วันเสาร์, พฤศจิกายน 05, 2559

กระแสข้าวยังแรงกว่ากระแสน้ำ ที่ถาโถมรัฐบาล คสช. ของประยุทธ์และเดอะแก๊งทหารแก่





กระแสข้าวยังแรงกว่ากระแสน้ำ ที่ถาโถมรัฐบาล คสช. ของประยุทธ์และเดอะแก๊งทหารแก่

เสื้อแดงเลิกถามหา แนน ออมสิน หรือกำนันเทือก กันได้แระ รายหลังนั่นข่าวว่าหน้านี้ฝนตก (ขี้หมูไหล) แกไม่ค่อยออกไปไหน นอกจากไปประเคนพัดยศให้สมีอิสระ





สถานการณ์มีทั้งทางดีและทางร้าย ทางดีก็คือมีการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส โดย นายณัฐพงษ์ นุชพ่วง และนายวรวุธ ชุ่มอุรา “นักศึกษาวิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก คิดค้นเครื่องสีข้าวในครัวเรือน ช่วยให้ประชาชนสีข้าวกินเองได้...

เพียงเสียบปลั๊กและเทข้าวเปลือกลงไปเครื่องก็จะสีข้าวออกมา แยกแกลบและจมูกข้าวไว้ด้านล่าง ทั่วไปจะสี ๒-๓ ครั้งก็จะได้ข้าวขาวที่ยังคงวิตามินอยู่”

(http://www.matichon.co.th/news/348434)

ทางร้ายถึงขั้นมีชาวนาฆ่าตัวตาย จนโฆษกห่านอูทั่นรีบออกมาแถแก้ต่างไปว่าไม่ใช่ เป็นแค่ช่างแอร์หนี้ล้นพ้นตัว “ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับชาวนาเลย”





ไม่เกี่ยวได้ไง “นายราชัน เขียวงาม ผู้ใหญ่บ้านหมูที่ ๓ ต.วังสำโรง ระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตนั้นน่าจะมาจากความเครียดเรื่องราคาข้าวตกต่ำ ซึ่งที่ผ่านมานั้นนายศุภกิจได้กู้สหกรณ์มาเป็นจำนวนมาก และคิดว่านายศุภกิจคงไม่สามารถจะใช้หนี้ให้หมดได้ จึงเป็นเหตุให้ฆ่าตัวตาย”

(https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_84630)

กระทั่ง บก.ลายจุด ยังรู้ถูก ไม่ได้รู้ผิดเหมือนห่านอู “เมียผู้ตายบอกว่าสามีเป็นชาวนาเครียดเรื่องหนี้สิ้นและราคาข้าวตกต่ำ แต่ไก่อูบอกว่าคนตายเป็นช่างไฟ ไม่เกี่ยวกับทำนา เชื่อใครดีเนี่ย”

เชื่อ ‘กรุงเทพฯ ธุรกิจ’ สื่อเครือเนชั่นก็ได้ (http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/725950)

“นายนิทัศน์ ปั้นแปลก อายุ ๔๗ ปี ซึ่งเป็นญาติของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า สาเหตุที่นายศุภกิจผูกคอตายในครั้งนี้ มีอยู่เรื่องเดียวคือปัญหาเรื่องราคาข้าวตกต่ำ และเครียดในเรื่องของหนี้สินจำนวนมาก มีภาระต้องเลี้ยงดูส่งเสียลูกเรียนถึง ๔ คน เท่าที่ทราบนายศุภกิจเป็นหนี้สหกรณ์การเกษตรอำเภอบางมูลนาก และ สถาบันการเงินต่างๆ รวมแล้วเกือบ ๑ ล้านบาท และข้าวนาปีหอมมะลิ ๑๐๕ ก็ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุ เพราะคงไม่มีเรื่องอื่น”

อีกราย “นายวิทยา อินสำเภา อายุ ๔๔ ปี ชาววังสำโรง อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้ตาย กล่าวว่า ก่อนนายศุภกิจจะเสียชีวิต ได้มาหาตนที่บ้าน และคุยกันเรื่องเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งผู้ตายเปรยๆ ว่า ปีนี้ราคาข้าวไม่ดี หนี้สินก็มาก ทำนากว่า ๘๐ ไร่ คงไม่พอใช้หนี้ พอมาเจอปัญหาแบบนี้คงหาทางออกไม่ได้จึงผูกคอตายดังกล่าว”

นั่นแหละ ความจริงเป็นสิ่งที่ คสช. คอยแต่จะเลี่ยงถ้ามันเป็นของเสียและเข้าเนื้อตัวเอง ทำนองเดียวกับประชาชนของประเทศกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งที่ได้ฉายาว่า ‘สลิ่ม’ ชอบทำตัว ‘นั่งหิ้ง’ จับผิดชาวนาอุบลฯ ที่ไปต้อนรับยิ่งลักษณ์





ว่า “ตัวประกอบลืมถอดสร้อยทอง” เลยโดนกระแทกกลับ ผู้ใช้ชื่อเฟชบุ๊ค ‘โลกแม่งดัดจริต’ ย้อนให้

