กระแสข้าวยังแรงกว่ากระแสน้ำ ที่ถาโถมรัฐบาล คสช. ของประยุทธ์และเดอะแก๊งทหารแก่
เสื้อแดงเลิกถามหา แนน ออมสิน หรือกำนันเทือก กันได้แระ รายหลังนั่นข่าวว่าหน้านี้ฝนตก (ขี้หมูไหล) แกไม่ค่อยออกไปไหน นอกจากไปประเคนพัดยศให้สมีอิสระ
สถานการณ์มีทั้งทางดีและทางร้าย ทางดีก็คือมีการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส โดย นายณัฐพงษ์ นุชพ่วง และนายวรวุธ ชุ่มอุรา “นักศึกษาวิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก คิดค้นเครื่องสีข้าวในครัวเรือน ช่วยให้ประชาชนสีข้าวกินเองได้...
เพียงเสียบปลั๊กและเทข้าวเปลือกลงไปเครื่องก็จะสีข้าวออกมา แยกแกลบและจมูกข้าวไว้ด้านล่าง ทั่วไปจะสี ๒-๓ ครั้งก็จะได้ข้าวขาวที่ยังคงวิตามินอยู่”
(http://www.matichon.co.th/news/348434)
ทางร้ายถึงขั้นมีชาวนาฆ่าตัวตาย จนโฆษกห่านอูทั่นรีบออกมาแถแก้ต่างไปว่าไม่ใช่ เป็นแค่ช่างแอร์หนี้ล้นพ้นตัว “ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับชาวนาเลย”
ไม่เกี่ยวได้ไง “นายราชัน เขียวงาม ผู้ใหญ่บ้านหมูที่ ๓ ต.วังสำโรง ระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตนั้นน่าจะมาจากความเครียดเรื่องราคาข้าวตกต่ำ ซึ่งที่ผ่านมานั้นนายศุภกิจได้กู้สหกรณ์มาเป็นจำนวนมาก และคิดว่านายศุภกิจคงไม่สามารถจะใช้หนี้ให้หมดได้ จึงเป็นเหตุให้ฆ่าตัวตาย”
(https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_84630)
กระทั่ง บก.ลายจุด ยังรู้ถูก ไม่ได้รู้ผิดเหมือนห่านอู “เมียผู้ตายบอกว่าสามีเป็นชาวนาเครียดเรื่องหนี้สิ้นและราคาข้าวตกต่ำ แต่ไก่อูบอกว่าคนตายเป็นช่างไฟ ไม่เกี่ยวกับทำนา เชื่อใครดีเนี่ย”
เชื่อ ‘กรุงเทพฯ ธุรกิจ’ สื่อเครือเนชั่นก็ได้ (http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/725950)
“นายนิทัศน์ ปั้นแปลก อายุ ๔๗ ปี ซึ่งเป็นญาติของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า สาเหตุที่นายศุภกิจผูกคอตายในครั้งนี้ มีอยู่เรื่องเดียวคือปัญหาเรื่องราคาข้าวตกต่ำ และเครียดในเรื่องของหนี้สินจำนวนมาก มีภาระต้องเลี้ยงดูส่งเสียลูกเรียนถึง ๔ คน เท่าที่ทราบนายศุภกิจเป็นหนี้สหกรณ์การเกษตรอำเภอบางมูลนาก และ สถาบันการเงินต่างๆ รวมแล้วเกือบ ๑ ล้านบาท และข้าวนาปีหอมมะลิ ๑๐๕ ก็ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุ เพราะคงไม่มีเรื่องอื่น”
อีกราย “นายวิทยา อินสำเภา อายุ ๔๔ ปี ชาววังสำโรง อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตาย กล่าวว่า ก่อนนายศุภกิจจะเสียชีวิต ได้มาหาตนที่บ้าน และคุยกันเรื่องเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งผู้ตายเปรยๆ ว่า ปีนี้ราคาข้าวไม่ดี หนี้สินก็มาก ทำนากว่า ๘๐ ไร่ คงไม่พอใช้หนี้ พอมาเจอปัญหาแบบนี้คงหาทางออกไม่ได้จึงผูกคอตายดังกล่าว”
นั่นแหละ ความจริงเป็นสิ่งที่ คสช. คอยแต่จะเลี่ยงถ้ามันเป็นของเสียและเข้าเนื้อตัวเอง ทำนองเดียวกับประชาชนของประเทศกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งที่ได้ฉายาว่า ‘สลิ่ม’ ชอบทำตัว ‘นั่งหิ้ง’ จับผิดชาวนาอุบลฯ ที่ไปต้อนรับยิ่งลักษณ์
ว่า “ตัวประกอบลืมถอดสร้อยทอง” เลยโดนกระแทกกลับ ผู้ใช้ชื่อเฟชบุ๊ค ‘โลกแม่งดัดจริต’ ย้อนให้
“ชาวนาห้ามใส่ทอง ชาวนาห้ามมีมือถือแพงๆ คือทำไมพวกมึงหวงเอาความมั่งมีไว้ให้แค่คนในเมือง
