกันก็คือสันติวิธีหรือการไม่ใช้ความรุนแรงว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
แต่เมื่อหันมามองการแก้ปัญหาหรือท่าทีของ ออง
ซาน ซู จี ต่อกรณีปัญหาโรฮิงญานี้ ออง ซาน ซู จี ไม่เคยยอมรับการดำรงอยู่ของโรฮิงญา
เนื่องเพราะเธอมองเห็นประโยชน์ของคนพม่ามากกว่าความเป็นมนุษย์ของโรฮิงญา
เพราะการที่เธอมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะชาวพม่าสนับสนุนเธอหรือเลือกเธอเข้ามา แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีเนื่องด้วยเหตุของข้อห้ามรัฐธรรมนูญก็ตาม
แต่โดยพฤตินัยแล้วเธอคือประธานาธิบดีตัวจริง
นอกเหนือจากการที่เธอต้องเดินเกมการเมืองที่จะไม่ให้กระทบกับการสนับสนุนจากประชาชนที่เป็นฐานอำนาจของเธอแล้ว
เธอยังต้องวางหมากที่จะไม่ให้กระทบกับกองทัพที่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนกลับเข้ากรมกองไปแล้วแต่แท้จริงแล้วยังพลังที่พร้อมจะกลับมาทุกเวลา
และที่สำคัญปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่กับชาวโรฮิงญาในปัจจุบันก็คือกองกำลังทหารนั่นเอง
ฉะนั้น
หากจะตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นว่าเธอคือวีรสตรีหรือนางมารร้ายก็ต้องอยู่ที่ว่าเราจะมองจากมุมไหน
ถ้ามองจากมุมของการเป็นนักการเมือง การเป็นชาวพม่า การต่อสู้กับกองทัพพม่าจนประชาชนได้เลือกผู้นำเป็นของตนเองในปัจจุบัน
แม้ว่าจะไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะยังติดขัดด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่ทหารวางยาไว้
แน่นอนว่าเธอคือวีรสตรี
แต่หากมองจากมุมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเธอคือนางมารร้าย
เพราะเธอขาดคุณสมบัติสำคัญคือการไม่ยอมรับสถานะของความเป็นคนของชาวโรฮิงญา และนิ่งเฉยในการใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญา
ซึ่งรางวัลที่เธอได้รับในด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลายสมควรที่จะถูกเพิกถอนไปเสียให้สิ้น
สรุปสั้นๆว่า
“เธอคือนักการเมืองมิใช่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน” นั่นเอง
-----------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่
7 ธันวาคม 2559