“ชาวนาห้ามใส่ทอง ชาวนาห้ามมีมือถือแพงๆ คือทำไมพวกมึงหวงเอาความมั่งมีไว้ให้แค่คนในเมือง

คล้ายๆ คนเมืองพยายามพูดว่าไม่อยากให้ความเจริญเข้าถึงต่างจังหวัด เพราะกลัวว่าจะเสียวิถีชีวิตความเป็นคนบ้านนอก คือพวกมึงมาเที่ยวแล้วก็กลับ ไงสัส”

เหตุนั้นมั้ง ทหารถึงให้ความสำคัญกับกระแสน้ำจริงจังกว่ากระแสข้าว ทัพเรือจัดส่งเรือ ‘ดัน’ น้ำ ๖๐ ลำไปเมืองเพ็ชร์ ช่วยดันน้ำที่ยังเจิ่งหลังจากท่วมมาหลายวันแล้ว





ไม่ยักส่งไปอัมพวาสักลำ ทั้งๆ ที่นั่น ‘ตลาดน้ำ’ ต้องปิดมาเป็นอาทิตย์แล้วเช่นกัน เพราะ ‘น้ำท่วม’





บดบังภาพพจน์การฟื้นตัว ลืมตาอ้าปากทางเศรษฐกิจมหภาคตอนปลายปี อันปกติเป็นฤดู ‘ทำเงิน’ ที่ยังคงหดหู่เอาไว้ แล้วให้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวออกมาสร้างฉากแก้ข่าวไว้ก่อน

“แนวโน้มการท่องเที่ยวไทยในไตรมาส ๔ คาดการณ์จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า ๖๐๙,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๒๘” นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดแถลงข่าว

“คาดตลอดทั้งปี๒๕๕๙ จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ๓๒.๔ ล้านคน สร้างรายได้ ๑.๖๓ ล้านล้านบาท ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ จะอยู่ที่ ๘๕๙,๐๐๐ ล้านบาท รวมแล้ว ทำรายได้ กว่า ๒.๔ ล้านล้านบาท ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือขยายตัวร้อยละ ๙.๙๙ จากปี ๒๕๕๘”

(http://news.voicetv.co.th/business/428742.html)

“อ้าว ใครพูดความจริง” คราวนี้ Atukkit Sawangsuk เป็นคนถามบ้าง เขายกเอารายงานข่าวมติชนมาเทียบ

“นับตั้งแต่ที่รัฐบาลออกมาตรการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวสมาชิกสมาคมแอตต้าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ลดลงกว่า ๔๐%” นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) แจง

(http://www.matichon.co.th/news/347861)

ลองมาดูข้อสังเกตุของอธึกกิต เข้าเค้าอยู่ “บอกก่อนว่า การประเมินแบบนี้ไม่ได้เพิ่งทำกันยุคนี้หรอกครับ ททท.ทำมานานแล้ว จนเราไม่รู้ว่าอะไรจริง

อย่างตัวเลขต่างชาติมีคนเคยบอกว่า พวกฝรั่งญี่ปุ่นทำงานเมืองไทยบินไปเยี่ยมบ้านแล้วบินกลับก็ถูกนับด้วย ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยนี่ยิ่งประหลาด ๓ เดือนมีคนเดินทางท่องเที่ยว ๓๖ ล้านคน (ครั้ง) เชียวเรอะ

สงสัยนับหมด คนขึ้นเครื่องบินคนขึ้นรถทัวร์รถตู้รถ บขส. หรือขับรถจากกรุงเทพฯ ไปปากน้ำก็นับแล้ว”




ในแถลงข่าวของ รมว. กอบกาญจน์ ยังอิงถึงการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ว่างานลอยกระทงและการฉลองคริสตมาส-ปีใหม่ ที่เดิมทีทำท่าจะหงอยเหงาเพราะยังอยู่ในระยะโศกาอาดูร ไม่ให้รื่นเริงห้ามแสงสี ก็เปลี่ยนแล้ว

“สามารถจัดกิจกรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลลอยกระทง งานยี่เป็งที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือลอยกระทงที่สุโขทัย โดยให้เน้นกิจกรรมลักษณะประเพณี วัฒนธรรม” และ “สถานประกอบการนี่เปิดหมดนะคะ ขอแต่เพียงว่าไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย”

“ปีใหม่ปีนี้กลับเป็นปีที่ต้องพิเศษด้วยซ้ำ” รมว. อ้าง “ต้องเป็นสิ่งที่ต้องจดจำ ต้องอยู่ในประวัติศาสตร์”

หากแต่แม้จะตั้งใจจดจำหรือไม่ ประชากรส่วนหนึ่งก็เหมือนถูกฝังจำโดยปริยายอยู่แล้ว จากการบังคับใช้กฎหมายที่ในทางสากลเรียกว่า ‘ไม่ทัดเทียม’ หรือ impartial ตลอดเวลากว่าสองปีที่ผ่านมา