คล้ายๆ คนเมืองพยายามพูดว่าไม่อยากให้ความเจริญเข้าถึงต่างจังหวัด เพราะกลัวว่าจะเสียวิถีชีวิตความเป็นคนบ้านนอก คือพวกมึงมาเที่ยวแล้วก็กลับ ไงสัส”
เหตุนั้นมั้ง ทหารถึงให้ความสำคัญกับกระแสน้ำจริงจังกว่ากระแสข้าว ทัพเรือจัดส่งเรือ ‘ดัน’ น้ำ ๖๐ ลำไปเมืองเพ็ชร์ ช่วยดันน้ำที่ยังเจิ่งหลังจากท่วมมาหลายวันแล้ว
ไม่ยักส่งไปอัมพวาสักลำ ทั้งๆ ที่นั่น ‘ตลาดน้ำ’ ต้องปิดมาเป็นอาทิตย์แล้วเช่นกัน เพราะ ‘น้ำท่วม’
บดบังภาพพจน์การฟื้นตัว ลืมตาอ้าปากทางเศรษฐกิจมหภาคตอนปลายปี อันปกติเป็นฤดู ‘ทำเงิน’ ที่ยังคงหดหู่เอาไว้ แล้วให้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวออกมาสร้างฉากแก้ข่าวไว้ก่อน
“แนวโน้มการท่องเที่ยวไทยในไตรมาส ๔ คาดการณ์จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า ๖๐๙,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๒๘” นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดแถลงข่าว
“คาดตลอดทั้งปี๒๕๕๙ จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ๓๒.๔ ล้านคน สร้างรายได้ ๑.๖๓ ล้านล้านบาท ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ จะอยู่ที่ ๘๕๙,๐๐๐ ล้านบาท รวมแล้ว ทำรายได้ กว่า ๒.๔ ล้านล้านบาท ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือขยายตัวร้อยละ ๙.๙๙ จากปี ๒๕๕๘”
(http://news.voicetv.co.th/business/428742.html)
“อ้าว ใครพูดความจริง” คราวนี้ Atukkit Sawangsuk เป็นคนถามบ้าง เขายกเอารายงานข่าวมติชนมาเทียบ
“นับตั้งแต่ที่รัฐบาลออกมาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวสมาชิกสมาคมแอตต้าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ลดลงกว่า ๔๐%” นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) แจง
(http://www.matichon.co.th/news/347861)
ลองมาดูข้อสังเกตุของอธึกกิต เข้าเค้าอยู่ “บอกก่อนว่า การประเมินแบบนี้ไม่ได้เพิ่งทำกันยุคนี้หรอกครับ ททท.ทำมานานแล้ว จนเราไม่รู้ว่าอะไรจริง
อย่างตัวเลขต่างชาติมีคนเคยบอกว่า พวกฝรั่งญี่ปุ่นทำงานเมืองไทยบินไปเยี่ยมบ้านแล้วบินกลับก็ถูกนับด้วย ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยนี่ยิ่งประหลาด ๓ เดือนมีคนเดินทางท่องเที่ยว ๓๖ ล้านคน (ครั้ง) เชียวเรอะ
สงสัยนับหมด คนขึ้นเครื่องบินคนขึ้นรถทัวร์รถตู้รถ บขส. หรือขับรถจากกรุงเทพฯ ไปปากน้ำก็นับแล้ว”
ในแถลงข่าวของ รมว. กอบกาญจน์ ยังอิงถึงการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ว่างานลอยกระทงและการฉลองคริสตมาส-ปีใหม่ ที่เดิมทีทำท่าจะหงอยเหงาเพราะยังอยู่ในระยะโศกาอาดูร ไม่ให้รื่นเริงห้ามแสงสี ก็เปลี่ยนแล้ว
“สามารถจัดกิจกรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลลอยกระทง งานยี่เป็งที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือลอยกระทงที่สุโขทัย โดยให้เน้นกิจกรรมลักษณะประเพณี วัฒนธรรม” และ “สถานประกอบการนี่เปิดหมดนะคะ ขอแต่เพียงว่าไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย”
“ปีใหม่ปีนี้กลับเป็นปีที่ต้องพิเศษด้วยซ้ำ” รมว. อ้าง “ต้องเป็นสิ่งที่ต้องจดจำ ต้องอยู่ในประวัติศาสตร์”
หากแต่แม้จะตั้งใจจดจำหรือไม่ ประชากรส่วนหนึ่งก็เหมือนถูกฝังจำโดยปริยายอยู่แล้ว จากการบังคับใช้กฎหมายที่ในทางสากลเรียกว่า ‘ไม่ทัดเทียม’ หรือ impartial ตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมา