วันจันทร์, ธันวาคม 12, 2559

กรณี 'ธรรมกาย ยกทัพจับสึก’' จะเอาไง ดันทุรังหรือเปลี่ยนใจ ค่าเท่ากัน (ถ้าจะจับพระธัมมชโยให้ได้ ก็ต้องเอาพุทธอิสระเข้าคุกเสียก่อน)





วันที่ ๑๓-๑๔ (ธ.ค.) มีงานยักษ์ของลิ่วล้อ คสช. รออยู่ จะเอาไง ดันทุรังหรือเปลี่ยนใจ ค่าเท่ากัน

เพราะจนป่านนี้ ทั้งบ่าวทั้งนายยังไม่รู้เลยว่าอะไรควรทำก่อนทำหลัง อย่างที่ฝรั่งมักสอนกันว่า จะทำอะไรไม่ให้เกิดความยุ่งเหยิง ต้อง ‘set priority straight’ อย่าสับสน นั่นแหละ

วันนี้ (๑๒ ธ.ค.) “ตำรวจ ดีเอสไอ อัยการ ประชุมคดีพระธัมมชโย ยืนยันตำรวจพร้อมตรวจค้นจับกุม แต่ขณะนี้ศาลยังไม่อนุมัติหมายค้น #ThaiPBS

ส่วน “เฟซบุ๊กของลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลกรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ขอเชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจร่วมรับฟังแถลงข่าวการแก้วิกฤติของพระพุทธศาสนา...

จะเริ่มเวลา ๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป สามารถลงทะเบียนเวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องมาร์ ชั้น ๓ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดี-รังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ”

(http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=749597)





ขณะเขียนนี่ ทั้งสองกรณียังไม่มีผลสรุปออกมา แต่สำหรับลิ่วล้อฝ่ายรักษาความสงบ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. แจ้งก่อนประชุมว่า อาจดำเนินคดีข้อหา ม. ๑๑๒ กับนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ข้อหาพยายามนำเรื่องนี้ไปเชื่อมโยงกับสถาบันเบื้องสูง

“ส่วนเรื่องการขอออกหมายค้นวัดพระธรรมกายวันใดนั้น ขึ้นอยู่กับอธิบดีดีเอสไอ ตำรวจเตรียมกำลังไว้พร้อมแล้ว หากดีเอสไอร้องขอกำลังมาก็สามารถดำเนินการได้ทันที”

(http://www.matichon.co.th/news/391660)





ที่ว่าเตรียมพร้อมนั้นอย่างไร ต้องดูจากสรุปที่ อจ.ตุ้ม Sudsanguan Suthisorn นักอาชญวิทยาผู้เพิ่งผ่านการนอนคุก ๑ เดือนมาหมาดๆ เพราะศาลท่านผิวบางโดนวางพวงหรีดประท้วงแล้วยั๊ว

“บุกวัดพระธรรมกายระบุเช้าวันที่ ๑๓ ธ.ค. จะใช้กำลังตำรวจ ๑๕ กองร้อย ๒,๒๕๐ นาย ดีเอสไอ ๑๕๐ นายมีทหารและหน่วยงานอื่นเข้าเสริมกำลัง รวมแล้วมากกว่า ๒,๔๐๐ คน...

(พ.ต.อ.) ไพสิฐ (วงศ์เมือง) อธิบดีดีเอสไอมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้าประจำพื้นที่รอบวัดพระธรรมกาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารตลอด ๒๔ ชม. เพื่อติดตามดูความเคลื่อนไหวต่างๆ และสกัดไม่ให้ลูกศิษย์ที่เดินทางมาใหม่เข้าไปเพิ่มภายในวัด แต่จะไม่ปิดกั้นคนที่อยู่ในวัดออกมาโดยมีจุดตรวจสกัดทั้งหมด ๕ จุด”

นี่เข้าตำหรับ ‘รบทัพจับศึก’ (ตรงๆ ก็คือ ‘ยกทัพจับสึก’) เดี๊ยะเลย อะไรจะปานนั้น ทั้งตำหวดและดีเอสไอ ‘hyped’ ของขึ้นกันเกินเหตุ น่าจะอ่านข้อคิดเตือนใจที่ Sirote Klampaiboon (ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์) แห่งว้อยซ์ทีวีแนะไว้เสียบ้าง

“ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องหลวงพ่อธัมมชโยเป็นเรื่องซึ่งต้องปล่อยให้ผู้เกี่ยวข้องหาทางออกภายในกรอบของกฎหมาย

กลุ่มต้านธรรมกายไม่ต้องฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้กำจัดธรรมกาย และสื่อกลุ่มกระหายเลือดก็ไม่ต้องตั้งประเด็นประเภท ‘ทำไมไม่บุกสักที’ ‘ฉายหนังซ้ำซาก คนดูเบื่อแล้ว’ หรือ ‘รัฐบาลอย่าดีแต่พูด’ เพื่อยั่วให้เจ้าหน้าที่รัฐส่งกองกำลังบุกวัดและใช้ความรุนแรงด้วย...

คุณจะชอบหรือเกลียดเขาก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิยุให้รัฐใช้กำลังกับพุทธศาสนิกชนแบบนี้ครับ เว้นเสียแต่ว่าความกระหายเลือดมันจะบังตาจนทนไม่ไหวที่จะเห็นทุกฝ่ายเจรจาหาข้อตกลงอย่างสันติวิธี

คนไม่ชอบธรรมกายต้องอดทนที่จะอยู่ร่วมกับธรรมกาย เพราะไม่เคยปรากฎหรือได้ยินว่าคนธรรมกายเขาไปไล่ล่าหรือบอกว่าพุทธศาสนาของวัดไหนหรือเจ้าคุณรายใดผิด

...การใช้สื่อสาดโคลนธรรมกาย คำพูดเหยียดยามประเภทเรียกว่าเขาว่าลัทธิจานบิน เรียกลูกศิษย์วัดว่าสาวก ฯลฯ เป็นการใช้ความเป็นสื่อสร้างวาทกรรมที่ดูหมิ่นความเป็นศาสนาหรือพุทธศาสนิกชนของเขาทั้งเพ...”

ย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคม มีคนดังห่มเหลืองนายหนึ่งพูดว่า “#พระธัมมชโย อาจจะหนีไปดาวอังคาร เพราะจานบินติดเครื่องรอแล้ว”

(https://www.facebook.com/DawKhongGoo/videos/1697545517162362/?hc_ref=NEWSFEED)

จึงไม่แปลกที่ Thanapol Eawsakul แห่งฟ้าเดียวกัน สวนหมัดตรงฟันธงเลยว่า “ถ้าจะจับพระธัมมชโยให้ได้ ก็ต้องเอาพุทธอิสระเข้าคุกเสียก่อน”





เขาให้เหตุผลว่า “รัฐบาลคณะรัฐประหารไม่มีความชอบธรรมในการจับต่างหาก เหตุหนึ่งที่จับไม่มีความชอบธรรมคือ การปล่อยให้พุทธอิสระพระของคณะรัฐประหารลอยนวล” ทั้งๆ ที่

“ศาลยกคำร้อง ‘พุทธะอิสระ’ ขอเพิกถอนหมายจับ ๓๐ แกนนำ กปปส. คดีกบฎ” ไปแล้ว

(http://www.chaoprayanews.com/…/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5…/)

“ดังนั้นถ้าจะมี่ความชอบธรรมในการจับธัมมชโย คือเอาพุทธะอิสระเข้าคุกเสียก่อน”

ส่วนกรณีวันพุธที่ ๑๔ ซึ่งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเชิญพรรคการเมืองต่างๆ ไปร่วมหารือร่าง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเผยว่า

“พรรคการเมืองคงไม่มีใครเข้าร่วมครับ เพราะเท่าที่ดูการทำหน้าที่ของ กรธ.แล้ว เข้าใจว่าไม่ได้สนใจที่จะฟังความเห็นผู้อื่นสักเท่าใด”

ที่ผ่านมาการถามความเห็นทำแค่เป็นพิธีกรรมให้ดูดี และพรรคการเมืองได้ส่งความเห็นต่างๆ ไปมากพอสมควร แต่ไม่ได้รับการนำไปพิจารณา

ทั้งนี้ เข้าใจว่านายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. มีธงของตัวเองชัดเจนแล้วคือโรดแมปและความต้องการของคสช.

เราคงไม่ส่งใครไปและคงไม่เข้าร่วมส่งอะไรให้อีกแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะเกิดประโยชน์อะไร อยากทำอะไรเชิญคุณมีชัยและ กรธ.ทำตามที่สบายใจ”

(http://www.matichon.co.th/news/39122)

โดยที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยให้เหตุผล ๖ ข้อถึงความไม่ชอบมาพากลของร่าง กม.พรรคการเมืองฉบับ ‘ยาแรง’ ของลิ่วล้อ คสช. ฝ่ายออกแบบนี้

ประเด็นสำคัญหนึ่งอยู่ที่การเอาผิดต่อผู้ฝ่าฝืน กม.เลือกตั้ง ถ้อยคำในตัวบทเขียนไว้กว้างๆ กำกวม เปิดช่องให้ตีความตามอำเภอใจได้ง่าย

(http://www.matichon.co.th/news/391568)

ทางด้านพรรคชาติไทยพัฒนา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรควิจารณ์ว่า

“เมื่อเชิญพรรคการเมืองไปแล้วต้องรับฟังความคิดเห็น หรือแม้แต่บางพรรคที่ส่งหนังสือให้ข้อสังเกตไปเพราะไม่สะดวกไปด้วยตัวเอง ทาง กรธ.ก็ต้องรับฟัง...

อยากให้ กรธ.อย่ายึดเอาอัตตาเป็นหลัก คือเอาตัวเองเป็นหลักว่าตัวเองคือความถูกต้องเท่านั้น เพราะการรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายคือพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย"

เสี่ยตือแห่ง ชทพ. ติเรื่อง กรธ. กำหนดให้พรรคการเมืองต้องเก็บค่าสมาชิกพรรคคนละ ๑๐๐ บาท (โดยพรรคการเมืองจะต้องมีสมาชิกลงทะเบียนถึง ๕,๐๐๐ คน ภายใน ๑ ปี)

“อย่างบางพรรคมีสมาชิก ๒ ล้านคนแล้วจะให้เขามาเก็บค่าสมาชิกคนละ ๑๐๐ บาท จะเก็บทันหรือไม่ มันสะท้อนให้เห็นว่าคนเขียนกฎหมายกับคนปฏิบัติไม่เคยสัมพันธ์กันเลย”

(http://www.matichon.co.th/news/391578)

ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ที่จะไม่ไปร่วมปรึกษาเช่นกัน แต่จะส่งข้อเสนอแนะไปให้พิจารณานั้น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคชี้แจงเรื่องที่มีกรรมการร่าง รธน. กล่าวหานักการเมืองที่วิจารณ์เนื้อหาของ พรบ. ว่า “ทำเพื่อตนเอง” นั้น

“อยากเห็นกฎหมายพรรคการเมืองมีส่วนทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำโดยกลุ่มทุนหรือนายทุนพรรค”

การ “กำหนดให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองที่มีข้อจำกัดมากขึ้น และมีเงื่อนไขทางการเงินเพิ่มมากขึ้นนั้น นายองอาจกล่าวว่า อาจมีส่วนทำให้คนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่อยากตั้งพรรคทางเลือก เช่น พรรคกรีน พรรคสิ่งแวดล้อม พรรคคุ้มครองผู้บริโภค มีโอกาสตั้งพรรคยากขึ้น”

(http://www.thairath.co.th/content/808837)

นั่นละ เพราะการที่บรรดาลิ่วล้อของ คสช. ซึ่งเข้ามาครองอำนาจด้วยวิธีการพิเศษ ต่างพากันทำตัวเป็นผู้วิเศษ บ้างผิวบาง บ้างชูคอ กำหนดโน่น บงการนี่ ให้ได้อย่างใจที่เจ้านายสั่งมา ไม่ดูตาม้าตาเรือ หลงตนว่าปลอกคอดี มีอำนาจล้น ผลตามมาเกิดการลักลั่น ไม่ช้าก็เร็วจะเละ ชวนกันพังไปทั้งแถบ